
วาทกรรมของคนแยกเรื่องอิบาดะฮกับอาดะฮไม่ได้
อิจมาอีย์ บินกิยะซีย์
ใครๆก็ทำบิดอะคับ..เวาะสัน..โดยเฉพาะ วะหบีย์ก็ทำ
เพราะบิดอะคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่.มากมาย อ้างว่างานศาสนา..
ฉะนั้น.การที่จะมาอ้างว่า ตนเองไม่เคยกระทำ(บิดอะ)ในสิ่งใหม่ๆนั้น..ถือว่าฟังไม่ขึ้นคับ และเป็นการโกหกมดเท็จ..
เช่น...
วะหบีย์บ้านเรา มีการเผยแพร่ศาสนาทางทีวี วิทยุ..ในสมัยท่านนบีไม่มี
วะหบีย์ เลี้ยงโตะจีนอ้างว่าเป็นการหากทุนในงานศาสนา
วะหบีย์ สร้างละครหรือภาพยนต์..อ้างว่าเผยแพร่ศาสนา..
เพราะที่ยกมานี้..เกี่ยวกับงานศาสนาทั้งนั้น..
ถึงแม้เวาะสันจะอ้างตามการแบ่งบิดอะตามเชควะหบีย์ว่าบิดอะมี 2 แบบคือ
บิดอะดุนยาและบิดอะศาสนาก็ตาม มันก็อยู่ในความหมายคำว่าบิดอะทั้งเพ
เพราะบิดอะคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่.มากมาย อ้างว่างานศาสนา..
ฉะนั้น.การที่จะมาอ้างว่า ตนเองไม่เคยกระทำ(บิดอะ)ในสิ่งใหม่ๆนั้น..ถือว่าฟังไม่ขึ้นคับ และเป็นการโกหกมดเท็จ..
เช่น...
วะหบีย์บ้านเรา มีการเผยแพร่ศาสนาทางทีวี วิทยุ..ในสมัยท่านนบีไม่มี
วะหบีย์ เลี้ยงโตะจีนอ้างว่าเป็นการหากทุนในงานศาสนา
วะหบีย์ สร้างละครหรือภาพยนต์..อ้างว่าเผยแพร่ศาสนา..
เพราะที่ยกมานี้..เกี่ยวกับงานศาสนาทั้งนั้น..
ถึงแม้เวาะสันจะอ้างตามการแบ่งบิดอะตามเชควะหบีย์ว่าบิดอะมี 2 แบบคือ
บิดอะดุนยาและบิดอะศาสนาก็ตาม มันก็อยู่ในความหมายคำว่าบิดอะทั้งเพ
@@@@@
ชี้แจง
ชี้แจง
ข้างต้นคือ ผลของการไม่รู้จักแยกแยะเรื่องศาสนาที่เกี่ยวกับ เรื่องอิบาดะฮ กับ เรื่อง อาดะฮ แล้วเอาสองเรื่องมาปนกัน เลยผลผลิตออกมาคือ นบีไม่ทำก็ทำได้
ถ้าเราไปดูหลักอุศูลุลฟิกฮ นักกฏหมายอิสลาม ได้กำหนดหลักการในการพิจารณาหุกุมไว้ดังนี้
أَمَّا الْعَادَاتُ فَهِيَ مَا اعْتَادَهُ النَّاسُ فِي دُنْيَاهُمْ مِمَّا يَحْتَاجُونَ إِلَيْهِ ، وَالْأَصْلُ فِيهِ عَدَمُ الْحَظْرِ ، فَلَا يُحْظَرُ مِنْهُ إِلَّا مَا حَظَرَهُ اللَّهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى . وَذَلِكَ ؛ لِأَنَّ الْأَمْرَ وَالنَّهْيَ هُمَا شَرْعُ اللَّهِ ، وَالْعِبَادَةُ لَا بُدَّ أَنْ يَكُونَ مَأْمُورًا بِهَا ، فَمَا لَمْ يَثْبُتْ أَنَّهُ مَأْمُورٌ بِهِ كَيْفَ يُحْكَمُ عَلَيْهِ بِأَنَّهُ [عِبَادَةٌ ؟ ! وَمَا لَمْ يَثْبُتْ مِنَ الْعِبَادَاتِ أَنَّهُ مَنْهِيٌّ عَنْهُ كَيْفَ يُحْكَمُ عَلَى أَنَّهُ مَحْظُورٌ
สำหรับ เรื่องอาดาต คือ สิ่งที่บรรดามนุษย์ ได้ปฏิบัติมันเป็นธรรมเนียม ใน ทางดุนยาของพวกเขา จากสิ่งที่เขามีความจำเป็นต่อมัน และรากฐาน ในมันนั้น ไม่ห้าม ดังนั้นเขาจะไม่ถูกห้ามจากมัน นอกจาก สิ่งที่อัลลอฮ ซ.บ. ทรงห้ามมันไว้ และดังกล่าวนั้น เพราะแท้จริง คำสั่งใช้ และคำสั่งห้าม ทั้งสองคือ บทบัญญัติของอัลลอฮ และ อิบาดะฮนั้น จำเป็นจะต้อง เป็นสิ่งที่ถูกสั่งใช้ ด้วยมัน ดังนั้นสิ่งใด ไม่ปรากฏยืนยัน ว่า มันคือสิ่งที่ถูกสั่งใช้ ด้วยมัน มันจะถูกตัดสินว่า คือ อิบาดะฮได้อย่างไร ? และ สิ่งที่ไม่ปรากฏยืนยันจากอิบาดาต ว่า ถูกห้ามจากมัน มันจะถูกตัดสินว่า เป็นสิ่งถูกห้ามได้อย่างไร
وَلِهَذَا كَانَ أحمد وَغَيْرُهُ مِنْ فُقَهَاءِ أَهْلِ الْحَدِيثِ يَقُولُونَ : إِنَّ الْأَصْلَ فِي الْعِبَادَاتِ التَّوْقِيفُ ، فَلَا يُشْرَعُ مِنْهَا إِلَّا مَا شَرَعَهُ اللَّهُ ، وَإِلَّا دَخَلْنَا فِي مَعْنَى قَوْلِهِ تَعَالَى : ( أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ ) [الشُّورَى
และ เพราะเหตุนี้ ปรากฏว่า อะหมัด และคนอื่นจากเขา จากบรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม(ฟุเกาะฮาอ)ที่เป็นนักหะดิษ พวกเขาจึงกล่าวว่า
และแท้จริงรากฐาน(หลักการ) ในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง (อัตเตากีฟ)ดังนั้นมันจะไม่ถูกบัญญัติ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮตะอาลาได้บัญญัติมัน และถ้าไม่เช่นนั้นเราก็จะเข้าอยู่ในความหมายของคำตรัสพระองค์ที่ว่า “หรือพวกเขามีบรรดาภาคี บัญญัติศาสนาให้แก่พวกเขาสิ่งซึ่งอัลลอฮมิได้ทรงอนุญาตด้วยมัน- อัชชูรอ/21
และแท้จริงรากฐาน(หลักการ) ในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง (อัตเตากีฟ)ดังนั้นมันจะไม่ถูกบัญญัติ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮตะอาลาได้บัญญัติมัน และถ้าไม่เช่นนั้นเราก็จะเข้าอยู่ในความหมายของคำตรัสพระองค์ที่ว่า “หรือพวกเขามีบรรดาภาคี บัญญัติศาสนาให้แก่พวกเขาสิ่งซึ่งอัลลอฮมิได้ทรงอนุญาตด้วยมัน- อัชชูรอ/21
وَالْعَادَاتُ الْأَصْلُ فِيهَا الْعَفْوُ ، فَلَا يُحْظَرُ مِنْهَا إِلَّا مَا حَرَّمَهُ ، وَإِلَّا دَخَلْنَا فِي مَعْنَى قَوْلِهِ : ( قُلْ أَرَأَيْتُمْ مَا أَنْزَلَ اللَّهُ لَكُمْ مِنْ رِزْقٍ فَجَعَلْتُمْ مِنْهُ حَرَامًا وَحَلَالًا
และบรรดาอาดาตนั้น รากฐาน ในมันนั้น คือ การอนุญาต เขาจะไม่ถูกห้ามจากมัน นอกจากสิ่งที่ พระองค์ได้ห้ามมันเอาไว้ ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะเข้าอยู่ใน ความหมายของคำตรัสอัลลอฮที่ว่า
จงกล่าวเถิด "พวกท่านเห็นไหมเครื่องยังชีพที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่พวกท่าน แล้วพวกท่านได้ทำให้บางส่วนเป็นที่ต้องห้าม และบางส่วนเป็นที่อนุมัติ จงกล่าวเถิด อัลลอฮฺ ทรงอนุมัติให้แก่พวกท่าน หรือพวกท่านปั้นแต่งให้แก่อัลลอฮฺกันแน่ –ยูนุส759 - ดู อัล-เกาะวาอีดอันนูรอนียะฮ หน้า 163-164 ,อัลฟะตาวาอัลกุบรอ เล่ม 4 หน้า 12-13
จงกล่าวเถิด "พวกท่านเห็นไหมเครื่องยังชีพที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่พวกท่าน แล้วพวกท่านได้ทำให้บางส่วนเป็นที่ต้องห้าม และบางส่วนเป็นที่อนุมัติ จงกล่าวเถิด อัลลอฮฺ ทรงอนุมัติให้แก่พวกท่าน หรือพวกท่านปั้นแต่งให้แก่อัลลอฮฺกันแน่ –ยูนุส759 - ดู อัล-เกาะวาอีดอันนูรอนียะฮ หน้า 163-164 ,อัลฟะตาวาอัลกุบรอ เล่ม 4 หน้า 12-13
อิบนุอับดิลบัร(ร.ฮ) กล่าวว่า
وأمَّا ابتداع الأشياء من أعمال الدنيا فهذا لا حرج فيه ولا عيب على فاعله»، والبدع في الدين كلُّها مذمومةٌ وليس فيها ما هو محمودٌ،
และสำหรับการประดิษฐสิ่งต่างๆขึ้นมาใหม่ จากบรรดาการปฏิบัติทางดุนยา(ทางโลก) กรณีนี้ ไม่เป็นไร และไม่มีการตำหนิ บนผู้ผู้ที่กระทำมัน และบรรดาบิดอะฮ ใน เรื่องศาสนานั้น ทั้งหมด คือสิ่งที่ถูกตำหนิ และไม่มีสิ่งที่ถูกสรรเสริญในมัน - ดู อัลอิซติซกัร เล่ม หน้า 153

............
สรุปคือ
1.บิดอะฮที่เกี่ยวกับทางดุนยานั้น ผู้กระทำไม่ถูกตำหนิ
2. บิดอะฮที่เกี่ยวกับอิบาดะฮนั้น คือ สิ่งที่ถูกตำหนิ ไม่มีสิ่งที่ถูกสรรเสริญ คือ ไม่มีบิดอะฮหะสะนะฮ
ชัยค์อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) กล่าวว่า
الفرق بين العادة والعبادة : أن العبادة ما أمر الله به ورسوله تقرباً إلى الله ، وابتغاءً لثوابه ، وأما العادة فهي ما اعتاده الناس فيما بينهم من المطاعم والمشارب والمساكن والملابس والمراكب والمعاملات وما أشبهها
ความแตกต่างระหว่าง อาดะฮ กับ อิบาดะฮ คือ แท้จริง อิบาดะฮ นั้น คือ สิ่งที่อัลลอฮ และรอซูลของพระองค์ได้สั่งด้วยมัน เพื่อให้แสดงความใกล้ชิด(อิบาดะฮ)ต่ออัลลอฮ และเพื่อแสวงหาการตอบแทนของพระองค์ และสำหรับอาดะฮ นั้น คือ สิ่งที่มนุษย์ได้ ปฏิบัติมันเป็นธรรมเนียม /เป็นปกติวิสัย ในระหว่างพวกเขา เช่น อาหาร .เครื่องดื่ม,ที่อยู่อาศัย ,เครื่องนุ่งห่ม ,ยานพาหนะ ,การปฏิสัมพันธ์ เป็นต้น - ดู ลิกออุลบาบอัลมัฟตูหฺ 2/72
.............
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ก็จะเห็นได้ว่า หากไม่เข้าใจแยกแยะเรื่องศาสนา ที่เกี่ยวกับอิบาดะฮ และ อาดะฮ และไม่รู้จักแยกแยะ ระหว่างบิดอะฮในทางภาษาและบิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ ก็จะมีผลตามมาคือ การกำหนดคำสอนศาสนากันเองโดยผู้รู้โดยอ้างว่าดี หรือ บิดอะฮหะสะนะฮเต็มบ้านเต็มเมืองจนคนอาวามแยกไม่ออกว่า อันใดคำสอนที่แท้จริงของศาสนาอิสลามที่มาจากวะหยูของอัลลอฮ ผ่านการถ่ายทอดของนบีมุหัมหมัดศอ็ลฯ
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ก็จะเห็นได้ว่า หากไม่เข้าใจแยกแยะเรื่องศาสนา ที่เกี่ยวกับอิบาดะฮ และ อาดะฮ และไม่รู้จักแยกแยะ ระหว่างบิดอะฮในทางภาษาและบิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ ก็จะมีผลตามมาคือ การกำหนดคำสอนศาสนากันเองโดยผู้รู้โดยอ้างว่าดี หรือ บิดอะฮหะสะนะฮเต็มบ้านเต็มเมืองจนคนอาวามแยกไม่ออกว่า อันใดคำสอนที่แท้จริงของศาสนาอิสลามที่มาจากวะหยูของอัลลอฮ ผ่านการถ่ายทอดของนบีมุหัมหมัดศอ็ลฯ
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/6/60
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/6/60
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น