วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮมีด้วยหรือที่ทำบิดอะฮ




อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮมีด้วยหรือที่ทำบิดอะฮ
มันเป็นเรื่องแปลกในสังคมเรา มีหลายกลุ่ม หลายคณะ ปากบอกว่า "เป็นชาวอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ"แต่เพียงเจ้าเดียว แต่พฤติกรรมกลับทำและส่งเสริมบิดอะฮ ที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่า "อัสสุนนะฮ
อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) กล่าวว่า
أُصُولُ السُّنَّةِ عِنْدَنَا : التَّمَسُّكُ بِمَا كَانَ عَلَيْهِ أَصْحَابُ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَالِاقْتِدَاءُ بِهِمْ ، وَتَرْكُ الْبِدَعِ ، وَكُلُّ بِدْعَةٍ فَهِيَ ضَلَالَةٌ.....
รากฐานอัสสุนนะฮ ในทัศนะของเราคือ การยึดมั่น ด้วยสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยืนหยัดอยู่บนมัน ปฏิบัติตามพวกเขา , ทิ้งบรรดาบิดอะฮ และทุกบิดอะฮ มันคือ การหลงผิด, ...................– ชัรหุอุศูลอัลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 156 
....................
อิหม่ามอัลบัรบะฮารีย(ร.ฮ)ปราชญ์สะลัฟ กล่าวว่า
والسنة ما سنه رسول الله صلى الله عليه وسلم والجماعة ما اجتمع عليه أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم في خلافة أبي بكر وعمر وعثمان
อัสสุนนะฮ คือ สิ่งที่รซูลลอฮ ศอ็ลฯได้กำหนดมันให้เป็นแบบอย่าง และอัลญะมาอะฮคือ สิ่งที่บรรดาสาวกของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ในยุคเคาะลิฟะฮอบูบักรฺ,อุมัร และอุษมานได้รวมกันอยู่บนมัน - ชัรหุอัสสุนนะฮหน้า 45
อัลมะนาวีย์(ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
قال أبو شامة: حيث جاء الأمر بلزوم الجماعة فالمراد به لزوم الحق وإتباعه وإن كان المتمسك به قليلا والمخالف كثيرا أي الحق هو ما كان عليه الصحابة الأول من الصحب ولا نظر لكثرة أهل الباطل بعدهم
อบูชามะฮ ได้กล่าวว่า โดยที่คำสั่งได้มีมาให้ยึดญะมาอะฮ หมายถึง ให้ยึดมั่น ในสัจธรรม และปฏิบัติตามมัน แม้ว่าผู้ที่ยึดถือมันมีจำนวนน้อย และผู้ที่ขัดแย้งมีจำนวนมากก็ตาม หมายถึงอัลหัก คือ สิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮยุคแรกดำเนินอยู่บนมัน และไม่มีการพิจารณา กับจำนวนมากของผู้ที่อยู่บนความเท็จยุคหลังจากพวกเขา - ฟัยดุลเกาะดัร 4/99
...............
สรุปว่า ชาวอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮของแท้ ต้องไม่ทำและไม่ส่งเสริมบิดอะฮ และคำว่า หมู่คณะ(ญะมาอะฮ) คือ ผู้ที่ยึดมั่นในความจริง(อัลหัก) และปฏิบัติตาม แม้จะมีจำนวนน้อย และจำนวนมากที่อยู่บนความเท็จย่อมไม่ได้รับการพิจารณา เพราะฉะนั้น หยุดโอ้อวดว่าเป็นชนหมู่มากเถิด หากยังคงไม่ละทิ้งบิดอะฮและดำเนินอยู่บนความเท็จ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/6/59

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แปดรอ็กอัต ไม่ใช่ละหมาดตารอเวียะจริงหรือ




แปดรอ็กอัต ไม่ใช่ละหมาดตารอเวียะจริงหรือ
Re: จำนวนรอกาอัตในการละหมาดตารอเวี๊ยะ By: al-azhary Date: ก.ย. 17, 2007, 06:42 AM
การละหมาดตะรอวิห์
คำว่าอัตตะรอวิหฺ (التراويح ) หมายถึง การหยุดพัก ในเชิงภาษาอาหรับ คือ เป็นพหูพจน์จากคำว่า อัตตัรวีหะฮ์ (الترويحة ) ท่านอิบนุ มันซูร (إبن منظور ) ให้คำนิยามไว้ว่า "อัตตัรวิหะฮ์ (الترويحة ) ในเดือนรอมะฏอน ซึ่งที่ถูกเรียกแบบดังกล่าว เพราะผู้คน(ที่ละหมาด)จะทำการหยุดพักทุก ๆ สี่ร่อกะอัต , ในการพูดว่า ละหมาดตะรอวิหฺนั้น เพราะว่า พวกเขาจะทำการหยุดพัก(ละหมาด)ระหว่างการให้สะลามทุก ๆ สองครั้ง (คือทุกสี่รอกะอัต) และคำว่า อัตตะรอวิหฺ (التراويح ) เป็นพหูพจน์จากคำว่า อัตตัรวิหะฮ์ (الترويحة ) ซึ่งหมายถึง พักหนึ่งครั้ง..." ดู หนังสือ ลิซาน อัลอาหรับ เล่ม 1 หน้า 615
หากพิจารณาคำนิยามในเชิงภาษา ก็ปรากฏชัดแล้วว่าการละหมาดตะรอวิห์นั้นมีมากกว่า 8 รอกะอัต เพราะการหยุดพักหนึ่งครั้ง(الترويحة )หลังจากละหมาด 4 ร่อกะอัต หากหยุดพัก 2 ครั้ง ( الترويحتان ) หลังจากละหมาดมาแล้ว 8 ร่อกะอัต ดังนั้น การละหมาด 8 ร่อกะอัต จึงไม่เรียกว่าละหมาด (التراويح ) ในเชิงของคำนิยามละหมาดตะรอวิหฺ เนื่องจากคำว่าตะรอวิหฺ(التراويح )นั้น ต้องหยุดพักหลาย ๆ ครั้ง หรือมากกว่าสองครั้งขึ้นไป 
......................
@@@
ข้างต้น เป็นข้อเขียนของ ผู้มีนามว่า al-azhary ในเว็บสะติวเด้น ที่ถูกนำมาเป็นข้ออ้างของหลายๆคนว่า "ละหมาด 8 รอ็กอะฮ ที่ท่านนบีปฏิบัตินั้น ไม่ใช่ละหมาดตารอเวียะ จึงขอนำมาชี้แจงอีกครั้งว่า เท็จจริงอย่างไร เพราะถูกนำมาอ้างอยู่ร่ำไป มิได้มีเจตนาอย่างอื่น แต่เพื่อให้ความจริงปรากฏ เท่านั้น
เช็คบินบาซ กล่าวว่า
أما التراويح : فهي تطلق عند العلماء على قيام الليل في رمضان أول الليل ، مع مراعاة التخفيف وعدم الإطالة ، ويجوز أن تسمى تهجدا ، وأن تسمى قياما لليل ، ولا مشاحة في ذلك ، والله الموفق "
สำหรับ ละหมาดตะรอเวียะนั้น ในทัศนะนักวิชาการ มันถูกให้หมายถึง การละหมาดกิยามุลลัยลฺ(ละหมาดยามค่ำคืน) ในเดือนเราะมะฎอน ในช่วงแรกของกลางคืน พร้อมกับ ให้ละหมาดสั้นๆ และไม่อ่านยาวๆ และอนุญาตให้เรียกว่า “ตะฮัจญุด” และให้เรียกว่า กิยามุลลัยลฺ” ก็ได้ และไม่ได้มีความแตกต่างในดังกล่าว วัลลอฮุลมุวัฟฟิก
"فتاوى الشيخ ابن باز" (11/ 317
ในหะดิษเรียก เรียกการละหมาดในยามคำคือเดือนเราะมาฏอนว่า “กิยามุเราะมะฏอน” ดังหะดิษ
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
مَنْ قَامَ رَمَضَانَ إِيْمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَلَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ
“ผู้ใดยืน(นมาซยามค่ำคืน)ในเดือนรอมะฎอน ด้วยความศรัทธาและแสวงหาผลบุญจากอัลลอฮ์ เขาก็จะถูกอภัยโทษให้ในบาป(เล็ก)ของเขาที่ผ่านมาแล้ว”
(บันทึกโดย ท่านบุคอรีย์, ท่านมุสลิมและท่านอื่นๆ โดยรายงานมาจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ร.ฎ.) ...
คำว่า قَامَ رَمَضَانَ กับคำว่า قِيَامُ رَمَضَانَ มีที่มาจากรากศัพท์เดียวกันและมีความหมายอย่างเดียวกัน .. คือ การยืนนมาซยามค่ำคืนในเดือนรอมะฎอน ...
ส่วน ชื่อคำว่า ละหมาดตะรอเวียะ เป็นการเรียก ในยุคหลัง
และอัลหาฟิซ อิบนุหะญัร กล่าว ถึงหะดิษที่นบีละหมาดกิยามุเราะมะฎอน กับเหล่าเศาะหาบะฮ ว่า
، وَلَمْ أَرَ فِي شَيْءٍ مِنْ طُرُقِهِ بَيَانَ عَدَدِ صَلَاتِهِ فِي تِلْكَ اللَّيَالِي ، لَكِنْ رَوَى ابْنُ خُزَيْمَةَ ، وَابْنُ حِبَّانَ مِنْ حَدِيثِ جَابِرٍ ، قَالَ : صَلَّى بِنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي رَمَضَانَ ثَمَانِ رَكَعَاتٍ ، ثُمَّ أَوْتَرَ
และข้าพเจ้า ไม่พบ ในสิ่งใดๆจากบรรดาสายรายงานของมัน อธิบายจำนวนเราะกะอัตของการละหมาดของท่านนบี ในคืนดังกล่าวนั้น แต่ อิบนุคุซัยมะฮ ,อิบนุหิบบาน ได้รายงานจากญาบีร ว่า เขากล่าวว่า “รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้ละหมาดกับพวกเราในเดือนเราะมะฏอน 8 รอ็กอะฮ หลังจากนั้น ท่านได้ละหมาด วิตร فتح الباري : 3 / 12
>>>>>>>>
ท่านอัลหาฟิซอิบนุหะญัร ระบุเองว่า ท่านนบี ศอ็ล ฯ ละหมาดในเดือนเราะมะฏอน กับ เศาะหาบะฮ 8 รอ็กอัต และหลังจากนั้น ก็ละหมาดวิตรฺ ถ้า ละหมาดนั้น ไม่ใช่กิยามุเราะมะฎอน หรือละหมาดตะรอเวียะ แล้วมีละหมาดอะไรอีกหรือ
มุหัมหมัด บิน อับดุลบากีย์ บิน ยูซูฟ อัซซัรกอนีย์ อัลมิศรีย์ อัลอัซฮะรีย์ ได้กล่าวไว้ใน หนังสือของเขา ในเรื่อง ละหมาดในเดือนเราะมะฎอน(كِتَابُ الصَّلَاةِ فِي رَمَضَانَ )ว่า
وَأَمَّا عَدَدُ مَا صَلَّى فَفِي حَدِيثٍ ضَعِيفٍ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ : " أَنَّهُ صَلَّى عِشْرِينَ رَكْعَةً وَالْوِتْرَ " أَخْرَجَهُ ابْنُ أَبِي شَيْبَةَ .
وَرَوَى ابْنُ حِبَّانَ عَنْ جَابِرٍ : " أَنَّهُ صَلَّى بِهِمْ ثَمَانَ رَكَعَاتٍ ثُمَّ أَوْتَرَ " وَهَذَا أَصَحُّ .
وَقَالَ الْحَافِظُ : لَمْ أَرَ فِي شَيْءٍ مِنْ طُرُقِهِ أَيْ حَدِيثِ عَائِشَةَ بَيَانَ عَدَدِ صَلَاتِهِ فِي تِلْكَ اللَّيَالِي ، لَكِنْ رَوَى ابْنُ خُزَيْمَةَ وَابْنُ حِبَّانَ عَنْ جَابِرٍ : " صَلَّى بِنَا رَسُولُ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - فِي رَمَضَانَ ثَمَانَ رَكَعَاتٍ ثُمَّ أَوْتَرَ فَلَمَّا كَانَتِ الْقَابِلَةُ اجْتَمَعْنَا فِي الْمَسْجِدِ وَرَجَوْنَا أَنْ يَخْرُجَ إِلَيْنَا حَتَّى أَصْبَحْنَا ثُمَّ دَخَلْنَا فَقُلْنَا : يَا رَسُولَ اللَّهِ " الْحَدِيثَ
และสำหรับจำนวนของสิ่งที่เขา(นบี)ได้ละหมาดนั้น ในหะดิษเฎาะอีฟ จากอิบนุอับบาส ว่า "แท้จริง ท่านนบีได้ละหมาด 20 รอ็กอัต และละหมาดวิตร - บันทึกโดยอิบนุอบีชัยบะฮ
และอิบนุหิบบาน ได้รายงานจากญาบีร ว่า นบีละหมาดกับพวกเขา 8 รอ็กอัต หลังจากนั้นท่านนบีได้ละหมาดวิตร และหะดิษนี้ถูกต้องกว่า
และอัลหาฟิซ(หมายถึงอิบนุหะญัรอัลอัสเกาะลานีย์) กล่าวว่า "และข้าพเจ้า ไม่พบ ในสิ่งใดๆจากบรรดาสายรายงานของมัน อธิบายจำนวนเราะกะอัตของการละหมาดของท่านนบี ในคืนดังกล่าวนั้น แต่ อิบนุคุซัยมะฮ ,อิบนุหิบบาน ได้รายงานจากญาบีร ว่า เขากล่าวว่า “รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้ละหมาดกับพวกเราในเดือนเราะมะฏอน 8 รอ็กอะฮ หลังจากนั้น ท่านได้ละหมาด วิตร ,เมื่อคืนถัดมา พวกเรารวมตัวกันที่มัสยิด และพวกเราหวังว่า ท่านนบีจะออกมาหาเรา จนกระทั้งรุ่งอรุณ หลังจากนั้น เราได้เข้ามา แล้วเรากล่าวว่า "โอ้ท่านรซูลุลลอฮ ...จนจบหะดิษ - ดูชัรหฺอัซซัรกอนีย์ อะลัลมุวัตเฏาะอิหม่ามมาลิก เรื่อง การส่งเสริมให้ละหมาดเดือนเราะมะฎอน (بَابُ التَّرْغِيبِ فِي الصَّلَاةِ فِي رَمَضَانَ )
อิหม่ามอัชเชากานีย์ ได้ระบุ 2 หะดิษต่อไปนี้ไว้ในเรื่อง ละหมาดตะรอเวียะ โดยตั้งชื่อเรื่องว่า 
باب صلاة التراويح 
แล้วท่านได้ระบุหะดิษต่อไปนี้ไว้ในเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า
، وَأَمَّا الْعَدَدُ الثَّابِتُ عَنْهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي صَلَاتِهِ فِي رَمَضَانَ ، فَأَخْرَجَ الْبُخَارِيُّ وَغَيْرُهُ عَنْ عَائِشَةَ أَنَّهَا قَالَتْ { مَا كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَزِيدُ فِي رَمَضَانَ وَلَا فِي غَيْرِهِ عَلَى إحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً } .
และสำหรับจำนวนรอ็กอะฮ ที่ยืนยันรายงานจาก ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในการละหมาดของท่านในเดือนเราะมะฏอน ,อัลบุคอรีย์และคนอื่นจากเขา ได้รายงานจาก อาอีฉะฮว่า นางกล่าวว่า “ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยละหมาดในหรือนอกรอมฎอนเกินกว่า 11 ร๊อกอะฮ์ 
และอีกหะดิษที่อิหม่ามเชากานีย์ ระบุคือ
وَأَخْرَجَ ابْنُ حِبَّانَ فِي صَحِيحِهِ مِنْ حَدِيثِ جَابِرٍ { أَنَّهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى بِهِمْ ثَمَانِ رَكَعَاتٍ ثُمَّ أَوْتَرَ } . 
และอิบนุหิบบาน ได้บันทึกในเศาะเฮียะของเขา จากหะดิษญาบีรว่า “แท้จริง “ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ละหมาดกับพวกเขา 8 รอ็กอะฮ หลังจากนั้น ท่านได้ละหมาดวิตร - ดู นัยลุลเอาฏอร เล่ม 3 หน้า 66 
>>>>>>>>>>> 
โต๊ะครูบางคน ที่อ้างว่า 8 รอ็กอะฮ ไม่ใช่ละหมาดตะรอเวียะ แล้วไปถ่ายทอด ชาวบ้านสับสน วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/5/59

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หลักการมัซฮับชาฟิอีที่ผู้สังกัดมัซฮับชาฟิอีควรรู้




หลักการมัซฮับชาฟิอีที่ผู้สังกัดมัซฮับชาฟิอีควรรู้
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَاَمَّااَنْ نُخَالِفَ حَدِيْثًا عَنْ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثَابِتًا عَنْهُ فَاَرْجُوْا اَنْ لاَ يُؤْخَذُ ذَلِكَ عَلَيْنَا اِنْ شَآءَ اللهُ وَلَيْسَ ذَلِكَ ِلاَحَدٍ وَلَكِنْ قَدْ يَجْهَلُ الرَّجُلُ السُّنَّةَ فَيَكُوْنُ لَهُ قَوْلٌ يُخَالَفُهَا لاَ اَنَّهُ عَمَدَ خِلاَفهَا وَقَدْ يَغْفلُ وَيُخْطِىءُ فِى التَّاْوِيْلِ.
และสำหรับ การที่เราขัดแย้งหะดิษใด จากรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ที่ยืนยันแน่นอนจากท่าน ข้าพเจ้าหวังว่า เราจะไม่ถูกเอาผิด ดังกล่าว อินชาอัลลอฮ 
ดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด ยกเว้นในกรณีเขาไมรู้ อัสสุนนะฮ แล้วปรากฏว่า คำพูดใดๆของเขาขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ โดยเขาไม่ได้เจตนา ขัดแย้งมัน และ บางทีเขาพลั้งเผลอ และบางที่เขาผิดพลาดในการอธิบายมัน ....... ดู อัรริสาละฮ หน้า 595 
จากคำพูดของอิหม่ามชาฟิอี ท่านบอกว่า ไม่อนุญาตให้บุคคลใด ขัดแย้งกับสุนนะฮนบี ยกเว้นในกรณี เขาไม่รู้ แล้วแสดงทัศนะใดออกมาขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ โดยไม่เจตนา อันเนื่องมาจากการเผลอตัว หรืออธิบายผิดพลาด
อบูชามะฮ ปราชญ์มัซฮับชาฟิอีกล่าวว่า
فالواجب على العالم فيما يَرِدُ عليه من الوقائع وما يُسألُ عنهُ من الشرائعِ : الرجوعُ إلى ما دلَّ عليهِ كتابُ اللهِ المنزَّلُ، وما صحَّ عن نبيّه الصادق المُرْسَل، وما كان عليه أصحابهُ ومَن بعدَهم مِن الصدر الأول، فما وافق ذلك؛ أذِنَ فيه وأَمَرَ، وما خالفه؛ نهى عنه وزَجَرَ، فيكون بذلك قد آمَنَ واتَّبَعَ، ولا يستَحْسِنُ؛ فإنَّ (مَن استحسن فقد شَرَعَ).
วาญิบ เหนื่อผู้มีความรู้ ต่อสิงต่างๆที่เกิดขึ้น บนเขา และสิ่งที่เขาถูกถามจากมัน เกียวกับบรรดาบทบัญญัติ คือ การกลับไปยังสิ่งที่ คัมภีร์ของอัลลอฮที่ถูกประทานลงมา ได้แสดงบอกบนมัน และสิ่ง(หะดิษ)ที่เศาะเฮียะจากนบี ของพระองค์ ผู้มีสัจจะ และผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรอซูล และสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮของท่านนบี และผู้ทีอยู่ยุคหลังจากเขาในยุคแรกได้ยืนหยัดอยู่บนมัน ดังนั้น สิ่งใด สอดคล้อง ดังกล่าวนั้น เขาก็ได้รับอนุญาตและถูกสั่ง ในมัน และสิ่งใดขัดแย้ง มัน เขาก็ถูกห้ามและถูกเตือนให้ระวังจากมัน แล้วด้วยดังกล่าวนั้น เขาได้ศรัทธาและปฏิบัติตาม และเขาอย่าได้ พูดว่าดีตามความคิดเห็น เพราะแท้จริง ผู้ใด พูดว่าดีตามความคิดเห็น แน่นอนเขาได้บัญญัติ บทบัญญัติศาสนา(ขึ้นใหม่) - ดู อัลบาอิษ อะลาอิงกะริลบิดอิ วัล อะหาดิษ ของอบูชามะฮ หน้า 50 
จากคำพูดข้องต้นสรุปว่า 
1. ให้ผู้รู้นำประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นและที่มีผู้ถามไปตรวจสอบกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ 
2. ถ้าสิ่งนั้นตรงกับอัลกุรอ่นและอัสสุนนะฮ ถือว่าเป็นสิ่งอนุญาตและเป็นคำสั่งใช้ 
3. ถ้าสิ่งนั้นขัดแย้งกับอัลกุรอ่นและอัสสุนนะฮ ถือว่าเป็นสิ่งถูกห้ามและเป็นสิ่งที่เตือนให้ระวัง 
จะมีสักกี่คน ผู้รู้ที่อ้างว่าตามมัซฮับชาฟิอี ปฏิบัติตามหลักการข้างต้น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/6/59