วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เขาบอกว่าเปรตกลัวเสียฟอร์ม




 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


เขาบอกว่าเปรตกลัวเสียฟอร์ม
การไม่ยอมตามกระแสละหมาดเว้นระยะห่างในแถวนะหรือ เพราะกลัวเสียฟอร์ม เยาะเย้ยว่าออกตัวแรง ไม่กล้ากลับลำ
ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮตาอาลาว่า ผู้เขียนไม่ไม่คิดไม่รู้สึกว่า การไม่ยึดตามกระแสเพราะกลัวเสียฟอร์ ไม่มีเลยแม้เท่าเม็ดงา
เพราะแต่ละฟัตวาที่เป็นกระแสตามกันนั้น ไม่มีหลักฐานจากคำสอนศาสนาว่า ท่านนบี ศ็อลฯเคยปฏิบัติ หรือบรรดาปราชญ์ในยุคเศาะหาบะฮและสลัฟ ได้ปฏิบัติแม้แต่อักษรเดียว
การที่รัฐประเทศต่างในโลกอาหรับมีนโยบายตามนโยบายของประเทศต่างๆในการป้องกันโรคระบาด มันเป็นเรื่องปกติที่ปราชญ์ประเทศนั้นจะต้องฟัตวา ตามนโยบายของรัฐ คงไม่มีปราชญ์คนใหนกล้าที่จะทวนกระแสของอำนาจรัฐหรอก
ข้ออ้างการยืนระยะห่างในแถวคือ การจัดแถวเป็นแค่สุนัต ไม่วาญิบ การละหมาดใช้ได้แม้ไม่จัดแถวให้ตรง โดยอ้างทัศนปราชญ์ส่วนใหญ่ว่า จัดแถวคือ สุนัต
ในขณะที่มีนักวิชาการส่วนหนึ่งถือว่าการจัดแถวคือว่าญิบ หนึ่งในนั้นคือ อิหม่ามบุคอรี ซึ่งท่านได้ตั้งหัวข้อในเศาะเฮียะบุคอรีว่า
باب إثم من لم يتم الصفوف
บทว่าด้วยเรื่องบาปของผู้ที่ไม่จัดแถวให้เรียบร้อยสมบูร
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَيُحْتَمَلُ أَنْ يَكُونَ الْبُخَارِيُّ أَخَذَ الْوُجُوبَ مِنْ صِيغَةِ الْأَمْرِ فِي قَوْلِهِ سَوُّوا صُفُوفَكُمْ وَمِنْ عُمُومِ قَوْلِهِ صَلُّوا كَمَا رَأَيْتُمُونِي أُصَلِّي وَمِنْ وُرُودِ الْوَعِيدِ عَلَى تَرْكِهِ ، فَرَجَحَ عِنْدَهُ بِهَذِهِ الْقَرَائِنِ أَنَّ إِنْكَارَ أَنَسٍ إِنَّمَا وَقَعَ عَلَى تَرْكِ الْوَاجِبِ وَإِنْ كَانَ الْإِنْكَارُ قَدْ يَقَعُ عَلَى تَرْكِ السُّنَنِ ، وَمَعَ الْقَوْلِ بِأَنَّ التَّسْوِيَةَ وَاجِبَةٌ فَصَلَاةُ مَنْ خَالَفَ وَلَمْ يُسَوِّ صَحِيحَةٌ لِاخْتِلَافِ الْجِهَتَيْنِ ، وَيُؤَيِّدُ ذَلِكَ أَنَّ أَنَسًا مَعَ إِنْكَارِهِ عَلَيْهِمْ لَمْ يَأْمُرْهُمْ بِإِعَادَةِ الصَّلَاةِ
และเป็นไปได้ว่า อัลบุคอรีย์ ได้เอาการเป็นวาญิบ จากรูปสำนวนคำสั่ง ในคำพูดของท่านนบีที่ว่า "พวกท่านจงจัดแถวพวกท่านให้ตรง " และเอาจากความหมายกว้างๆของคำพูดท่านนบี ที่ว่า "พวกท่านจงละหมาดเหมือนที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด และเอาจากการมีรายงานคาดโทษ(วะอีด)บนการละทิ้ง(การจัดแถวให้ตรง) แล้วในทัศนะของเขา(บุคอรี)ได้ให้น้ำหนัก ด้วยบรรดาหลักฐานแวดล้อมนี้ ว่าแท้จริง การคัดค้านของท่านอานัส (บิน มาลิก) ความจริงเกิดขึ้นเพราะมีการทิ้งสิ่งที่วาญิบ และแม้ว่า การอิงกัร(การคัดค้าน) บางครั้งเกิดขึ้นบนการทิ้งบรรดาสิ่งที่เป็นสุนัตก็ตาม..พร้องกับ คำพูดที่ว่าการจัดแถวให้ตรง คือว่าญิบ การละหมาดของผู้ที่ขัดแย้ง และเขาไม่จัดแถวให้ตรงก็ใช้ได้(เศาะ)... ดูฟัตหุลบารีย์ อธิบายหะดิษหมายเลข 1181
...........
อิบนุหะญัร (ร.ฮ) ได้ยืนยันว่า ในทัศนะของอิหม่ามบุคอรีนั้น การจัดแถวให้ตรง เป็นวาญิบ โดยพิจารณาจากถ้อยคำที่เป็นคำสั่งของท่านนบี และมีคาดคาดโทษ ผู้ที่ละทิ้งการจัดแถวให้ตรงไว้ด้วย และอื่นๆ ดังที่ท่านอธิบายข้างต้น
อิบนุอัลอุษัยมีน(ร.ฮ)กล่าวว่า
السنة تسوية الصفوف، بل قال بعض العلماء إن تسوية الصف واجبة؛ لأن النبي صلى الله عليه وسلم لما رأى رجلاً بادياً صدره قال: “عباد الله لتسون صفوفكم أو ليخالفن الله بين وجوهكم”. وهذا وعيد، ولا وعيد إلا على فعل محرم أو ترك واجب. والقول بوجوب تسوية الصفوف قول قوي، وقد ترجم البخاري – رحمه الله – على ذلك بقوله: “باب إثم من لم يتم الصفوف
ตามสุนนะฮ คือการจัดบรรดาแถวให้ตรง ยิ่งไปกว่านั้น บางส่วนของนักวิชาการ ได้กล่าวว่า แท้จริงการจัดแถวให้ตรงนั้น คือวาญิบ เพราะท่านนบี ศ็อลฯ เมื่อเห็นชายคนหนึ่ง หน้าอกของเขายื่นออกนอกแถว ท่านจึงกล่าวว่า " โอ้บ่าวของอัลลอฮ พวกท่านจงจัดแถวของพวกท่านให้ตรง หรือ จะให้อัลลอฮเปลี่ยนระหว่าใบหน้าของพวกท่าน(หรือ หมายถึงหมุนหน้าของพวกท่านไปไว้ข้างหลัง") และนี่คือ การคาดโทษ(วะอีด) และไม่มีการคาดโทษ(วะอีด) นอกจากบนการกระทำสิ่งที่ต้องห้าม(หะรอม) หรือทิ้งสิ่งที่เป็นวาญิบ และทัศนะที่วาญิบจะต้องจัดแถวให้ตรง คือทัศนะที่"แข็งแรง" และอัลบุคอรี (ร.ฮ)ได้อธิบายให้ความชัดเจนบนดังกล่าว ด้วยการกล่าวของเขาว่า "บทว่าด้วยบาปของผู้ที่ไม่จัดแถวให้สมบูรณ์เรียบร้อย"-มัจญมัวะฟะตาวา วะเราสาอีล 13-12-13
...........
อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) ยืนยันว่า นักวิชาการส่วนหนึ่งระบุว่าการจัดแถวให้ตรงนั้นคือ วาญิบ และเป็นทัศนะที่มีน้ำหนัก และอิหม่ามบุคอรี ระบุว่าคนที่ไม่จัดแถวให้เรียบร้อยสมบูรณ์นั้น เป็นบาป
...........
เพราะฉะนั้น การเอาฟัตวาต่างๆที่สนองนโยบายรัฐที่พลิกไปพลิกมา ตอนแรก ฟัตวาต่างๆ ให้กักตัวที่บ้าน และทิ้งการละหมาดญะมาอะฮและละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด แล้วฟัตวาต่าง ก็กลับลำว่า "อนุญาตให้ละหมาดยืนระยะห่างในแถวได้ โดยอ้างข้างๆคูๆว่า "การจัดแถวเป็นสุนัต ไม่ใช่วาญิบตามทัศนะญุมฮูร นี้คือ ความคิดเห็นล้วน ๆ ไม่มีหลักฐานสักอักษรเดียว บ้างก็อ้างเรื่องกิยาส จึงเห็นได้ว่า "การฟัตวากับไปกลับมา เพื่อสนองนโยบายของรัฐเท่านั้นเอง ซึ่งหลักเลี่ยงไม่ได้โดยเฑาะประเทศในโลกอาหรับ
เพราะฉะนั้น ผู้อ่านโปรดใช้วืจารณญาน และ ใคร่ครวญ
และอีกอย่างหนึ่งว่า "การยืนระยะห่างในแถวละหมาด ป้องกันโควิดได้จริงหรือ ในเมือการชุมนุมคือตัวอันตราย
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/5/63

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

คนมากมายปราถนาจะให้ได้บุญแต่ไม่ไดบุญเพราะทำสิ่งที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


คนมากมายปราถนาจะให้ได้บุญแต่ไม่ไดบุญเพราะทำสิ่งที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ
ท่านอับดุลลอฮ อิบนุมัสอูด (ร.ฎ)ที่เขาเข้ามัสยิด แล้วเห็น คนกพวกหนึ่ง รอคอยที่จะ ละหมาดญะมาอะฮ โดยจัดกลุ่มตั้งวงเป็นวงกลม โดยหัวหน้ากลุ่มสัง กำหนดให้มีการตักบีร ,การตัสเบียะและการตะฮลีล อย่างละ 100 ครั้ง ให้สมาชิกกลุ่มทำตาม โดยทำเป็นหมู่คณะ ในขณะที่รอละหมาด พออิบนุมัสอูด ไปเตือน พวกเขาก็อ้างว่าเป็นการทำดี ดังหะดิษตอนหนึ่งว่า
قالوا : والله يا أبا عبد الرحمن ، ما أردنا إلا الخير
พวกเขากล่าวว่า "ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮ โอ้อบูอับดุรเราะหมาน(หมายถึงอิบนุมัสอูด) เราไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากความดี
(แล้วอิบนุมัสอูด (ร.ฎ)กล่าวว่า)
ดิษอิบนุมัสอูด ที่เขาเข้ามัสยิด แล้วเห็น คนกลุ่มหนึ่ง รอคอยที่จะ ละหมาดญะมาอะฮ แล้วพวกเขากำหนดให้มีการตักบีร ,การตัสเบียะและการตะฮลีล อย่างละ 100 ครั้ง โดยทำเป็นหมู่คณะ ในขณะที่รอละหมาด พอมีคนไปเตือน พวกเขาก็อ้างว่าเป็นการทำดี ดังหะดิษตอนหนึ่งว่า
قالوا : والله يا أبا عبد الرحمن ، ما أردنا إلا الخير
พวกเขากล่าวว่า "ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮ โอ้อบูอับดุรเราะหมาน(หมายถึงอิบนุมัสอูด) เราไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากความดี
(แล้วอิบนุมัสอูด (ร.ฎ)กล่าวว่า)
وكم من مريد للخير لن يصيبه
สักเท่าไหร่แล้ว ผู้ที่ต้องการให้ได้รับความดี (ผลบุญ) เขากลับไม่ได้รับมัน (คือทำแล้วไม่ได้บุญ )- ดูสุนนันอัดดาริมีย์ หน้า 286- 287 หมายเลขหะดิษ 210 ผู้ตรวจทานระบุว่า "สายรายงานดีเยี่ยม
(ดูสำเนาที่แนบมา)
الراوي : عبدالله بن مسعود | المحدث : الألباني | المصدر : إصلاح المساجد
الصفحة أو الرقم: 11 | خلاصة حكم المحدث : إسناده صحيح
สักเท่าไหร่แล้ว ผู้ที่ต้องการให้ได้รับความดี (ผลบุญ) เขากลับไม่ได้รับมัน (คือทำแล้วไม่ได้บุญ )
ชัยค์อัลบานีย์ได้อธิบายว่า
. ومن الفوائد التي تؤخذ من الحديث والقصة ؛ أن العبرة ليست بكثرة العبادة، وإنما بكونها على السنة بعيدة عن البدعة وقد أشار إلى هذا ابن مسعود رضي الله عنه بقوله أيضا : اقتصاد في سنة خير من اجتهاد في بدعة . ومنها أن البدعة الصغيرة بريد إلى البدعة الكبيرة
ส่วนหนึ่งจากประโยชน์ที่ถูกเอามาจากหะดิษและเรื่องราวนี้คือ แท้จริงข้อพิจารณา มันไม่ใช่ด้วยการปฏิบัติอิบาดะฮเป็นจำนวนมาก และความจริง มันอยู่บนการปฏิบัติตามสุนนะฮ ห่างใกลจากบิดอะฮ และแท้จริง อิบนุมัสอูด (ร.ฎ) ได้บ่งชี้ ในเรื่องนี้ ด้วย คำพูดของเขาอีกเช่นกันที่ว่า "พอเพียงอยู่ในสุนนะฮ ดีกว่าเพียรพยายามในบิดอะฮ
และส่วนหนึ่งจากมัน(จากประโยชน์หรือบทเรียนจากหะดิษ) คือ แท้จริงบิดอะฮเล็กน้อย คือตัวนำไปสู่บิดอะฮใหญ่ - อัสสิสิลละฮ อัศเศาะฮีหะฮ 5/13-14
............
เพราะฉะนั้น คนที่มีหัวใจปกป้องสุนนะฮ และระวังบิดอะฮแพร่ระบาดสู่สังคม เขาจะไม่หาทางผลิตวาทกรรมโลกสวยเพื่อเปิดช่องให้ผู้คนทำบิดอะฮและเห็นดีเห็นงามกับมัน บิดอะฮเล็กน้อย มันจะนำส่งไปสู่บิดอะฮใหญ่ได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/5/63

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ความหมายคำว่า"เปลี่ยนจุดยืน"




ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ



ความหมายคำว่า"เปลี่ยนจุดยืน"
คำว่า "เปลี่ยนจุดยืน " คืออะไรต้องกลับมาดูความหมายคำว่า "อัลอิสติกอมะฮ" ให้เข้าใจก่อน คือ
معنى الاستقامة: هي سلوك الصراط المستقيم ، وهو الدين القيم ، من غير ميل عنه يمنة ولا يسرة ،
ความหมายอัลอิสติกอมะฮคือ การดำเนินตามแนวทางที่เที่ยงตรง และมันคือ ศาสนาที่เที่ยงตรง ปราศจากการเอนเอียงออกจากมัน ไปทางขวาและไม่เอนเอียงไปทางซ้าย- อิบนุเราะญับ,ญามิอุลอุลูมวัลฮิกัม อธิบายหะดิษที่ 21
เพราะฉะนั้นคนที่เปลี่ยนจุดยืนคือการเปลี่ยนจากแนวทางที่ถูกต้อง หลักการที่ถูกต้อง อาจจะเพราะต้องการผลประโยชน์ในดุนยา หรือ เพื่อรักษาต่ำแหน่ง หรือประจบสอพลอผู้นำอะไรก็แล้วแต่
ทั้งนี้เพราะการยืนยัดตามคำสอนคือสื่งที่อัลลอฮตาอาลาได้สั่งไว้
فَلِذَٰلِكَ فَادْعُ ۖ وَاسْتَقِمْ كَمَا أُمِرْتَ ۖ وَلَا تَتَّبِعْ أَهْوَاءَهُمْ ۖ
ดังนั้น เพื่อการนี้แหละเจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนและดำรงมั่นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรมดังที่เจ้าได้รับบัญชา -อัชชูรอ/15
.......
การเผยแพร่ศาสนา ผู้เผยแพร่ต้องมีจุดยืน เป็นหลักในความถูกต้อง ไม่ใช่โอนเอน ไปมาเหมือนสนต้องลม หรือ กลับกลอกเหมือนน้ำค้างอยู่บนใบบอน
ในสังคมทุกวันนี้ ตามที่เห็น ผู้เผยแพร่ศาสนาส่วนหนึ่ง เปลี่ยนจุดยืนคือ การใหลไปตามความต้องการสังคม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง พอได้ตำแหน่ง พอทำธุรกิจ เปลี่ยนสิ่งที่เป็นหลักการบริสุทธิ์ให้เป็นสีเทา
ซึ่งเรี่องนี้สังคมรู้กัน สังเกตุว่าคนประเภทนี้ จะใช้หลักการ "จิ้งเปลี่ยนสี" อยู่กับกลุ่มใหนก็ตามกลุ่มนั้น
ส่วนการที่คนๆหนึ่งเขาเปลี่ยนจากจุดเดิมไปตามสิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า แบบนี้ไม่ใช่เปลี่ยนจุดยืน แต่เป็นสิ่งที่ศาสนาสอน ให้กระทำ เช่น
ท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า
سددوا وقاربوا
จงปฏิบัติให้ถูกต้อง และใกล้เคียงกับความถูกต้อง -รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี
ความหมายคือ ให้แสวงหาความถูกต้อง ถ้าไม่สามารถก็พยายามให้ใกล้เคียงความถูกต้องที่สุด
อบูหะนีฟะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
قولنا هذا رأي وهو أحسن ما قدرنا عليه، فمن جاءنا بأحسن من قولنا فهو أولى بالصواب منا
คำพูดของเรานี้ คือความคิดเห็น และมันคือที่ดีกว่าของสิ่งเราสามารถบนมัน ดังนั้นผู้ใดนำมายังเรา ที่ดีกว่าคำพูด(ทัศนะ)ของเรา มันคือที่สมควรถูกต้องกว่าที่มาจากเรา"-
تاريخ بغداد، الخطيب البغدادي 3 / 42.
.........
คือ ทัศนะของเรานั้นเราถือว่าถูกต้องแล้วตามความสามารถของเรา แต่ถ้าใครนำทัศนะที่ดีกว่าทัศนะของเรา มันยอมสมควรที่จะถูกกว่าทัศนะของเรา - คือจะไม่ยึดติด ถ้ามีสิ่งที่ถูกต้องกว่า ด้วยหลักฐาน ก็ต้องยอมรับ
.......
เพราะฉะนั้น ต้องแยกให้ถูก คำว่า ยืนหยัด คือ อะไร และการเปลี่ยนจุดยืน คือเปลี่ยนแบบใหน จะได้ไม่เทียวกระแหนะ กระแหน่ เมื่อเราบอกว่า "ไม่มีจุดยืน" เราหมายเปลี่ยนจากจุดยืนที่ถูกต้อง แล้วเอนเอียงไปสู่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั้นเอง
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/5/63

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

สะลัฟไม่มีการฟัตวาแบบอาหารตามสั่ง




ในภาพอาจจะมี ข้อความ




สะลัฟไม่มีการฟัตวาแบบอาหารตามสั่ง
สะลัฟเขาจะไม่รีบเร่งฟัตวาจนกว่าจะดูหลักฐานจากอัลกุรอ่า,อัสสุนนะฮและคำพูดเคาะลิฟะฮทั้งสี่เสียก่อน
อิบนุลก็อยยิม(ร.ฮ)กล่าวว่า
ان السلفُ من الصحابة والتابعين يكرهون التسرُّع في الفتوى ، ويودُّ كلُّ واحد منهم أن يكفيَهُ إياها غيرُه ، فإذا رأى أنّها تعيَّنت عليه بذل اجتهادَهُ في معرفة حكمها من الكتابِ والسنّةِ ، وأقوالِ الخلفاءِ الراشدين ، ثم أفتى
แท้จริงสะลัฟ จากเศาะหาบะฮ และบรรดาตาบิอีน พวกเขารังเกียจ(ไม่ชอบ)รีบเร่งในการฟัตวา(ตอบปัญหาศาสนา) และแต่ละคนจากพวกเขา ชอบที่จะให้คนอื่นจากพวกเขาตอบมัน(ตอบปัญหา)แทนพวกเขา แล้วเมื่อเขาเห็นว่าจำเป็นแก่เขา(จะต้องฟัตวา) เขาก็ทุ่มเทความพยายามของเขา ในการรู้จัก หุกุม(ข้อชี้ขาด)ของมัน จากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และบรรดาทัศนะของเคาะลิฟะฮรอชิดีน หลังจากนั้นเขาก็ทำการฟัตวา(ตอบปัญหา- ดูเอียะลามอัลมุวักกิอีน 1/34
...........
สรุปคือ
1.ปราชญ์ยุคสะลัฟ ที่เป็นเศาะหาบะฮและตาบิอีน พวกเขารังเกียจในการเร่งรีบตอบปัญหาศาสนา
2.ปราชญยุคสะลัฟที่เป็นเศาะหาบะฮและตาบิอีน พวกเขาไม่ชอบตอบปัญหาเองแต่ชอบให้คนอื่นทำหน้าที่ตอบปัญหาแทนเขา
3. บรรดาปราชญ์สะลัฟ เมื่อมีปัญหาใดที่พวกเขาจำเป็นต้องตอบ (คือหลีกเลี่ยงไม่ได้)พวกเขาก็จะทุ่มเทความพยายามของเขา ในการรู้จัก หุกุม(ข้อชี้ขาด)ของมัน จากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และบรรดาทัศนะของเคาะลิฟะฮรอชิดีน หลังจากนั้นเขาก็ทำการฟัตวา(ตอบปัญหา)
คนยุคหลัง พอเกิดปัญหาในประเด็นใดขึ้นมา ก็จะมีพวกชัยค์ต่างๆ รีบตอบสนองความต้องการของสังคม บางครั้งไม่มีหลักฐานมีแต่ความเห็น แล้วบรรดาพวกอวยชัยค์บ้านเราบางส่วนก็เอามาอ้างกัน คนนั้นว่าอย่างนั้นคนนี้ว่าอย่างนี้จนชาวบ้านสับสน บางที่เอาฟัตวามากลบสุนนะฮนบีก็มี เพราะฉะนั้นเราคนอาวามให้มีสติรับฟัตวาต่างๆด้วย
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/5/63

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

การแยกมัสยิดเพื่อปฏิบัติในสิ่งที่เป็นสุนนะฮ คือ คิลาฟสุนนะฮจริงหรือ


 ในภาพอาจจะมี ข้อความ



การแยกมัสยิดเพื่อปฏิบัติในสิ่งที่เป็นสุนนะฮ คือ คิลาฟสุนนะฮจริงหรือ
มีผู้อ้างว่า
มัสยิดที่แยกออกไปจากมัสยิดใหญ่แล้วไปทำละหมาดเป็นคิลาฟุสสุนนะฮแต่บางคนบอกว่าค้านกับสุนนะฮเป็นบิดอะฮเลยเล่นแรงจัง
@@@@
ชี้แจง
เห็นว่ายิ่งหนักเข้าทุกวัน อดทนอยู่หลายวัน กับวาทกรรมฟิตนะฮ ที่นำมากระแหนะกระแหน คนที่ค้านการละหมาดญะมาอะฮยืนระยะห่าง ซึ่งผู้ค้านที่เขาค้านเพราะเห็นว่าไม่มีแบบอย่าง คนที่เห็นว่ามีแบบอย่างก็ควรนำหลักฐานมาแสดง ไม่ใช่สร้าวาทกรรมฟิตนะฮ เอามาเป็นอาวุธทิ่มแทงคนอื่น ไม่หยุดย่อน
ดราม่า กล่าวหาว่าคนแยกมัสยิด ว่าทำสิ่งที่ คิลาฟซุนนะฮ (ขีดแย้งกับสุนนะฮ) ทำไมไม่พิจารณาดูว่าที่เขาแยกมัสยิดเพราะเหตุอะไร เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมที่ขัดกับสิ่งที่เขาเชื่อ สิ่งที่เขาเรียนมา ถ้าอยู่ร่วมกันเกรงจะเกิดฟิตนะฮ เขาก็ออกมา มันเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อขจัดปัญญาที่จะตามมา
การที่เขาแยกมัสยิดเพราะเขาเห็นว่า เขาไม่อยากละหมาดตามผู้ที่ทำบิดอะฮ ครั้งสองครั้งพอจะทำเนาได้ หลายครั้งเขาก็ไม่สบายใจแล้วแยกออกมาอย่างสันติ สงบ ไม่มีการตัดสัมพันธ์ความเป็นพี่น้องในอิสลามแต่อย่างใด
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ได้กล่าวถึงการละหมาดตามคนที่ทำบิดอะฮและคนชั่วได้ เมื่อเมื่อมีสถานที่ละหมาดสถานที่เดียว ไม่มีสถานที่อื่น ก็อนุญาตให้ละหมาดตามคนทำบิดอะฮและคนชั่วได้เหตุผลคือเพื่อรักษาละหมาดวันศุกร์และละหมาดญะมาอะฮไว้ แต่ท่านได้กล่าวไว้ตอนท้ายว่า
وَأَمَّا إذَا أَمْكَنَهُ أَنْ يُصَلِّيَ خَلْفَ غَيْرِ الْمُبْتَدِعِ فَهُوَ أَحْسَنُ وَأَفْضَلُ بِلَا رَيْبٍ
และสำหรับเมื่อเขาสามารถ ที่จะละหมาด ตามผู้ที่ไม่ใช่ผู้ที่ทำบิดอะฮ ได้ มันย่อมดีกว่าและประเสริฐกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย -ดูมัจญมัวะฟะตาวา 5/341 และ อัลฟะตาวาอัลกุบรอ 3/43
.............
คือถ้าเป็นไปได้ ละหมาดตามผู้ที่ไม่ทำบิดอะฮย่อมดีกว่า นี่คือ ที่เขาแยกมัสยิด อีกอย่างคนที่ละหมาดตามคนทำบิดอะฮ ปราชญ์แนะนำให้นะศีหัตเขา แล้วคุณทำหน้าที่นี้หรือเปล่า จึงมาโจมตีคนแยกมัสยิด
ท่านซูฟยานอัษเษารีย์ (ฮ.ศ 161)ปราชญ์ยุคสะลัฟ เคยกล่าวกับ ท่านชุอัยบฺ บิน อัลฮัรบีย์(ฮ.ศ 197) ตอนหนึ่งว่า
وَلَكِنْ صَلاةُ الْجُمُعَةِ وَالْعِيدَيْنِ ، صَلِّ خَلْفَ مَنْ أَدْرَكْتَ، وَأَمَّا سَائِرُ ذَلِكَ فَأَنْتَ مُخَيَّرٌ، لا تُصَلِّ إِلا خَلْفَ مَنْ تَثِقُ بِهِ، وَتَعْلَمُ أَنَّهُ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ
และแต่ ละหมาดวันศุกร์และละหมาดอีด นั้น ท่านจงละหมาดตาม ใครก็ตามที่ท่านพบ และสำหรับ ละหมาดอื่นๆ ให้ท่านเลือก ท่านอย่าละหมาด นอกจาก ผู้ที่ท่านไว้วางใจในตัวเขา และท่านรู้ว่า แท้จริงเขาเป็นส่วนหนึ่งจากอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ- รายงานโดยอัลลาลุกาอีย์ ในชัรหอุศูลอะกีดะฮอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ หมายเลข 314 และตุหฟะตุลอะฮวะซีย์ 1/448 ตามสำเนาที่แนบมา
ท่านซูฟยาน อัษเษารีย์ แนะนำท่าน ชุอีบ บินฮัรบีว่า
1.ละหมาดวันศุกร์และละหมาดอีด นั้น ท่านจงละหมาดตาม ใครก็ตามที่ท่านพบ
2.และสำหรับ ละหมาดอื่นๆ ให้ท่านเลือก ท่านอย่าละหมาด นอกจาก ผู้ที่ท่านไว้วางใจในตัวเขา และท่านรู้ว่า แท้จริงเขาเป็นส่วนหนึ่งจากอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ-
...........
คนที่แยกมัสยิด เขาเลือกในสิ่งที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า แต่คุณกลับบอกและกล่าวหาเขาว่า "ทำสิ่งที่ขัดแย้งกับสุนนะฮ" แล้วเอาไปโยงกับเรื่องยืนระยะห่างในละหมาดญะมาอะฮ มันใช้ได้ที่ใหน และแถมเยาะเย้ยเย้ยหยัน แบบนี้คือ สุนนะฮใช่ไหม?
หยุดเถอะครับ อย่าทำร้ายตัวเองเลย
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/5/63

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

วาญิบจะต้องนำคำสั่งของรอซูลมาอธิบายแก่อุมมะฮ


 ในภาพอาจจะมี ข้อความ


วาญิบจะต้องนำคำสั่งของรอซูลมาอธิบายแก่อุมมะฮแม้จะขัดแย้งกับคนส่วนใหญ่ก็ตาม
อัลหาฟิซ อิบนุเราะญับอัลหัมบะลี (ร.ฮ)กล่าวว่า
.فالواجب على كل من بلغه أمر الرسول صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وعرفه؛ أن يبينه للأمة، وينصح لهم، ويأمرهم باتباع أمره، وإن خالف ذلك رأي عظيم من الأمة؛ فإن أمر رسول الله صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أحق أن يُعَظَّم ويُقتدى به من رأي أي مُعَظَّم قد خالف أمره في بعض الأشياء خطأً ، ومن هنا رد الصحابة ومن بعدهم على كل مخالف سنة صحيحة، وربما أغلظوا في الرد، لا بغضاً له؛ بل هو محبوب عندهم مُعَظَّم في نفوسهم، لكن رسول الله أحب إليهم، وأمره فوق أمر كل مخلوق،
วาญิบ บนทุกๆผู้ที่คำสั่งของรอซูล ศ็อลฯ ถึงมายังเขา และเขารู้จักมัน จะต้องอธิบายมันแก่อุมมะฮ ,จะต้องตักเตือนพวกเขาและใช้พวกเขา ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของรซูลุลลอฮ และแม้ดังกล่าวนั้นจะขัดแย้งกับความเห็นของส่วนใหญ่จากอุมมะฮ ก็ตาม เพราะแท้จริง คำสั่งของรซูลุลลอฮ สมควรที่จะให้ความสำคัญและปฏิบัติตาม ยิ่งกว่าความเห็นคนสำคัญ ใหนก็ตาม ทีเขาขัดแย้งกับคำสั่งรอซูลุลลอฮ ในบางส่วนของสิ่งต่างๆโดยการผิดพลาด
และเพราะเหตุนี้ บรรดาเศาะหาบะฮ และผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา ได้ตอบโต้ ทุกๆผู้ที่ขัดแย้งกับสุนนะฮที่เศาะเฮียะ และบางครั้งพวกเขาหยายคายในการตอบโต้ ไม่ใช่เพราะเกลียดชังเขา แต่ในทางกลับกันเขาคือผู้เป็นที่รัก ณ พวกเขา อีกทั้งเป็นบุคคลสำคัญในใจของพวกเขา แต่ รซูลุลลอฮ เป็นที่รักแก่พวกเขายิ่งกว่า และคำสั่งของรซูลุลลอฮ อยู่เหนือคำสั่งของ ทุกๆมัคลูค -มัจญมัวะรอสาอิลของอิบนุเราะญับ 1/245
.......
สรุป
1.วาญิบ บนทุกๆผู้ที่คำสั่งของรอซูล ศ็อลฯ ถึงมายังเขา และเขารู้จักมัน จะต้องอธิบายมันแก่อุมมะฮ ,จะต้องตักเตือนพวกเขาและใช้พวกเขา ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของรซูลุลลอฮ และแม้ดังกล่าวนั้นจะขัดแย้งกับความเห็นของส่วนใหญ่จากอุมมะฮ ก็ตาม
2.คำสั่งของรซูลุลลอฮ สมควรที่จะให้ความสำคัญและปฏิบัติตาม ยิ่งกว่าความเห็นคนสำคัญ ใหนก็ตาม ทีเขาขัดแย้งกับคำสั่งรอซูลุลลอฮ
3.บรรดาเศาะหาบะฮ และผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา ได้ตอบโต้ ทุกๆผู้ที่ขัดแย้งกับสุนนะฮที่เศาะเฮียะ และบางครั้งพวกเขาหยายคายในการตอบโต้ ไม่ใช่เพราะเกลียดเขา แตคำสั่งของรซูลุลลอฮสำคัญกว่าคำสังของมัคลูคทุกคน
.......
แปลก คนยุคนี้ พอตอบโต้กับคนที่ขัดแย้งกับหะดิษเศาะเฮียะ แบบรุนแรงสักนิด ก็หาว่าเป็นคนเลว คนไม่มีมารยาท คนสุดโต่ง
อะสัน หมัดอะดั้ม
3/5/63

ข้อแตกต่างระหว่างกฏเกณฑ์เรื่องอิบาดะฮกับเรื่องอาดะฮ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ




ข้อแตกต่างระหว่างกฏเกณฑ์เรื่องอิบาดะฮกับเรื่องอาดะฮ
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า

تصرفات العباد من الأقوال والأفعال نوعان: عبادات يصلح بها دينهم، وعادات يحتاجون إليها في دنياهم، فباستقراء أصول الشريعة نعلم أن العبادات التي أوجبها الله أو أحبها لا يثبت الأمر بها إلا بالشرع. وأما العادات فهي ما اعتاده الناس في دنياهم مما يحتاجون إليه، والأصل فيه عدم الحظر، فلا يحظر منه إلا ما حظره الله سبحانه وتعالى" انتهى.

การดำเนินการของบรรดาบ่าว จากบรรดาการพูดและการกระทำ นั้น มี 2 ประเภทคือ
1. บรรดาอิบาดะฮ ที่เขาปฏิบัติต่อศาสนาของพวกเขาให้ถูกต้อง ด้วยมัน
2. บรรดาอาดะฮ ที่พวกเขามีความจำเป็นต่อมันในด้านทางโลกของพวกเขา
ด้วยการสืบค้น บรรดารากฐานของชะรีอะฮ เราจะรู้ว่า แท้จริง บรรดาอิบาดะฮ ที่อัลลอฮทรงกำหนดให้มันเป็นข้อบังคับ หรือทรงชอบมัน คำสังด้วยมันจะไม่ถูกรับรอง นอกจากด้วยศาสนบัญญัติ และบรรดาอาดาตนั้น คือ สิ่งที่มนุษย์ ได้ปฏิบัติมันเป็นปกติวิสัย ในด้านทางโลกของพวกเขา จากสิ่งที่พวกเขามีความจำเป็นต่อมัน (ในการดำรงชีวิตทางโลก) และหลักเดิมในมัน คือไม่มีการห้าม ก็จะไม่ถูกห้ามจากมัน นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงห้ามไว้เท่านั้น- มัจญมัวะอัลฟะตาวา 29/16-17
..........
สรุปคือ
สิ่งที่บรรดาบ่าวปฏิบัติที่เกี่ยวกับคำพูดและการกระทำ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. อิบาดะฮ(เรื่องพิธีกรรมทางศาสนา) ที่มนุษย์ใช้ปฏิบัติต่อศาสนาของพวกเขาให้ถูกต้อง
2. อาดะฮ (เรื่องธรรมเนียมปฏิบัติของมนุษย์ทางโลก) ที่มนุษย์มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตทางโลก
3. หลักเดิมในเรื่องอิบาดะฮนั้น มันจะไม่ถูกรับรอง นอกจากด้วยศาสนบัญญัติ (ที่บัญญัติสั่งใช้ไว้)
4. หลักเดิมในเรื่องอาดะฮนั้น จะไม่ถูกห้าม นอกจากสิ่งที่อัลลอฮทรงห้ามไว้เท่านั้น
ศึกษากันนะครับ แยกให้ออกกฏเกณฑ์ เรื่องอิบาดะฮในศาสนา กับกฏเกณฑ์เรื่องอาดะฮที่เกี่ยวกับปฏิบัติสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตทางโลก หากไม่เช่นนั้น ผลที่ตามมาคือ เอากฏเกณฑ์ทางโลก ไปใช้กับกฏเกณฑ์ทางด้านพิธีกรรมศาสนา(อิบาดะฮ) ผลที่ตามมาคือ คิดคำสอนศาสนาเอาเอง โดยอ้างว่าไม่มีบทบัญญัติห้าม ในที่สุด บิดอะฮเต็มบ้านเต็มเมือง
อะสัน หมัดอะดั้ม
3/5/63