วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ท่านรักอัลลอฮจริงไหม?




     การที่เรานับถือศาสนา โดยมีเป้าสูงสุดในชีวิต คือ ความโปรดปรานจากอัลลอฮ ในโลกนี้และโลกหน้า เราไม่ได้นับถือศาสนาเพื่อตามอารมณ์ตนเอง หรือ อารมณ์ของความหลากหลายของคนในดุนยา หรือ เพื่อพวกฟ้องและมัซฮับ เพราะฉะนั้น การแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ นั้น เราต้องพยายามแสวงหาแนวทางที่จะทำให้ใกล้ชิดต่อพระองค์ นั้น คือ การปฏิบัติตามสิ่งใดก็ตามที่เป็นสุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ

จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่านและอภัยความผิดของพวกท่าน ให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮ คือ ผู้ทรงอภัยและเมตตายิ่ง – อาลิอิมรอน/31
ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า

هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ

อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฉ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33

عَنِ ابْنِ جُرَيْجٍ قَوْلَهُ : " إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ ، قَالَ : كَانَ قَوْمٌ يَزْعُمُونَ أَنَّهُمْ يُحِبُّونَ اللَّهَ ، يَقُولُونَ : إِنَّا نَحْبُ رَبَّنَا ! فَأَمَرَهُمُ اللَّهُ أَنْ يَتْبَعُوا مُحَمَّدًا - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَجَعَلَ اتِّبَاعَ مُحَمَّدٍ عَلَمًا لِحُبِّهِ .

จากอิบนุญุรัยญฺ เกี่ยวกับคำตรัสที่ว่า “จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่าน” เขาได้กล่าวว่า “ คนกลุ่มหนึ่ง เข้าใจว่า พวกเขารักอัลลอฮ โดยกล่าวว่า “พวกเรารักพระเจ้าของเรา” ดังนั้นอัลลอฮจึงสั่งให้พวกเขาปฏิบัติตามมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และให้การปฏิบัติตามมุหัมหมัด เป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า รักพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 6 หน้า 322
...........
จากตัวอย่างข้างต้น เราพยายามที่จะแสวงหาสัจธรรม โดยใช้บรรดาผู้รู้ทั้งยุคก่อนและยุคหลัง เป็นสะพานเชื่อมไปปสู่เป้าคือ ทางนำของอัลลอฮและรอซูล แต่ถ้าเรา ยังยึดติดอยู่กับ คนนั้น คนนี้ มัซฮับนั้น มัซฮับนี้ โดยไม่เปิดให้สติปัญญาได้ตริตรอง เราจะพ บแก่นของศาสนาได้อย่างไร
والله أعلم بالصواب

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สามีขี้เหนียว

 
 
     สามีขี้เนียวใครประสบก็น่าสงสาร ส่วนใหญ่รู้ว่าเขาขี้เหนียวหลังจากแต่งงาน หมดช่วงข้าวใหม่ปลามัน ช่วงก่อนแต่งงาน ทำตัวเป็นคนใจกว้าง น้องจะเอาอะไรบอกบังได้นะจ้ะ.. หลังแต่งงาน ไฟของความใจกว้าง ใจใหญ่ เริ่มค่อยๆริบรี่ ค่ากับข้าว ค่าเสื้อผ้าลูก เมีย ค่าใช้จ่ายในบ้าน ไม่ค่อยถามภรรยา ทำเฉย บางคนกับเพื่อนฝูง หรือ กับสาวแก่ แม่หมาย ทำใจกว้าง จะกินอะไร บังแกชอบเป็นเจ้ามืออยู่เรื่อย แต่เวลากลับบ้าน กลับมือเปล่า หรือ ไม่ก็ซื้อปลาขี้แตกไปฝากลูกเมีย 
ปัญหาข้างตนสร้างความนักใจแก่ภรรยา เวลาขอเงิน ก็บอกว่าไม่ค่อยมี อยากจะหย่าก็กลัวเป็นหม้าย กลืนไม่เข้า คายไม่ออก จะขโมยเงินสามีก็กลัวบาป สามียิ่งแก่ยิ่งขี้เหนียว ละหมาดเคร่ง แต่ลืมคำสั่งอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ว่า
وَعَلَى الْمَوْلُودِ لَهُ رِزْقُهُنَّ وَكِسْوَتُهُنَّ بِالْمَعْرُوفِ [البقرة:233 
และหน้าที่ของพ่อเด็กนั้นคือปัจจัยยังชีพของพวกนางและเครื่องนุ่งห่มของพวกนางโดยชอบธรรม – อัลบะเกาะเราะฮ/233 
ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นแล้วในสมัยนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือ มีผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า ฮินดุน นางได้ร้องทุกข์ต่อท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่าสามีของนาง คือ อบูซุฟยาน เป็นคนขี้เหนียว โดยนางกล่าวว่า 
إنَّ أَبَا سُفْيَانَ رَجُلٌ شَحِيحٌ ، وَلَيْسَ يُعْطِينِي مِنْ النَّفَقَةِ مَا يَكْفِينِي وَوَلَدِي . فَقَالَ : خُذِي مَا يَكْفِيك وَوَلَدَك بِالْمَعْرُوفِ 
แท้จริงอบูซุฟยาน เป็นชายขี้เหนียว โดยที่เขาไม่มอบค่าเลี้ยงดูแก่ดิฉัน สิ่งซึ่งทำให้เพียงพอต่อดิฉันและลูกดีฉัน ,ท่านรซูลลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ เธอจงเอาสิ่งที่พอเพียงสำหรับเธอและลูกของเธอ โดยชอบธรรม – รายงานโดยบุคอรี 
ท่านอุบนุกุดามะฮ กล่าวว่า 
وَجُمْلَتُهُ أَنَّ الزَّوْجَ إذَا لَمْ يَدْفَعْ إلَى امْرَأَتِهِ مَا يَجِبُ لَهَا عَلَيْهِ مِنْ النَّفَقَةِ وَالْكِسْوَةِ ، أَوْ دَفَعَ إلَيْهَا أَقَلَّ مِنْ كِفَايَتِهَا ، فَلَهَا أَنْ تَأْخُذَ مِنْ مَالِهِ الْوَاجِبَ أَوْ تَمَامَهُ ، بِإِذْنِهِ وَبِغَيْرِ إذْنِهِ ; بِدَلِيلِ قَوْلِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِهِنْدٍ : { خُذِي مَا يَكْفِيك وَوَلَدَك بِالْمَعْرُوفِ } . وَهَذَا إذْنٌ لَهَا فِي الْأَخْذِ مِنْ مَالِهِ بِغَيْرِ إذْنِهِ
สรุป คือ สามีเมื่อเขาไม่มอบแก่ภรรยาของเขา สิ่งซึ่งจำเป็นเหนือเขาจากการจ่ายค่าเลี้ยงดูและเสื้อผ้าให้แก่นาง หรือ มอบให้นาง น้อยกว่าความพอเพียงของนาง (หมายถึงไม่พอใช้จ่าย) ก็อนุญาตให้นางเอาจากทรัพย์สินของเขา(สามี) เท่าทีจำเป็นหรือ ให้ครบถ้วนสิ่งที่วาญิบ โดยการอนุญาตของเขาหรือเขาไม่อนุญาตก็ตาม ด้วยหลักฐานคำพูดนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า (เธอจงเอาสิ่งที่พอเพียงสำหรับเธอและลูกของเธอ โดยชอบธรรม) และ นี้คือ การอนุญาตให้แก่นาง ในการเอาทรัพย์สินสามี โดยที่เขาไม่ได้อนุญาต – ดูอัลมุฆนีย์ เล่ม 8 หน้า 161 
สรุปว่า ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้แก้ปัญหาให้แก่ภรรยาในกรณีสามีเป็นคนขี้เหนียวแล้ว และภรรยาก็ต้องปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ คือ เอาเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น และจะต้องลองขอสามีก่อน ก่อนที่จะใช้กรณีนี้ เป็นทางเลือกนะครับ
**************************
จงพูดความจริงแม้จะขมขื่นเพียงใดก็ตาม 


วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การดะอฺวะฮในอิสลาม




การดะอวะฮนั้น ต้องทำหน้าที่ 2 ส่วนคือ

หนึ่ง – เชิญชวนไปสู่ความดี
สอง – ห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ดี
ดำรัสของอัลลอห์ ตะอาลา ว่า

وَلْتَكُنْ مِنْكُمْ أُمَّةٌ يَدْعُونَ إِلَى الْخَيْرِ وَيَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنْكَرِ وَأُولَئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ

ความว่า “และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดี และใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบ และชนเหล่านั้นแหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ”- (ซูเราะห์ อาละอิมรอน อายะห์ 104)
คำว่า “อัลมะอรูฟ” อิบนุญะรีร ปราชญ์ตัฟสีรชาวสะลัฟ อธิบายว่า

يَأْمُرُونَ النَّاسَ بِاتِّبَاعِ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَدِينِهِ الَّذِي جَاءَ بِهِ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ

หมายถึง ใช้มนุษย์ปฏิบัติตามมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และศาสนาของเขา ที่เขาได้นำมันมาจากอัลลอฮ - ดู ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 7 หน้า 91

เพราะฉะนั้น ถ้าเชิญชวน(ดะฮวะฮ) ให้ตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ถือว่าตรงตามเจตนารมณ์การดะอฺวะฮในอิสลาม
ส่วนคำว่า “อัลมุงกัร” นั้นคือ

اسم جامع لكل ما عرف بالشرع قبحه، من معصية الله تعالى وظلم عباده

คือ ชื่อรวมสำหรับทุกสิ่งที่ ที่ถูกรู้จักด้วยบทบัญญัติว่า มันไม่ดี จากการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ และการอธรรมต่อบรรดาบ่าวของพระองค์
ท่านร่อซูล ได้กล่าวอีกว่า

مَنْ رَأَى مِنْكُمْ مُنْكَرًا فَلْيُغَيِّرْهُ بِيَدِهِ فَإِنْ لَمْ يَسْتَطِعْ فَبِلِسَانِهِ فَإِنْ لَمْ يَسْتَطِعْ فَبِقَلْبِهِ
وَذَلِكَ أَضْعَفُ الإِِيمَانِ

“ใครที่พบเห็นของชั่วใดๆแล้วเขาก็จงทำการขัดขวางความชั่วนั้นด้วยมือของเขา หากไม่สามารถก็ให้ใช้วาจา
และยังไม่สามารถก็ด้วยใจ และนี่แหละเป็นการศรัทธาที่ต่ำที่สุด”- รายงานโดยมุสลิม
เพราะฉะนั้น การดะอฺวะอ ถ้าไม่ชี้ถูกว่า ถูก ไม่ ชี้ผิดว่าผิด แล้วจะทำให้กลุ่มเป้าหมายเจอสัจธรรมได้อย่างไร

คนทำหน้าที่ดะฮวะฮจะต้องรู้ด้วยว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรไม่ดี

وَسَمِعَ ابْنُ مَسْعُودٍ رَجُلًا يَقُولُ : هَلَكَ مَنْ لَمْ يَأْمُرْ بِالْمَعْرُوفِ وَلَمْ يَنْهَ عَنِ الْمُنْكَرِ ، فَقَالَ ابْنُ مَسْعُودٍ هَلَكَ مَنْ لَمْ يَعْرِفْ بِقَلْبِهِ الْمَعْرُوفَ وَالْمُنْكِرَ ، يُشِيرُ إِلَى أَنَّ مَعْرِفَةَ الْمَعْرُوفِ وَالْمُنْكِرِ بِالْقَلْبِ فَرْضٌ لَا يَسْقُطُ عَنْ أَحَدٍ فَمَنْ لَمْ يَعْرِفْهُ هَلَكَ .

อิบนุมัสอูด ได้ยินชายคนหนึ่ง กล่าวว่า “ ผู้ที่ไม่กำชับให้ทำความดี และไม่ห้ามปรามจากความชั่วนั้น จะพินาศ แล้ว อิบนุมัสอูด กล่าวว่า “ ผู้ที่หัวใจของเขาไม่รู้จัก ความดีและความชั่ว นั้น พินาศ และเขาได้ชี้ให้เห็นว่า การร้จักความดีและความชั่ว ด้วยหัวใจนั้น เป็นฟัรดู ที่ไม่อาจจะหลุดพ้นไปจากคนใดได้ ดังนั้น ใครไม่รู้จักมัน เขาก็พินาศ
- ดู ญามมิอุลอุลูม วัลหิกัม ของอิบนุเราะญับ เล่ม 2 หน้า 245
...............................
คนเราต้องรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก เพราะเป็นหน้าที่จะต้องศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เผยแพรศาสนา
อัลลอฮใช้คำว่า “จงให้ส่วนหนึ่งจากพวกเจ้า” แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่จะไปชี้นำคนนั้น ต้องมีคุณสมบัติพร้อม
ไม่ใช่ใครก็ได้

อิบนุญะยะรีร กล่าวว่า

عَنِ الضَّحَّاكِ : " وَلْتَكُنْ مِنْكُمْ أُمَّةٌ يَدْعُونَ إِلَى الْخَيْرِ وَيَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنْكَرِ " ، قَالَ : هُمْ خَاصَّةُ أَصْحَابِ رَسُولِ اللَّهِ ، وَهُمْ خَاصَّةُ الرُّوَاةِ

จากอัฏเฎาะหาก เกี่ยวกับอายะฮที่ว่า “และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดี และใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบ” เขากล่าวว่า พวกเขา คือ บรรดาเศาะหาบะฮรซูลุลลอฮ เป็นการเฉพาะและพวกเขา คือ บรรดาอัรรูวาต เป็นการเฉพาะ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 7 หน้า 92

คำว่า “อัรรูวาต” หมายถึง บรรดามุญาฮิดีนและบรรดาผู้มีความรู้(อุลามาฮ
ดังที่อิบนุกะษีร อธิบายไว้ว่า

قَالَ الضَّحَّاكُ : هُمْ خَاصَّةُ الصَّحَابَةِ وَخَاصَّةُ الرُّوَاةِ ، يَعْنِي : الْمُجَاهِدِينَ وَالْعُلَمَاءَ .

อัฎเฎาะหาก กล่าวว่า พวกเขา คือ บรรดาเศาะหาบะฮ เป็นการเฉพาะและพวกเขา คือ บรรดาอัรรูวาต เป็นการเฉพาะ หมายถึง บรรดามุญาฮิดีนและบรรดาผู้มีความรู้(อุลามาฮ – ดูตัฟสีร อิบนุกะษีร เล่ม 2
หน้า 109
............
เพราะฉะนั้น คนที่ทำหน้าดะอฺวะฮจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ลองคิดดู ก็แล้วกันว่า ถ้าไม่มีความรู้ ไม่เข้าใจศาสนา ลองนึกดูก็แล้วกันว่า “ถ้าคนตาบอด จูงคนตาบอด “ ผลจะเป็นอย่างไร
_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

อัลลอฮอยู่เหนืออะรัชหมายความว่าอย่างไร





อัลลอฮอยู่เหนืออะรัชหมายความว่าอย่างไร


อิบนุตัยมียะฮอธิบายดังนี้
 
السلف والأئمة وسائر علماء السنة إذا قالوا " إنه فوق العرش ، وإنه في السماء فوق كل شيء " لا يقولون إن هناك شيئا يحويه ، أو يحصره ، أو يكون محلا له ، أو ظرفا ووعاء ، سبحانه وتعالى عن ذلك ، بل هو فوق كل شيء ، وهو مستغن عن كل شيء ، وكل شيء مفتقر إليه ، وهو عالٍ على كل شيء 

 
สะลัฟ ,บรรดาอิหม่ามและ อุลามาอฺสุนนะฮอื่นๆ เมื่อพวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ อยู่เหนืออะรัช และแท้จริงพระองค์ อยู่บนฟ้าเหนือทุกๆสิ่ง แท้จริง ณที่นี้ พวกเขา ไม่ได้กล่าว(ไม่ได้หมายถึง) สิ่งใดๆ บรรจุพระองค์เอาไว้ หรือ จำกัดพระองค์ หรือ มันเป็นสถานที่ของพระองค์ หรือ เป็นภาชนะบรรจุ ,พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์ และสูงส่งจากดังกล่าว แต่ทว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง และ พระองค์ทรงไม่พึงพาอาศัยทุกๆสิ่ง และทุกๆสิ่งพึงพาอาศัยพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่สูงเหนือทุกๆสิ่ง – มัจญมัวะฟาตาวา 16/111-101




อิบนุอัลมุบารอ็ก (ฮ.ศ.181) กล่าว เมื่อมีผู้ถามว่า เราจะรู้จักพระเจ้าของเราได้อย่างไร เขาตอบว่า

 “ بأنه فوق السماء السابعة على العرش، بائن من خلقه 

เพราะแท้จริงพระองค์ อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด บน อะรัช แยกจาก มัคลูคของพระองค์ – (1)
......................
السنة" لعبد الله بن أحمد (ج1 ص111) قال: حدثني أحمد بن ابراهيم الدورقي ثنا علي بن الحسن بن شقيق قال سألت عبدالله بن المبارك، وذكره. رواته ثقات والسند صحيح
……


คำว่า "อย่เหนืออะรัช แยกจากมัคลูค" แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ได้หมายถึง การอาศัยอารัช เป็นที่พำนัก แต่หมายถึง การอยู่เบื้องสูงเหนือมัคลูคทั้งหลาย
والله أعلم بالصواب

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อะฮลุสสุนนะฮยืนยันคุณลักษณะอัลลอฮตามความหมายที่ปรากฏตามตัวบท



อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) กล่าวว่า
أَهْلُ السُّنَّةِ مُجْمِعُونَ عَلَى الْإِقْرَارِ بِالصِّفَاتِ الْوَارِدَةِ كُلِّهَا فِي الْقُرْآنِ وَالسُّنَّةِ وَالْإِيمَانِ بِهَا وَحَمْلِهَا عَلَى الْحَقِيقَةِ ; لَا عَلَى الْمَجَازِ إلَّا إنَّهُمْ لَا يُكَيِّفُونَ شَيْئًا مِنْ ذَلِكَ وَلَا يَحُدُّونَ فِيهِ صِفَةً مَحْصُورَةً .
อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ มีมติเห็นพ้องกัน ในการยอมรับบรรดาคุณลักษณะ(ซิฟาต) ทั้งหมดที่ปรากฏในอัลกุรอ่านและซุนนะฮ์ และศรัทธาต่อมัน และถือมันตามความหมายจริง(ฮะกีกัต) ไม่ใช่ตามความหมายในเชิงอุปมาอุปมัย นอกจากว่า แท้จริงพวกเขา ไม่ได้อธิบายวิธีการว่าเป็นอย่างไรจากซิฟัตดังกล่าวเลย และพวกเขาไม่ได้จำกัดในนั้น เป็นคุณลักษณะหนึ่งลักษณะที่เฉพาะ


وَأَمَّا أَهْلُ الْبِدَعِ والجهمية وَالْمُعْتَزِلَةُ كُلُّهَا وَالْخَوَارِجُ : فَكُلُّهُمْ يُنْكِرُونَهَا وَلَا يَحْمِلُونَ شَيْئًا مِنْهَا عَلَى الْحَقِيقَةِ وَيَزْعُمُونَ أَنَّ مَنْ أَقَرَّ بِهَا مُشَبِّهٌ وَهُمْ عِنْدَ مَنْ أَقَرَّ بِهَا نَافُونَ لِلْمَعْبُودِ وَالْحَقُّ فِيمَا قَالَهُ الْقَائِلُونَ : بِمَا نَطَقَ بِهِ كِتَابُ اللَّهِ وَسُنَّةُ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُمْ أَئِمَّةُ الْجَمَاعَةِ .

และสำหรับ พวกบิดอะฮ์ พวกญะฮ์มียะฮ และพวกมุอฺตะซิละฮ์ พวกเขาทั้งหมดนั้น และพวกเคาะวาริจญ์ ทั้งหมด ปฏิเสธมัน และไม่ได้ถือตามความหมายฮะกีกัตจากมัน(บรรดาซิฟาตดังกล่าว)
พวกเขาอ้างว่า ผู้ที่ยอมรับมัน(ตามความหมายฮะกีกัต)นั้นเป็นพวกมุชับบะฮะฮ์ ( คือเป็นผู้ที่นำอัลลอฮ์ไปเทียบกับมัคลู๊ก )และในทัศนะของพวกเขาถือว่า ผู้ที่ยอมรับมัน เป็นผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าผู้ควรเคารพภักดี และความถูกต้องนั้น มันอยู่ในสิ่งที่บรรดาผู้ที่มีทัศนะตามที่กิตาบุลเลาะฮ์และซุนนะฮ์ของรอซูลของพระองค์ได้กล่าวเอาไว้ พวกเขาคือ ผู้นำแห่งอัลญะมาอะฮ์ อัลฮัมดุลิ้ลละฮ์ - อัตตัมฮีด ของอิบนุอับดิลบัร 7/145  ,มัจญมัวะฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ 5/87
 

สรุป คือ
1. อะฮลุสสุนนะฮ ยอมรับบรรดาคุณลักษณะอัลลอฮ (ซ.บ) ตามความหมายจริงของคำที่ปรากฏตามตัวบทโดยไม่ตีความ
2. อะฮลุสสุนนะฮ ไม่ถามและไม่อธิบายรูปแบบ(الكيفية ) ของบรรดาสิฟาต ว่าเป็นอย่างไร
3. อะฮลุลบิดอะฮ ,พวกญะฮมียะฮ, และพวกมุอตะซิละฮ ไม่ยอมรับความหมายจริงที่ปรากฏตามตัวบท เพราะอ้างว่าเป็นมุตาชาบิฮาต และอ้างว่าใครถือตามความหมายจริง เขาคือผู้ที่นำอัลลอฮไปเปรียบกับมัคลูค
4. ความถูกต้องคือ ทัศนะที่กล่าวด้วยสิ่งที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮได้กล่าวเอาไว้
والله أعلم بالصواب

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อัลญะมาอะฮในทัศนะอิบนุมัสอูด



อิบนุมัสอูด (ร.ฎ) กล่าวว่า

الجماعة ما وافق الحق؛ ولو كنت وحدك 

อัลญะมาอะฮ คือ สิ่งที่สอดคล้องกับความจริง แม้ท่านจะอยู่โดดเดี่ยวก็ตาม (1)

................................................................
(1)  رواه اللالكائي في شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة (1/122 - رقم160)، وصحح سنده الشيخ الألباني كما في تعليقه على مشكاة المصابيح (1/61)، ورواه الترمذي في سننه (4/467

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สุนนะฮนบีเสมือนหนึ่งเรือโนอา



قال ابن وهب كنا عند مالك فذكرت السنة فقال مالك:" السنة سفينة نوح من ركبها نجا ومن تخلف عنها غرق"

   อิบนุวะฮับ กล่าวว่า "ข้าพเจ้า อยู่ กับ มาลิก แล้วข้าพเจ้า กล่าวถึง อัสสุนนะฮ แล้วมาลิก กล่าวว่า "อัสสุนนะฮ เสมือนหนึ่ง เรือโนอา  ผู้ใดที่โดยสารมัน ก็จะปลอดภัย  และผู้ใดละทิ้งมัน เขาก็จะจมน้ำ"

( تاريخ دمشق لابن عساكر14/9)و(تاريخ بغداد7/336) و(ذم الكلام و اهله للهروي 4/124-رقم885

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่องศาสนาต้องอ้างหลักฐาน




อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า

لَيْسَ ِلاَحَدٍ دُوْنَ الرَّسُوْلِ اللهِ صَلَّىاللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ اَنْ يَقُوْلَ اِلاَّ بِاْلاِسْتِدْلاَلِ وَلاَ يَقُوْلُ بِمَا اسْتَحْسَنَ فَاِنَّ الْقَوْلَ بِمَا اسْتَحْسَنَ شَيْءٌ يُحْدِثهُ لاَ عَلَى مِثَالٍ سَابِقٍ.
        Tidak dibolehkan bagi seseorang selain Rasulullah sallallahu 'alaihi wa-sallam untuk berkata (tentang agama) kecuali dengan berdalil, tidak boleh berkata walaupun dengan suatu yang istihsan (dianggap baik), kerana sesungguhnya mendakwa dengan menyangka sesuatu ciptaan itu baik adalah sesuatu yang sengaja diada-adakan (bid'ah) yang tidak ada contoh sebelumnya

ไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด อื่นจากรอซูล ศอ็ลฯ   พูด(เกี่ยวกับเรื่องศาสนา) นอกจากต้องอ้างหลักฐาน และ เขาจะไม่พูด ด้วยสิ่งที่เขาคิดเห็นว่าดี  เพราะแท้จริง คำพูด ด้วยสิ่งที่เขาคิดเห็นว่าดีนั้น คือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (บิดอะฮ) ที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อน - อัรริสาละฮ หน้า 70

>>>>>>>>>>

จงพูดความจริง แม้ว่าจะขมขื่นก็ตาม

อะฮลุสสุนนะฮที่แท้จริง



อัลลอฮ ตาอาลาตรัสว่า

وَالسَّابِقُوْنَ اْلاَوَّلُوْنَ مِنَ الْمُهَاجِرِيْنَ وَاْلاَنْصَارِ وَالَّذِيْنَ اتَّبَعُوْاهُمْ بِاِحْسَانٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمْ وَرَضَوْا عَنْهُ وَاَعَّـدَ لَهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِيْ تَحْتَهَا اْلاَنْهَارُ خَالِدِيْنَ فِيْهَا اَبَدًا ذَلِكَ الْفَوْزُ الْعَظِيْمِ

บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์)และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง-อัตเตาบะฮ/100
 ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของ ผู้ที่ควรจะได้รับขนานนามว่า "อะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ที่ดำเนินตามแนวทางสะลัฟผู้ทรงธรรมว่า
 اَنَّ اَهْلَ السُّـنَّةِ هُمُ الَّذِيْنَ الْمُتَمَسِّـكُوْنَ بِكِتَابِ اللهِ وَسُنَّةِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلِيْهِ وَسَلَّمَ 
وَمَا اتَّفَقَ عَلَيْهِ السَّابِقُوْنَ اْلاَوَّلُوْنَ مِنَ الْمُهَاجِرِيْنَ وَاْلاَنْصَارِ وَالَّذِيْنَ اتَّبَعُوْهُمْ بِاِحْسَانٍ
แท้จริง อะฮลุสสุนนะฮ  พวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ยึดถือ คัมภีร์ของอัลลอฮ และสุนนะฮของเราะซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และ สิ่งที่บรรดา บรรพชนยุคแรก จากบรรดาชาวมุฮาญีรีนและชาวอันศอรฺ และ และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดี เห็นฟ้องอยู่บนมัน - มัจญมัวะอัลฟะตาวา 3/ 375
 สรุป อะฮลุสสุนนะฮที่แท้จริง มีคุณลักษณะดังนี้
1. ยึดถือ ปฏิบัติตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
2. ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางทีเป็นมติของบรรพชนยุคสะลัฟ
>>>>>>>>>>>
จงพูดความจริง แม้จะต้องขมขื่นก็ตาม

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การดะอวะฮตามเจตนารมณ์ของอัลกุรอ่าน


อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
أدْعُ إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ

ท่านจงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของเจ้าด้วยวิทยปัญญาและคำตักเตือนที่ดีๆและจงตอบโต้พวกเขาด้วยกับสิ่งที่ดีที่สุด
อันนะฮ์ลุ:125

ดูคำอธิบายจากตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 17 หน้า 322

( إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ ) يَقُولُ : إِلَى شَرِيعَةِ رَبِّكَ الَّتِي شَرَعَهَا لِخَلْقِهِ ، وَهُوَ الْإِسْلَامُ ( بِالْحِكْمَةِ ) يَقُولُ بِوَحْيِ اللَّهِ الَّذِي يُوحِيهِ إِلَيْكَ وَكِتَابِهِ الَّذِي يُنَزِّلُهُ عَلَيْكَ ( وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ ) يَقُولُ : وَبِالْعِبَرِ الْجَمِيلَةِ الَّتِي جَعَلَهَا اللَّهُ حُجَّةً عَلَيْهِمْ فِي كِتَابِهِ

ท่านจงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระผู้อภิบาลของเจ้า – เขากล่าวว่า (หมายถึง) ไปสู่ชะรีอะฮ(บทบัญญัติ) ของพระผู้อภิบาลของเจ้า ที่ทรงบัญญัติแก่มัคลูคของพระองค์ คือ อัลอิสลาม (ด้วยวิทยปัญญา) เขากล่าวว่า “ด้วยวะหยู ของอัลลอฮ ที่ทรงวะหยูมันแก่เจ้า และคัมภีร์ของพระองค์ ที่ทรงประทานลงมาแก่เจ้า (คำตักเตือนที่ดีๆ) เขากล่าวว่า หมายถึง การตักเตือน(หรือข้อคิด)ที่ดี ที่อัลลอฮได้ให้มันเป็นหลักฐานอ้างแก่พวกเขา ในคัมภีร์ของพระองค์

_________________
จะยืนหยัดอยู่บนความจริง แม้ว่าจะขมขื่นเพียงใดก็ตาม

แก่นแท้ของการเนียต




อิบนุเราะญับ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

. وَقَالَ الْفَضْلُ بْنُ زِيَادٍ : سَأَلْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ - يَعْنِي أَحْمَدَ - عَنِ النِّيَّةِ فِي الْعَمَلِ ، قُلْتُ كَيْفَ النِّيَّةُ ؟ قَالَ : يُعَالِجُ نَفْسَهُ ، إِذَا أَرَادَ عَمَلًا لَا يُرِيدُ بِهِ النَّاسَ
อัลฟัฏลุ บิน ซียาดกล่าวว่า “ขาพเจ้าถามอบูอับดุลลอฮ – หมายถึงอิหม่ามอะหมัด- เกี่ยวกับการเนียตในการประกอบอะมั้ล ,ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ เนียตนั้นเป็นอย่างไร? เขา(อิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า “ เขาลงมือปฏิบัติแก่ตัวเขา เมื่อเขาต้องการกระทำ โดยไม่มีจุดประสงค์เพื่อมนุษย์ด้วยมัน – ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม หน้า 63

وَعَنِ الْإِمَامِ أَحْمَدَ قَالَ : أُصُولُ الْإِسْلَامِ عَلَى ثَلَاثَةِ أَحَادِيثَ : حَدِيثُ عُمَرَ : إِنَّمَا الْأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ وَحَدِيثُ عَائِشَةَ : مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ وَحَدِيثُ النُّعْمَانِ بْنِ بَشِيرٍ : الْحَلَالُ بَيِّنٌ وَالْحَرَامُ بَيِّنٌ
และรายงานจากอิหม่ามอะหมัดว่า เขากล่าวว่า “รากฐานของอิสลาม วางอยู่บน สามหะดิษคือ(1) หะดิษอุมัร คือ แท้จริงบรรดาการงานขึ้นอยู่กับการเจตนา (2) หะดิษอาอีฉะฮที่ว่า “ ผู้ใดอุตรสิ่งใหม่ในกิจการ(ศาสนา)ของเรานี้ สิ่งซึ่งไม่ได้มาจากมัน มันถูกปฏิเสธ และ(3) หะดิษ อัลนุอฺมาน บิน บะชีร ที่ว่า “สิ่งหะลาลนั้นชัดเจนและสิ่งหะรอมนั้น ชัดเจน – ดูญามิอุลอุลูมวัลหิกัม ของ อิบนุเราะญับ หน้า 63

وقال ابن عجلان : لا يصلح العمل إلا بثلاث : التقوى لله ، والنية الحسنة ، والإصابة

อิบนุอัจญลาน กล่าวว่า “ การงาน(อะมั้ล)นั้น จะดีไม่ได้ นอกจาก(ต้องประกอบ)ด้วยสามประการ คือ(1) การยำเกรงต่ออัลลอฮ(2) การเจตนาที่ดี (3) ความถูกต้อง - – ดูญามิอุลอุลูมวัลหิกัม ของ อิบนุเราะญับ หน้า 63

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คนไม่ใช่มุสลิมจับอัลกุรอ่านฉบับแปลได้ไหม





ถาม

คนที่ไม่ใช่มุสลิมจับกุรอ่านฉบับแปลได้ไหม

ตอบ


 الحمد لله
"لا حرج أن يمس الكافر ترجمة معاني القرآن الكريم باللغة الإنجليزية أو غيرها من اللغات ؛ لأن الترجمة تفسير لمعاني القرآن ، فإذا مسها الكافر أو من ليس على طهارة فلا حرج في ذلك ؛ لأن الترجمة ليس لها حكم القرآن ، وإنما لها حكم التفسير ، وكتب التفسير لا حرج أن يمسها الكافر ، ومن ليس على طهارة ، وهكذا كتب الحديث والفقه واللغة العربية
อัลหัมดุลิลละฮ
การเฟรสัมผัสอัลกุรอ่านที่แปลความหมายเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นจากนั้น ไม่เป็นไร เพราะแท้จริงการแปลความหมายนั้น คือ การอรรถาธิบายความหมายอัลกุรอ่าน เท่านั้น ดังนั้น เมื่อ กาเฟร หรือผู้ที่ไม่สะอาด(ไม่มีน้ำละหมาด) สัมผัสกับมัน ก็ไม่เป็นไร เพราะ การแปลความหมายนั้น สำหรับมันไม่ใช่ หุกุมของอัลกุรอ่าน แต่ความจริง สำหรับมันคือ หุกุมตัฟสีรอัลกุรอ่านเท่านั้น และบรรดาหนังสือตัฟสีร นั้น ย่อมไม่เป็นไร ต่อการที่กาเฟรและ ผู้ที่ไม่สะอาด สัมผัสมัน และในทำนองเดียวกันนี้ คือ บรรดาหนังสือหะดิษ ,ฟิกฮ และภาษาอาหรับ”
วัลลอฮุ วะลียุตเตาฟิก
เช็คอับดุลอะซีซ บิน บาซ
มัจญละฮอัลบะหูษอัลอิสลามียะฮ ฉบับที่ 45 หน้า 115

จูบภรรยาที่หย่าแล้ว


คำถาม

ดิฉันกับสามีแยกทางกันอยู่ และสามีกล่าวหย่าให้ดิฉันแล้ว 1 ตะเลาะห์ แต่ช่วงเดือนที่ 2 ของอิดดะห์ สามีมาหาลูกที่บ้านดิฉัน และเค้าฉวยโอกาสในขณะที่ดิฉันหลับกับลูก ได้เข้ามานอนข้างๆแล้วกอด หอมแก้ม และจูบปากของดิฉัน ซึ่งดิฉันไม่ได้เต็มใจและพยายามปัดป้องไปแล้ว แล้วไล่เค้ากลับไป (ดิฉันไม่ต้องการคืนดีกับเค้าแล้ว) การกระทำของเค้าแบบนี้ถือว่าเข้าข่ายทำให้เป็นการคืนดีระหว่างดิฉันกับสามีหรือไม่
กลุ้มใจมากๆ ค่ะ อยากให้อช่วยตอบด่วนค่ะ


 

ตอบ

 
الحمد لله تعالى


 การคืนดีกันนั้น ต้องกล่าวด้วยวาจาและมีพยานรู้เห็นนะครับ
ท่านอิบนุหัซมิน กล่าวว่า 


فإن وطئها، لم يكن بذلك مراجعاً لها، حتى يلفظ بالرجعة ويُشهد، ويعلمها بذلك قبل تمام عدتها، فإن راجع ولم يشهد، فليس مراجعاً؛ لقول اللّه - تعالى  " فَإِذَا بَلَغْنَ أَجَلَهُنَّ فَأَمْسِكُوهُنَّ بِمَعْرُوفٍ أَوْ فَارِقُوهُنَّ بِمَعْرُوفٍ وَأَشْهِدُوا ذَوَى عَدْلٍ مِنْكُمْ " [ الطلاق: 2]. فرَّق - عز وجل - بين المراجعة، والطلاق، والإشهاد، فلا يجوز إفراد بعض ذلك عن بعض، وكأن من طلق، ولم يشهد بذويْ عدل، أو راجع، ولم يشهد بذويْ عدل متعد لحدود اللّه، تعالى، وقال رسول اللّه صلى الله عليه وسلم: "من عمل عملاً ليس عليه أمرنا، فهورد "(2). انتهى.

แล้วหากเขาร่วมเพศกับนาง ดังกล่าวนั้นก็ไม่ถือว่า เขากลับไปคืนดีกับนาง จนกว่าเขาจะพูดเป็นถ้อยคำว่ากลับคืนดีกับนาง และมีพยานยืนยัน ดังนั้นถ้าเขาคืนดี และไม่มีพยานยืนยัน ก็ไม่ถือว่า เป็นการคืนดี เพราะอัลลอฮ ตะอาลาตรัสไว้ว่า 


فَإِذَا بَلَغْنَ أَجَلَهُنَّ فَأَمْسِكُوهُنَّ بِمَعْرُوفٍ أَوْ فَارِقُوهُنَّ بِمَعْرُوفٍ وَأَشْهِدُوا ذَوَيْ عَدْلٍ مِّنكُمْ 


[65.2] ต่อเมื่อพวกนางได้อยู่จนครบกำหนดของพวกนางแล้ว ก็จงยับยั้งพวกนางให้อยู่โดยดี หรือให้พวกนางจากไปโดยดี และจงให้มีพยานสองคนเป็นผู้เที่ยงธรรมในหมู่พวกเจ้า
อัลลอฮ อัซซาวะญัลลา ได้แยกระหว่างการกลับคืนดี ,การหย่าและการเป็นพยาน ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้โดดเดี่ยวส่วนหนึ่งส่วนใดจากนั้น เช่น คนๆหนึ่ง หย่าภรรยาโดยไม่มีพยานที่ยุติธรรม หรือ เขากลับคืนดีกับภรรยา โดยไม่มีพยานสองคนยืนยัน ถือ เป็นการละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ ตะอาลา
ท่านรซูลุ้ลลอฮ Solallah ได้กล่าวไว้ว่า"ผู้ใดประกอบการงานใด โดยไม่มีคำสั่งจากเราบนมัน งานนั้นถูกตีกลับ(ไม่ถูกรับ) - ฟิกอัสสุนนะฮ บทว่าด้วยเรื่อง การหย่า และอัลมะหัลลา ของอิบนุหัซมิน 10/17
............ 


عن مطرف بن عبد الله بن الشخير أن عمران بن الحصين سئل عن رجل يطلق امرأته ثم يقع بها ولم يشهد على طلاقها ولا على رجعتها فقال عمران طلقت بغير سنة وراجعت بغير سنة أشهد على طلاقها وعلى رجعتها * ( صحيح )
_ الارواء 2078 ، صحيح أبي داود 1899

รายงานจากมุฏรอฟ บิน อับดิลละฮ บิน อัชชะคีร ว่า อิมรอน บิน อัลหุศอ็ยน์ ได้ถูกถามเกี่ยวกับชายคนหนึ่ง ได้หย่าภรรยาของเขา หลังจากนั้น การหย่าของเขาได้ตกเป็นการหย่า โดยเขาไม่มีพยานในการหย่านางและไม่มีพยานในการคืนดีกับนาง แล้วอิมรอนได้กล่าวว่า "ท่านหย่าไม่เป็นไปตามสุนนะฮและท่านคืนดีไม่เป็นไปตามสุนนะฮ ,ท่านจงให้มีพยานในการหย่าและในการคืนดีกับนาง - หะดิษเศาะเหียะ - อัลอิรวาอฺ หะดิษหมายเลข 2078 ,เศาะเฮียะอบีดาวูด หะดิษหมายเลข 1899 - เศาะเฮียะอิบนุมาญะฮ เล่ม 1 หน้า 343 หะดิษหมายเลข 1645
........


والله أعلم بالصواب

อัล-หักคือ สิ่งที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮยืนยันความถูกต้อง







          ศาสนาสอนมุสลิมทุกคนให้แสวงหาแก่นแท้ของสัจธรรม และประเด็นใดที่พวกเขาขัดแย้งศาสนาได้สอนกติกาไว้สำหรับการตัดสินแล้วคือ

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْويلا

ความว่า โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธา พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และ จงเชื่อฟังรอซูล และผู้นำของพวกท่าน แต่หากพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงกลับไปหาอัลลอฮฺ (อัลกุรอ่าน) และรอซูล (อัซซุนนะฮฺ) หากพวกท่านศรัทธาในอัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง (อัลนิซาอฺ : 59)

อิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

وَقَوْله " فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْء فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّه وَالرَّسُول " قَالَ مُجَاهِد وَغَيْر وَاحِد مِنْ السَّلَف أَيْ إِلَى كِتَاب اللَّه وَسُنَّة رَسُوله. وَهَذَا أَمْر مِنْ اللَّه عَزَّ وَجَلَّ " بِأَنَّ كُلّ شَيْء تَنَازَعَ النَّاس فِيهِ مِنْ أُصُول الدِّين وَفُرُوعه أَنْ يُرَدّ التَّنَازُع فِي ذَلِكَ إِلَى الْكِتَاب وَالسُّنَّة كَمَا قَالَ تَعَالَى وَمَا اِخْتَلَفْتُمْ فِيهِ مِنْ شَيْء فَحُكْمه إِلَى اللَّه فَمَا حَكَمَ بِهِ الْكِتَاب وَالسُّنَّة وَشَهِدَا لَهُ بِالصِّحَّةِ فَهُوَ الْحَقّ وَمَاذَا بَعْد الْحَقّ إِلَّا الضَّلَال

และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (หากพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงกลับไปหาอัลลอฮฺ และรอซูล ) มุญาฮิดและ สะลัฟคนอื่นหลายคน กล่าวว่า “หมายถึง กลับไปสู่กิตาบุลลอฮและสุนนะฮรซูลของพระองค์ และนี้คือ คำบัญชาจากอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง ว่า ทุกสิ่ง ที่บรรดามนุษย์ขัดแย้งกัน ในนั้น จากเรื่อง ที่เกี่ยวกับ รากฐานของศาสนา(หมายถึง หลักศรัทธา)และบรรดาสาขาของมัน (หมายถึง หลักปฏิบัติ) ก็ให้นำการขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว กลับไปยัง คัมภีร์(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ดังที่อัลลอฮ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า (และสิ่งใดที่พวกเจ้าขัดแย้งกันในนั้น ก็จงนำการตัดสินมันไปยังอัลลอฮ) ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่คัมภีรอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮได้ตัดสินมัน และ(เมื่อ)มันทั้งสองได้เป็นสักขีพยานว่าถูกต้อง มันก็คือ ความจริง(อัลหัก) และ อะไรเล่าที่นอกเหนือจากความจริง นอกจากความหลงผิดเท่านั้น” – ตัฟสีรอิบนุกะษีร อรรถาธิบายซูเราะฮอันนิสาอฺ อายะฮที่ 59
............................... 

والله أعلم بالصواب

รากฐานของอิสลามในมุมมองของอิหม่ามอะหมัด





وَعَنِ الْإِمَامِ أَحْمَدَ قَالَ : أُصُولُ الْإِسْلَامِ عَلَى ثَلَاثَةِ أَحَادِيثَ : حَدِيثُ عُمَرَ : إِنَّمَا الْأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ وَحَدِيثُ عَائِشَةَ : مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ وَحَدِيثُ النُّعْمَانِ بْنِ بَشِيرٍ : الْحَلَالُ بَيِّنٌ وَالْحَرَامُ بَيِّنٌ
และรายงานจากอิหม่ามอะหมัดว่า เขากล่าวว่า “รากฐานของอิสลาม วางอยู่บน สามหะดิษคือ

(1) หะดิษอุมัร คือ แท้จริงบรรดาการงานขึ้นอยู่กับการเจตนา
(2) หะดิษอาอีฉะฮที่ว่า “ ผู้ใดอุตรสิ่งใหม่ในกิจการ(ศาสนา)ของเรานี้ สิ่งซึ่งไม่ได้มาจากมัน มันถูกปฏิเสธ
(3) และหะดิษ อัลนุอฺมาน บิน บะชีร ที่ว่า “สิ่งหะลาลนั้นชัดเจนและสิ่งหะรอมนั้น ชัดเจน – ดูญามิอุลอุลูมวัลหิกัม ของ อิบนุเราะญับ หน้า 63

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คุณค่าของการปฏิบัติตามสุนนะฮแล้วผู้อื่นปฏิบัติตาม




ท่านนบี Solallah กล่าวว่า


من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำแบบอย่างที่ดี ในอิสลาม แน่นอน เขาจะได้รับ ผลตอบแทนของมัน และผลตอบแทนของผู้ที่ได้ปฏิบัติด้วยมัน จากหลังเขา(เสียชีวิตไปแล้วผผลบุญก็ได้กับเขา) โดยไม่มีสิ่งใดลดลงไปเลย จากผลการตอบของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำแบบอย่างที่เลว ในอิสลาม แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่ 1017) 

 ......
หมายถึง ผู้ใดปฏิบัติตามสุนนะฮ แล้วมีคนปฏิบัติตาม เขาก็จะได้ผลตอบแทนสิ่งที่เขาทำและผลตอบแทนเท่ากับผลตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติตามเขา   ในทำนองเดียวกันผู้ที่ปฏิบัติสิ่งที่ผิด แล้วคนอื่นเอาเป็นแบบอย่าง  เขาก็จะได้รับความผิดไม่น้อยไปกว่าผู้ที่ปฏิบัติตามเขา

มาดูที่มาของหะดิษ

قَالَ فَجَاءَ رَجُلٌ مِنْ الْأَنْصَارِ بِصُرَّةٍ كَادَتْ كَفُّهُ تَعْجِزُ عَنْهَا بَلْ قَدْ عَجَزَتْ قَالَ ثُمَّ تَتَابَعَ النَّاسُ حَتَّى رَأَيْتُ كَوْمَيْنِ مِنْ طَعَامٍ وَثِيَابٍ حَتَّى رَأَيْتُ وَجْهَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَتَهَلَّلُ كَأَنَّهُ مُذْهَبَةٌ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً حَسَنَةً

เขา(ญาบีร) กล่าวว่า "แล้วมีชายคนหนึ่งจากชาวอันศอร นำถุงเงิน จน จนฝ่ามือของเขาเกือบกำไม่ได้ แต่ทว่า มันไม่สามารถกำได้

เขา(ญาบีร)กล่าวว่า "หลังจากนั้น บรรดาผู้คนได้ติดตามกันมา จนกระทั่งข้าพเจ้า เห็น อาหารและเสื้อผ้ากองพะเนิน ดังเช่นภูเขาสองลูก จนกระทั้งข้าพเจ้ามองเห็นใบหน้ารซูลลุลลอฮ Solallah เปล่งประกายเสมือนหนึ่งทองคำ แล้วรซูลุลลอฮ Solallah กล่าวว่า "ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม.....จนจบหะดิษ
........
จะเห็นได้ว่า ข้างต้น เป็นเรื่องของคนที่ปฏิบัติตามสิ่งที่มีบัญญัติไว้ตือ การให้ทาน และมีคนเอาเยี่ยงอย่าง ไม่ใช่ คิดแบบอย่างที่ตัวเองเห็นว่าดีแล้วอ้างว่าเป็นคำสอนศาสนา แล้วให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่างหรือปฏิบัติตาม

والله أعلم بالصواب

เมื่อเกิดปัญหาขัดแย้ง ให้ยึดแบบอย่างของท่านนบีและเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน




ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า

" أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللَّهِ ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ ، وَإِنْ تَأَمَّرَ عَلَيْكُمْ عَبْدٌ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ بَعْدِي فَسَيَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ، فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ رَوَاهُ أَبُو دَاوُدَ وَالتِّرْمِذِيُّ ، وَقَالَ حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ .

“ฉันขอสั่งเสียท่านทั้งหลาย ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม ถึงแม้ว่า บ่าวชาวอบิสซิเนีย (ผิวดำ) จะมาเป็นผู้นำของท่านทั้งหลายก็ตาม แล้วใครที่มีชีวิตอยู่ ในหมู่ของท่านทั้งหลาย เขาก็จะได้เห็นความแตกแยกมากมาย ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ยึดแนวทางของฉัน แนวทางของบรรดาค่อลีฟะฮฺที่อยู่ในความเที่ยงตรงถูกต้อง ที่อยู่ในทางนำ ท่านทั้งหลายจงจับมันไว้ให้แน่น จงกัดมันด้วยฟันกราม (ไม่ปล่อยให้มันหลุดไป) และขอให้ท่านทั้งหลายออกห่างสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา) เพราะว่า ทุกอุตริกรรมนั้น เป็นความหลงผิด”รายงานโดย อบูดาวูดและอัตติรมิซีย์ และเขากล่าวว่า เป็นหะดิษหะซันเศาะเฮียะ
....ข้างต้นคือ คำสั่งเสียของรซูลุลลอฮ ว่า เมื่อเกิดปัญหาขัดแย้ง ให้ยึดแบบอย่างของท่านนบีและเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน อย่างเคร่งครัด


والله أعلم بالصواب

เงื่อนไขอะมั้ลที่ดี







                   การงานที่ดี หรือ อะมั้ลศอลิห  ในอิสลามนั้น ประกอบด้วยเงื่อนไขอะไรบ้าง     มาดูคำอธิบายของปราชย์ยุคสะลัฟคือ  อัลฟุฎัยลฺ  อิบนุ  อิยาฎ  แห่งเมืองคุรอซาน  เกิดปี ฮ.ศ   107   เสียชีวิต ปี ฮ.ศ  187  ดังต่อไปนี้

وَقَالَ الفضيل بْنُ عِيَاضٍ فِي قَوْله تَعَالَى { لِيَبْلُوَكُمْ أَيُّكُمْ أَحْسَنُ عَمَلًا } قَالَ : أَخْلَصُهُ وَأَصْوَبُهُ قَالُوا يَا أَبَا عَلِيٍّ : مَا أَخْلَصُهُ وَأَصْوَبُهُ ؟ قَالَ : إذَا كَانَ الْعَمَلُ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُقْبَلْ وَإِذَا كَانَ صَوَابًا وَلَمْ يَكُنْ خَالِصًا لَمْ يُقْبَلْ حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا صَوَابًا ; وَالْخَالِصُ أَنْ يَكُونَ لِلَّهِ وَالصَّوَابُ أَنْ يَكُونَ عَلَى السُّنَّةِ


และอัลฟุฎัยลฺ บิน อิยาฎ กล่าวเกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮ ตาอาลาที่ว่า (เพื่อทดสอบพวกเจ้า ว่าผู้ใดในหมู่พวกเข้ามีผลงานที่ดียิ่ง) เขา(อัลฟุฎัยลฺ)กล่าวว่า หมายถึง ความบริสุทธิ์ใจของมันและความถูกต้องของมัน พวกเขากล่าวว่า "โออบูอาลี "อะไรคือความบริสุทธิ์ใจของมัน และความถูกถต้องของมัน ? เขากล่าวตอบว่า "การงานนั้น เมือมีความบริสุทธิ์ใจ และมันไม่มีความถูกต้อง มันก็ไม่ถูกรับ และ เมื่อมันถูกต้อง และไม่มีความบริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับเช่นกัน จนกว่ามันจะมีความบริสุทธิ์ใจและมีความถูกต้อง ,และความบริสุทธิ์ใจนั้น มันเป็นไปเพื่ออัลลอฮ และความถูกต้องนั้น มันเป็นไปตามสุนนะฮ - ตัฟสีรอัลบัฆวีย 8/176 และ ญามิอุลอุลูม วัลฮิกัม 1/72

สรุป

การงานหรืออะมั้ลที่ดีนั้น  ประกอบด้วเงื่อนไข  2 ประการคือ

1.       มีความบริสุทธิ์ใจในการปฏิบัติเพื่ออัลลอฮ

2.       ปฏิบัติตามสุนนะฮของรอซูล ศอ็ลฯ

والله أعلم بالصواب