วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เมื่อการแต่งงานในอิสลามเปลี่ยนไป




เมื่อการแต่งงานในอิสลามเปลี่ยนไป

ปัจจุบัน การจัดการแต่งงาน ตามแบบฉบับอิสลาม เปลี่ยนไป เพราะการแต่งงานในปัจจุบัน จะต้องจัดให้ทันสมัยตามกระแสนิยม ของสังคม ต้องมีสินสอดแพงเพื่อเป็นเครื่องการันตีคุณค่าของเจ้าสาว , ต้องประดับประดาสถานที่จัดงาน ให้หรูหรา โรแมนติก ,ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแต่งหน้าให้อยู่ทนตลอดทั้งวัน ถ้าจะอาบน้ำละหมาดก็คงมีปัญหา และต้องเช่าชุดเจ้าสาวเป็นจำนวนเงินค่อนข้างสูง ต้องจัดสถานที่หรือ Location เป็นแบคกราว(backgroundْْ)สำหรับถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาว ,ต้อ...งทำอัลบัมภาพหรือวิดิโอ ของบ่าวสาวที่ถ่ายตามสถานที่ต่างๆไว้ให้แขกชมหรือไว้โพสต์ออกสื่อ
ท่านนบี สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

إِنَّ أَعْظَمَ النِّكَاحِ بَرَكَةً أَيْسَرُهُ مَؤُونَةً

แท้จริง การแต่งงานที่เป็นความจำเริญอันยิ่งใหญ่ คือ การแต่งงานที่ค่าใช้จ่ายสะดวกง่ายดาย –รายงานโดย อะหมัดและอัลหากิม ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะ
………….
การแต่งงานในอิสลาม มุ่งเน้น ความสะดวก ง่ายดาย ไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เพราะการฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายขัดต่อหลักเศรษฐกิจและหลักคำสอนอิสลาม ดังที่คัมภีร์อัลกุรอ่าน ระบุไว้ในซุเราะหฺอัลอิสรออฺ (Al-Israa) อายะฮที่ 27 ว่า

 إِنَّ المُبَذِّرِينَ كَانُوا إِخْوَانَ الشَّيَاطِينِ وَ كَانَ الشِّطَانُ لِرَبِّهِ كَفُوراً

 “แท้จริง บรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของเหล่าชัยตอน และชัยตอนนั้นเนรคุณต่อพระเจ้าของมัน”
والله أعلم بالصواب

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ระวังผู้นำแม่ปู




ระวังผู้นำแม่ปู
 
อัลลอฮ(ซ.บ)ตรัสว่า
 
أَتَأْمُرُونَ النَّاسَ بِالْبِرِّ وَتَنْسَوْنَ أَنْفُسَكُمْ وَأَنْتُمْ تَتْلُونَ الْكِتَابَ أَفَلَا تَعْقِلُونَ
...
พวกเจ้าใช้ให้ผู้คนกระทำความดี โดยที่พวกเจ้าลืมตัวของพวกเจ้าเองกระนั้นหรือ ? และทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าอ่านคัมภีร์กันอยู่ แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญากระนั้นหรือ ? - อัลบะเกาะเราะฮ/44
عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ ، قَالَ : لَمَّا عُرِجَ بِرَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَرَّ بِقَوْمٍ تُقْرَضُ شِفَاهُهُمْ ، فَقَالَ : يَا جِبْرِيلُ ، مَنْ هَؤُلَاءِ ؟ قَالَ : هَؤُلَاءِ الْخُطَبَاءُ مِنْ أُمَّتِكَ يَأْمُرُونَ النَّاسَ بِالْبِرِّ وَيَنْسَوْنَ أَنْفُسَهُمْ ؛ أَفَلَا يَعْقِلُونَ ؟ .
รายงานจากอะนัส บินมาลิก กล่าวว่า "เมื่อรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ถูกนำขึ้นสู่ฟากฟ้า ,ท่านได้เดินผ่านคนพวกหนึ่ง ริมฝีปากของพวกเขาถูกตัด ,แล้วท่านรอซูลลอฮกล่าวว่า "โอ้ญิบรีล พวกเขาเหล่านี้เป็นใคร? เขา(ญิบรีล)กล่าวว่า " พวกเขาเหล่านี้คือบรรดานักบรรยายธรรม จากอุมมะฮของท่าน "พวกเขาใช้ให้ผู้คนกระทำความดี โดยที่พวกเขาลืมตัวของพวกเขาเอง, แล้วพวกเขาไม่ใช้ปัญญากระนั้นหรือ ?- รายงานโดยอิบนุหิบบาน ในเศาะเฮียะของเขา,อิบนุอบีหาติมและอิบนุมัรดะวียะฮ ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร 1/274
......................
คำสอนข้างต้น เป็นสิ่งที่ผู้เขียนนำมาเตือนสติตัวเอง ว่า ก่อนที่จะสอนและนำคนอื่นไปสู่ความดีและแนวทางที่เที่ยงตรง ให้กลับมามองตัวเอง ว่า ได้สอนตัวเองแล้วหรือยัง ได้ปฏิบัติในสิ่งที่สอนและชี้นำคนอื่นแล้วหรือยัง ปัจจุปันมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่เดินสายบรรยายธรรมชี้นำคนให้ตามสุนนะนบี แต่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งค่าย โจมตีกันไปมา นำพาให้คนอาวามแตกกันเป็นก็กเป็นเหล่า ไปด้วย จนน่าเอื่อมระอา และหดหู่ยิ่งนัก จึงอยากถามว่า ได้สอนตัวเองแล้วหรือยัง
,
والله أعلم بالصواب

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คำสอนศาสนาไม่ได้มาจากสติปัญญาและความคิดเห็นของมนุษย์




คำสอนศาสนาไม่ได้มาจากสติปัญญาและความคิดเห็นของมนุษย์


อิหม่ามอัลบัรบะฮารีย์  (ร.ฮ) เสียชีวิต ปี 329  กล่าวว่า

واعلم - رحمك الله - أنَّ الدين إنما جاء من قِبَل الله تبارك وتعالى، لم يوضع على عقول الرجال وآرائهم، وعلمُه عند الله وعند رسوله، فلا تتَّبع شيئًا بهواك فتمرقَ من الدين فتخرجَ من الإسلام، فإنه لا حجَّة لك، فقد بيَّن رسول الله صلَّى الله عليه وسلَّم لأمَّته السنَّة، وأوضحها لأصحابه وهُم الجماعة، وهُم السواد الأعظم، والسواد الأعظم: الحقُّ وأهله، فمن خالف أصحاب رسول الله صلَّى الله عليه وسلم في شيءٍ من أمر الدين فقد كفر.

และจงรู้ไว้เถิด  อัลลอฮจะทรงเมตตาต่อท่าน   แท้จริง ศาสนา(อิสลาม)นั้น ความจริง มันมาจากอัลลอฮ ผู้ทรงบริสุทธิ์ และทรงสูงส่ง เท่านั้น มันไม่ได้ถูกวางอยู่บน สติปัญญาของบรรดาผู้คนและความคิดเห็นของพวกเขา และความรู้ของมัน(ของศาสนา) อยู่ ณ อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ ดังนั้น อย่าปฏิบัติตาม สิ่งใดๆ ตามปรารถนาอารมณ์ของท่าน  (ผลสุดท้าย)มันก็จะทำให้ท่านแยกจากศาสนา แล้วท่านก็ออกจากอิสลาม เพราะแท้จริง ไม่มีหลักฐานใดๆเป็นของท่าน ,แท้จริง รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อธิบาย อัสสุนนะฮ แก่อุมมะฮของท่าน และ ได้ ทำให้มันชัดเจน แก่บรรดาเศาะหาบะฮของท่าน และพวกเขาคือ  อัลญะมาอะฮ และพวกเขาคือ อัสสะวาดุลอะอซอม และ อัสสะวาดุลอะอฺซอม คือ  ความถูกต้อง และผู้ที่อยู่บนความถูกต้อง ดังนั้น ผู้ใดขัดแย้งกับบรรดา สาวกของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในสิ่งใดๆ จากกิจการศาสนา แน่นอน เขาเป็นกุฟูร - ดู ชัรหฺอัสสุนนะฮ ของ อิหม่ามอัลบัรบะฮารีย์  1/66

สรุปคือ
1. คำสอนศาสนาอิสลามต้องมาจากอัลลอฮเท่านั้น
2. ศาสนาไม่ได้ถูกกำหนดบนสติปัญญาและความคิดเห็นมนุษย์
3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา อยู่ ณ อัลลอฮและ ศาสนาทูตของพระองค์
4.  อย่าปฏิบัติตามสิ่งใดๆตามความปรารถนาของอารมณ์ ซึ่งจะส่งผลให้แยกจากศาสนาและออกจากศาสนาได้
5.  มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หลักฐานใดๆ
6.  รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อธิบายสุนนะฮและให้ความกระจ่างแก่บรรดาเศาะหะบะฮของท่านแล้ว
7.  บรรดาเศาะหาบะฮ คือ อัลญะมาอะฮ  และพวกเขาคือชนหมู่มาก  และชนหมู่มากคือ  สัจธรรมและผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนสัจธรรม
8.  ผู้ใดขัดแย้งกับบรรดา สาวกของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในสิ่งใดๆ จากกิจการศาสนา แน่นอน เขาเป็นกุฟูร 
والله أعلم بالصواب

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อัตเตาฮีด





                                          อัตเตาฮีด (التوحيد)
เตาฮีด หมายถึง การให้เป็นหนึ่ง การให้เป็นเอกะโดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า วะฮิด แปลว่า หนึ่งที่ให้มีความสำคัญต่อการศรัทธาและต้องเชื่อมั่นว่าโลกนี้มีพระเจ้าองค์เดียว ต่างจากศาสนาอื่น เช่น คริสต์ที่เชื่อว่าพระเจ้ามีสาม, มะญูซียฺที่เชื่อว่ามีสองพระเจ้าคือพระเจ้าแห่งความสว่างและพระเจ้าแห่งความมืด หรือพระเจ้าแห่งความดีและพระเจ้าแห่งความชั่ว
ความหมายเตาฮีดในทางศาสนาบัญญัติ
وفي الشرع: إفراد الله - سبحانه - بما يختص به من الربوبية والألوهية والأسماء والصفات
และในทางศาสนบัญญัติ หมายถึง การให้เอกภาพแก่อัลลอฮ(ซ.บ) ด้วยสิ่งถูกจงจงเป็นเฉพาะกับพระองค์ เกี่ยวกับการอภิบาล,การเป็นพระเจ้าและบรรดาพระนามและคุณลักษณะ – ดู เกาลุลมุฟีด ของอิบนุอุษัยมีน หน้า ๑/๑๑
อิบนุกอ็ยยิม(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَلَيْسَ التَّوْحِيدُ مُجَرَّدَ إِقْرَارِ الْعَبْدِ بِأَنَّهُ لَا خَالِقَ إِلَّا اللَّهُ ، وَأَنَّ اللَّهَ رَبُّ كُلِّ شَيْءٍ وَمَلِيكُهُ ، كَمَا كَانَ عُبَّادُ الْأَصْنَامِ مُقِرِّينَ بِذَلِكَ وَهُمْ مُشْرِكُونَ ، بَلِ التَّوْحِيدُ يَتَضَمَّنُ - مِنْ مَحَبَّةِ اللَّهِ ، وَالْخُضُوعِ لَهُ ، وَالذُّلِّ لَهُ ، وَكَمَالِ الِانْقِيَادِ لِطَاعَتِهِ ، وَإِخْلَاصِ الْعِبَادَةِ لَهُ ، وَإِرَادَةِ وَجْهِهِ الْأَعْلَى بِجَمِيعِ الْأَقْوَالِ وَالْأَعْمَالِ ، وَالْمَنْعِ ، وَالْعَطَاءِ ، وَالْحُبِّ ، وَالْبُغْضِ - مَا يَحُولُ بَيْنَ صَاحِبِهِ وَبَيْنَ الْأَسْبَابِ الدَّاعِيَةِ إِلَى الْمَعَاصِي ، وَالْإِصْرَارِ عَلَيْهَا ، وَمَنْ عَرَفَ هَذَا عَرَفَ قَوْلَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّ اللَّهَ حَرَّمَ عَلَى النَّارِ مَنْ قَالَ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ ، يَبْتَغِي بِذَلِكَ وَجْهَ اللَّهِ 
และเตาฮีดนั้น ไม่ใช่แค่การยอมรับของบ่าวว่า ไม่มีผู้สร้างใดๆนอกจากอัลลอฮและแท้จริงอัลลอฮคือ พระผู้อภิบาลทุกสิ่งและเป็นผู้ครอบครองมันเท่านั้น อย่างเช่น บรรดาผู้ที่บูชาบรรดาเจว็ดยอมรับดังกล่าว โดยที่พวกเขาคือ บรรดาผู้ตั้งภาคี(มุชริกีน) แต่ทว่า เตาฮีดนั้น ประกอบไปด้วย ความรักต่ออัลลอฮ,การยอมจำนน,การนอบน้อมต่อพระองค์ ,การสมบูรณ์ของการเชื่อฟัง เพื่อการภักดีต่อพระองค์ ,ความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์,มีจุดประสงค์เพื่อพระพักต์ของพระองค์อันสูงส่ง ด้วยบรรดาคำพูด,การกระทำ,การยับยั้ง,การให้ ,การรัก,การเกลียด - –สิ่งที่กั้นระหว่างเจ้าของของมันและระหว่างบรรดาสาเหตุที่นำไปสู่บรรดาสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน(มุอศียะฮ)และการยืนกรานบนมัน และผู้ใดรู้จักสิ่งนี้  เขาก็รู้จักคำพูดของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า “แท้จริง อัลลอฮทรงห้ามแก่นรก  ต่อผู้ที่กล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ ดดยที่เขามีจุดประสงค์เพื่อพระพักต์ของอัลลอฮ ด้วยดังกล่าว – ดู มะดาริญุสสาลิกีน ๑/๓๓๘                                                                                                         وقال اللالكائي رحمه الله: (أخبرنا محمد أخبرنا عثمان قال: ثنا حنبل قال: سمعت أبا عبد اللهيعني أحمد بن حنبل 
وسئل عن الإيمان والإسلام قال: قال ابن أبي ذئب: الإسلام الكلمة والإيمان العمل

และอัลลาลุกาอีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า “ มุหัมหมัด ได้บอกเรา ว่า อุษมานได้บอกเรา เขากล่าวว่า “หัมบัลได้เล่าเรา ว่า ได้ยินอบูอับดุลลอฮ หมาย ถึง อะหมัด บิน หัมบัล ถูกถามเกี่ยวกับอิหม่านและอิสลาม เขากล่าวว่า “อิบนุอบีซิอบิน กล่าวว่า “อิสลามคือ ถ้อยคำและอีหม่านคือ การกระทำ
ชัรหอียะติกอดอะฮลิสสุนนะฮ ๔/๘๙๕ หะดิษหมายเลข ๑๕๐๐
        อะฮลุตเตาฮีด(أهل التوحييد )เท่านั้นที่ได้เข้าสวรรค์

،  عَنْ أَبِي مُوسَى ،  قَالَ : بَلَغَنَا أَنَّهُ إِذَا كَانَ يَوْمُ الْقِيَامَةِ ، وَاجْتَمَعَ أَهْلُ النَّارِ فِي النَّارِ وَمَعَهُمْ مَنْ شَاءَ اللَّهُ مِنْ أَهْلِ الْقِبْلَةِ ، قَالَ الْكُفَّارُ لِمَنْ فِي النَّارِ مِنْ أَهْلِ الْقِبْلَةِ : أَلَسْتُمْ مُسْلِمِينَ؟ قَالُوا : بَلَى ، قَالُوا : فَمَا أَغْنَى عَنْكُمْ إِسْلَامُكُمْ وَقَدْ صِرْتُمْ مَعَنَا فِي النَّارِ؟ قَالُوا : كَانَتْ لَنَا ذُنُوبٌ فَأُخِذْنَا بِهَا ، فَسَمِعَ اللَّهُ مَا قَالُوا ، فَأَمَرَ بِكُلِّ مَنْ كَانَ مِنْ أَهْلِ الْقِبْلَةِ فِي النَّارِ فَأُخْرِجُوا ، فَقَالَ مَنْ فِي النَّارِ مِنَ الْكُفَّارِ : يَا لَيْتَنَا كُنَّا مُسْلِمِينَ ، ثُمَّ قَرَأَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ( الر تِلْكَ آيَاتُ الْكِتَابِ وَقُرْآنٍ مُبِينٍ رُبَمَا يَوَدُّ الَّذِينَ كَفَرُوا لَوْ كَانُوا مُسْلِمِينَ 

รายงานจากอบีมูซา(อัลอัชอะรีย) กล่าวว่า ได้รายงานถึงมายังพวกเราว่า เมื่อปรากฏวันกียามะฮ ,บรรดาชาวนรก ได้ชุมนุม กันในนรก และผู้ที่อัลลอฮประสงค์จากชาวกิบลัต อยู่พร้อมกับพวกเขา ,บรรดากาเฟร กล่าวแก่ผู้ที่อยู่ในนรกจากชาวกิบลัต ว่า “ พวกท่านเป็นมุสลิมใช่ไหม? พวกเขากล่าวว่า “ ใช่  พวกเขา(กาเฟร) กล่าวว่า “เพราะอะไรที่ อิสลามของพวกท่าน ไม่สามารถทำให้พวกท่านปลอดจากการลงโทษได้ และแท้จริงพวกท่านก็จะได้อยู่ในนรกตลอดกาลพร้อมกับเรา?
พวกเขา (มุสลิม) กล่าวว่า “ พวกเรามีความผิด แล้วเราถูกเอาผิด(ถูกลงโทษ) ด้วยมัน (ด้วยความผิดที่เราทำ) แล้ว อัลลอฮทรงได้ยิน สิ่งที่พวกเขาพูด  ดังนั้น พระองค์ทรงบัญชาให้ผู้ที่อยู่ในนรกจากชาวกิบลัต ให้พวกเขาออกจากนรก  แล้ว ผู้ที่อยู่ในนรกจากบรรดากาเฟร กล่าวว่า “โอ้..มาตรแม้นว่า พวกเราเป็นมุสลิม ก็จะดี ,ต่อมารซูลุลลอฮ สอ็ลฯ ได้อ่านอายะฮที่ว่า
الر تِلْكَ آيَاتُ الْكِتَابِ وَقُرْآنٍ مُبِينٍ رُبَمَا يَوَدُّ الَّذِينَ كَفَرُوا لَوْ كَانُوا مُسْلِمِينَ
อะลีฟ ลาม รอ เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์ และเป็นกรุอานอันชัดแจ้ง @บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหวังกันว่า หากพวกเขาได้เป็นมุสลิม – ดู ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ ๑๗/๖๑  
 أخرج ابن أبي عاصم في السنة وابن جرير وابن أبي حاتم والطبراني والحاكم وصححه ، وابن مردويه والبيهقي في البعث والنشور

 والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม  https://www.facebook.com/asanmadadam