
ตรรกทางปัญญาเดิมๆของอะฮลุลกาลาม
Matty Ibnufatim Hamady
22 ตุลาคม เวลา 8:09 น. ·
ในตัฟซีรของท่าน อีหม่าม อัลบัยฎอวีย์ ( ฮ.ศ 685) ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า อัลลอฮ์ไม่ต้องการทรงสถานที่ เเละปราศจาก การมีสถานที่
ดูคำว่า منزه عن التحيز والحلول
คำว่า التحيز มาจากคำว่า تحيز ซึ่งคือ การต้องการสถานที่ ( انحصر فى مكان)
ดังนั้น อย่าไปยึดว่า อัลลอฮ์ มีสถานที่ คนที่ยึดว่า อัลลอฮ์ มีสถานที่ อ้างหลักฐานซอนนีย์ ไม่ใช่ กอตอีย์ ........
เราต้องไปยึดอายัตมุฮฺกามาต ซึ่งมาจากคำว่า มุฮฺกะมะห์ หรือ ภาษาบ้าน เรียกว่า อายัต กือมะห์ ( เเข็งเเรง) มาจากคำว่า احكم
หลักฐานที่ซอนนีย์ ไม่สามารถเป็นหลักฐานให้เรายึดได้........การยึดว่า อัลลอฮ์มีสถานที่ เป็นการยึดของพวกมุยัสสิมะห์ เเละมุชับบิฮะห์ ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมเเก่พระเจ้า เพราะสถานที่ คือ สิ่งที่ถูกสร้าง ผู้สร้างไม่อาศัยสถานที่ เพราะมีซีฟัต قيامه بنفسه หากพระองค์ต้องการสถานที่ จะกลายเป็น قيامه بغيره
ท่าน อะบูอิสฮาคกล่าวว่า คำว่า قيامه بنفسه หมายถึง พระองค์ทรง المستغنى عن المحل والمخصص ( ทรงปราศจากสถาที่เเละสิ่งที่กำหนดพระองค์)
22 ตุลาคม เวลา 8:09 น. ·
ในตัฟซีรของท่าน อีหม่าม อัลบัยฎอวีย์ ( ฮ.ศ 685) ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า อัลลอฮ์ไม่ต้องการทรงสถานที่ เเละปราศจาก การมีสถานที่
ดูคำว่า منزه عن التحيز والحلول
คำว่า التحيز มาจากคำว่า تحيز ซึ่งคือ การต้องการสถานที่ ( انحصر فى مكان)
ดังนั้น อย่าไปยึดว่า อัลลอฮ์ มีสถานที่ คนที่ยึดว่า อัลลอฮ์ มีสถานที่ อ้างหลักฐานซอนนีย์ ไม่ใช่ กอตอีย์ ........
เราต้องไปยึดอายัตมุฮฺกามาต ซึ่งมาจากคำว่า มุฮฺกะมะห์ หรือ ภาษาบ้าน เรียกว่า อายัต กือมะห์ ( เเข็งเเรง) มาจากคำว่า احكم
หลักฐานที่ซอนนีย์ ไม่สามารถเป็นหลักฐานให้เรายึดได้........การยึดว่า อัลลอฮ์มีสถานที่ เป็นการยึดของพวกมุยัสสิมะห์ เเละมุชับบิฮะห์ ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมเเก่พระเจ้า เพราะสถานที่ คือ สิ่งที่ถูกสร้าง ผู้สร้างไม่อาศัยสถานที่ เพราะมีซีฟัต قيامه بنفسه หากพระองค์ต้องการสถานที่ จะกลายเป็น قيامه بغيره
ท่าน อะบูอิสฮาคกล่าวว่า คำว่า قيامه بنفسه หมายถึง พระองค์ทรง المستغنى عن المحل والمخصص ( ทรงปราศจากสถาที่เเละสิ่งที่กำหนดพระองค์)
@@@@
ชี้แจง
นั่งเทียนมโน สร้างวาทกรรม ว่า ถ้าถ้ายึดตัวบท หรือยืนยันสิฟาตอัลลอฮตามตัวบท คือการให้สถานที่แก่อัลลอฮ และเป็นพวกมุญัสสิมะฮ มันคือ วาทกรรมเท็จที่อุปโลกน์ขึ้นมา เป็นอาวุธทำร้ายคนที่ยึดความหมายในทางภาษาตามที่อัลลอฮตาอาลาและรอซูล(ศอ็ลฯ) บอกไว้ในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
อัลกอฎี อบูยะอลา (ร.อ) ฮ.ศ 380 -458 ปราชญ์มัซฮับหัมบะลีย์ กล่าวว่า
أَعْلَمُ أَنَّهُ لا يَجُوزُ رَدُّ هَذِهِ الأَخْبَارِ عَلَى مَا ذَهَبَ إِلَيْهِ جَمَاعَةٌ مِنَ الْمُعْتَزِلَةِ ، وَلا التَّشَاغُلُ بِتَأْوِيلِهَا عَلَى مَا ذَهَبَ إِلَيْهِ الأَشْعَرِيَّةُ.
وَالْوَاجِبُ حَمْلُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا ، وَأَنَّهَا صِفَاتٌ لِلَّهِ تَعَالَى لا تُشْبِهُ سَائِرَ الْمَوْصُوفِينَ بِهَا مِنَ الْخَلْقِ ، وَلا نَعْتَقِدُ التَّشْبِيهَ فِيهَا ، لَكِنْ عَلَى مَا رُوِيَ عَنْ شَيْخِنَا وَإِمَامِنَا أَبِي عَبْدِ اللَّهِ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ حَنْبَلٍ ، وَغَيْرِهِ مِنْ أَئِمَّةِ أَصْحَابِ الْحَدِيثِ ، أَنَّهُمْ قَالُوا فِي هَذِهِ الأَخْبَارِ : أَمِرُّوهَا كَمَا جَاءَتْ ، فَحَمَلُوهَا عَلَى ظَاهِرِهَا فِي أَنَّهَا صِفَاتٌ لِلَّهِ تَعَالَى لا تُشْبِهُ سَائِرَ الْمَوْصُوفِينَ
أَعْلَمُ أَنَّهُ لا يَجُوزُ رَدُّ هَذِهِ الأَخْبَارِ عَلَى مَا ذَهَبَ إِلَيْهِ جَمَاعَةٌ مِنَ الْمُعْتَزِلَةِ ، وَلا التَّشَاغُلُ بِتَأْوِيلِهَا عَلَى مَا ذَهَبَ إِلَيْهِ الأَشْعَرِيَّةُ.
وَالْوَاجِبُ حَمْلُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا ، وَأَنَّهَا صِفَاتٌ لِلَّهِ تَعَالَى لا تُشْبِهُ سَائِرَ الْمَوْصُوفِينَ بِهَا مِنَ الْخَلْقِ ، وَلا نَعْتَقِدُ التَّشْبِيهَ فِيهَا ، لَكِنْ عَلَى مَا رُوِيَ عَنْ شَيْخِنَا وَإِمَامِنَا أَبِي عَبْدِ اللَّهِ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ حَنْبَلٍ ، وَغَيْرِهِ مِنْ أَئِمَّةِ أَصْحَابِ الْحَدِيثِ ، أَنَّهُمْ قَالُوا فِي هَذِهِ الأَخْبَارِ : أَمِرُّوهَا كَمَا جَاءَتْ ، فَحَمَلُوهَا عَلَى ظَاهِرِهَا فِي أَنَّهَا صِفَاتٌ لِلَّهِ تَعَالَى لا تُشْبِهُ سَائِرَ الْمَوْصُوفِينَ
โปรดทราบไว้เถิดว่า ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธบรรดาหะดิษเหล่านี้ (หมายถึงบรรดาหะดิษสิฟาต) ตามสิ่งที่ คณะหนึ่งจากมุอตะซิละฮ ได้มีทัศนะไปสู่มัน และ ไม่สาละวน กับการตีความมัน บนสิ่งที่อะชาอิเราะฮมีทัศนะไปสู่มัน และ วาญิบจะต้องถือมันบนความหมายที่ปรากฏของมัน และแท้จริง มันคือบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ ตาอาลา มันจะไม่ถูกเปรียบเทียบกับบรรดาผู้ที่ถูกอธิบายลักษณะอื่นๆด้วยมันจากบรรดามัคลูค และเราะจะไม่เชื่อว่า มีความคล้ายคลึงในมัน แต่ว่า (เรา)จะอยู่บน สิ่งที่ถูกรายงานจากครูของเราและอิหม่ามของเรา คือ อบีอับดุลลอฮ อะหมัด บิน มุหัมหมัด บิน หัมบัล และคนอื่นจากเขา จากบรรดานักปราชญที่เป็นนักหะดิษ แท้จริงพวกเขากล่าว เกี่ยวกับบรรดาหะดิษเหล่านี้ (หมายถึงหะดิษสิฟาต) ว่า ปล่อยมันให้ผ่านไป เช่นที่มันได้มีมา แล้วพวกเขาได้ถือมัน บน ความหมาย(ของถ้อยคำ)ที่ปรากฏของมัน ว่า แท้จริงมันคือ บรรดาสิฟาต ของอัลลอฮ ตาอาลา ไม่ถูกเปรียบเทียบกับบรรดาผู้ที่ถูกอธิบายลักษณะอื่นๆ- อิบฏอลุลตะวีล 1/43-44
คำว่า "حَمْلُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا " หมายถึง ถือบรรดาหะดิษสิฟาต บนความหมายจริงๆที่ปรากฏของถ้อยคำตามตัวบท
ดังที่อบูบักร์ อิบนิ อบี อาศิม ฮ.ศ 287 (ร.ฮ) กล่าวว่า
คำว่า "حَمْلُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا " หมายถึง ถือบรรดาหะดิษสิฟาต บนความหมายจริงๆที่ปรากฏของถ้อยคำตามตัวบท
ดังที่อบูบักร์ อิบนิ อบี อาศิม ฮ.ศ 287 (ร.ฮ) กล่าวว่า
وجميع ما في كتابنا كتاب السنة الكبير الذي فيه الأبواب من الأخبار التي ذكرنا أنها توجب العلم، فنحن نؤمن بها لصحتها، وعدالة ناقليها، ويجب التسليم لها على ظاهرها، وترك تكلف الكلام في كيفيتها
และบรรดา สิ่ง ที่อยู่ในหนังสือของเรา คือ กิตาบอัสสุนนะฮอัลกะบีร ซึ่งในนั้นระบุ บรรดาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับบรรดาหะดิษ ที่เราได้ระบุไว้ว่า "แท้จริง มัน จะถูกให้จำเป็นต้องรู้ ดังนั้นเรา ศรัทธาด้วยมัน เพราะมันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ และบรรดาผู้รายงานมันมีความยุติธรรม และจำเป็นจะต้องยอมรับมัน บนความหมายที่ปรากฏของมัน และละทิ้งความพยายามการวิภาษ ในรูปแบบวิธีการของมัน -
كتاب العرش للذهبي (ج2 ص273) والعلو للعلي الغفار (ص 197)
...
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า
كتاب العرش للذهبي (ج2 ص273) والعلو للعلي الغفار (ص 197)
...
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า
آمنت بالله، وبما جاء عن الله، وعلى مراد الله، وآمنت برسول الله، وبما جاء به رسول الله، وعلى مراد رسول الله
ฉันศรัทธา ต่ออัลลอฮ ,ศรัธาด้วยสิ่งที่มาจากอัลลอฮ และศรัทธาตามสิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายของอัลลอฮ และฉันศรัทธาต่อรซูลุลลอฮ ,ศรัทธาด้วยสิ่งที่รซูลุลลอฮ นำมาด้วยมัน และศรัทธาตามสิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายของรซูลุลลอฮ
ذم التأويل / 11، ولمعة الاعتقاد لابن قدامة/ 45، ومجموع الفتاوى 4/ 2.
อาชาอิเราะฮตามแนวคิดอะฮลุลกาลาม อ้างว่า ความหมายตามตัวบท ไม่ใช่ความหมายที่อัลลอฮต้องการ จึงถามว่า
"อัลลอฮและรอซูลบอกไว้สักคำหรือสักประโยคใหม ที่บอกว่า "ความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ"
เปล่าเลย...มันเป็นมโนของอะฮลุลกาลามเองทั้งนั้น
"อัลลอฮและรอซูลบอกไว้สักคำหรือสักประโยคใหม ที่บอกว่า "ความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ"
เปล่าเลย...มันเป็นมโนของอะฮลุลกาลามเองทั้งนั้น
การเชื่อว่า อัลลอฮอยู่เหนืออะรัช ไม่มีใครบอกว่า ทรงอาศัยอะรัชเป็นสถานที่ ย่างที่พวกอาชาอิเราะฮปรักปรำ แต่เขาหมายถึง การอยู่สถานที่เบื้องสูงแยกจากมัคลูค
มุหัมหมัด บิน เคาะลีล บิน ฮะรอช กล่าวว่า
فَأَهْلُ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ يُؤْمِنُونَ بِمَا أَخْبَرَ بِهِ سُبْحَانَهُ عَنْ نَفْسِهِ مِنْ أَنَّهُ مُسْتَوٍ عَلَى عَرْشِهِ ، بَائِنٌ مِنْ خَلْقِهِ بِالْكَيْفِيَّةِ الَّتِي يَعْلَمُهَا هُوَ جَلَّ شَأْنُهُ ؛ كَمَا قَالَ مَالِكٌ وَغَيْرُهُ : ( الِاسْتِوَاءُ مَعْلُومٌ ، وَالْكَيْفُ مَجْهُولٌ )
อะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ศรัทธาด้วยสิ่งที่อัลลอฮ ซ.บ ทรงบอกเกี่ยวกับพระองค์เอง จากการที่ว่า แท้จริง พระองค์ผู้ทรงสถิต เหนือ อะรัชของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ด้วยรูปแบบวิธีการที่พระองค์ผู้ทรงเกรียงไกร ทรงรู้มัน ดังที่มาลิกและคนอื่นจากเขากล่าวว่า (การอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กันและรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน)-ชัรหอัลอะกีดะฮอัลวาสิฏียะฮ 1/173
................
................
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/10/60
30/10/60
เอกสารประกอบเนื้อหา


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น