วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

หญิงมีครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร ให้จ่ายฟิตยะฮแทนการถือศีลอด


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ทารก


หญิงมีครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร ให้จ่ายฟิตยะฮแทนการถือศีลอด
หญิงมีครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร หากนางทั้งสองเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อตนเองหรืออันตรายต่อบุตรของนาง ก็ให้จ่ายอาหารแก่คนยากจนแทนการถือศีลอด
روى الدار قطني بإسناد صححه (1/ 208)عن ابن عباس أنه رأى أم ولد له حاملا أو مرضعا فقال ((أنت من الذين لا يطيقون ، عليك الجزاء وليس عليك القضاء
รายงานโดย อัดดารุ้ลกุฏนีย์ ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะ (1/208) จากอิบนิอับบาส ว่า เขามีความเห็นว่า “อุมมุนวะลัดของเขา(ทาสหญิงที่ให้กำเนิดบุตรแก่เขา) ที่มีครรภ์หรือ เป็นผู้ให้นมบุตร โดยกล่าวว่า “ เธอเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ไม่มีความสามารถ เธอมีหน้าที่ต้องจ่ายทดแทน และไม่มีหน้าที่ชดใช้ “
وروى الدارقطني(1/207)عن ابن عمر وصححه أنه قال : ((الحامل والمرضع تفطر ولا تقضي
รายงานโดยอัดดารุ้ลกุฏนีย์(1/207)จากอิบนิอุมัร และเขา(อัดดารุ้ลกุฏนีย์)ระบุว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะ ว่า เขา(อิบนุอุมัร)กล่าวว่า (หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร นั้น ให้นางแก้ศีลอด และนางไม่ต้องถือชดใช้”
عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رضي الله عنه في قوله تعالى : { وَعَلَى الَّذِينَ يُطِيقُونَهُ فِدْيَةٌ طَعَامُ مِسْكِينٍ } قَالَ : كَانَتْ رُخْصَةً لِلشَّيْخِ الْكَبِيرِ وَالْمَرْأَةِ الْكَبِيرَةِ وَهُمَا يُطِيقَانِ الصِّيَامَ أَنْ يُفْطِرَا وَيُطْعِمَا مَكَانَ كُلِّ يَوْمٍ مِسْكِينًا وَالْحُبْلَى وَالْمُرْضِعُ إِذَا خَافَتَا قَالَ أَبُو دَاوُد يَعْنِي عَلَى أَوْلادِهِمَا أَفْطَرَتَا ( أخرجه أبو داود 1947 ) وصححه الألباني في الإرواء ( 4 / 18 ، 25 )
จากอิบนิอับบาส(ร.ฎ)เกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮ ตะอาลาที่ว่า
وَعَلَى الَّذِينَ يُطِيقُونَهُ فِدْيَةٌ طَعَامُ مِسْكِينٍ
และหน้าที่ของบรรดาผู้ที่ ถือศีลอดด้วยความลำบากยิ่งนั้น คือการชดเชยอันได้แก่การให้อาหาร (มื้อหนึ่ง) แก่คนมิสกีนคนหนึ่ง
เขา(อิบนุอับบาส)กล่าวว่า เป็นข้อผ่อนปรนแก่ชายและหญิงชรา โดยที่เขาทั้งสองมีความลำบากต่อการถือศีลอด ให้เขาทั้งสองละศีลอดและจ่ายอาหารแก่คนยากจนแทนทุกวัน และหญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตรนั้น เมื่อนางทั้งสองกลัว - อบูดาวูดกล่าวว่า หมายถึงกลัวจะอันตรายต่อบุตรของนางทั้งสอง ก็ให้นางละศีลอด- บันทึกโดยอบูดาวูด หะดิษหมายเลข 1947 อัลบานีย์ระบุในอัลอิรวาอ์ เล่ม 4 หน้า 18,25 ว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
ข้อโต้แย้งสำหรับผู้ที่จัดหญิงมีครรภ์และให้นมบุตร
من زعم أن وضع الصوم عن الحامل والمرضع كوضع الصيام عن المسافر ورتب على ذلك أن القضاء يلزمها فقوله مردود عليه لأن القرآن بين معنى وضع الصيام عن المسافر : ((فمن كان منكم مريضا أو على سفر فعدة من أيام أخر )) وبين كذلك معنى وضعه عمن لا يطيقونه : ((وعلى الذين يطيقونه فدية طعام مسكين)) وقد ثبت لديك أن الحامل والمرضع ممن تشملهم هذه الآية بل هي خاصة لهم
ผู้ใดเข้าใจว่า การผ่อนปรนการถือศีลอดจากหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ว่า เหมือนกับการผ่อนปรนการถือศีลอดจากผู้ที่อยู่ระหว่างเดินทาง และ ผลที่ตามมาจากดังกล่าวคือ จำเป็นจะต้องถือศีลอดชดใช้ ดังนั้นคำพูดของเขาผู้นั้น เป็นโมฆะเพราะอัลกุรอ่านนั้น อธิบายความหมาย ของการผ่อนปรนการถือศีลอดจากผู้อยู่ระหว่างเดินทางอย่างชัดเจนแล้วว่า (ดังนั้นผู้ใด ในหมู่พวกเจ้าป่วยหรืออยู่ระหว่างการเดินทาง ก็ให้นับ(ถือชดใช้) ในวันอื่น) และในทำนองนั้น ได้อธิบายความหมายของการผ่อนปรนการถือศีลอด จากผู้ที่มีความลำบากยิ่งในการถือศีลอดว่า (และหน้าที่ของบรรดาผู้ที่ ถือศีลอดด้วยความลำบากยิ่งนั้น คือการชดเชยอันได้แก่การให้อาหาร (มื้อหนึ่ง) แก่คนมิสกีนหนึ่งคน ) และได้ยืนยันต่อหน้าท่านแล้วว่า หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร เป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่อายะฮนี้กล่าวครอบคลุมถึงพวกเขาด้วย แต่ทว่า มันได้เฉพาะสำหรับพวกเขาด้วย” – คัดจากหนังสือตามรายชื่อ ข้างล่างนี้
صفة صوم النبي صلى الله عليه وسلم في رمضان (الصفحة من 80 إلى85
تأليف : سليم بن عيد الهلالي و على حسن علي عبد الحميد
.........
สรุป
หญิงมีครรภ์และให้นมบุตร คือจ่ายฟิตยะฮแทนการถือศีลอด
ท่านเชคบินบาซกับเชคอุซัยมีนมีความห็นว่า ปริมาณที่จะต้องจ่ายฟิดยะฮ์ คือ ½ ศออฺ จากอาหารหลักที่ใช้รับประทาน คือ 1.5 กิโลกรัมโดยประมาณ โดยให้จ่ายให้แก่คนยากจนทุกวัน (مجموع فتاوى ابن باز" (15/203)
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/5/63
หมายเหคุ : ข้างต้นเป็นทัศนะที่ผู้เขียนเห็นด้วยและเหมาะสมที่สุดสำหรับหญิงมีครรภ์และให้นมบุตร ส่วนใครจะเห็นต่างจากนี้ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน

โต้แย้งกลุ่มคนที่ เอาแนวคิดสายตรรกมาปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ



 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

โต้แย้งกลุ่มคนที่ เอาแนวคิดสายตรรกมาปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เพื่อดิสเครดิตโจมตีวาฮาบีย์
ตรรกแนวคิดอาชาอิเราะฮที่ตามแนวคิดญะฮมียะฮเจ้าเก่า อ้างว่า
6 ชม. ·
ขอโพสชี้แจงข้อเท็จจริงจากแนวคิดวะฮาบีย์เรื่องหลักความเชื่อ“พระเจ้าทรงอยู่เหนือบัลลังก์พ้นทิศทั้งหกขึ้นไป โดยไม่มีสถานที่”
พี่น้องบางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า แนวคิดของกลุ่มวะฮาบีย์นั้นมีอยู่ 2 กลุ่มแนวคิดใหญ่ๆ แนวคิดแรกได้รับการซึมซับมาจากกลุ่มมุญัสซิมะฮ์ในอดีตที่มีความเชื่อว่า “พระเจ้าประทับหรือสถิตอยู่บนบัลลังก์” และแนวคิดที่สองได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้นำจิตวิญญาณของกลุ่มวะฮาบีย์ในยุคที่ 700 ปีแห่งฮิจเราะฮ์ คือท่านชัยค์อิบนุตัยมียะฮ์ อัลหัรรอนีย์ ซึ่งท่านอิบนุตัยมียะฮ์นี้เป็นผู้นำริเริ่มแนวคิด “พระเจ้าอยู่เหนือบัลลังก์ขึ้นไปโดยไม่มีทิศไม่มีสถานที่” #เป็นแนวคิดเป็นการอรรถาธิบาย #ที่ไม่เคยมีใครสักคนจากอุลามาอฺสะลัฟและค่อลัฟอะลิสซุนนะฮ์ได้ทำการอธิบายเอาไว้เลย
“อัลลอฮฺทรงสูงส่งเหนือบังลังก์ด้วยเกียรติอำนาจปกครอง” มิใช่สูงโดยอยู่ข้างบนสิ่งๆหนึ่ง เชานบัลลังก์หรือทิศทาง
เพราะท่านชัยคุลอิสลาม อัลฮาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสกอลานีย์ได้กล่าวเอาไว้ว่า
وَلَا يَلْزَمُ مِنْ كَوْنِ جِهَتَيِ الْعُلُوِّ وَالسُّفْلِ مُحَالٌ عَلَى اللَّهِ أَنْ لَا يُوصَفَ بِالْعُلُوِّ لِأَنَّ وَصْفَهُ بِالْعُلُوِّ مِنْ جِهَةِ الْمَعْنَى وَالْمُسْتَحِيلُ كَوْنُ ذَلِكَ مِنْ جِهَةِ الْحِسِّ ، وَلِذَلِكَ وَرَدَ فِي صِفَتِهِ الْعَالِي وَالْعَلِيُّ وَالْمُتَعَالِي وَلَمْ يَرِدْ ضِدُّ ذَلِكَ وَإِنْ كَانَ قَدْ أَحَاطَ بِكُلِّ شَيْءٍ عِلْمًا جَلَّ وَعَزَّ
“การที่มีสองทิศบนและทิศล่างเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้(มุสตะฮีล)สำหรับอัลลอฮฺนั้น ก็ไม่จำเป็นที่พระองค์จะมีคุณลักษณะที่สูงส่งไม่ได้ เพราะลักษณะความสูงส่งของพระองค์นั้น มาจากด้านของนามธรรม(คือสูงส่งมิใช่รูปธรรมที่อยู่ในความหมายว่ามีสถานที่หรืออยู่ข้างบนสูงขึ้นไปพ้นทิศทั้งหกถึงแม้จะใช้คำพูดว่าไม่มีทิศก็ตาม) และเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ กับ(การมีคุณลักษณะสูงส่งของอัลลอฮฺ)ดังกล่าวนั้นมาจากด้านของรูปธรรม(คือมีอยู่สูงข้างขนขึ้นไปบนบัลลังก์) และด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ได้มีระบุว่าพระองค์มีคุณลักษณะ “อัลอาลี” “อัลอะลีย์” และ “อัลมุตะอาลี” (ทั้งสามเป็นพระนามของอัลลอฮฺที่มีความหมายว่าพระองค์ทรงสูงส่งยิ่ง) และไม่มีระบุสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งดังกล่าวเลย(คือไม่มีระบุว่าพระองค์ทรงอยู่ต่ำลงมา) ซึ่งหากแม้ว่าพระองค์ทรงห้อมล้อมทุก ๆ สิ่งด้วยความรอบรู้ของพระองค์สักทีก็ตาม”
อิบนุหะญัร, ฟัตหุลบารีย์, เล่ม 6, หน้า 136.
@@@@
ชี้แจง
เดิมๆตรรกเดิมๆที่เอามาดิสเครดิตพี่น้องมุสลิมที่พวกท่านฉายาให้เป็นวาฮาบีย์ แล้วเที่ยวแจก"การตักฟีร" มึงรู้ไหมว่าสิ่งพวกท่านอ้างก็คือความเห็นและเป็นความคิดเห็นแนวตรรก ที่สมองมาคิดมาตีกรอบให้แก่อัลลอฮทั้ง การที่พวกท่าน ให้ความหมาย อิสติวาอฺคือการปกครอง จำใส่กะโหลกไว้ว่ามันคือแนวคิดญะฮมียะฮ ไม่ใช่อะฮลุสสุนนะฮหรอก
ดังที่ชัยค์ชัยค์อับดุรเราะหมาน อัลบะร็อก หะฟิเศาะฮุลลอฮ ผู้ตรวจทาน(ตะหกีก)ฟัตหุลบารย์ของอัลหาฟิซอิบนุหะญัร โดยกล่าววิจารณ์ว่า
โต้แย้งว่า
وهذا هو مذهب المعطلة من الجهمية والمعتزلة، ومن تبعهم من الأشاعرة؛ فإنهم جميعًا ينفون علو الله عز وجل بذاته فوق مخلوقاته، ولذا ينفون استواءه على عرشه،
และนี้คือ มัซฮับอัลมุอุอัฏฏิละฮ จากญะฮมียะฮ ,มุอตะซิละฮและ ผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขา จากอัลอะชาอิเราะฮ เพราะแท้จริงพวกเขาทั้งหมด ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่งด้วยซาต ของพระองค์ เหนือบรรดามัคลูคของพระองค์ เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงปฏิเสธ การอิสติวาอ(การอยู่สูง)ของอัลลอฮ บน อะรัชของพระองค์ - ฟัตหุลบารีย์ 17/248 อธิบายเชิงอรรถโดยชัยค์อัลบาร็อก
........
وبهذا يعلم أن النزاع بين أهل السنة وبين أهل البدع إنما هو في علو الذات، وقد تضافرت كل أنواع الأدلة على إثبات أن الله سبحانه فوق سماواته على عرشه؛ فتطابق على ذلك الكتاب والسنة والعقل والفطرة، ومضى على ذلك سلف الأمة من الصحابة والتابعين، وقد أجمع على ذلك أهل السنة والجماعة، وبهذا يتبين أن ما ذكره الحافظ من نفي علو الذات واستحالته قول باطل، والذي يظهر أنه يرتضيه ويقول به عفا الله عنه.
และด้วยเหตุนี้ เขาจะรู้ว่า แท้จริง การเห็นขัดแย้งระหว่างอะฮลุสสุนนะฮ และระหว่างอะฮลุลบิดอะฮ นั้นความจริง มันอยู่ในประเด็น การสูงส่งของซาต (ตัวตนอัลลอฮ) และ แท้จริง ทุกๆประเภทของหลักฐานต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน ที่แสดงบอก ถึงการยืนยัน ว่าแท้จริง อัลลอฮ (ซ.บ) อยู่เหนือ บรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ บน บัลลังกฺ์ของพระองค์ เพราะอัลกิตาบ(อัลกุรอ่น),อัสสุนนะฮ ,เหตุผลทางปัญญาและธรรมชาติ ตรงกับ ดังกล่าวนั้น และ สะลัฟแห่งอุมมะฮจากเศาะหะบะฮ และตาบิอีนได้ดำเนินผ่านมาบนดังกล่าวนั้น และแท้จริง อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ได้มีมติบนดังกล่าวนั้น และด้วยเหตุนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า สิ่งที่ท่านอัลหาฟิซ อิบนหะญัรได้กล่าวถึงมัน จากการปฏิเสธการสูงด้วยซาตและการอ้างว่าเป็นไปไม่ได้ของเขานั้น คือทัศนะที่โมฆะ(บาฏิล) และแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขา(อัลหาฟิซอิบนุหะญัร) เห็นด้วยกับมันและกล่าว(มีทัศนะ)ด้วยมัน ,ขออัลลอฮได้โปรดอภัยต่อเขาด้วยเถิด - ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 7 หน้า 247
................
จะเห็นได้ว่า
การอ้างว่า การอยู่สูงของอัลลอฮ ด้วยซาต นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือทัศนะที่โมฆะ (ไม่ถูกต้อง)
ทั้งนี้เพราะขัดแย้งกับหลักฐานอัลกุรอ่าน อัสสุนนะฮ และแนวทางสะลัฟอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ที่ยืนยันว่า อัลลอฮอยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้า บนบัลลังก์ของพระอง
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/4/63

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2563

ครืองหมายแนวคิดญะฮมียะฮ โปรดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อ





ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ







  เครืองหมายแนวคิดญะฮมียะฮ โปรดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อ
อบูหาติม อัรรอซีย์ กล่าวว่า
وَعَلامَةُ أَهْلِ الْبِدَعِ الْوَقِيعَةُ فِي أَهْلِ الأَثَرِ، وَعَلامَةُ الزَّنَادِقَةِ تَسْمِيَتُهُمْ أَهْلَ السُّنَّةِ حَشْوِيَّةً يُرِيدُونَ إِبْطَالَ الآثَارِ. وَعَلامَةُ الْجَهْمِيَّةِ تَسْمِيَتُهُمْ أَهْلَ السُّنَّةِ مُشَبِّهَةً......
เครื่องหมายของชาวบิดอะฮ คือ การใส่ร้าย อะฮลุลอะษัร(นักหะดิษ) เครืองหมายของ พวกอัซซะนาดิเกาะฮ พวกเขาเรียกอะฮลุสสุนนะฮว่า "หัชวียะฮ" พวกเขาต้องการ ที่จะหักล้างบรรดาหะดิษ และเครื่องหมาย ญะมียะฮ คือ พวกเขาเรียก ชาวซุนนะฮว่า "อัลมุชับบิฮะฮ" - ดู ชัรหอุศูลอัลเอียะติกอด หะดิษหมายเลข 321
........
สรุปคือ
พวกแนวคิดญะฮมียะฮ จะเรียกชาวสุนนะฮว่า มุชับบิฮะฮ(ผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับมุคลูค) เพราะชาวสุนนะฮ ยืนยันสิฟัตอัลลอฮที่มีมาตามตัวบทโดยไม่ตีความ ต่างกับแนวคิดญะฮมียะฮ
อิสหากบิน รอฮะวียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
عَلامَةُ جَهْمٍ وَأَصْحَابِهِ دَعْوَاهُمْ عَلَى أَهْلِ الْجَمَاعَةِ، وَمَا أُولِعُوا بِهِ مِنَ الْكَذِبِ، إِنَّهُمْ مُشَبِّهَةٌ، بَلْ هُمُ الْمُعَطِّلَةُ
เครื่องหมายของญะฮมิน(หัวหน้าแนวคิดญะฮมียะฮ) และบรรดาสาวกของเขา คือพวกเขาสาปแช่ง อะฮลุลญะมาอะฮ และ สิ่งที่พวกเขาชอบโกหก ด้วยมัน ว่า " แท้จริงพวกเขา(อะฮลุสสุนนะฮ) คือมุชับบิฮะฮ" ในทางกลับกัน พวกเขา(ญะฮมียะฮ)นั้นแหละคือ อัลมุอัฏฏิละฮ (พวกปฏิเสธคุณลักษณะอัลลอฮ) - ชัรหอุศูลอัลเอียะติกอด หะดิษหมายเลข 937
อบูกอซิม อัลอัศบะฮานีย์ (ร.ฮ)ได้ตั้งหัวข้อในตำราของท่านว่า
فصل فِي الرد عَلَى الجهمية الَّذِي أنكروا صفات اللَّه عز وجل وسموا أهل السنة مشبهة، وليس قول أهل السنة أن لله وجها ويدين وسائر ما أخبر اللَّه تعالى به عن نفسه موجبا تشبيهه بخلقه
ภาคว่าด้วยการตอบโต้ แนวคิดญะฮมียะฮ ที่พวกเขาปฏิเสธ บรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ อัซซะวะญัลลา และพวกเขาเรียก อะฮลุสสุนนะฮ ว่า "มุชับบิฮะฮ"
และคำพูดของชาวสุนนะฮ ที่ว่า แท้จริงอัลลอฮทรงมี พระพักต์ ,สองพระหัตถ์ และบรรดาสิ่งอื่นๆที่อัลลอฮตาอาลาทรงบอกไว้ ด้วยมันเกี่ยวกับตัวของพระองค์เอง ไม่ได้นำไปสู่การเปรียบอัลลอฮกับสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์(อย่างที่แนวคิดญะฮมียะฮกล่าวหา-ผู้แปล)
- อัลหุจญะฮ ฟี บะยานอัลมะหัจญะฮ 1/285
..............
สรุปคือ
1.พวกแนวคิดญะฮมียะฮ จะใส่ร้ายและเรียก ผู้ที่เป็นชาวสุนนะฮว่า "พวกมุชับบิฮะฮ (ผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับสิ่งถูกสร้าง)
2. การที่ชาวสุนนะฮกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮทรงมี พระพักต์ ,สองพระหัตถ์ และบรรดาสิ่งที่อัลลอฮตาอาลาทรงบอกไว้ ด้วยมันเกี่ยวกับตัวของพระองค์เองนั้น ไม่ถือว่าเป็นการเปรียบอัลลอฮกับบรรดาสิ่งถูกสร้าง(ตัชบีฮ)แต่อย่างใด
ทั้งนี้เพราะพวกแนวคิดญะฮมียะฮ ปฏิเสธความหมายอายาตสิฟาต ที่มีมาตามตัวบท พวกเขาเปลี่ยนความหมายโดยการตีความ เช่น สิฟัตยัด (ที่แปลว่ามือ)พวกเขาตีความว่า พลังอำนาจ(อัลกูวะฮ)เป็นต้น
ปัจจุบัน คนกลุ่มใหนที่มาแนวนี้ ก็เป็นที่รู้กัน
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/4/63