วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

ทำไมสะลัฟจึงห้ามโต้เถียงเกี่ยวกับอัลลอฮ








ทำไมสะลัฟจึงห้ามโต้เถียงเกี่ยวกับอัลลอฮ
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) กล่าวว่า

ونهى السلف -رحمهم الله- عن الجدال في الله جل ثناؤه في صفاته وأسمائه، وأما الفقه فأجمعوا على الجدال فيه والتناظر؛ لأنه علم 
يُحتاج فيه إلى رد الفروع على الأصول للحاجة إلى ذلك
และชาวสะลัฟ (ร.ฮ) ได้ห้ามจากการโต้เถียงกัน เกี่ยวกับอัลลอฮ ผู้ซึ่งการสรรเสริญพระองค์ ทรงเลิศยิ่ง ในบรรดา คุณลักษณะและพระนามของพระองค์ และสำหรับ ฟิกฮ นั้น พวกเขามีมติ บนการให้โต้เถียงในมัน และการอภิปรายกัน เพราะว่า มันคือความรู้ ที่ในความรู้นั้น มีความจำเป็น ที่จะต้องบรรดาข้อปลีกย่อย ให้กลับไปอยู่บนบรรดารากฐาน เพราะความจำเป็นในเรื่องดังกล่าวนั้น

وليس الاعتقادات كذلك؛ لأن الله -عز وجل- لا يوصف عند الجماعة أهل السنة إلا بما وصف به نفسه أو وصفه به رسول الله -صلى الله عليه وسلم- أو أجمعت الأمة عليه، وليس كمثله شيء فيدرك بقياس أو بإمعان نظر، وقد نهينا عن التفكر في الله وأمِرنا بالتفكر في خلقه الدال عليه"

และ บรรดาหลักความเชื่อ ไม่ได้เหมือนกับดังกล่าวนั้น (หมายถึงไม่ได้เหมือนวิชาฟิกฮ) เพราะในทัศนะของหมู่คณะ อะฮลุสสุนนะฮนั้น แท้จริงอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง พระองค์จะไม่ถูกอธิบายคุณลักษณะ นอกจาก ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงอธิบายคุณลักษณะให้แก่ตัวพระองค์เอง ด้วยมัน และรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้อธิบายคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมัน หรือ มติของอุมมะฮ บนมัน และไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ ที่จะไห้รับรู้ด้วยการเปรียบเทียบหรือ ด้วยการพิจารณาอย่างตั้งใจ และแท้จริง เราถูกห้ามไม่ให้พิจารณาเกี่ยวกับอัลลอฮ และเราถูกสั่งให้พิจารณาเกี่ยวกับมัคลูคของพระองค์ ที่แสดงบอกถึงพระองค์ - ญามิอุบะยานิลอิลมิ 2/92
.....................
สรุปคือ ในเรื่องของฟิกฮนั้น อนุญาตให้โต้แย้งและอภิปรายกันได้ เพราะมีความจำเป็นที่จะนำข้อปลีกย่อยต่าง ให้กลับไปอยู่บนรากฐาน (หรือบรรดาหลักการ) ต่างกับเรื่องอะกีดะฮ ที่ไม่อนุญาตให้โต้เถียงหรือโต้แย้งกัน เพราะอัลลอฮนั้นจะถูกอธิบายคุณลักษณะ ด้วยสิ่งที่อัลกุรอ่าน ,อัสสุนนะฮ อธิบายไว้เท่านนั้น หรือสิ่งที่เป็นมติของอุมมะฮ ทั้งนี้เพราะอัลลอฮ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ที่จะรับรู้ด้วยการเปรียบเทียบหรือใช้การพิจารณาอย่างเต็มความสามารถได้
.............
เพราะฉะนั้น เรื่องเกี่ยวกับคุณลักษณะหรือสิฟาตอัลลอฮ และพระนามของพระองค์นั้น หน้าของเราคือ เชื่อและยอมรับตามที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮอธิบายไว้
ดังที่อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) กล่าวว่า

"لا نسميه ولا نصفه ولا نطلق عليه إلا ما سمى ووصف به نفسه لا شريك له، ولا ندفع ما وصف به نفسه؛ لأنه دفع للقرآن"

เราจะไม่เรียกชื่อพระองค์ ,เราจะไม่อธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์ และเราจะไม่กล่าวให้แก่พระองค์ นอกจากสิ่ง ที่พระองค์ทรงเรียก ,ที่พระองค์ทรงอธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์เอง ด้วยมัน ไม่มีภาคีใดๆแก่พระองค์ และเราจะไม่ปฏิเสธ สิ่งที่พระองค์ทรงอธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์เอง เพราะว่า แท้จริงมันคือการปฏิเสธอัลกุรอ่าน - อัตตัมฮีด 7/137
..............
ปัญหาทุกวันนี้ เพราะมีคนส่วนหนึ่ง ไม่ยอมรับความหมายของคุณลักษณะของอัลลอฮ ที่มีมาตามตัวบทที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮบอกเอาไว้ โดยอ้างและมโนว่า เป็นการตัชบีฮ จึงต้องตีความ หรือไม่ก็ห้ามรู้ความหมาย ห้ามแปลความหมาย จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันจนทุกวันนี้ ซึ่งต่างกับยุคสะลัฟที่พวกเขายืนยันตามที่อัลลอฮและนบีบอกไว้ และไม่เกินเลยและล้ำหน้า
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/3/59

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

แบบอย่างของบรรดาอุลามาอฺยุคสะลัฟในประเด็นเห็นต่าง ภาค 2






แบบอย่างของบรรดาอุลามาอฺยุคสะลัฟในประเด็นเห็นต่าง ภาค 2
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า

وَقَدْ كَانَ الْعُلَمَاءُ مِنْ الصَّحَابَةِ وَالتَّابِعِينَ وَمَنْ بَعْدَهُمْ إذَا تَنَازَعُوا فِي الْأَمْرِ اتَّبَعُوا أَمْرَ اللَّهِ تَعَالَى فِي قَوْلِهِ : { فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ إنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًا } وَكَانُوا يَتَنَاظَرُونَ فِي الْمَسْأَلَةِ مُنَاظَرَةَ مُشَاوَرَةٍ وَمُنَاصَحَةٍ وَرُبَّمَا اخْتَلَفَ قَوْلُهُمْ فِي الْمَسْأَلَةِ الْعِلْمِيَّةِ وَالْعَمَلِيَّةِ مَعَ بَقَاءِ الْأُلْفَةِ وَالْعِصْمَةِ وَأُخُوَّةِ الدِّينِ . نَعَمْ مَنْ خَالَفَ الْكِتَابَ الْمُسْتَبِينَ وَالسُّنَّةَ الْمُسْتَفِيضَةَ أَوْ مَا أَجْمَعَ عَلَيْهِ سَلَفُ الْأُمَّةِ خِلَافًا لَا يُعْذَرُ فِيهِ فَهَذَا يُعَامَلُ بِمَا يُعَامَلُ بِهِ أَهْلُ الْبِدَعِ .

และปรากฏว่าบรรดาอุลามาอฺ(บรรดาผู้รู้)จาก บรรดาเศาะหาบะฮ ,บรรดาตาบีอีน และผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา เมื่อพวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องใด พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮตาอาลา ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า( "แล้วถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และเราะสูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง”)
และพวกเขาจะทำการอภิปรายกัน ในประเด็นนั้น เป็นการอภิปรายในเชิงปรึกษาหารือ และตักเตือนกันและกัน และบางครั้ง ทัศนะของพวกเขา ขัดแย้งกัน ในประเด็นเกี่ยวกับวิชาการและการปฏิบัติ พร้อมกับยังคงความเป็นมิตร ,ความสัมพันธ์และความเป็นพี่น้องในศาสนา ,ใช่...ผู้ใดก็ตามที่ขัดแย้งกับที่จัดเจนและอัสสุนนะฮที่เป็นที่รู้กัน หรือ สิ่งที่อุมมะฮยุคสะลัฟมีมติเอกฉันท์บนมัน เป็นการขัดแย้ง ที่ไม่ถูกอนุโลมในมัน คนแบบนี้ จะถูกปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ด้วยสิ่งที่ชาวบิดอะฮถูกปฏิสัมพันธ์ด้วย -มัจญมัวะฟะตาวา 24/172
สรุปจากคำพูดของอิบนุตัยมียะฮคือ
1.บรรดานักวิชาการในยุคเศาะหาบะฮ ,ยุคตาบิอีนและยุคหลังจากพวกเขา เมื่อพวกเขามีความเห็นขัดแย้งกัน พวกเขาก็ปฏิบัติตาคำสั่งของอัลลอฮ คือ ให้นำปัญหาขัดแย้งไปให้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮตัดสิน
2.บรรดานักวิชาการในยุคเศาะหาบะฮ ,ยุคตาบิอีนและยุคหลังจากพวกเขา เมื่อมีการอภิปรายหรือโต้วาทีกัน เขาจะปฏิบัติต่อกันในเชิงปรึกษาหารือและตักเตือนกันและกัน
3.บรรดานักวิชาการในยุคเศาะหาบะฮ ,ยุคตาบิอีนและยุคหลังจากพวกเขา เมื่อมีทัศนะขัดแย้งกัน พวกเขาก็ยังคงความเป็นมิตร ,ความสัมพันธ์และความเป็นพี่น้องในศาสนาเอาไว้
4. ผู้ใดขัดแย้งกับอัลกรอ่านที่ชัดเจน และอัสสุนนะฮที่เป็นที่รับรู้กัน หรือขัดแย้งกับมติอุมมะฮยุคสะลัฟที่ไม่สามารถมีข้ออนุโลมให้ขัดแย้งได้ เขาผู้นี้จะถูกปฏิบัติในฐานะอะฮลุลบิดอะฮ
....................
อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) ได้กล่าวถึงอะฮลุลบิดอะฮว่า
وَالْبِدْعَةُ الَّتِي يُعَدُّ بِهَا الرَّجُلُ مِنْ أَهْلِ الْأَهْوَاءِ مَا اشْتَهَرَ عِنْدَ أَهْلِ الْعِلْمِ بِالسُّنَّةِ مُخَالَفَتُهَا لِلْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ: كَبِدْعَةِ الْخَوَارِجِ، وَالرَّوَافِضِ، وَالْقَدَرِيَّةِ، وَالْمُرْجِئَةِ،
และบิดอะฮที่บุคคลถูกนับว่าเป็น ส่วนหนึ่งจากอะฮลุลอะฮวาอฺ(นักตามความคิดเห็น) คือ สิ่งที่แพร่หลายในทัศนะนักวิชาการสุนนะฮคือ การขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เช่น บิดอะฮเคาะวาริจญ์ ,รอฟิเฎาะฮ ,พวกเกาะดะรียะฮ และพวกมุรญิอะฮ- ฟะตาวา อัลกุบรอ 4/194
คำว่า "أَهْلِ الْأَهْوَاءِ " ส่วนมากเขาจะหมายถึงผู้ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ในด้านรากฐานของศาสนา(أصول الدين، ) เช่น เคาะวาริจญ์ ,ชีอะฮ ,เกาะดะรียะฮ,มุรญิอะฮ,มุอตะซิละฮ ,ญะฮมียะฮ,อะฮลุลกาลาม และแนวทางซูฟีย์ เฏาะรีกัต 
.............
เพราะฉะนั้น ในประเด็นปลีกย่อย เช่นคน อ่านอุศอ็ลลี ,ทำเมาลิด ฯลฯ การปฏิบัติต่อเขา ไม่ถึงกับการตัดความสัมพันธ์ หรือไม่นับญาติกัน แต่ไม่ได้หมายถึงการยอมในสิ่งที่ผิด เพราะหน้าที่ของมุสลิมเมื่อเห็นสิ่งผิดก็ต้องห้ามและตักเตือน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/3/59
ا