วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

การกล่าวอุศอ็ลลีเป็นทัศนะอิหม่ามชาฟิอีจริงหรือ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
การกล่าวอุศอ็ลลีเป็นทัศนะอิหม่ามชาฟิอีจริงหรือ
ใบยาง ใต้โดน
ที่มาของอุศอ็ลลีคือ อิหม่ามชาฟิอีกิยาสกับเรื่องฮัจญ
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือการอ้างเท็จ ให้แก่อิหม่ามชาฟีอี (ร.ฮ) ดังข้อเท็จจริงต่อไปนี้
มีการแอบอ้างว่า อิหม่ามชาฟิอี สอนให้กล่าวคำเนียต ปรากฏว่าอัลมาวัรดี ชี้แจงว่า เป็นการเข้าใจผิด
อิหม่ามอัลมาวัรดีย์กล่าวว่า
قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ الزُّبَيْرِيُّ - مِنْ أَصْحَابِنَا - : لَا يُجْزِئُهُ حَتَّى يَتَلَفَّظَ بِلِسَانِهِ تَعَلُّقًا بِأَنَّ الشَّافِعِيَّ قَالَ فِي كِتَابِ " الْمَنَاسِكِ " : وَلَا يَلْزَمُهُ إِذَا أَحْرَمَ بِقَلْبِهِ أَنْ يَذْكُرَهُ بِلِسَانِهِ وَلَيْسَ كَالصَّلَاةِ الَّتِي لَا تَصِحُّ إِلَّا بِالنُّطْقِ فَتَأَوَّلَ ذَلِكَ عَلَى وُجُوبِ النُّطْقِ فِي النِّيَّةِ
อบูอับดุลลอฮ อัซซุบัยรีย์ จากสะหายของเรา กล่าวว่า “ มัน(การเนียต)จะใช้ไม่ได้ จนกว่า เขาจะกล่าวด้วยวาจาของเขา โดยอ้างว่า ชาฟิอีกล่าวในหนังสือ อัลมะนาสิกว่า “และเมื่อเขาเจตนาเอียะรอม ด้วยใจของเขาแล้ว ก็ไม่จำเป็นแก่เขาว่าจะต้องกล่าวมันด้วยวาจาของเขา โดยที่ไม่เหมือนกับละหมาด ซึ่ง มันจะใช้ไม่ได้ นอกจากต้องด้วยการกล่าวเป็นคำพูด ดังนั้น ดังกล่าวนั้น หมายถึงจำเป็นจะต้องกล่าวด้วยวาจาในการเนียต – ดูอัลหาวีย์อัลกะบีร เล่ม 2 หน้า 204 
แล้วอิหม่ามอัลมาวัรดี ก็กล่าวแย้ง ข้ออ้างของอัซซุบัยดีย์ว่า
وَهَذَا فَاسِدٌ ، وَإِنَّمَا أَرَادَ وُجُوبَ النُّطْقِ بِالتَّكْبِيرِ
และนี้คือ เป็นคำพูดที่ผิดพลาด ความจริง เขา(อิหม่ามชาฟิอี) หมายถึง การกล่าวตักบีร ด้วยวาจา -ดูอัลหาวีย์อัลกะบีร เล่ม 2 หน้า 91-92 
..................................
กล่าวคือ ที่อิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ) บอกว่า ต้องกล่าวด้วยวาจา หมายถึง การกล่าวตักบีเราะติลเอียะรอม ไม่ใช่กล่าวคำเนียตหรืออุศอ็ลลี ดังที่มีการแอบอ้างกัน
ในเรื่องนี้ อิหม่ามนะวาวีย์ ก็ได้ชี้แจงไว้เช่นกัน วาเป็นการเข้าใจที่ผิดพลาด
ท่านกล่าวว่า
قَالَ أَصْحَابُنَا : غَلِطَ هَذَا الْقَائِلُ ، وَلَيْسَ مُرَادُ الشَّافِعِيِّ بِالنُّطْقِ فِي الصَّلَاةِ هَذَا ، بَلْ مُرَادُهُ التَّكْبِيرُ وَلَوْ تَلَفَّظَ بِلِسَانِهِ وَلَمْ يَنْوِ بِقَلْبِهِ لَمْ تَنْعَقِدْ صَلَاتُهُ بِالْإِجْمَاعِ فِيهِ
บรรดาสหายของเรากล่าวว่า ผู้พูดคนนี้(คนที่อ้างคำพูดชาฟิอี)นั้นผิดพลาด ความต้องการของอิหม่ามชาฟิอี ไม่ได้หมายถึงกล่าว(คำเนียต)เป็นคำพูดในละหมาด ในกรณีนี้ แต่ทว่า เขา(อิหม่ามชาฟิอี)หมายถึงการกล่าวตักบีร และหากแม้กล่าวคำเนียตด้วยวาจา ของเขา และไม่ได้เนียตด้วยใจของเขา การละหมาดของเขาใช้ไม่ได้ ด้วยมติเอกฉันท์ของนักปราชญ์ในมัน – อัลมัจญมัวะ เล่ม 3 หน้า 241 
.............
จึงสรุปว่า การที่นาย ใบยาง ใต้โดน กล่าวว่า อิหม่ามชาฟิอี กิยาส เรื่อง อุศอ็ลลี กับการทำฮัจญ เป็นการอ้างเท็จให้แก่อิหม่ามชาฟิอี
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/1/60

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมโกหกใส่สะลัฟ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
วาทกรรมโกหกใส่สะลัฟ
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ 
อิมามทั้งสี่ ท่าน เขาตัฟวี๊ฏทั้งความหมายและกัยฟียะห์ครับ ไม่มีใครให้ความหมายว่า ทรงอิสตะก้อรร่อบนหลังสัตว์เหมือนพวกมุญัสสิมะห์
@@@@@
ชี้แจง
นาย อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ได้พูดโกหกผ่านสือสาธารณะว่า "สะลัฟตัฟวีฏความหมายและกัยฟียะฮ
นี่คือการนั่งเทียนโกหกใส่สะลัฟ โดยอ้างว่าสะลัฟ ไม่รู้ความหมายของสิฟาตและรูปแบบวิธีการ โดยการมอบหมายความรู้ทั้งสองอย่างแก่อัลลอฮ นี่คือการบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟ
ขอยืนยันว่า "สะลัฟรู้ความหมายของบรรดาคุณลักษณะ(สิฟาต)ของอัลลอฮ ที่มีมาตามตัวบท และพวกเขาไม่ถามและไม่อธิบายรูปแบบวิธีการของสิฟาต(كيفية )ว่าเป็นอย่างไร เพราะอัลลอฮตาอาลาทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน
มาดูหลักฐานแสดงว่า "สะลัฟรู้ความหมายคุณลักษณะอัลลอฮ ตาอาลา ดังต่อไปนี้คือ
เช่นอิหม่ามมาลิก (ร.ฮ) กล่าวว่า
الاستواء معلومٌ ، والكيف مجهولٌ ، والإيمان بـــه واجبٌ ، والسؤال عنه بدعةٌ
อัสอิสติวาอฺนั้น เป็นทีรู้กัน และรูปแบบวิธีการ ไม่เป็นที่รู้กัน และการศรัทธาต่อมันนั้น วาญิบ และการถามเกี่ยวกับมัน คือบิดอะฮ
رواه اللالكائي في " شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة " (3/441) والبيهقي في "الأسماء والصفات " (ص 408) وصححه الذهبي وشيخ الإسلام والحافظ ابن حجر .
คำพูดของอิหม่ามมาลิก (ร.ฮ)ข้างต้น แสดงว่า ความหมายสิฟาตเป็นที่รู้กัน
อิหม่ามอัลกุรฎุบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
قال مالك رحمه الله : الاستواء معلوم - يعني في اللغة - والكيف مجهول ، والسؤال عن هذا بدعة
มาลิก(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า อิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน หมายถึง ในภาษา และรูปแบบวิธีการนั้น ถูกไม่รู้(ไม่เป็นที่รู้กัน) และการถามเกี่ยวจากนี้ คือ บิดอะฮ - ดูตัฟสีรอัลกุรฏุบีย์ 7/219
อบูบักร์ อิบนุอัลอะเราะบีย์ อัลมะลิกีย์ (ฮ.ศ 543)
ท่านได้อธิบายหะดิษสิฟัตในสุนันติรมิซีย์ว่า
ومذهب مالك رحمه الله أن كل حديث منها معلوم المعنى، ولذلك قال للذي سأله: "الاستواء معلوم، والكيفية مجهولة
และแนวทางของมาลิก (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) แท้จริงทุกหะดิษจากมัน(จากหะดิษที่ระบุเกี่ยวกับสิฟาต) ความหมาย เป็นที่รู้กัน และเพราะดังกล่าว เขาได้กล่าวแก่ผู้ที่ถามเขาว่า " อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน - อาริเฎาะตุลอะหวะซีย์ 3/166
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า ความหมายอัลอิสติวาอฺ ไม่มีใครรู้ เป็นการโกหก กล่าวเท็จให้แก่อิหม่ามมาลิกและบรรดาปราชญสะลัฟ
อัลลามะฮ อัลอะลูซีย์กล่าวว่า
وقد صح عن بعض السلف أنهم فسروا ففي صحيح البخاري: قال مجاهد: "استوى على العرش" "علا على العرش"، وقال أبو العالية: "استوى على العرش" "ارتفع
และ มีรายงานเศาะเฮียะ จากบางส่วนของสะลัฟ ว่า พวกเขาอธิบาย (อายาตสิฟาต) และในเศาะเฮียะบุคอรี ระบุว่า “มุญาฮิด กล่าวว่า “อิสตะวา บน อะรัช หมายถึง ทรงอยู่สูง เหนืออะรัช และอบูอัลอะลียะฮ กล่าวว่า “อิสตะวา บน อะชัช หมายถึง สูง(เหนืออะรัช ) – ดู ตัฟสีรูหุลมะอานีย์ 16/159 
.................................
สะลัฟ อธิบายความหมายสิฟาต ถ้าเขาไม่รู้ความหมาย เขาอธิบายได้หรือครับนาย นาย อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
والله أعلم بالصواب
27/1/60


วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

เมื่อเขาเอาท่อนหัวและหมกเม็ดส่วนกลางและหาง


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

เมื่อเขาเอาท่อนหัวและหมกเม็ดส่วนกลางและหาง
แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์ถูกใจเพจ
21 ธันวาคม 2016
ท่านอิหม่ามอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ปราชน์ใหญ่ชั้นแนวหน้าของเราชาวอะห์ลุซซุนนะห์วัลญะมาอะห์ (ฮ.ศ. 260-324) 
ได้กล่าวไว้ว่า
قَالَ اَهْلُ السُّنَّةِ وَاَصْحَابُ الْحَدِيْثِ لَيْسَ بِجِسْمٍ وَلاَ يُشْبِهُ الاَشْيَاءَ
ความว่า..
“ได้กล่าวโดยชาวอะฮฺลุสซุนนะฮ์และอะฮฺลุลหะดีษ อัลลอฮฺนั้นไม่ใช่ด้วยกับรูปร่าง และพระองค์ทรงไม่คล้ายกับสรรพสิ่งทั้งหลาย”
อัลอัชอะรีย์, มะกอล้าต อัลอิสลามียีน, หน้า 211.
...............................
ปล..ท่านเช็คซัลมาน อันนัดวีย์ อุลามาอฺที่ถูกขนานนาม จากบรรดาอุลามาอฺร่วมสมัยทั่วโลกว่า
"ราชสีห์แห่งอิเดีย"
ท่านได้กล่าวไว้ว่า ..
แนวทางอะชาอิเราะห์และมาตุรีดียะห์(อะห์ลุซซุนนะห์คณะเก่า)นั้น 
คือแนวทางของบรรดาอุลามาอ์มากกว่า99เปอเซนต์บนหน้าโลก.
วัลลอฮุอะลัม
@@@@@@@@@@@@@
ข้างต้น นายนามปลอม แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์ ได้ตัดเอาท่อนหัวของคำพูดอิหม่ามอบุลหะซันอัลอัชอะรีย์ แต่ได้หมกเม็ดท่อนกลางและท่อนปลายของประโยค มาดูเต็มๆ
وقال أهل السنة وأصحاب الحديث: ليس بجسم ولا يشبه الأشياء وأنه على العرش كما قال عز وجل: {الرحمن على العرش استوى} طه5،، ولا نقدم بين يدي الله في القول، بل نقول استوى بلا كيف.
وأنه نور كما قال تعالى: {الله نور السموات والأرض} النور35.
وأن له وجهاً كما قال الله: {ويبقى وجه ربك} الرحمن27.
وأن له يدين كما قال: {خلقت بيدي} ص75.
وأن له عينين كما قال: {تجري بأعيننا} القمر14.
وأنه يجيء يوم القيامة هو وملائكته كما قال: {وجاء ربك والملك صفاً صفاً} الفجر22.
وأنه ينزل إلى السماء الدنيا كما جاء في الحديث.
ولم يقولوا شيئاً إلا ما وجدوه في الكتاب، أو جاءت به الرواية عن رسول الله
ชาวอะห์ลุซซุนนะห์และปราชญ์ฮะดีษกล่าวว่า : พระองค์ทรงไม่มีตัวตน(เรื่อนร่างดั่งมนุษย์) และเราจะไม่เอาพระองค์ไปตัชบีฮิ์(เปรียบเทียบกับสิ่งถูกสร้าง) และดังนั้นพระองค์ทรงอยู่บนอะรัช ดั่งที่พระองค์(อัซซะวะญัล) กล่าวว่า
{الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى} [طه 20 : 5]
ผู้ทรงกรุณา ทรงดำรงอยู่เหนือบัลลังก์(ตอฮา 20 :5.)
และเราจะไม่ล้ำหน้าพระองค์(อวดรู้ไปกว่าพระองค์ -ผู้แปล) แต่พวกเราขอกล่าวว่า พระองค์ทรงสถิต(อิสตะวา)โดยไม่รู้วิธีของมัน และพระองค์ทรงมีนูร(รัศมี) ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า
{اللَّهُ نُورُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ} [النور 24 : 35].
อัลลอฮ์ทรงเป็นดวงประทีปแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน (อันนูร 24 : 35)
และพระองค์ทรงมีพระพักตร์ ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า
{ وَيَبْقَىٰ وَجْهُ رَبِّكَ ذُو الْجَلَالِ وَالْإِكْرَامِ } [الرحمن 55 : 27].
และพระพักตร์ของพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงโปรดปรานเท่านั้นที่จะยังคงเหลืออยู่ (อัรเราะห์มาน 55 : 27 )
และพระองค์ทรงมีพระหัตถ์ทั้ง 2 ดั่งเช่นที่พระองค์ทรงตรัสว่า
{خَلَقْتُ بِيَدَيَّ} [ص 38 : 75] .
ข้าได้สร้าง(อาดัม)ด้วยมือทั้งสองของข้า (ซ้อด 38 : 75)
และพระองค์ทรงมีพระเนตรทั้ง 2 ดั่งเช่นที่พระองค์ตรัสว่า
{تَجْرِي بِأَعْيُنِنَا} [القمر 54 : 14].
มัน (เรือ) ได้แล่นไปต่อหน้าเรา (อัลเกาะมัร 54 : 14)
และพระองค์ได้ทรงเสด็จมาในวันกิยามะห์พร้อมกับมลาอิกะห์ ดั่งคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
{وَجَاء رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا} [الفجر 89 : 22].
และพระเจ้าของเจ้าเสด็จมาพร้อมทั้งมะลาอิกะฮฺด้วยเป็นแถว ๆ (อัลฟัญร์ 89 : 22)
และพระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าของดุนยา ดั่งเช่นฮะดีษ(ภาคผลของการละหมาดตะฮัจยุด) และพวกเราจะไม่กล่าวสิ่งใด เว้นเจอมันจะมีอยู่ในอัลกุรอ่านหรือมีรายงานมาจากท่านนบีศ้อลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม!!!
# มะกอลาต อัลอิสลามมี่ยีน วะอิคติลาฟฟิลมุศ้อลลีน เล่ม 1 หน้า 285
...............
ข้างต้นนาย นามปลอม แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์ เอาตัดเอาแค่เฉพาะปลายๆนิดหนึ่ง ล้วหมกเม็ดส่วนที่เห็นว่ากระทบต่อแนวคิดตัวเอง นี่ขนาดอิหม่ามของตัวเองแท้ๆ ยังกล้าที่จะตัดตอนคำพูดของท่านได้ -นาอูซุบิลละฮ ขอเรียนว่า "เรื่องรูปร่าง" นั้น ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอ่าน ในเชิงปฏิเสธ หรือในเชิงการยืนยัน และไม่มีสะลัฟท่านใด ยืนยันว่า การยืนยันสิฟาตตามตัวบทคือการให้รูปร่างแก่อัลลอฮ ดังข้อความต่อมาของคำพูดท่านอิหม่ามอบูหะซันได้ยืนยันไว้ ตามตัวบทที่อัลลอฮตรัสไว้และท่านนบีกล่าวไว้ โดยไม่ตีความ(ตะวีล)แต่อาชาอิเราะฮได้ตัดข้อความต่อมาที่ท่านอยูหะซันกล่าว และหมกเม็ดไว้ นี่แหละคือพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ เพราะคิดว่าคนอาวามไม่รู้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/1/60
หมายเหตุ 
1. ที่ระบายสีแดง คือส่วนที่อาชาอิเราะฮเอามาอ้าง
2. และที่ระบายสีเหลือง เขาตัดออกและหมกเม็ดไว้ เพราะขัดกับแนวคิดตัวเอง

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมโกหกจนลิ้นพันกันเอง


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วาทกรรมโกหกจนลิ้นพันกันเอง
แนวทาง อุลามาอฺ 
16 ชม.
นี่ไงครับ คลิปที่ญีแอบอกว่า การขัดแย้งกันของโลกมุสลิม ก้อเพราะว่า เกิดจากที่เรามัวแต่เรียนเกี่ยวกับวิจัยมนุษย์ ด้านฟิกห์ ด้านเตาฮิ้ด ความแตกแยกเลยไม่สิ้นสุด..(อัสตัฆฟิรุ่ลลอฮ)
( ตลกจริงๆ ทั้งๆที่สี่มัสหับอยู่ด้วยกันมาไม่เคยขัดแย้งเลยนับพันปี ก่อนวะฮาบีจะเกิดเสียด้วยซ้ำ
อีกอย่าง มนุษย์ที่ว่านั้น เค้าคือปราชน์มุจตะฮิดนะครับ เมื่อใดที่ละทิ้งอุลามาอฺแล้ว เราก้อเป็นได้แค่ตามญีแอแหละครับพี่น้อง )
ทั้งๆคีลาฟอุลามาอ์คือเราะหฺมัตแด่เราคนเอาวาม แต่ญีแอก้อยังสร้างความคลุมเครือสร้างฟิตนะห์
ตัวเองแน่นจริง ถึงขนาดอิสติมบาตหุกุ่มจากกุรอ่านหะดิษด้วยตัวเองจริงๆหรือ?
ไม่ถึงขั้น เอื้อมไม่ถึง .. แต่กลับตะกั้บบุรแบบหวานๆ นะอูซุบิลลาฮ !
((ช่างน่าสมเพสเวทนาจริงๆ))
@@@@
ชี้แจง
น่าสมเพทยิ่งนัก วันๆ ได้แต่เอาอุลามาอฺมาโจมตี ดร. อิสมาแอล ลุตฟี ท่านไม่เคยมานั่งโจมตีใครในเฟส แต่พวกนี้ คิดจะทำลายและดิสเครดิต แต่.. เมื่อโกหกมันก็ทำให้ลิ้นอาชาอิเราะฮขี้ขลาดคนนี้ ลิ้นพันกันเอง
นายนาปลอม แกนนำอาชาอิเราะฮ นามว่า แนวทาง อุลามาอฺ อ้างว่า
"ทั้งๆที่สี่มัสหับอยู่ด้วยกันมาไม่เคยขัดแย้งเลยนับพันปี "
ขอตอบว่า "โกหก" เพราะ ถ้าไม่ขัดแย้งหรือเห็นต่างมันจะเกิดเป็นสี่มัซฮับหรือ ความจริงมีมากกว่าสี่มัซฮับด้วยซ้ำ ? โอ้ลิ้นพันกันเองแล้ว ท่าน แนวทาง อุลามาอฺ
การเห็นต่างมันเกิดทุกยุคทุกสมัย แต่พวกเขาเห็นต่าง แต่ไม่แตกแยก เป็นศัตรูทำลายกัน อย่างที่นาย แนวทาง อุลามาอฺ ทำอยูขณะนี้
นาย นามปลอม แนวทาง อุลามาอฺ อ้างว่า ทั้งๆคีลาฟอุลามาอ์คือเราะหฺมัต"
ขอตอบว่า
นาย แนวทาง อุลามาอฺ อ้างหะดิษเฎาะอีฟมาเป็นศาสนาครับ
โดยอ้างหะดิษต่อไปนี้
اختلاف أمتي رحمة
"ความขัดแย้งของประชาติของฉันนั้น เป็นความเมตตา"
วิจารณ์หะดิษข้างต้น
เช็คอัลบานีย์ กล่าวว่า
و لقد جهد المحدثون في أن يقفوا له على سند فلم يوفقوا لا أصل له
“เป็นหะดิษไม่มีที่มา และบรรดานักหะดิษได้พยายามที่จะค้นให้พบสายรายงานของมัน ปรากฏว่าพวกเขาไม่พบ – สิลสิละฮอัลอะหาดิษเฎาะอีฟะฮ 1/141
อัลกอสิมีย์ กล่าวว่า
ذكر بعض المفسيرين هنا ما روي من حديث (( اختلاف أُمتي رحمة 
ولا يُعرف له سندٌ صحيح ، ورواه الطبراني والبيهقي في المدخل بسندٍ ضعيف ، عن ابن عباس
บรรดานักตัฟสีรบางส่วน ได้ระบุไว้ ณ ที่นี้ คือ สิ่งที่ได้รายงานจากหะดิษ (ความขัดแย้งของประชาติของฉันนั้น เป็นความเมตตา") และไมเป็นที่รู้กันว่ามันมีสายรายงานที่เศาะเฮียะ และอัฏฏอ็บรอนีย์และอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานมัน ในหนังสือ อัลมัดคอ็ล ด้วยสายรายงานที่เฏาะอีฟ จากอิบนิอับบาส.(1) – มุหาสินุตตะอฺวี้ล 4/928 
…………. 
(1) หะดิษที่อัฏฏอ็บรอนีย์และอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานมัน ในหนังสือ อัลมัดคอ็ล ด้วยสายรายงานที่เฏาะอีฟ จากอิบนิอับบาสคือ
إن أصحابي بمنزلة النجوم في السماء، فأيما أخذتم به، اهتديتم، واختلاف أصحابي لكم رحمة؛
แท้จริง บรรดาสาวกของฉัน อยู่ในฐานะประดุจดวงดาวบนท้องฟ้า ดังนั้นที่ใหนก็ตาม ที่พวกท่านเอามันมา พวกท่านจะได้รับการชี้นำ และการขัดแย้งของเหล่าสาวกของฉัน เป็นความเมตตาต่อพวกท่าน”
.............
ปิดตานั่งเทียนด่าวะฮบีย์ จนลิ้นพันกันเอง แถมเอาหะดิษเฎาะอีฟมาสนับสนุนการตักลิดมัซฮับอีก -วัลอิยาซุบิลละฮ น่าเวทนาจริงๆ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/1/60

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

ตรรกที่เกิดจากความโง่เขลาเบาปัญญา



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ตรรกที่เกิดจากความโง่เขลาเบาปัญญา
วะฮาบีสาเลาะฆี บูแกสาลัฟฟีย์
19 มกราคม เวลา 9:58 น.
มัดคืนโดนลบ ก่อนได้รับอนุมัต
คำถามครับ คำถามเกียวกับยกมือขึ้น หันทางฟ้า ทีวะฮาบีชอบกล่าวว่า นั้นอีก1 ดาลิล ว่าอัลลอฮ อยู่บนฟ้า คำถามตรงนี้ แล้วชว่งเวลาขอดุอาร์ไห้ห่างจากบาลอ (มินกุลลิ บาลา ) ชว่งเวลานี้ สวนมากคนเขามัด จะหันมือลงทาง พืนดิน (ตามรูป) แล้วชว่งเวลานี้ พระเจ้าของวะฮาบี อยู่ในดินต่อหรือรั้ยครับ
#ขอเรียนเชิญครับ
.......................
ชี้แจง
แทนที่จะศึกษาอัลกุรอ่าน แทนที่จะศึกษาอัสสุนนะฮ และแทนที่จะศึกษาอะกีดะฮตามความเข้าใจของบรรพชนยุคสะลัฟ แต่กลับใช้ตรรกทางปัญญา ถามเพื่อเยาะเย้ยและปฏิเสธ ต่อให้สักล้านหลักฐาน เลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ที่มาจากการหากินกับการทำบิดอะฮ นั้น มันไม่ถูกเปิดหัวใจให้รับสัจธรรมหรอก โอ้...ผู้เสพแนวคิดญะฮมียะฮเอ๋ย....
ความไร้จุดยืน ความไม่กล้าที่จะเผชิญกับสังคม ยอมรับในสิ่งที่เป็นวาทกรรมอัปยศของตัวเอง จึงไม่กล้าให้ใครรู้จักว่าตนเองคือใคร เพราะต้องการจะใช้วิธีสุนัขจี้งจอกทำร้ายคนที่เห็นต่าง มันช่างอัปยศยิ่งนัก
ผมได้อ้างหลักฐานจาก สะลัฟ เช่น อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ ,อิบนุอบีชัยบะฮ และปราชญเคาะลัฟคนสำคัญ เช่น อิบนกุดามะอ ฯลฯ ว่า การที่มุสลิมทั้งหลาย ยกมือขึ้นฟ้าเวลาดุอา นั้น มันคือความรู้สึกที่เป็นไปตามธรรมชาติว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้า หรืออยู่เบื้องสูง แต่ ทาสอะกีดะฮตรรกนิยมคนนี้ ปฏิเสธและเย้ยหยัน หัวเราะเยาะ เพราะฉะนั้น จะอ้างหลักฐานสักเท่าไหร่ก็ไม่มีผลกับคนพันธ์นี้ 
และผมขอเสนอหลักฐานจากสะลัฟอีกท่าน เพื่อตอกย้ำว่า สิ่งที่ผมนำเสนอนั้น มีหลักฐานจากบรรพชนยุคสะลัฟ
อิบนุกุตัยบะฮอัลดินาวารีย์(ฮ.ศ 276) กล่าวว่า
ولو أن هؤلاء رجعوا إلى فطرهم وما ركبت عليه خلقتهم من معرفة الخالق سبحانه لعلموا أن الله تعالى هو العلي وهو الأعلى وهو بالمكان الرفيع وأن القلوب عند الذكر تسمو نحوه والأيدي ترفع بالدعاء إليه
ถ้าหากพวกเขา(หมายถึงพวกที่คัดค้านการอยู่ทิศเบื้องสูง) ย้อนกลับไปสู่(การพิจารณา)ธรรมชาติของพวกเขาและ สิ่งที่ ธรรมชาติการสร้างสรรค์พวกเขาประกอบอยู่บนมัน จากการรู้จักพระผู้ทรงสร้าง ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกเขาก็จะรู้ว่า แท้จริงอัลลอฮ ตะอาลาคือ ผู้ทรงสูงส่ง และพระองค์คือผู้ทรงสูงสุด โดยสถานที่ทีสูง และแท้จริงบรรดามือจะถูกยกขึ้นไปยังพระองค์ ด้วยการวิงวอนขอ(หมายถึงเวลามนุษย์ขอดุอา) - ดู ตะอฺวีลมุคตะลิฟุลหะดิษ หน้า 394
………
คำอธิบายข้างต้นก็สว่างจ้า และชัดเจน ตามที่ปราชญยุคสะลัฟได้ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ มนุษย์จึงดุอายกมือขึ้นไปยังพระองค์ แม้คนตาบอดจะมองไม่เห็นก็ตาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/1/60

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

ปราชญสะลัฟและเคาะลัฟยืนยันว่าการดุอายกมือขึ้นฟ้า เพราะอัลลอฮอยู่บนฟ้า


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ปราชญสะลัฟและเคาะลัฟยืนยันว่าการดุอายกมือขึ้นฟ้า เพราะอัลลอฮอยู่บนฟ้า
ปราชญยุคสะลัฟ และเคาะลัฟที่ตามแนวทางสะละลัฟ ยืนยันยันว่า "การที่บรรดามนุษย์ยกเมือขึ้นฟ้า เวลาดุอานั้น แสดงว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า แต่พวกแนวคิดญะฮมียะฮและอะฮลุลกาลามปฏิเสธ
1. อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย (ฮ.ศ 260 -324)กล่าวว่า
ورأينا المسلمين جميعا يرفعون أيديهم إذا دعوا نحو السماء؛ لأن الله تعالى مستو على العرش الذي هو فوق السماوات، فلولا أن الله عز وجل على العرش لم يرفعوا أيديهم نحو العرش، كما لا يحطّونها إذا دعوا إلى الأرض
..และเราเห็นชาวมุสลิมทั้งหลายต่างยกมือของพวกเขาขึ้นสู่ฟ้ายามที่พวกเขาขอดุอาอ์ เพราะอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งอยู่เหนืออะรัชที่อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย ถ้าหากว่าอัลลอฮฺไม่ได้อยู่เหนืออะรัช แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยกมือของพวกเขาขึ้นไปยังอะรัช เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่ได้ชี้มือลงไปยังพื้นดินยามที่พวกเขาขอดุอาอ์- อัลอิบานะฮ หน้า 105
...............
อิหม่ามมัซฮับอาชาอิเราะฮยืนยันว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัช
2. อบูยะอฟัร มุหัมหมัด บิน อบีชัยบะฮ (ฮ.ศ 297) ดังที่เขาได้กล่าวว่า
وأجمع الخلق جميعًا أنّهم إذا دعوا اللّه جميعًا رفعوا أيديهم إلى السّماء، فلو كان اللّه عزّ وجلّ في الأرض السّفلى ما كانوا يرفعون أيديهم إلى السّماء وهو معهم على الأرض.ثمّ توافرت الأخبار على أنّ اللّه تعالى خلق العرش فاستوى عليه بذاته
และบรรดามัคลูค ทั้งหมด มีมติ ว่า แท้จริงเมื่อพวกเขา ดุอาต่ออัลลอฮ พวกเขายกมือของพวกเขาสู่ฟากฟ้า เพราะถ้าอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง อยู่ในแผ่นดินข้างล่าง พวกเขาก็ไม่ ยกมือของพวกเขา สู่ฟากฟ้า โดยที่พระองค์อยู่พร้อมกับพวกเขา บนแผ่นดิน ต่อมา ได้มีบรรดาหะดิษมากมาย ได้แสดงบอกว่า แท้จริง อัลลอฮตาอาทรงสร้างอะรัช และสรงสถิตบนมันด้วยซาตของพระองค์ – ดู อัลอะรัช หน้า 291
....................
อิบนุอบีชัยบะฮ ระบะว่า ถ้าอัลลอฮอยู่เบื้องล่าง มนุษย์จะไม่ยกมือดุอาสู่ฟากฟ้าหรอก ต่อมา บรรดาหะดิษมากมายที่บอกว่าอัลลอฮสร้างอะรัช และทรงอยู่บนมันด้วยซาต หมายเหตุ คำว่า อยู่บน หมายถึงอยู่เหนืออะรัช ดังท่านอิบนุอบีชัยบะฮได้กล่าวไว้ต่อจากข้อความข้างต้น (ดูสำเนาหนังสือ)
3..อิบนุอับดิลบัร(ร.ฮ) ฮ.ศ 463 ปราชญ์ ที่เกือบทันยุคสะลัฟ กล่าวว่า
ومن الحجة ايضا في انه عز وجل على العرش فوق السموات السبع ؛ ان الموحدين اجمعين – العرب والعجم – إذا كربهم امر ونزلت بهم شدة ، رفعوا وجوههم إلى السماء يستغيثون ربهم تبارك وتعالى ،
และส่วนหนึ่งจากหลักฐานอีกเช่นกัน ในกรณีที่ว่า แท้จริงอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง อยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้า ทั้งเจ็ด คือ แท้จริงบรรดามุวะหฺฮีดีน(ผู้ศรัทธาในเอกภาพของอัลลอฮ)ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหรับและชนที่ไม่ใช่อาหรับ เมื่อ พวกเขาประสบกับความทุกข์และ เคราะห์ร้ายได้ประสบกับพวกเขา พวกเขาก็เงยหน้าพวกเขาสู่ฟากฟ้า ขอความช่วยเหลือต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา ผู้ทรงบริสุทธิ์และสูงส่ง - อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 138
4อิบนุกุดามะฮ อัลมุกอ็ดดิสีย์อัลหัมบะลียื(ฮ.ศ 620) กล่าวยืนยันคุณลักษณะการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮว่า
فإن الله تعالى وصف نفسه بالعلو في السماء، ووصفه بذلك محمد خاتم الأنبياء، وأجمع على ذلك جميع العلماء من الصحابة الأتقياء والأئمة من الفقهاء، وتوارترت الأخبار بذلك على وجه حصل به اليقين، وجمع الله تعالى عليه قلوب المسلمين، وجعله مغروزا في طباع الخلق أجمعين، فتراهم عند نزول الكرب بهم يلحظون السماء بأعينهم، ويرفعون نحوها للدعاء أيديهم ، وينتظرون مجيء الفرج من ربهم، وينطقون بذلك بألسنتهم لا ينكر ذلك إلا مبتدع غال في بدعته
แท้จริง อัลลอฮตาอาลา ทรงอธิบายคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์เอง ด้วย การอยู่สูง บนฟ้า และ มุหัมหมัด ผู้เป็นศาสดาองค์สุดท้ายในหมู่บรรดานบี ได้อธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์ด้วยดังกล่าว (ด้วยความเชื่อที่ว่าทรงอยู่สูงบนฟ้า) และ บรรดา ปราชญ์ จากบรรดาเศาะหาบะฮผู้ยำเกรงและบรรดาอิหม่ามจากบรรดาฟุเกาะฮาอฺ ได้มีมติบนดังกล่าว และ มีบรรดาหะดิษที่มุตะวาตีร (ที่มีรายงานหลายกระแส) ได้แสดงบอกด้วยดังกล่าว บนหนทางที่ได้รับความมั่นใจด้วยมัน และอัลลอฮตาอาลาทรงรวบรวมบรรดาหัวใจมุสลิม ให้อยู่บนมัน และทรงให้มันเป็น ธรรมชาติในอารมณ์ความรู้สึกของบรรดามนุษย์ทั้งหมด แล้วท่านจะเห็นพวกเขา เมื่อเคราะห์ร้ายประสบกับพวกเขา พวกเขาก็จะแหงนมองฟากฟ้าด้วยดวงตาของพวกเขา และยกมือของพวกเขา ไปยังทิศทางของมัน(หมายถึงไปยังฟากฟ้า) เพื่อดุอา และพวกเขารอคอย การบรรเทาทุกข์มาจาก พระเจ้าของเขา และพวกเขาพูดด้วยลิ้นของพวกเขา ไม่มีใครปฏิเสธดังกล่าวนั้น ยกเว้นผู้อุตริบิดอะฮ ที่เลยเถิดในบิดอะฮของเขา – อิษบาตรสิฟัตอัลอุลูว์ ของอิบนุกุดะมะฮ หน้า 41
…………
ข้างต้นปราชญ์สะลัฟและเคาะลัฟต่างยืนยันว่า การที่มนุษย์ยกมือขึ้นฟ้าเวลาดุอา มันคือ ความรู้สึกที่เป็นไปด้วยธรรมชาติที่บ่งบอกว่า พระเจ้าอยู่บนฟ้า แต่..น่าเสียดาย พวกเสพวิชาตรรกนิยม ยังดื้อดึง และปิดตาปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย –นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/1/60

วาทะกรรมวิบัติของคนคิดนอกกรอบ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วาทะกรรมวิบัติของคนคิดนอกกรอบ
แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์
ต่อไปนี้ เรามาดูกัน ว่าอุลามาอฺบางส่วนได้ฟัตวาว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ..
ท่านอะบุลฟัฎลฺ อับดุลวาหิด อัตตะมีมีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 410) 
ปราชญ์มัซฮับฮัมบาลีย์แห่งบัฆดาด
ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับอะกีดะฮ์ของท่านอิหม่ามอะหฺมัด ไว้ว่า
وَأَنْكَرَ عَلَى مَنْ يَقُوْلُ بِالْجِسْمِ وَقَالَ: إِنَّ الأَسْمَاءَ مَأْخُوْذَةٌ مِنَ الشَّرِيْعَةِ وَاللُّغَةِ، وَأَهْلُ اللغَةِ وَضَعُوْا هَذَا الاِسْمَ عَلَى ذِيْ طُوْلٍ وَعَرْضٍ وَسَمْكٍ وَتَرْكِيْبٍ وَصُوْرَةٍ وَتَأْلِيْفٍ وَاللهُ تَعَالَى خَارِجٌ عَنْ ذَلِكَ كُلِّهِ، فَلَمْ يَجُزْ أَنْ يُسَمَّى جِسْمًا لِخُرُوْجِهِ عَنْ مَعْنَى الْجِسْمِيَّةِ، وَلَمْ يَجِىءْ فِي الشَّرِيْعَةِ ذَلِكَ
ความว่า
“ท่านอิหม่ามอะหฺมัดได้ตำหนิผู้ที่กล่าวว่า (อัลลอฮฺ)เป็นรูปร่าง และท่านอิหม่ามอะหฺมัดกล่าวว่า แท้จริงบรรดานามชื่อนั้น ถูกนำมาจากหลักศาสนาและหลักภาษาอาหรับ และหลักภาษาอาหรับได้วางนามนี้(คือรูปร่าง)อยู่บนความหมายของทุกสิ่งที่ยาว, กว้าง, ลึก, มีการประกอบ, เป็นรูปทรง, และประกอบติดกัน 
ซึ่งอัลลอฮฺตะอาลาทรงออก(คือบริสุทธิ์)จากสิ่งดังกล่าวทั้งหมด
ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้เรียกพระองค์ว่า รูปร่าง เนื่องจากพระองค์ทรงออก(บริสุทธิ์)จากความหมายของการเป็นรูปร่าง และไม่เคยมีหลักศาสนา(จากตัวบท)ได้ระบุไว้เลย
อ้างอิง :”อะบุลฟัฎลฺ อัตตะมีมีย์, อิอฺติก้อต อัลอิหม่าม อัลมุบัจญัล อะบี อับดิลลาฮฺ อะหฺมัด บิน ฮัมบัล, ตะห์กีก: อะบุลมุนซิร อันนักก็อช, พิมพ์ครั้งที่ 1 (เบรุต: ดารุลกุตุบอัลอิลมียะฮ์, ค.ศ. 2001/ฮ.ศ. 1422), หน้า 45. ”
..........
ชี้แจง
ข้างต้น น่าจะเอาคำพูดอิหม่ามอะหมัด มาปนกับความเห็นของคนอื่น ไม่น่าจะเป็นทัศนะของอิหม่ามอะหมัดล้วนๆ เพราะอิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَلَا نَصِفُ اَللَّهَ بِأَكْثَرَ مِمَّا وَصَفَ بِهِ نَفْسَهُ, بِلَا حَدٍّ وَلَا غَايَةٍ: {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ} [الشورى: 11] وَنَقُولُ كَمَا قَالَ, وَنَصِفُهُ بِمَا وَصَفَ بِهِ نَفْسَهُ, لَا نَتَعَدَّى ذَلِكَ, وَلَا يَبْلُغُهُ وَصْفُ اَلْوَاصِفِينَ
และเราไม่พรรณากับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ให้มากกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณนาไว้กับพระองค์เอง โดยไม่มีขอบเขตและไม่มีปลายสุด (ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยิน ทรงเห็นยิ่ง) และเราจะกล่าวดังสิ่งที่พระองค์ทรงกล่าว และเราจะพรรณาคุณลักษณะให้แก่พระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์พรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน เราจะไม่ละเมิดขอบเขตดังกล่าวนั้น และที่การพรรณนาคุณลักษณะของบรรดาผู้พรรณนาคุณลักษณะไม่สามารถไปถึงมัน - ดู หนังสือ ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 6
.........
จึงถามคุณนามปลอม แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์ว่า “คำว่า “ جسم (รูปร่าง) ได้ถูกกล่าวไว้ในอายะฮใด หรือหะดิษบทใดหรือ ว่า อัลลอฮ ไม่เป็นรูปร่าง หรือเป็นรูปร่าง เมื่ออัลลอฮและรอซูล ไม่พรรณนาคุณลักษณะไว้ แล้วคนอื่นนำมาพรรณนาคุณลักษณะว่า ไม่เป็นรูปร่าง มันไม่เกินจากสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลบอกหรือครับท่าน
การตัชบีฮ ในทัศนะอิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) หมายถึง การเอา
คุณลักษณะของพระองค์ไปเปรียบกับมัคโลค เช่น กอฎีย์ อบูยะอลา กล่าวว่า
وقد أَنْكَرَ أحمدُالتَّشْبِيهَ، فقالَ في رواية حَنْبَلٍ: الْـمُشَبَّهَةُ تقول: بَصَرٌ كَبَصَرِي، وَيَدٌ كَيَدِي، وَقَدَمٌ كَقَدَمِي، ومَن قال ذلك فقد شَبَّهَ اللهَ بخَلْقِهِ»
และแท้จริง อะหมัด(บิน หัมบัล)ได้ ไม่ยอมรับ การตัชบีฮ แล้วเขากล่าวในรายงานหนึ่งว่า มุชับบะฮะฮ(ผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค) จะกล่าวว่า ทรงเห็น เหมือนการเห็นของฉัน ,มือ เหมือนมือของฉัน และเท้า เหมือนเท้าของฉัน และผู้ใดกล่าวดังกล่าวนั้น แน่นอนเขาเปรียบอัลลอฮ กับมัคลูคของพระองค์ – ดู อิบฏอลุตตะวีลาต ของอัลกอฎี อบูลยะอลา เล่ม 1 หน้า 42
..........
นายนามปลอม แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์ ครับ ไม่มีใครอิษบาต(ยืนยัน)หรือรับรอง สิฟาตอัลลอฮ แล้วเปรียบว่าเหมือนกับมัคลูคหรอก ท่านมโนไปเอง จินตนาการไปเอง แล้วกล่าวหาว่า คนที่ยืนยันสิฟาตอัลลอฮตามความหมายที่มีมาตามตัวบท ว่าเป็นพวกให้รูปร่างแก่อัลลอฮ อย่างนั้นหรือ?
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
ليس يلزم من إثبات صفاته شيء من إثبات التشبيه والتجسيم، فإن التشبيه إنما يقال: يدٌ كيدنا ...
ส่วนหนึ่งจากการรับรองบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ นั้น ไม่จำเป็นว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการรับรองการตัชบิฮ(การคล้ายคลึง)และตัจญซีม(การให้รูปร่างแก่อัลลอฮ) เสมอไป ความจริงการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบสิฟัตอัลลอฮกับมัคลูต)นั้น เช่น มือ เหมือนกับมือของเรา.....- อัลอัรบะอีน ฟี สิฟาติรอ็บบิลอาละมีน เล่ม 1 หน้า 104
……….
แล้วใคร ครับ บอกว่า ยัด(พระพักต์)ทรงทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ว่า ว่าเหมือนกับของมัคลูค แล้วท่านเอาอะไรมาตัดสินว่าใครรับรองคุณลักษณะอัลลอฮตามตัวบทโดยไม่ตีความคือ “พวกมุญัสสิมะฮ (พวกให้รูปร่างแก่อัลลอฮ”) โปรดนำหลักฐานมาหากท่านอยู่บนความจริง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/1/60

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

อะกีดะฮอบูบักรฺ คือ อัลลอฮอยู่บนฟ้า







ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อะกีดะฮอบูบักรฺ คือ อัลลอฮอยู่บนฟ้า

มาดูอะกีดะฮสะลัฟที่เชื่อว่า อัลลอฮ อยู่บนฟ้า คือ

حَدَّثَنَا حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ ، ثنا مُحَمَّدُ بْنُ فُضَيْلٍ ، عَنْ أَبِيهِ ، عَنْ نَافِعٍ ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا قَالَ : لَمَّا قُبِضَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ أَبُو بَكْرٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ : " أَيُّهَا النَّاسُ ، إِنْ كَانَ مُحَمَّدٌ إِلَهَكُمُ الَّذِي تَعْبُدُونَ فَإِنَّهُ قَدْ مَاتَ ، وَإِنْ كَانَ إِلَهُكُمُ اللَّهَ الَّذِي فِي السَّمَاءِ ، فَإِنَّ إِلَهَكُمْ لَمْ يَمُتْ " . ثُمَّ تَلَا وَمَا مُحَمَّدٌ إِلا رَسُولٌ قَدْ خَلَتْ مِنْ قَبْلِهِ الرُّسُلُ أَفَإِنْ مَاتَ أَوْ قُتِلَ انْقَلَبْتُمْ عَلَى أَعْقَابِكُمْ سورة آل عمران آية 144 . حَتَّى خَتَمَ الْآيَةَ
คำแปลตัวบท


รายงานจากอิบนุอุมัร เขากล่าวว่า "เมื่อรซูลุลลอฮ สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เสียชีวิต อบูบักรฺกล่าว(ประกาศว่า) โอ้ประชาชนทั้งหลาย ถ้าหากว่า มุหัมหมัด เป็นพระเจ้าของพวกท่าน ที่พวกท่านเคารพภักดี ดังนั้น แท้จริงเขาได้ตายไปแล้ว และหากว่า พระเจ้าของพวกท่านคือ ผู้ซึ่งอยู่บนฟ้า ดังนั้น พระเจ้าของพวกท่าน ไม่ตาย ต่อมาเขา(อบูบักได้อ่านอายะฮที่ว่า



وَمَا مُحَمَّدٌ إِلاَّ رَسُولٌ قَدْ خَلَتْ مِن قَبْلِهِ الرُّسُلُ أَفَإِن مَّاتَ أَوْ قُتِلَ انقَلَبْتُمْ عَلَى أَعْقَابِكُمْ
และมุฮัมมัดนั้นหาใช่อื่นมดไม่นอกจากเป็นร่อซูลผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งบรรดาร่อซูลก่อนจากเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว แล้วหากเขาตายไปหรือเขาถูกฆ่าก็ตาม พวกเจ้าก็หันสันเท้าของพวกเจ้ากลับกระนั้นหรือ? -ซูเราะฮอาลิอิมรอน /144 จนจบอายะฮ
- ดูที่มาของหะดิษ
مصنف ابن أبي شيبة (ج20 ص560-5620) عن (محمد) ابن فضيل عن أبيه عن نافع عن ابن عمر؛ ومن
طريقه عثمان الدارمي في الرد على الجهمية (ص44-45)؛ والبزار في مسنده (ج1 ص182-183)

อัลมุนตะกีย์อัลฮินดีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

البخارى فى تاريخه ، وعثمان بن سعيد الدارمى فى الرد على الجهمية والأصبهانى فى الحجة قال
ابن كثير : رجاله ثقات

รายงานโดยอัลบุคอรี ในตาริคของเขา ,อุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์ ใน รอ็ดอะลัลญะฮมียะฮ และอัลอัศบะหานีย์ ในอัลหุจญะฮ ,อิบนุกะษีร กล่าวว่า "บรรดาผู้รายงานของมัน เชื่อถือได้ -ดู กันซุลอุมมาล เล่ม 9 หน้า 238-239 หะดิษหมายเลข 18766
............
ข้างต้น คืออะกีดะฮ เคาะลีฟะฮอัรรอชิดีน คนที่หนึ่งคือ อบูบักร์ อัศเศาะดีก คือ เชื่อว่า พระเจ้าอยู่บนฟ้า แต่ในขณะเดียวกันพวกมีแนวคิดญะฮมียะฮ พยายามจนสุดฤทธิ์ที่จะหาเหตุผลทางตรรกมาปฏิเสธ โดยกล่าวหาว่าเป็นอะกีดะฮบิดอะฮของวะฮบีย์ และของกาเฟร- วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
16/1/60

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมนั่งเทียนบิดเบือนอัลกุรอ่านและหะดิษ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วาทกรรมนั่งเทียนบิดเบือนอัลกุรอ่านและหะดิษ
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ได้แชร์รูปภาพของ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
7 มกราคม เวลา 16:07 น.
พ่อเเม่นบี(ซล) ไม่ใช่กาเฟร และไม่ใช่ชาวนรก โดยมีหลักฐานระบุชัดเจน จากอัลกุรอ่าน อัลหะดีส อิจมาอ์ และคำอธิบายของอุละมาอ์ในยุคสะลัฟและค่อลัฟ
ขอชี้แจงว่า การที่อัลเลาะห์อนุญาตให้นบี(ซล)ไปซิยาเราะห์หลุมฝังศพของเเม่ของท่านนั้น นั่นก็เเสดงว่า แม่ของนบี(ซล)นั้น ไม่ใช่กาเฟร และก็ไม่ใช่ชาวนรก เพราะอัลเลาะห์ตะอาลา ทรงห้ามไม่ให้นบี(ซล) ยืนบนหลุมศพของพวกกาเฟรเเละพวกมุนาเฟก โดยอัลเลาะห์บอกว่า
وَلَا تُصَلِّ عَلَىٰ أَحَدٍ مِّنْهُم مَّاتَ أَبَدًا وَلَا تَقُمْ عَلَىٰ قَبْرِهِ ۖ إِنَّهُمْ كَفَرُوا بِاللَّـهِ وَرَسُولِهِ وَمَاتُوا وَهُمْ فَاسِقُونَ
"ท่านอย่าได้ละหมาดให้กับคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา และท่านอย่าได้ไปยืนบนหลุมศพของพวกเขา เพราะว่าพวกเหล่านั้นปฏเสธต่ออัลเลาะห์และร่อซู๊ลของพระองค์ และพวกเขาได้เสียชีวิต ในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ละเมิด "
……………..
@@@@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นการใช้สมองและตรรกชงหลักฐานตามอารมณ์ บิดเบือนอัลกุรอ่าน อายะฮข้างต้นท่านอิบ  กะษีร(ร.ฮ)อธิบายว่า
أَمَرَ اللَّهُ تَعَالَى رَسُولَهُ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - أَنْ يَبْرَأَ مِنَ الْمُنَافِقِينَ ، وَأَلَّا يُصَلِّيَ عَلَى أَحَدٍ مِنْهُمْ إِذَا مَاتَ ، وَأَلَّا يَقُومَ عَلَى قَبْرِهِ لِيَسْتَغْفِرَ لَهُ أَوْ يَدْعُوَ لَهُ ؛ لِأَنَّهُمْ كَفَرُوا بِاللَّهِ وَرَسُولِهِ ، وَمَاتُوا عَلَيْهِ . وَهَذَا حُكْمٌ عَامٌّ فِي كُلِّ مَنْ عُرِفَ نِفَاقُهُ
อัลลอฮตาอาลา สั่งรอซูลของพระองค์ ศอ็ลฯ ให้ปลีกตัวจากบรรดามุนาฟิกีน(หมายถึงห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกนี้) และอย่าละหมาดญะนาซะฮแก่คนหนึ่งคนใดจากพวกเขา เมื่อเขาตาย และอย่า ยืน บนหลุมศพของเขาเพื่อขออภัยโทษและดุอาให้เขา เพราะพวกเขา ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮและรอซูลของพวกเขา และได้ตายบนมัน(ตายในสภาพกุฟูร) และนี้คือ หุกุม(ข้อชี้ขาด)ที่ครอบคลุม ในทุกๆผู้ที่ การนิฟากของเขาเป็นที่รู้จัก – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร 4/193
อายะฮข้างต้น ห้ามการละหมาดญะนาซะฮให้แก่กาเฟรและห้ามดุอาให้แก่พวกเขา ไม่ได้ห้ามการเยี่ยมกุโบร์ เพื่อระลึกถึงความตายหรือเพื่อ เอาเป็นข้อคิดเตือนตัวเอง(العبرة ) 
มาดูฟัตวามปราชญมัซฮับชาฟิอี คือ อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَيَجُوزُ لِلْمُسْلِمِ اتِّبَاعُ جِنَازَةِ قَرِيبِهِ الْكَافِرِ وَأَمَّا زِيَارَةُ قَبْرِهِ فَالصَّوَابُ جَوَازُهَا وَبِهِ قَطَعَ الْأَكْثَرُونَ . وَقَالَ صَاحِبُ الْحَاوِي : لَا يَجُوزُ ، وَهَذَا غَلَطٌ ، لِحَدِيثِ أَبِي هُرَيْرَةَ قَالَ : { قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ اسْتَأْذَنْتُ رَبِّي أَنْ أَسْتَغْفِرَ لِأُمِّي فَلَمْ يَأْذَنْ لِي وَاسْتَأْذَنْتُهُ أَنْ أَزُورَ قَبْرَهَا فَأَذِنَ لِي } " رَوَاهُ مُسْلِمٌ ، وَزَادَ فِي رِوَايَةٍ لَهُ : { فَزُورُوا الْقُبُورَ فَإِنَّهَا تُذَكِّرُ الْمَوْتَ } .
และอนุญาตให้มุสลิม ติดตาม(หมายถึงไปส่ง)ญะนาซะฮญาติใกล้ชิดของเขาที่เป็นกาเฟรได้ และสำหรับ การเยี่ยมกุโบร์ของเขานั้น ทัศนะที่ถูกต้องคือ อนุญาตมัน และ บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่ได้พูดเด็ดขาด ด้วยมัน และเจ้าของหนังสือ อัลหาวีย์ กล่าวว่า ไม่อนุญาต และทัศนะนี้ ผิดพลาด เพราะ หะดิษอบีฮุรัยเราะฮ กล่าวว่า ท่านรซูลุลละฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า “ฉันขออนุญาตพระเจ้าของฉัน ขออภัยโทษให้แก่มารดาของฉัน แล้วพระองค์ไม่ทรงอนุญาต แก่ฉัน และฉันขออนุญาตพระองค์ เยี่ยมกุโบร์ของนาง แล้วพระองค์ทรงอนุญาตแก่ฉัน-รายงานโดยมุสลิม และ เพิ่มเติมในรายงานหนึ่งของเขา (ของอบูฮุรัยเราะฮ)ว่า พวกท่านจงเยี่ยมบรรดากุโบร์เถิด เพราะแท้จริง มันทำให้ ระลึกถึงความตาย – ดูอัลมัจญมัวะ ของอิหม่ามนะวาวีย์ เล่ม 5 หน้า 120 เรื่อง (ดูสำเนาหนังสือทีแนบมา)
............
อิหม่ามนะวาวีย์ ได้ระบุว่าอนุญาตให้เยี่ยมกุโบร์กาเฟรที่เป็นญาติใกล้ชิดได้ โดยอ้างหะดิษที่ท่านนบี เยี่ยมกุโบร์มารดาของท่าน
แต่คุณ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ นั่งเทียนคิดเอง หลอกคนอาวาม ซึ่งการใช้วิธีแบบนี้มันคือการสร้างความสบสนให้กับวิชาการทางศาสนา โดยไม่รับผิดชอบ แค่เพียงเพื่อเอาชนะทางดุนยา เท่านนั้น –วัลอิยาซุบิลละฮ
การนั่งเทียนปิดตาอ้างว่า ท่านนบี ศอ็ลฯเยี่ยมกุโบร์ แสดงว่าคนที่ถูกเยี่ยมเป็นมุสลิม มันคือการสมมุติฐานของตนเองโดยไม่รู้เรื่องอะไร เลย ไม่อ่านตำรา ไม่อ้างหลักฐานทางวิชาการ เพราะคิดว่า ไม่มีใครรู้ สามารถหลอกได้ อย่างนั้นหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/1/60

อิสลามคือศาสนาที่สอนให้ตามรอซูลไม่ใช่สอนให้อุตริบิดอะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

อิสลามคือศาสนาที่สอนให้ตามรอซูลไม่ใช่สอนให้อุตริบิดอะฮ
ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาของอัลลอฮ ตาอาลา
إِنَّ الدِّينَ عِندَ اللّهِ الإِسْلاَمُ
แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮ์นั้นคือ อัลอิสลาม -อาลิอิมรอน/19
อิบนุกะษีร (ร.ฮْ) อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( إِنَّ الدِّينَ عِنْدَ اللَّهِ الْإِسْلَامُ ) إِخْبَارٌ مِنَ اللَّهِ تَعَالَى بِأَنَّهُ لَا دِينَ عِنْدَهُ يَقْبَلُهُ مِنْ أَحَدٍ سِوَى الْإِسْلَامِ ، وَهُوَ اتِّبَاعُ الرُّسُلِ فِيمَا بَعَثَهُمُ اللَّهُ بِهِ فِي كُلِّ حِينٍ ، حَتَّى خُتِمُوا بِمُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، الَّذِي سَدَّ جَمِيعَ الطُّرُقِ إِلَيْهِ إِلَّا مِنْ جِهَةِ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَمَنْ لَقِيَ اللَّهَ بَعْدَ بِعْثَتِهِ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِدِينٍ عَلَى غَيْرِ شَرِيعَتِهِ ، فَلَيْسَ بِمُتَقَبَّلٍ
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮ์นั้นคือ อัลอิสลาม) คือการบอกกล่าวจากอัลลอฮ ตาอาลา ว่า แท้จริง ไม่มีศาสนา ณ พระองค์ ที่พระองค์ทรงยอมรับมันจากคนหนึ่งคนใดอื่นจาก อิสลาม และมันคือ การปฏิบัติตามบรรดารอซูล ในสิ่งที่อัลลอฮทรงแต่งตั้งพวกเขามาด้วยมัน ในทุกๆเวลา จนกระทั่ง พวกเขาถูกให้สิ้นสุดลงด้วย มุหัมหมัด ศอ็ลฯ ที่ปิดบรรดาแนวทางต่างๆที่ไปสู่พระองค์ ทั้งหมด ยกเว้น ที่มาจากด้านของมุหัมหมัดศอ็ลฯ ดังนั้น ผู้ใดที่พบกับอัลลอฮ (ในวันกิยามะฮ) หลังจากที่พระองค์ทรงแต่งตั้งมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ด้วยศาสนาใดๆ อื่นจากชะรีอัตของเขา(ของมุหัมหมัด) มันก็จะไม่ถูกยอมรับ - ตัฟสีร อิบนุกะษิร เล่ม 2 หน้า 25
......
ศาสนาอิสลาม ทุกยุคทุกสมัย คือ การปฏิบัติตามบรรดารอซูล ในสิ่งที่อัลลอฮ ได้แต่งตั้งพวกเขาด้วยมัน กล่าวคือ ศาสนาอิสลาม คือศาสนา ที่ต้องปฏิบัติตามศาสนทุ๖ของอัลลอฮ ตาอาลา
แปลก...คนบางกลุม กลับ อ้างว่า รอซูลฯ ศอ็ลฯ ไม่ทำก็ทำได้ แล้วอุตริบิดอะฮขึ้นมาในศาสนา แล้วอ้างว่า "เป็นบิดอะฮที่ดี"
เท่านั้นยังไม่พอ ยังโกหกว่า ท่านอุมัร (ร.ฎ)ทำบิดอะฮ เพื่อเป็นข้ออ้างรับรองบิดอะฮทีอะฮลุลบิดอะฮอุตริขึ้นมา ทั้งๆที่มันคือสุนนะฮ ไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนา แต่คนกลุ่มนี้จะให้เป็นบิดอะฮให้ได้ -วัลอิยาซุบิลละฮ
อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ กล่าวว่า
وَقَالَ ابْنُ بَطَّالٍ : قِيَامُ رَمَضَانَ سُنَّةٌ ؛ لِأَنَّ عُمَرَ إِنَّمَا أَخَذَهُ مِنْ فِعْلِ النَّبِيِّ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَإِنَّمَا تَرَكَهُ النَّبِيُّ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - خَشْيَةَ الِافْتِرَاضِ
อิบนุบัฎฏอ็ล กล่าวว่า " กิยามุเราะมะฎอน(ละหมาดตอรอเวียะ) คือ สุนนะฮ เพราะแท้จริง อุมัร นั้น ความจริงเขาเอามันมาจากการกระทำของท่านนบี ศอ็ลฯ และความจริง ท่านนบี ศอ็ลฯได้ละทิ้งมัน เพราะเกรงว่าจะถกกำหนดให้เป็นฟัรดู - ฟัตหุลบารีย์ 4/252 กิตาบุเศาะลาติตตะรอเวียะ
...........
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/1/60

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมโกหกบิดเบือนหะดิษเกี่ยวกับพ่อแม่นบี



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วาทกรรมโกหกบิดเบือนหะดิษเกี่ยวกับพ่อแม่นบี
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
7 มกราคม เวลา 16:06 น.
พ่อเเม่นบี(ซล) ไม่ใช่กาเฟร และไม่ใช่ชาวนรก โดยมีหลักฐานระบุชัดเจน จากอัลกุรอ่าน อัลหะดีส อิจมาอ์ และคำอธิบายของอุละมาอ์ในยุคสะลัฟและค่อลัฟ
.
1.หะดีสบทที่วะฮาบีย์ยกมาแล้วอ้างว่าหมายถึงพ่อแม่ของท่านนบี(ซล)นั้น ขัดกับข้อมูลความจริงจากอัลกุรอ่าน ซึ่งบ่งชี้ถึงว่า พ่อแม่ของท่านนบี(ซล) อยู่ในอะห์ลุ้ลฟัตเราะห์ ซึ่งในหะดีสบุคอรีย์ 7/277ระบุไว้ว่า จากซัยยิดินาซัลมาน อัลฟาริซี่ย์กล่าวว่า
.
"ฟัตเราะห์นั้น อยู่ในช่วงระหว่างนบีอีซา และนบีมุฮำมัด(ซล) 600 ปี"
.
2.และอะห์ลุ้ลฟัตเราะห์ คือ ผู้ที่ไม่มีนบีท่านใดถูกส่งไปยังพวกเขาก่อนการถูกแต่งตั้งนบีมุฮำมัด(ซล) อันได้เเก่ ชาวมักกะห์มะดีนะห์ และรอบๆ ซึ่งอัลเลาะห์ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอ่านว่า
.
وَمَا كُنَّا مُعَذِّبِينَ حَتَّىٰ نَبْعَثَ رَسُولًا
.
และเรามิเคยลงโทษผู้ใด จนกว่าเราจะแต่งตั้งร่อซูลมา
@@@@@
ชี้แจง
ความจริง ประเด็นนี้ไม่ควรจะนำมาถกเถียงกันเลย เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่บังควร แต่เมื่อมีคนบางคนบิดเบือนทางวิชาการ จึงขอชี้แจงดังนี้
หะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีดังนี้ ... 
(1). มีรายงาน จากท่านหัมมาด บินสะละมะฮ์, จากท่านษาบิต อัล-บุนานีย์, จากท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ. ว่า ... 
أَنَّ رَجُلاَ قَالَ : يَا رَسُوْلَ اللهِ! أَيْنَ أَبِىْ ؟ .. قَالَ : فِى النَّارِ، فَلَمَّا قَفَّى دَعَاهُ فَقَالَ : إِنَّ أَبِىْ وَأَبَاكَ فِى النَّارِ ... 
“ชายผู้หนึ่งกล่าวว่า .. โอ้ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ บิดาของฉันอยู่ที่ไหน?, ท่านนบีย์ตอบว่า .. อยู่ในนรก, แล้วเมื่อเขาผินหลังให้ท่านนบีย์ก็เรียกเขา แล้วกล่าวว่า .. แท้จริง ทั้งบิดาของฉันและบิดาของท่านอยู่ในนรก” ... 
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 347/203, ท่านอบูอะวานะฮ์ เล่มที่ 1 หน้า 99, ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 4718, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 3 หน้า 268, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 190, ท่านอัล-ญูซะกอนีย์ในหนังสือ “อัล-อะบาฏิล วัลมะนากีรฺ” เล่มที่ 1 หน้า 233 และท่านอบูยะอฺลา 6/229/3516) ...
.............
นายอับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ทำตัวเป็นอุลามาอฺนั่งเทียนบอกว่า
" พ่อเเม่นบี(ซล) ไม่ใช่กาเฟร และไม่ใช่ชาวนรก โดยมีหลักฐานระบุชัดเจน จากอัลกุรอ่าน อัลหะดีส อิจมาอ์ และคำอธิบายของอุละมาอ์ในยุคสะลัฟและค่อลัฟ"
......
ขอบตอบว่า "เป็นการนั่งเทียนโกหก ใหนหรือ อัลอิจญมาอฺ ที่นั่งเทียนโกหกข้างต้น
ก่อนจะชี้แจง ขอเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า นี่คือการนำเสนอทางวิชาการที่ปราชญ์ในอดีตได้ชี้แจงไว้ ไม่ใช่การดูหมิ่นตระกูลของท่านนบี ศอ็ลฯ แต่อย่างใด มันเป็นข้อมูลทางงวิชาการ เท่านั้น
อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ (ฮ.ศ ๓๘๔ –๕๔๘) กล่าว หลังจากได้วิจารณ์หะดิษนี้(หะดิษเกี่ยวกับพ่อแม่นบี)ว่า
وكيف لا يكون أبواه وجدُّه بهذه الصفة في الآخرة ، وكانوا يعبدون الوثن حتى ماتوا ، ولم يدينوا دين عيسى ابن مريم عليه السلام ، وأمرُهم لا يقدح في نسب رسول اللَّه صلى الله عليه وسلم ؛ لأن أنكحة الكفار صحيحة ، ألا تراهم يسلمون مع زوجاتهم ، فلا يلزمهم تجديد العقد ، ولا مفارقتهن ؛ إذ كان مثلُه يجوز في الإسلام . وباللَّه التوفيق
จะไม่ให้พ่อแม่และปู่ของท่าน(รซูลุลลอฮ)อยู่ด้วยลักษณะนี้ในวันอาคีเราะฮได้อย่างไรเล่า โดยที่ปรากฏว่า พวกเขาได้เคารพรูปปั้น จนกระทั้งเสียชีวิต และ โดยที่พวกเขาไม่ได้นับถือศาสนา ของ อีซา บุตร มัรยัม และเรื่องของพวกเขานั้นมิได้ถูกตำหนิในเรื่องการเป็นเผ่าตระกูลของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพราะว่า การแต่งงานของเหล่ากาเฟรนั้นใช้ได้ ท่านไม่เห็น พวกเขาหรือว่า พวกเขารับอิสลาม พร้อมกับคู่ครองของพวกเขา โดยที่ไม่จำเป็นต้องอะกัดนิกะหฺใหม่แต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ได้ถูกให้แยกกัน เพราะในทำนองนั้น เป็นที่อนุญาตในอิสลาม – วะบิลลาฮิตเตาฟิก – อัลดะลาออีล เล่ม 1 หน้า 192 
....... 
ท่านอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ก็วิเคราะห์ไปตามเนื้อหา และสภาพความเป็นจริงของหะดิษ จะไปกล่าวหาว่า อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ ใส่ร้ายบิดานบีอย่างนั้นหรือ คนที่เข้าใจหะดิษเขาจะไม่พูดเช่นนั้น 
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) ได้ยืนยันคำพูดอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ใน อัลบิดายะฮ วัลนิฮายะฮ เล่ม ๓ หน้า ๔๒๙ ว่า
وَقَدْ قَالَ الْبَيْهَقِيُّ بَعْدَ رِوَايَتِهِ هَذِهِ الْأَحَادِيثَ فِي كِتَابِهِ دَلَائِلِ النُّبُوَّةِ : وَكَيْفَ لَا يَكُونُ أَبَوَاهُ وَجَدُّهُ عَلَيْهِ الصَّلَاةُ وَالسَّلَامُ بِهَذِهِ الصِّفَةِ فِي الْآخِرَةِ وَقَدْ كَانُوا يَعْبُدُونَ الْوَثَنَ حَتَّى مَاتُوا ، وَلَمْ يَدِينُوا دِينَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ عَلَيْهِ السَّلَامُ ، وَكُفْرُهُمْ لَا يَقْدَحُ فِي نَسَبِهِ عَلَيْهِ الصَّلَاةُ وَالسَّلَامُ; لِأَنَّ أَنْكِحَةَ الْكُفَّارِ صَحِيحَةٌ أَلَا تَرَاهُمْ يُسْلِمُونَ مَعَ زَوْجَاتِهِمْ فَلَا يَلْزَمُهُمْ تَجْدِيدُ الْعَقْدِ وَلَا مُفَارَقَتُهُنَّ إِذَا كَانَ مِثْلُهُ يَجُوزُ فِي الْإِسْلَامِ ، وَبِاللَّهِ التَّوْفِيقُ انْتَهَى كَلَامُهُ
และแท้จริง อัลบัยฮะกีย์ ได้กล่าว หลังจากเขารายงานหะดิษเหล่านี้ในหนังสือของเขา คือ ดะลาอิลุลนุบูวะฮ ว่า ….(ดูความหมายภาษาไทยข้างต้น) 
แล้วท่าน อัลบัยฮะกีย์ได้กล่าวอีก ใน สุนันอัลกุบรอ เล่ม 7 หน้า 190 ว่า 
وأبواه كانا مشركين, بدليل ما أخبرنا 
และบิดามารดาของท่านนบี เป็นมุชริกีน ด้วยหลักฐานที่ท่านนบีได้บอกเรา
อิบนุกะษีร ( ร.ฮ) ได้ชี้แจงในอัลบิดายะฮวัลนิฮายะฮว่า
وأخباره صلى الله عليه وسلم عن أبويه وجده عبد المطلب بِأَنَّهُمْ مِنْ أَهْلِ النَّارِ ، لَا يُنَافِي الْحَدِيثَ الْوَارِدَ عَنْهُ مَنْ طُرُقٍ مُتَعَدِّدَةٍ أَنَّ أَهْلَ الْفَتْرَةِ وَالْأَطْفَالَ وَالْمَجَانِينَ وَالصُّمَّ يُمْتَحَنُونَ فِي الْعَرَصَاتِ يَوْمَ الْقِيَامَةِ ، كَمَا بَسَطْنَاهُ سَنَدًا وَمَتْنًا فِي تَفْسِيرِنَا عِنْدَ قَوْلِهِ تَعَالَى وَمَا كُنَّا مُعَذِّبِينَ حَتَّى نَبْعَثَ رَسُولًا [ الْإِسْرَاءِ : 15 ] فَيَكُونُ مِنْهُمْ مَنْ يُجِيبُ وَمِنْهُمْ مَنْ لَا يُجِيبُ فَيَكُونُ هَؤُلَاءِ مِنْ جُمْلَةِ مَنْ لَا يُجِيبُ فَلَا مُنَافَاةَ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ وَالْمِنَّةُ 
. 
ข้าพเจ้า(หมายถึงอิบนุกะษีร) กล่าวว่า “การบอกเล่าของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เกี่ยวกับพ่อแมของท่านและปู่ของท่าน อับดุลมุฏลิบ ว่า แท้จริงพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งจากชาวนรก ไม่ได้ขัดแย้งกับหะดิษที่รายงานจากท่านนบี จากหลายๆสายรายงานจำนวนมาก ว่าแท้จริง อะฮลุลฟิตเราะฮ,บรรดาเด็กเล็ก,คนบ้า และคนหูหนวก พวกเขาถูกทดสอบ ใน ที่โล่ง ณ วันกิยามะฮ ดังที่เราได้ ขยายความมัน ทั้งที่เป็นสายรายงานและตัวบท ไว้ในตัฟสีรของเรา เกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า 
وَمَا كُنَّا مُعَذِّبِينَ حَتَّى نَبْعَثَ رَسُولًا
และเรามิเคยลงโทษผู้ใด จนกว่าเราจะแต่งตั้งร่อซูลมา – อัลอิสรออฺ/15 
แล้วส่วนหนึ่งจากพวกเขา เป็นผู้ที่ตอบรับ (เชื่อฟัง) และส่วนหนึ่งจากพวกเขา ไม่ตอบรับ(ไม่เชื่อฟัง) แล้วพวกเขาเหล่านี้ จึงเป็นส่วนหนึ่ง จากผู้ที่ไม่ตอบรับ ดังนั้น จึงไม่ได้ขัดแย้งกัน –วะลิลลาฮิลหัมดุ วัลมินนะฮ – ดู อัลบิดายะฮวัลนิฮายะฮ ของอิบนุกะษีร เล่ม 3 หน้า 429
..........
อิหม่ามอิบนุกะษีร(ร.ฮ) ยืนยันว่า หะดิษ เกี่ยว พ่อแม่นบี และปู่ของท่านที่ระบุว่า เป็นชาวนรก ไม่ได้ขัดแย้ง กับอัลกุรอ่าน อย่างที่นาย 
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ปราชญมัซฮับชาฟิอี เอง ได้อธิบายหะดิษเกี่ยวกับพ่อแม่นบี ว่า
อิหม่ามนะวาวีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)อธิบายว่า
فيه أن من مات في الفترة على ما كانت عليه العرب من عبادة الأوثان فهو من أهل النار ، وليس هذا مؤاخذة قبل بلوغ الدعوة ، فإن هؤلاء كانت قد بلغتهم دعوة إبراهيم وغيره من الأنبياء صلوات الله وسلامه عليهم "
ในหะดิษนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่ในยุคฟัตเราะฮ(ยุคที่ไม่มีนบีถูกส่งมาหรือขาดช่วงต่อระหว่างนบี)) ได้เสียชีวิต บนสิ่ง(ความเชื่อ)ที่ชาวอาหรับเป็นอยู่จากการบูชาเทวรูป เขาคือส่วนหนึ่งจากชาวนรก และ กรณีนี้ ไม่ใช่เป็นการเอาผิดก่อนการดะฮวะฮ(เชิญชวนสู่อิสลาม)มาถึง เพราะพวกเขาเหล่านี้ การดะฮวะฮของนบีอิบรอฮีมและอื่นจากท่าน จากบรรดานบี (ขอให้บรรดาพรและความสันติสุขของอัลลอฮ จงประสบแด่พวกเขา) ได้ถึงมายังพวกเขาแล้ว " - ชัรหุมุสลิม เล่ม 3 หน้า 79
.....
จึงถามนาย อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ว่า
1.ที่อ้างว่าอิจญมาอฺ ยืนยันว่า พ่อแม่นบีไม่ใช่ชาวนรก ท่านมีหลักฐานยืนยันหรือนั่งเทียนโกหก
2.อิหม่ามนะวาวีย ,อัลบัยฮะกีย์ และอิบนุกะษีร มีความเห็นขัดแย้งกับอัลอิจญมาอฺหรือไม่
3. ปราชญสามท่านข้างต้น เป็นวะฮบีย์ในประเด็นนี้หรือไม่
.......
หวังว่าคงจะได้รับคำตอบจากนาย อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์และขอเรียนพี่น้องผู้อ่านว่า ประเด็นนี้ ผมจำใจต้องมาตอบ ตามหลักวิชาการ ที่นักวิชาการได้อธิบายเอาไว้และไม่ปรารถนาที่จะดูมิ่นดูแคลนท่านนบีแม้แต่เท่าปีกริ้น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/1/60

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมคำถามของคนแยกเรื่องศาสนากับทางโลกไม่ได้


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วาทกรรมคำถามของคนแยกเรื่องศาสนากับทางโลกไม่ได้
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม
เมื่อวานนี้ เวลา 9:59 น.
อยากทราบว่ามีสลัฟท่านไหนใช้ฮาดิษนี้เป็นหลักฐานในการแบ่งบิดอะห์ คือบิดอะห์ดุนยา กับบิดอะห์ศาสนา. #เรียนเชิญพี่น้องทุกท่านวิภาษกัน
عَنْ عَائِشَةَ رضي الله عنها، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم سَمِعَ أَصْوَاتًا . فَقَالَ " مَا هَذَا الصَّوْتُ " . قَالُوا النَّخْلُ يُؤَبِّرُونَهُ فَقَالَ " لَوْ لَمْ يَفْعَلُوا لَصَلَحَ " . فَلَمْ يُؤَبِّرُوا عَامَئِذٍ فَصَارَ شِيصًا فَذَكَرُوا لِلنَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَقَالَ : 
" إِنْ كَانَ شَيْئًا مِنْ أَمْرِ دُنْيَاكُمْ فَشَأْنَكُمْ بِهِ وَإِنْ كَانَ شَيْئًا مِنْ أُمُورِ دِينِكُمْ فَإِلَىَّ "
صحيح-الألباني"صحيح ابن ماجه": 2019 , صحيح-الألباني"صحيح الجامع": 5601, صحيح ابن حبان: 22
จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เมื่อ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ยินเสียงดังมาจากต้นอินผลัม ท่านได้กล่าวถามว่า " เสียงนี้คืออะไร? " พวกเขา(ชาวสวนอินทผลัม)กล่าวตอบว่า " พวกเรากำลังผสมเกสรอินทผลัม " ท่านนบีฯจึงกล่าวว่า " ถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้นมันอาจจะดีกว่านะ " ในปีนั้นอินทผลัมก็ไม่ได้รับการผสมเกสร และในปีนั้นอินทผลัมก็ไม่ติดผลอย่างที่เคย ชาวสวนจึงนำเรื่องดังกล่าวไปบอกท่านนบีฯ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า ;
“หากว่ามีเรื่องใดก็ตามจากดุนยาของพวกเจ้า มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าในเรื่องนั้น และแท้จริงหากมีเรื่องใดก็ตามจากของศาสนาของพวกเจ้า ก็จงกลับมาที่ฉัน”
เศาะฮีหฺ–อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อิบนุ มาญะฮฺ" : 2019 , เศาะฮีหฺ–อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อัลญามิอฺ" : 5601 , เศาะฮีหฺ อิบนุ ฮิบบาน : 22
.................
ชี้แจง
คุณตาชัง พิทักษ์ธรรม คงจะคิดว่า ข้างต้นคือคำถามเด็ด ที่สามารถทำให้ผู้ที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ จนมุมได้ แต่ในทางกลับกัน มันคือคำถามที่ไร้เดียงสา เพราะปกติคำถามที่เกี่ยวกับทัศนะสะลัฟเขาจะ เน้นเรื่องอะกีดะฮ แต่แกดันมาถามว่า มีไหม สะลัฟที่แบ่งบิดอะฮทางดุนยาและบิดอะฮทางศาสนา 
 ขอบอก คุณตาชัง พิทักษ์บิดอะฮว่า
ชาวสะลัฟเขารู้ดีว่า บิดอะฮ ที่ท่านนบีศอ็ลฯ ห้าม คือ บิดอะฮเกี่ยวกับเรื่อง ศาสนา อันหมายถึงเรื่อง อะกีดะฮและอิบาดะฮ เพราะเหตุนี้ สะลัฟผู้ทรงธรรมไม่ปรากฏว่าพวกเขาใช้ตรรกตามแนวคิดอริสโตเติ้ล ตีความคุณลักษณะอัลลอฮ และพวกเขาไม่อุตริบิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮ ส่วนเรือง ทางดุนยา อันหมายถึงเกี่ยวกับ กิจการทางโลกและทางสังคม พวกเขาย่อมทราบดี
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า :
«من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد» [ رواه البخاري:167]
ความว่า : บุคคลใดก็ตามที่ กระทำสิ่งใหม่ขึ้นในกิจการงานของเรา(ศาสนา) ซึ่งไม่มีในกิจการงานของเรา มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตอบรับ (ณ ที่อัลลอฮฺ) (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 167 )
คำว่า "กิจการงานของเรา" คนที่เข้าใจศาสนาเขารู้ดีว่า "มันคือกิจการที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา ที่เกี่ยวกับ อะกีดะฮและอิบาดะฮ
บิดอะฮฺในศาสนามีอยู่ สองประเภทด้วยกัน ได้แก่:
ประเภทที่หนึ่ง : บิดอะฮฺในด้านคำพูดหรือความเห็นที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ เช่น ความเชื่อต่างๆ ของพวกญะฮฺมียะฮฺและพวกมุอฺตะซิละฮฺ รวมถึงพวกชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ และกลุ่มหลงผิดต่างๆ
ประเภทที่สอง : คือ บิดอะฮฺด้านอิบาดะฮฺ เช่น การประกอบอิบาดะฮฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ ด้วยกับอิบาดะฮฺที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติไว้
อิบนุดะกีก อัลอีด (ร.ฮ)กล่าวว่า
هذا الحديث قاعدة عظيمة من قواعد الدين، وهو من جوامع الكلم التي أوتيها النبي صلى الله عليه وسلم؛ فإنه صريح في رد كل بدعة وكل مخترع، واستدل به بعض الأصوليين على أن النهي يقتضي الفساد
หะดิษนี้ คือ หลักการสำคัญ จากบรรดาหลักการของศาสนา และมันคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดาถ้อยคำที่สรุป ที่มันถูกมอบให้แก่ ท่านนบี ศอ็ลฯได เพราะแท้จริง มันชัดเจนในการปฏิเสธทุกๆบิดอะฮ และทุกๆสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา - ดู ชัรหอัลอัรบะอีนอัลนะวาวียะฮของ อิบนุดะกีก หน้า 22
...........
ท่านนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า
إنما أنا بشر، إذا أمرتكم بشيء من دينكم فخذوا به، وإذا أمرتكم بشيء من رأي فإنما أنا بشر». رواه مسلم
ความจริงฉันคือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เมื่อฉันสั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด ที่เกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน พวกท่านจงเอามัน และเมื่อฉันสั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด เกี่ยวกับความเห็น ความจริงฉันก็คือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง -รายงานโดยมุสลิม
ชัยค์อาลี บิน สุลฏอน มุหัมหมัด อัลกอรีย์ กล่าวว่า
مِنْ أَمْرِ دِينِكِمْ أَيْ مِمَّا يَنْفَعُكُمْ فِي أَمْرِ دِينِكُمْ ( فَخُذُوا بِهِ ) : أَيِ افْعَلُوهُ فَإِنِّي إِنَّمَا نَطَقْتُ بِهِ عَنِ الْوَحْيِ ( وَإِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْءٍ مِنْ رَأْيِي ) . وَفِي نُسْخَةٍ : مِنْ رَأْيٍ أَيْ مُتَعَلِّقٍ بِالدُّنْيَا الَّتِي لَا ارْتِبَاطَ لَهَا بِالدِّينِ وَأَخْطَأْتُ فَلَا تَسْتَبْعِدُوا
(เกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน) หมายถึง จากสิ่งที่มีประโยชน์กับพวกท่าน ในเรื่องศาสนาของพวกท่าน(พวกท่านจงเอามัน) หมายถึงพวกท่านจงปฏิบัติมัน เพราะความจริงฉัน พูดด้วยมันจากวะหยู ( และเมื่อฉันสั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด เกี่ยวกับความเห็น ของฉัน) และในสำเนาหนึ่ง ระบุว่า "จากความเห็น หมายถึง เกี่ยวกับทางดุนยา ที่ ไม่ผูกมัดมันกับเรื่องศาสนา และฉันผิดพลาด พวกท่านอย่าได้ออกห่าง - มิรกอตุลมะฟาเตียะ ชัรหมิวกาติลมะศอเบียะ 1/346 อธิบายหะดิษหมายเลข 147 เรื่อง باب الاعتصام بالكتاب والسنة 
..........
ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้แยกระหว่างกิจการทางศาสนาและกิจการทางโลกไว้เรียกร้อยแล้ว แต่นายตาชั่ง ถามหาทัศนะสะลัฟ เพราะต้องการจะเอาชนะ หวังว่าคงไม่เอาบทความของผมไปชงตามตรรก ตามที่เคยปฏิบัติทุกครั้ง โดยไม่ใช้หลักฐานมาเสนอ แต่ลอกหลักฐานคนอื่นแล้วชงเอง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/1/60