วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

แบบอย่างการสอนกะลิมะฮชะฮาดะฮแก่คนที่ป่วยหนัก


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


แบบอย่างการสอนกะลิมะฮชะฮาดะฮแก่คนที่ป่วยหนัก
การสอนกะลิมะฮ "ลาอิลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ "แก่คนป่วยหนัก" ตามที่พบเห็นในบ้านเรา บางที่ ส่วนหนึ่งอ่านอัลกุรอ่าน ส่วนหนึ่งสอนกะลิมะฮ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผสมปนเปมั่วไปหมด ความจริง ตามสุนนะฮ ให้สอนครั้งครั้งเดียวก็พอ เมื่อผู้ป่วยกล่าวแล้วก็จบ เพราะเป้าหมายคือ ให้คำพูดของเขาก่อนตายคือ "ลาอิลาฮะอิลลั้ลลอฮ" แต่ถ้าผู้ป่วยพูดเรื่องอื่นอีก ก็ให้สอนซ้ำได้จนเขากล่าวคำชะฮาดะฮเป็นครั้งสุดท้าย
มาดูหลักฐานต่อไปนี้
1.สอนผู้ที่ยังคงสามารถพูดได้อยู่
عَنْ أَنَسٍ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَادَ رَجُلا مِنْ الأَنْصَارِ فَقَالَ : ( يَا خَالُ ، قُلْ : لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ . قَالَ : خَالٌ أَمْ عَمٌّ ؟! قَالَ : بَلْ خَالٌ . قَالَ : وَخَيْرٌ لِي أَنْ أَقُولَهَا ؟! قَالَ : نَعَمْ ) رواه أحمد (13414) وقال الألباني في أحكام الجنائز : إسناده صحيح على شرط مسلم
รายงานจากอะนัส ว่าแท้จริงรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ เยี่ยม(ผู้ป่วย)ชาวอันศ็อรคนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า (โอ้ คุณน้า จงกล่าว "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ เถิด ,เขากล่าวว่า น้าหรือ ลุง? ท่านรอซูลกล่าวว่า แต่ทว่า เป็นน้านั้นแหละ (หมายถึงน้าฝ่ายแม่) เขา(ชายคนนั้น)กล่าวว่า " และเป็นผลดีแก่ฉันที่จะกล่าวมันใช่ไหม? ท่านรอซูลกล่าวว่า "ครับ" -รายงานโดยอะหมัด (13414)และอัลอัลบานีย์กล่าวไว้ใน อะหกามอัลญะนาอิซว่า "สายรายงานเศาะเฮียะ ตามเงือนไขของอิหม่ามมุสลิม
...........
จะเห็นได้ว่า ท่านนบี ศ็อลฯ สอนกะลีมะฮ แก่คนป่วยที่ยังพูดได้อยู่ เพื่อให้เขากล่าวมัน ก่อนสิ้นลมหายใจ ให้ป็นคำพูดสุดท้ายของเขา
2 ไม่ควรสอนหลายครั้งและซ้ำซาก เมื่อคนป่วยได้กล่าวคำนี้ไปแล้ว
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ﻭَﻛَﺮِﻫُﻮﺍ ﺍﻹِﻛْﺜَﺎﺭ ﻋَﻠَﻴْﻪِ ﻭَﺍﻟْﻤُﻮَﺍﻻﺓ ﻟِﺌَﻼ ﻳَﻀْﺠَﺮ ﺑِﻀِﻴﻖِ ﺣَﺎﻟﻪ ﻭَﺷِﺪَّﺓ ﻛَﺮْﺑﻪ
และพวกเขา(บรรดาอุลามาอฺ)รังเกียจ การกล่าวตัลกีนเป็นจำนวนมาก และการกล่าวต่อเนื่องกันหลายครั้ง เพื่ออย่าให้มัน สร้างความยุ่งยาก ด้วยการทำให้สภาพของเขา(ผู้ป่วย)คับแคบและลำบากหนักขึ้น(ในขณะที่ชีวิตกำลังจะออกจากร่าง) -ชัรหมุสลิม 6/219 กิตาบุลญะนาอิซ
قَالَ أَحْمَدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ الْعِجْلِيُّ : حَدَّثَنِي أَبِي قَالَ : لَمَّا احْتَضَرَ ابْنُ الْمُبَارَكِ ، جَعَلَ رَجُلٌ يُلَقِّنُهُ قُلْ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ فَأَكْثَرَ عَلَيْهِ ، فَقَالَ لَهُ : لَسْتَ تُحْسِنُ ، وَأَخَافُ أَنْ تُؤْذِيَ مُسْلِمًا بَعْدِي ، إِذَا لَقَّنْتَنِي فَقُلْتُ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ ، ثُمَّ لَمْ أُحْدِثْ كَلَامًا بَعْدَهَا فَدَعْنِي ، فَإِذَا أَحْدَثْتُ كَلَامًا فَلَقِّنِي حَتَّى تَكُونَ آخِرَ كَلَامِي
อะหมัด บิน อับดุลลอฮ อัลอิจญลีย์ ได้กล่าวว่า บิดาของฉันได้เล่าฉัน โดยเขากล่าวว่า เมื่อ อิบนุอัลมุบาร็อก ใกล้จะเสียชีวิต ชายคนหนึ่งได้สอน เขา โดยกล่าวว่า "ท่านจงกล่าวว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮเถิด" แล้วเขาได้กล่าวมัน มากครั้ง แล้วท่านอิบนุอัลมุบาร็อกได้กล่าวแก่เขาผู้นั้นว่า "ท่านทำไม่สวยงามเลย และฉันเกรงว่า ท่านจะสร้างความเดือดร้องให้มุสลิมคนหนึ่งคนใด หลังจากฉัน ,เมื่อท่านสอนฉัน แล้วฉันกล่าวว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ"ต่อมา ฉัน ไม่ได้พูดคำพูดใดๆ หลังจากนั้น ก็จงปล่อยฉัน (คือไม่ต้องสอนอีก) แล้วเมื่อฉันพูดคำพูดใดๆอีก ก็จงสอนฉัน (ให้กล่าวกะลิมะฮลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ-ผู้แปล) จนกว่ามันจะเป็นคำพูดสุดท้ายของฉัน- ดูสิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฮ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ 8/418
..........
สรุปคือ
การสอนคำว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ แก่ผู้ที่ใกล้จะตาย นั้นให้สอน เมื่อผู้ป่วยกล่าวแล้ว ก็ไม่ต้องสอนซ้ำอีก แต่ถ้าเขาพูดเรื่องอื่น ก็ให้สอนซ้ำ จนเขากล่าวกะลิมะฮ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนตาย
ขอให้ผู้อ่านโปรดพิจารณากันนะครับ
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/4/64

นบีและเศาะหาบะฮอ่านคำเนียตละหมาดไหม?


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

นบีและเศาะหาบะฮอ่านคำเนียตละหมาดไหม?
ขอนำคำตอบของของอิหม่ามญะลาลุดดีน อัสสะยูฏีย์ (ฮ.ศ 849-911) ปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ได้กล่าวว่า
ومن البدع أيضاً : الوسوسة في نية الصلاة ، ولم يكن ذلك من فعل النبي صلى الله عليه وسلم ولا أصحابه ، كانوا لا ينطقون بشيء من نية الصلاة ، بسوى التكبير . وقد قال تعالى :{ لقد كان لكم في رسول الله أسوة حسنة } [سورة الأحزاب : 21 ].
และส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดอะฮ อีกเช่นกัน คือ การมีใจรวนเรในการเนียตละหมาด และดังกล่าวนั้น ไม่ปรากฏจาก การกระทำของนบี ศอ็ลฯ และเหล่าเศาะหาบะฮของท่าน ,ปรากฏว่า พวกเขาไม่ได้ พูด(เปล่งเสียง)ด้วยสิ่งใดๆจากการเนียตละหมาด อื่นจากการตักบีร และแท้จริง อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (แท้จริง ในรซูลุลลอฮนั้น คือแบบอย่างที่ดีแก่พวกเจ้า)- ซูเราะฮอัลอะหซาบ /21 - ดู อัลอัมรุบิลอิตบาอฺ ฯ วัลนะฮยุ อะนิลอิบติดาอฺ หน้า 295
............
อิหม่ามอัสสะยูฏีย์ ระบุว่า ไม่ปรากฏว่าท่านนบี และเหล่าเศาะหาบะฮ กล่าวเปล่งเสียงการเนียต อื่นจากการตักบีร และท่านได้อ้างอายะฮอัลกุรอ่านข้างต้นเพื่อบอกว่า รซูลุลลอฮ เป็นแบบอย่างที่ดี
ผู้เขียนแค่นำข้อเท็จจริงมาเสนอ หากสิ่งนี้ขัดแย้งกับการปฏิบัติของพี่น้องท่านใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย ไม่ได้บังคับให้เชื่อ แต่เพื่อพิจารณาเท่านั้น
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/4/62

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562

การทอดทิ้งและไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การทอดทิ้งและไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَقَالَ الرَّسُولُ يَا رَبِّ إِنَّ قَوْمِي اتَّخَذُوا هَٰذَا الْقُرْآنَ مَهْجُورًا
และอัลร่อซูลได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงชนชาติของข้าพระองค์ได้ยึดเอาอัลกรุอานนี้เป็นสิ่งที่ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว - อัลฟรกอน/30
อิบนุญะรีร(ร.ฮ) รายงานว่า
حَدَّثَنِي يُونُسُ ، قَالَ : أَخْبَرَنَا ابْنُ وَهْبٍ ، قَالَ : قَالَ ابْنُ زَيْدٍ ، فِي قَوْلِ اللَّهِ : ( وَقَالَ الرَّسُولُ يَا رَبِّ إِنَّ قَوْمِي اتَّخَذُوا هَذَا الْقُرْآنَ مَهْجُورًا ) لَا يُرِيدُونَ أَنْ يَسْمَعُوهُ ، وَإِنْ دُعُوا إِلَى اللَّهِ قَالُوا لَا . وَقَرَأَ ( وَهُمْ يَنْهَوْنَ عَنْهُ وَيَنْأَوْنَ عَنْهُ ) قَالَ : يَنْهَوْنَ عَنْهُ ، وَيَبْعُدُونَ عَنْهُ .
ยูนูสได้เล่าข้าพเจ้า โดยเขาได้กล่าวว่า อิบนุวะฮับ ได้บอกเรา โดยเขากล่าวว่า อิบนุเซด ได้กล่าวเกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า(และอัลร่อซูลได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงชนชาติของข้าพระองค์ได้ยึดเอาอัลกรุอานนี้เป็นสิ่งที่ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว) หมายถึงพวกเขาไม่ประสงค์ที่จะฟังอัลกุรอ่าน และหากพวกเขาถูกเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ พวกเขาก็จะกล่าวว่า "ไม่" และเขา(อิบนุเซด)ได้อ่านอายะฮที่ว่า (และพวกเขาห้าม เกี่ยวข้องกับอัลกุรอาน และพวกเขาก็ปลีกตัวออกห่างจากอัลกรุอานด้วย ) เขา(อิบนุเซด)กล่าวว่า (หมายถึง)พวกเขางดเว้นจากอัลกุรอ่านและห่างใกลจากอัลกุรอ่าน
قَالَ أَبُو جَعْفَرٍ : وَهَذَا الْقَوْلُ أَوْلَى بِتَأْوِيلِ ذَلِكَ ، وَذَلِكَ أَنَّ اللَّهَ أَخْبَرَ عَنْهُمْ أَنَّهُمْ قَالُوا : ( لَا تَسْمَعُوا لِهَذَا الْقُرْآنِ وَالْغَوْا فِيهِ ) ، وَذَلِكَ هَجْرُهُمْ إِيَّاهُ .
อบูญะอฟัร(หมายถึงอิบนุญะรีรเอง) ได้กล่าวว่า นี่คือทัศนะเหมาะสมกว่าด้วยการอรรถาธิบายดังกล่าวนั้น และดังกล่าวนั้น แท้จริงอัลลอฮได้ทรงบอกเกี่ยวกับพวกเขา ว่าแท้จริงพวกเขา(กาเฟร)กล่าวว่า (พวกท่านอย่าฟังอัลกุรอานนี้ แต่จงทำเสียงอึกทึกในขณะนั้น ) และดังกล่าวนั้นแหละคือ การฮิจญเราะฮ(การทอดทิ้ง)อัลกุรอ่านของพวกเขา - ดูตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย อธิบายซูเราะฮ อัลฟุรกอน อายะฮ 30
...........
ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ร้องเรียนต่ออัลลอฮ ว่ากลุ่มชนของท่าน ไม่ยอมรับฟังและไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน นี่คือ สิ่งที่เลวร้าย เพราะการไม่ฟังอัลกุรอ่าน การทำตัวให้ห่างและไม่เกี่ยวข้องกับอัลกุรอ่าน ผลสุดท้ายคือความหายนะในวันอาคีเราะฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/4/62

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562

อิหม่ามที่การละหมาดไม่ถูกรับ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ



อิหม่ามที่การละหมาดไม่ถูกรับ
คนที่เป็นอิหม่าม ที่ดันทุรังจะอยู่ในตำแหน่งอิหม่ามเพราะเสียดายค่าตอบแทน หรือเพราะที่ดินสร้างมัสยิด เคยเป็นของปู่อย่าตายายที่ได้วากัฟไว้ ใครจะมาเป็นใหญ่ฉันไม่ยอม พึงให้ความตระหนักต่อคำสอนของท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า
عن أبي أُمَامَةَ رضي الله عنه قال : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( ثَلَاثَةٌ لَا تُجَاوِزُ صَلَاتُهُمْ آذَانَهُمْ : الْعَبْدُ الْآبِقُ حَتَّى يَرْجِعَ ، وَامْرَأَةٌ بَاتَتْ وَزَوْجُهَا عَلَيْهَا سَاخِطٌ ، وَإِمَامُ قَوْمٍ وَهُمْ لَهُ كَارِهُونَ ) وحسنه الألباني في "صحيح الترمذي
รายงานจากอบีอุมามะฮ(ร.ฎ)เขาได้กล่าวว่า ท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า สามจำพวกที่การละหมาดของพวกเขานั้นไม่เกินเลยใบหูของพวกเขา (หมายถึงการละหมาดไม่ถูกรับ) คือ ทาสที่หนีจนกว่าเขาจะกลับมาหานายของเขา, สตรีที่นอนในสภาพที่สามีของนางโกรธนาง และคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มชน โดยที่พวกเขา(ผู้ตาม)นั้นรังเกียจในตัวเขา
บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 328/ กิตาบ อัศ-เศาะลาฮฺ/ บาบ ผู้ทีเป็นอิหม่ามนำละหมาดในขณะที่มะอฺมูม(ผู้ตาม) รังเกียจตัวเขา
คำว่า เป็นผู้นำที่พวกเขารังเกียจ หมายถึงเป็นผู้นำที่มีความประพฤติไม่ดี หรือเพราะไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ
อิหม่ามอัชเชาการนีย์(ร.ฮ)อธิบายว่า
وَقَدْ قَيَّدَ ذَلِكَ جَمَاعَة مِنْ أَهْل الْعِلْم بِالْكَرَاهَةِ الدِّينِيَّة لِسَبَبٍ شَرْعِيِّ، فَأَمَّا الْكَرَاهَة لِغَيْرِ الدِّين فَلَا عِبْرَة بِهَا
และแท้จริง คณะหนึ่งจากนักวิชาการ ได้กำหนดเงื่อนไข ดังกล่าวนั้น ด้วย(เงื่อนไขเกี่ยวกับ)การรังเกียจที่เกี่ยวกับศาสนา เพราะเหตุใดๆที่เกี่ยวกับศาสนาบัญญัติ สำหรับการรังเกียจอื่นจากเรื่องศาสนานั้น ไม่มีการพิจารณาด้วยมัน -ดูนัยลุลเอาฏอร 3/211
...
กล่าวคือ คำว่ากลุ่มชนรังเกียจ หมายถึงรังเกียวกับกับความประพฤติของอิหม่ามที่เป็นข้อตำหนิเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาก็จะไม่มีผล
อิหม่ามอัตติรมิซีย์ (ร.ฮ) ได้รายงานคำพูดของ ปราชญยุคตาบิอีน ชาวกุฟะฮ ท่านหนึ่งคือ มันศูร บิน อัลมุอตะมีร (ฮ.ศ 132) โดยกล่าวว่า
قَالَ جَرِيرٌ: قَالَ مَنْصُورٌ: فَسَأَلْنَا عَنْ أَمْرِ الإِمَامِ؟ فَقِيلَ لَنَا: «إِنَّمَا عَنَى بِهَذَا الْأَئِمَّةَ الظَّلَمَةَ، فَأَمَّا مَنْ أَقَامَ السُّنَّةَ فَإِنَّمَا الإِثْمُ عَلَى مَنْ كَرِهَهُ»
ญะรีร ได้กล่าวว่า มันศูรได้กล่าวว่า เราได้ถามเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอิหม่าม ? แล้วได้ถูกกล่าวแก่เรา(หมายถึงมีผู้ตอบให้แก่เรา-ผู้แปล) ว่า หมายถึง บรรดาอิหม่ามที่อธรรม แล้วสำหรับอิหม่ามที่ดำรงไว้ซึ่งอัสสุนนะฮ ความจริงบาปก็จะตกบนผู้ที่รังเกียจเขา - ดูตุหฟะตุลอะวะซีย์ 2/347
...........
สรุปคือ
อิหม่ามที่การละหมาดไม่ถูกรับคือ อิหม่ามที่ผู้ตามส่วนมากรังเกียจเกี่ยวกับความประพฤติที่ผิดหลักศาสนาเช่น เป็นผู้ที่อธรรม กดโกง เป็นต้น เกาะตำแหน่งไม่ยอมวาง บ้างก็อ้างว่าเป็นลูกหลานเจ้าของที่ดินวากัฟ จึงมีสิทธิ์เป็นอิหม่ามชาวบ้านก็ทำอะไรไม่ได้ อิหม่ามประเภทนี้มีไม่น้อย
ส่วนอิหม่ามที่ยืนหยัดและดำรงไว้ซึ่งสุนนะฮนบี แต่บรรดาผู้ตามรังเกียจ แต่ในด้านศาสนาจะไม่มีผล คือไม่มีความผิด แต่คนที่รังเกียจนั้นแหละมีบาป ซึ่ง ประเภทหลังนี้มีเยอะเช่นกัน พอเรียกร้องให้ตามสุนนะฮละทิ้งบิดอะฮ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นวะฮบีย์ มีการยุยงเสียมสอนชาวบ้านให้ต่อต้าน ให้ปลดจากอิหม่ามเป็นต้น
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/4/62