วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ให้พิจารณาดูที่สาระคำพูด ไม่ใช่ตัวบุคคล

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ให้พิจารณาดูที่สาระคำพูด ไม่ใช่ตัวบุคคล
ยุคนี้สังคมมันเปลี่ยน จะถือศาสนา จะเรียนศาสนา ไม่คอยจะพิจารณากันที่สาระ ว่าถูกต้องไหม มีหลักฐานสนับสนุนไหม อ้างอัลกุรอ่านและหะดิษไหม ? แต่กลับพิจารณาที่ ตัวคน ว่า อยู่ฝ่ายใหน เรียนสถาบันใด มีใบปริญญาหรือเปล่า ใครรับรอง นี่คืออย่างของการตะอัศศุบตัวบุคคล จนเลยเถิด
คำพูดของท่านอาลี (ร.ฎ)ที่ว่า
انظر إلى ما قال ولا تنظر إلى من قال
จงพิจารณาดูสิ่งที่เขาได้พูด และท่านอย่าได้พิจารณาดูสถานะผู้ที่พูด -อัลฟะวาอิด อัลเมาฎูอะฮ หะดิษหมายเลข 93
ชัยค์อัลลามะฮ มุหัมหมัดอัลอามีน อัชชันกิฏีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
ونرجح ما ظهر لنا أنه الراجح بالدليل من غير تعصب لمذهب معين ولا لقول قائل معين؛ لأننا ننظر إلى ذات القول لا إلى قائله لأن كل كلام فيه مقبول ومردود إلا كلامه -صلى الله عليه وسلم- ومعلوم أن الحق حق ولو كان قائله حقيرا.
เราจะให้น้ำหนักสิ่งที่ปรากฏแก่เรา ว่าแท้จริง มันคือ สิ่งที่มีน้ำหนัก ด้วยหลักฐาน โดยปราศจากการ ยึดติด กับมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดเป็นการเฉพาะ และไม่ยึดติดคำพูดของคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ เพราะแท้จริงเราพิจารณาดูที่ตัวของคำพูด ไม่ได้พิจารณาที่ผู้พูดมัน เพราะแท้จริงทุกคำพูด ในคำพูดนั้น ถูกยอมรับและถูกปฏิเสธ ยกเว้นคำพูดของท่านนบี ศ็อลฯ และเป็นที่รู้กันว่า "แท้จริงสัจธรรม นั้น ก็คือสัจธรรม แม้ว่า ผู้ที่พูดมัน เป็นผู้ที่ต่ำต้อยก็ตาม - ดูอัฎวาอุลบะบานฯ เล่ม 1 หน้า 7 (บทนำ)
............
จากคำพูดของอิหม่ามอัชชันกิฏีย์ สรุปได้ดังนี้
1. การให้น้ำหนักคำพูดนั้น ด้วยหลักฐาน โดยไม่ยึดติดอยู่กับมัซฮับและคำพูดของผู้ใดเป็นการเฉพาะ
2.คำพูดของคนอื่นนั้นมีทั้งที่ถูกยอมรับและปฏิเสธ (คือมีผิดมีถูก) ยกเว้นคำพูดของท่านนบี ศ็อลฯ
3. ความจริง ก็คือความจริง แม้คนที่พูดนั้นต่ำต้อยก็ตาม
เพราะฉะนั้น ถ้านับถือศาสนา เพื่ออัลลอฮ เขาจะต้องแสวงหาความจริง หรือสัจธรรม ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม โดยไม่ตะอัศศุบ ผูกขาดกับมัซฮับและคำพูดคนใดเป็นการเฉพาะ และไม่อคติ หากสิ่งนั้นมีหลักฐาน จากใครก็ตามเขาก็ยอมรับ โดยไม่มีทิฐิและกลัวเสียหน้า
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/7/61

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ไม่อนุญาตให้ขบถต่อผู้นำมุสลิม




จุดยืนของผมคือ ไม่อนุญาตให้ขบถต่อผู้นำมุสลิม
ประเด็นนี้ขอเขียนเป็นบทความสุดท้ายในประเด็นนี้ว่า "ผมไม่เห็นด้วยกับทัศนะล้มผู้นำมุสลิมที่อธรรม ตราบใดที่เขาไม่ได้กระทำสิ่งที่เป็นกุฟุร ทั้งนี้เพื่อป้องกันฟิตนะฮและความหายนะที่เกิดกับประชาชนส่วนรวม
และขอจบด้วยคำพูดอิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) ดังนี้
ومَن خرج على إمام من أئمة المسلمين، وقد كان الناس اجتمعوا عليه، وأقروا له بالخلافة بأي وجه كان بالرضا أو بالغلبة فقد شقَّ هذا الخارج عصا المسلمين، وخالف الآثار عن رسول الله ، فإن مات الخارج عليه مات ميتة جاهلية
ผู้ใด ออกจากการเชื่อฟัง(ทำการขบถ)ต่อ อิหม่ามคนหนึ่งคนใด จากบรรดาอิหม่ามเหล่าบรรดามุสลิม และแท้จริง บรรดาประชาชน ได้มีมติเห็นชอบบนเขาและยอมรับเขา ให้เป็นเคาลิฟะฮ จะด้วยวิธีใดก็ตาม จะด้วยความพอใจหรือ ด้วยการมีชัยชนะ (ด้วยการทำการสู้รบ) ก็ตาม แน่นอน ผู้ที่ทำการขบถผู้นี้ ได้ให้ความเกิดความขัดแย้งในระหว่างบรรดามุสลิม และ ได้ขัดแย้งกับ บรรดาหะดิษจากรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ดังนั้น ถ้าผู้ทำการขบถต่อผู้นำ เสียชีวิตลง เขาได้ตายในสภาพการตายญาฮิลียะฮ
ولا يحل قتال السلطان ولا الخروج غليه لأحد من الناس. فمن فعل ذلك فهو مبتدع على غير السنة والطريق
ไม่หะลาล(ไม่อนุญาต)แก่คนใดคนหนึ่งจากมวลมนุษย์ ให้ทำการสู้รบกับผู้มีอำนาจปกครอง และ ไม่อนุญาต ให้ออกจากการเชื่อฟัง(ทำการก่อขบถ) ต่อเขา ดังนั้นผู้ใด ได้กระทำการดังกล่าวนั้น เขาคือ ผู้กระทำบิดอะฮ บนอื่นจากอัสสุนนะฮ และแนวทาง(ที่ถูกต้อง) - อุศูลุสสุนนะฮ ของอิหม่ามอะหมัด หน้า 11-12
..........
ผมได้ทำหน้าที่ ชี้แจงรายละเอียดพร้อมหลักฐานแล้ว และนี่คือจุดยืนของผม ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าใครจะฟิตนะฮใส่อย่างไรก็ตาม  ผมทำหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงตามความรู้ที่มีอยู่เท่านั้น ใครจะเชื่อ ใครจะยอมรับ มันเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮ ผมไม่มีสิทธิ์ไปบังคับได้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/7/61
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ


วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สะลัฟฟีคือใคร

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

สะลัฟฟีคือใคร
ตอนนี้มุสลิมส่วนหนึ่ง ถูกฉายาให้เป็นพวก "ศาลาผี" ซึ่งภาษาไทยก็เป็นที่รู้กันว่า คือ ศาลาที่ตั้งศพ คงจะสะใจ ขาเชียร์ เพราะฉะนั้น คำว่า สะละฟีย์ คือใคร โปรดทำความเข้าใจต่อไปนี้
ในปทานุกรม มุอญัม อัลมะอานีย์อัลญาเมียะ ให้ความหมายคำว่า "อัสสะละฟีย์" ว่า
السّلَفِيُّ : من يرجع في الأَحكام الشرعية إلى الكتاب والسنة ، ويُهدِرُ ما سواهما
อัสสะละฟีย์ คือ ผู้ที่กลับไปยังอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ในบรรดาหุกุมต่างๆที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ และ ปล่อย สิ่งที่นอกจากทั้งสองนั้น ให้ผ่านไป (โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์) -อัลมุอญัมอัลวะสีฏ หน้า 444 (ดูสำเนา)
ในมุอญัมอัลลุเฆาะฮอัลอะเราะบียะฮอัลมุอาเศาะเราะฮ ระบุว่า
مذهب من يرجع إلى الكتاب والسُّنَّة في الأحكام الشَّرعيَّة ويهمل ما سواهما
คือแนวทางของผู้ที่กลับไปยังอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ในบรรดาหุกุมที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ และเขาเพิกเฉย(ไม่สนใจ)สิ่งที่นอกเหนือจากทั้งสอง
ชัยค์มุหัมหมัด บิน ศอลิห อัลอุษัยมีน (ร.ฮ) กล่าวว่า
! فأهل السنة والجماعة هم السلف معتقدًا، حتى المتأخر إلى يوم القيامة إذا كان على طريقة النبي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وأصحابه، فإنه سلفي.
อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ พวกเขาคือ ผู้ที่มีหลักความเชื่อตามแนวสะลัฟ แม้กระทั่ง คนยุคหลัง ตราบจนถึงวันกิยามะฮ เมื่อเขาดำเนินอยู่บนแนวทางของนบี ศ็อลฯและบรรดาสาวกของท่านนบี แท้จริง เขาคือ สะละฟีย์ -มัจญมัวะฟะตาวาวะเราะสาอีล ของอิบนุอุษัยมีน 8/40
..........
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เขาเรียกร้องให้ยึดแนวอะกีดะฮสะลีฟผู้ทรงธรรม ตามแนวทางของนบี ศอ็ลฯ และเหล่าสาวก เขาตั้งชื่อ กลุ่มหรือชมรม หรือูมูลนิธี หรือ มัสยิด หรืออะไรก็ตามที่เขาภูมิใจกับคำนี้ ก็ย่อมมีสิทธิ ที่จะตั้งชื่อนี้ได้ แล้วคำนี้หนักหัวใครหรือ ?
ส่วนใครจะแอบอ้าง หรือเป็นของปลอม ให้พิจารณาดูที่อะกีดะฮและการปฏิบัติ ไม่ใช่เอาอคติมากล่าวหาคนนั้นคนนี้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/7/61