วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2563

ใครบอกว่าละหมาดบนเก้าอี้ไม่มีหลักฐานแค่คำอธิบายอุลามาอ์

 

 

ใครบอกว่าละหมาดบนเก้าอี้ไม่มีหลักฐานแค่คำอธิบายอุลามาอ์

พยามหาความชอบธรรมให้กับ การยืนเว้นระยะห่างในแถวละหมาด1.5 เมตรและ 2 เมตร ไปเทียบกับการละหมาดผู้ปวย กรณีละหมาดบนเก้าอี้ เพื่อให้สังคมเข้าใจว่า สองอย่างเหมือนกัน คือต่างก็ไม่มีหลักฐาน ถ้าคิดเช่นนี้คือความโง่เขลาเบาปัญญาแล้วชี้นำสังคม

การละหมาดของผู้ป่วยนั้นมีข้อผ่อนปรนคือ ให้ปฏิบัติเท่าที่สามารถที่จะปฏิบัติได้

ชัยค์ บิน บาซ (ร.ฮ)กล่าวว่า

الواجب على من صلى جالسا على الأرض ، أو على الكرسي ، أن يجعل سجوده أخفض من ركوعه ، والسنة له أن يجعل يديه على ركبتيه في حال الركوع ، أما في حال السجود فالواجب أن يجعلهما على الأرض إن استطاع ، فإن لم يستطع جعلهما على ركبتيه ، لما ثبت عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه قال : ( أمرت أن أسجد على سبعة أعظم : الجبهة - وأشار إلى أنفه - واليدين ، والركبتين ، وأطراف القدمين ) .

วาญิบ บนผู้ที่ละหมาดโดยการนั่งบนพื้น หรือ บนเก้าอี้ ให้เขาทำให้การสุญูดของเขา ต่ำกว่า การรุกัวะของเขา และสุนนะฮให้เขาวางสองมือของเขาบน หัวเข่าทั้งสองของเขา ในขณะทำการรุกัวะ ,สำหรับในขณะทำการสุญูด ก็จำเป็นจะต้องให้สองมือ วางบนพื้น หากสามารถทำได้ แล้วหากไม่สามารถทำได้ ก็ให้เขาวางมันบนหัวเข่าทั้งสองของเขา เพราะมีรายงานยืนยัน(เศาะเฮียะ)จากท่านนบี ศ็อลฯ ว่าท่านได้กล่าวว่า "(ฉันถูกสั่งให้ทำการสุญูด บน 7 อวัยะ อันได้แก่ หน้าผาก,โดยท่านรอซูลชี้ไปที่จมูกของท่าน ,สองมือ,สองหัวเข่า และปลายเท้าทั้งสอง

ومن عجز عن ذلك وصلي على الكرسي فلا حرج في ذلك ، لقول الله سبحانه : ( فَاتَّقُوا اللَّهَ مَا اسْتَطَعْتُمْ ) وقول النبي صلى الله عليه وسلم : ( إِذَا أَمَرْتُكُمْ بِأَمْرٍ فَأْتُوا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ ) متفق على صحته

และผู้ใดไม่มีความสามรถจากดังกล่าว และเขาละหมาดบนเก้าอี้ก็ไม่เป็นไร ในดังกล่าวนั้น เพราะคำตรัสของอัลลอฮ (ซ.บ)"จงยำเกรงต่ออัลลอฮ เท่าที่พวกเจ้าสามารถกระทำได้) และคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯที่ว่า (เมื่อฉันสั่งพวกท่าน ด้วยคำสั่งใดๆ พวกท่านจงปฏิบัติจากมัน เท่าที่พวกท่านสามารถกระทำได้) -ดู มัจญมัวะฟะตาวาวะมะกอลาตมุตะเนาวิอะฮ ยุซ 12 หน้า 245-246

.............

ถ้าใช้สมองและีเป้าหมายด้วยความสุจริตใจไม่หวังที่จะเอาชนะคะคาน ก็จะทราบว่า ข้อผ่อนปรนทางศาสนา(รุคเศาะฮชัรอียะฮ) สำหรับ ผู้ป่วย คือ "ให้ปฏิบัติเท่าที่สามารถปฏิบัติได้ และหลักฐานก็คือ อายะฮและหะดิษข้างต้น รวมถึงหะดิษของอิมรอน บิน หุศัยนฺที่ว่า

كانت بي بواسير فسألت النبي صلى الله عليه وسلم عن الصلاة فقال : ( صَلِّ قَائِمًا ، فَإِنْ لَمْ تَسْتَطِعْ فَقَاعِدًا ، فَإِنْ لَمْ تَسْتَطِعْ فَعَلَى جَنْبٍ ) . رواه البخاري ( 1066

ข้าพเจ้า เป็นรีดสีดวง แล้วข้าพเจ้าถาม ท่านนบี ศ็อลฯ เกี่ยวกับละหมาด แล้วท่านนบีกล่าวว่า "ท่านจงละหมาด โดยการยืน แล้วหากท่านไม่มีความสามารถ ท่านจง(ละหมาด)โดยการนั่ง แล้วถ้าท่านไม่มีความสามารถ ก็จงนอนตะแคง-รายงานโดยบุคอรี
ซึ่งสรุปจากหลักฐานก็คือ ให้ทำอย่างไรก็ได้เท่าที่สามารถทำได้

อย่าสร้างตรรก อ้างว่า ละหมาดบนเก้าอี้ไม่มีหลักฐานตรงๆแค่คำอธิบายของอุลามาอฺเท่านั้นเอง ทั้งนี้เพื่อจะเอาการละหมาดยืนห่างในแถว 1.5 เมตร และ 2 เมตร มาเทียบว่าเป็นกรณีเดียวกัน เหมือนกัน มีหุกุมเหมือนกัน ถ้าคิดแบบนี้ อย่าสอนศาสนาเลยต้องเรียนใหม่

หยุดสร้างวาทกรรมเถอะครับ เอาหลักฐานมาว่ากันในเรื่องศาสนา ขอให้เห็นแก่ศาสนา มากกว่าหน้าตาและศักดิศรีตนเองทางดุนยา

อะสัน หมัดอะดั้ม
3/8/63

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ระวังการ เอาอุลามาอฺไปเป็นภาคี(شركاء )ต่ออัลลอฮ



ระวังการตามแบบหูหนวกตาบอด จะกลายเป็นว่า เอาอุลามาอฺไปเป็นภาคี(شركاء )ต่ออัลลอฮ
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
قال الله تعالى: " أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ ".
فمن ندب إلى شيء يتقرب به إلى الله، أو أوجبه بقوله أو بفعله من غير أن يشرعه الله: فقد شرع من الدين ما لم يأذن به الله، ومن اتبعه في ذلك فقد اتخذه شريكا لله شرع له من الدين ما لم يأذن به الله،
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (หรือว่าพวกเขามีภาคีต่าง ๆ ที่ได้บัญญัติศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ-อัชชูรอ/21)
ดังนั้นผู้ใด ส่งเสริม สิ่งใดๆ ให้แสดงการใกล้ชิด(อิบาดะฮ)ต่ออัลลอฮ ด้วยมัน หรือ กำหนดให้มันเป็นวาญิบ ด้วยคำพูดของเขา หรือการกระทำของเขา โดยที่อัลลอฮไม่ได้บัญญัติมัน แน่นอนเขาได้กำหนดบัญญัติ ศาสนา สิ่งซึ่งอัลลอฮไม่ทรงอนุมัติ และผู้ใด ปฏิบัติตามเขา(ผู้นี้) ในดังกล่าวนั้น แน่นอนเขาได้ยึดเอาเขาผู้นี้ เป็นภาคีต่ออัลลอฮ บัญญัติศาสนาให้แก่เขาโดยที่อัลลอฮไม่ทรงอนุมัติ- มัจญมัวะอัลฟะตาวา 4/118
............
สรุปคือ
1. ใครส่งเสริมสิ่งใดให้นำไปอิบาดะฮต่ออัลลอฮ หรือกำหนดให้คำพูดและการกระทำของเขาเป็นข้อบังคับ โดยที่อัลลอฮไม่ได้บัญญัติสิ่งนั้นไว้ แน่นอนเขาผู้นั้นกำหนดบทบัญญัติศาสนาที่อัลลอฮไม่ได้ทรงอนุมัติ
2. ผู้ใดปฏิบัติตามผู้ที่กำหนดบทบัญญัติศาสนาที่อัลลอฮไม่อนุมัติ เขาผู้นั้นได้ยึดเอาเขาผู้นั้นเป็นภาคี(شركاء)ต่ออัลลอฮ ในการบัญญัติศาสนาที่อัลลอฮไม่ทรงอนุญาติ
ระวัง การยึดอุลามาอฺเป็นภาคี (شركاء )กับอัลลอฮนะครับท่านผู้อ่าน แยกให้ถูกระหว่างสถานะ พระเจ้า กับสถานะอุลามาอฺ
สำหรับ บรรดาอุลามาอฺ เมื่อเขาวินิจฉัย(อิจญติฮาด)เขาก็ได้รับการอภัยจากผิดพลาด
ดังที่อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ได้กล่าวต่อไปว่า
وقد يغفر له لأجل تأويل إذا كان مجتهدا: الاجتهاد الذي يعفى فيه عن المخطئ لكن لا يجوز اتباعه في ذلك
และเขาได้รับการอภัย เพราะการตีความ เมื่อเขาเป็นมุจญตะฮิด ,การอิจญติฮาด ที่ได้รับการอภัยในมันจากผู้ที่ผิดพลาด แต่ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามเขา ในดังกล่าว -มัจญมัวะอัลฟะตาวา 4/118
......
สำหรับการผิดพลาดของมุจญตะฮิดนั้น ความผิดพลาดในการอิจญติฮาด ได้รับการอภัย แต่ห้ามผู้อื่นตามในการอิจญติฮาดที่ผิดพลาด
ขอให้เข้าใจตรงกัน อย่าได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านปิดตาตักลิดตามปราชญฺ หรือตามตัวเองแบบหูหนวกตาบอด จนกลายเป็นว่า สอนให้ชาวบ้านนำอุลามาอฺไปเป็นภาคี(شركاء )กับอัลลอฮในการกำหนดบทบัญญัติศาสนา
โต๊ะครูก็อย่าอวยอุลามาอฺจนพาชาวบ้านเข้ารกเข้าพง ระวังกันนะครับ หลังโควิด ตรวจสอบเสียบ้างว่า ใครไม่ควรชี้นำสังคมในเรื่องศาสนา ดูๆกันนะครับ
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/7/63

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2563

หลักฐานที่บอกว่าละหมาดที่บ้านได้บุญ 27 เท่าเหมือนละหมาดที่มัสยิด





คำท้าโต๊ะครูสายอวยอุลามาอฺ :ให้เอาหลักฐานที่บอกว่าละหมาดที่บ้านได้บุญ 27 เท่าเหมือนละหมาดที่มัสยิด


ความจริงการท้าเพื่อเอาชนะแบบนี้ไม่มีราคา เพราะเป็นการถามของคนไม่ใช้สมองคิดและถาม ถามดดยคิดว่า คนอื่นไม่มีความรู้เทียบเท่าตัวเอง หลงตัวเองว่า ข้าเท่านั้นที่รู้จริง  แต่ที่ผมนำมาตอบ เพื่อพี่น้องผู้อ่านจะได้ศึกษา

ความจริงตอนนี้เราพูดถึง การละหมาดที่บ้านเนื่องจากอุปสรรค คือ อยู่ในภาวะการระบาดของโรคระบาด ที่ผู้คนกลัวจะอันตรายต่อชีวิตตัวเอง  ไม่ใช่การละหมาดในยามปกติ  ซึ่งถ้าใครไม่ลืมหรือแกล้งลืมเราจะพบว่ามีฟัตวาระบุว่า คนละหมาดที่บ้าน ได้บุญเท่ากับละหมาดญะมาอะฮ ที่เขาปฏิบัติประจำที่มัสยิด ในยามปกติ

ขอยกตัวอย่างฟัตวาของ ชัยค์ ดร. สะอัด บิน อับดุลลอฮ บิน อับดุลอะซีซ อัสสะบัร  อาจารย์ภาควิชานิติศาสตร์อิสลามเปรียบเทียบ  มหาลัยอิหม่ามมุหัมหมัด อิบนุสะอูด

มีหัวข้อว่า

بعد إيقاف الصلاة بالمساجد.. "السبر": الصلاة في البيت في حال الوباء يُكتب بها أجر الجماعة كاملاً

หลังจากหลังจากการหยุดละหมาดที่มัสยิด ,อัสสะบัร กล่าวว่า:   การละหมาดที่บ้าน ในสถานการณ์โรคระบาด  ผลตอบแทนการละหมาดญะมาอะฮโดยสมบูรณ์ ถูกบันทึกด้วยมัน
มาดูส่วนหนึ่งจากข้อความคำฟัตวาของชัยค์ สะอิด อัส-สะบัร :
وقال "السبر": "لذا يصلي الإنسان في بيته جماعة مع أسرته -الأبناء والبنات-، ونساؤه يصلين معه، وتقام بهم الجماعة، ويجري له أجره كاملاً، قال النبي صلى الله عليه وسلم: (إذا سافر العبد أو مرض كتب الله ما كان يعمله مقيماً صحيحاً) رواه البخاري، واستشهد بقول الحافظ ابن رجب الحنبلي -رحمه الله-: لا نعلم خلافاً أن الجماعة تنعقد باثنين إذا كانا من أهل التكليف، ولو كان المأموم امرأة. فتح الباري شرح صحيح البخاري، وقول الشيخ ابن عثيمين رحمه الله: المعذور يُكتبُ له أجرُ الجماعةِ كاملاً، إذا كان مِن عادتِه أن يصلِّي مع الجماعةِ، لقول النبي صلى الله عليه وسلم: (إذا مَرِضَ العبدُ أو سافرَ كُتِبَ له مثلُ ما كان يعملُ صحيحاً مقيماً) الشرح الممتع ٣٢٣/٤".
และอัสสะบัร ได้กล่าวว่า  เพราะเหตุนี้  บรรดาผู้คน  เขาละหมาด ยะมาอะฮที่บ้านของเขา พร้อมกับครอบครัว ของเขา –บรรดาลูกชายและลูกสาว  และบรรดาภรรยาของเขา ละหมาดพร้อมกับเขา  และการญะมาอะฮถูกให้มีขึ้นกับพวกเขา และผลตอบแทนของเขาจะถูกดำเนินการให้แก่เขาโดยสมบูรณ์ ,ท่านนบี ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า(เมื่อบ่าวเดินทาง หรือเจ็บป่วย อัลลอฮได้บันทึก(ผลตอบแทน)สิ่งที่เขาเคยปฏิบัติมัน โดยที่อยู่กับท้องที่(อยู่กับบ้าน)และมีสุขภาพดี) รายงานโดยบุคอรี และ พยานยืนยัน ด้วยคำพูดของ อัลหาฟิซอิบนุเราะญับ อัลหัมบะลีย์ (ร.ฮ) ว่า “ เราไม่ทราบว่า มีการเห็นขัดแย้งว่า แท้จริง การ (ละหมาด)ญะมาอะฮนั้น มันใช้ได้ ด้วยสองคน  เมื่อปรากฏว่าทั้งสองคนนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับศาสนา (หรือมุกัลลัฟ) และแม้มะอมูม เป็นผู้หญิงคนเดียวก็ตาม  - ฟัตหุลบารีย์ ชัรหเศาะเฮียะบุคอรี  และยืนยันด้วยคำพูดของชัยค์ อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) ที่ว่า “ผู้ที่มีอุปสรรค เขาจะถูกบันทึกให้ได้รับผลตอบแทนละหมาดญะมาอะฮโดยสมบูรณ์   เพราะคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯ ที่ว่า(เมื่อบ่าวเดินทาง หรือเจ็บป่วย อัลลอฮได้บันทึก(ผลตอบแทน)สิ่งที่เขาเคยปฏิบัติมัน โดยที่อยู่กับท้องที่(อยู่กับบ้าน)และมีสุขภาพดี) –อัชชัรหอัลมุตะอฺ  4/323
สรุป
1.ชัยค์ฟัตวาว่า ในช่วงการหยุดการละหมาดที่มัสยิดเนื่องจากโรคระบาด  การละหมาดที่บ้านกับครอบครัว เขาจะได้ผลบุญละหมาดญะมาอะฮดดยสมบูรณ์  คำว่า “ผลบุญญะมาอะฮโดยสมบูรณ์ เด็กอนุบาลก็รู้ว่า บุญละหมาดญะมาอะฮที่มัสยิด ได้ 27 เท่า  ถ้าไม่คิดจะเอาชนะ และหลงตัวเองว่า รู้มากกว่าคนอื่น คงไม่ท้ามากหรอก  ฟันธง
2. ชัยค์ได้อ้างหลักฐานจากหะดิษบุคอรี และได้อ้างคำพูดของอิบนุเราะญับ (ร.ฮ) และอิบนอุษัยมีน (ร.ฮ)มาสนับสนุน ฟัตวาของท่าน  หวังว่าแค่นี้ก็พอเพียงสำหรับผู้แสวงหาสัจธรรม

ผมหวังว่า คนที่ท้ามาจะตอบโต้แย้งผมในเร็ววัน แถ้เงียบ ก็ขอให้หยุดเสีย ดันทุรังไปก็จะเสียคน และเสียหายต่อวงการสุนนะฮ ซึ่ง เป็นก่ออาชกรรมต่อวงการศาสนาให้ดำดิ่งสู่ก้นเหว ที่ไม่สามารถที่จะอภัยได้

อะสัน หมัดอะดั้ม
16/6/63

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เมื่ออุลามาอฺถูกชัยฏอนหลอกลวงจนเสียจุดยืน



เมื่อชัยฏอนหลอกลวงบรรดาผู้รู้จนกลายเป็นคนประจบสอพลอต่อผู้มีอำนาจ แล้วความเสียหายต่อศาสนาก็เกิดขึ้นตามมา
อิบนุลเญาซีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
ومن تلبيس إبليس على الفقهاء مخالطتهم الأمراء والسلاطين واطراءهم ومداهنتهم , وترك الإنكار عليهم مع القدرة على ذلك , وربما رخصوا لهم فيما لا رخصة لهم فيه , لينالوا من دنياهم عرضا فيقع بذلك الفساد لثلاثة أوجه
ส่วนหนึ่งจากการหลอกลวงของอิบลิส แก่บรรดาฟุเกาะฮฮาอ(ปราชญ์ด้านกฏมายอิสลาม) คือ การที่พวกเขาคลุกคลี บรรดาผู้ปกครองและบรรดาผู้มีอำนาจ และประจบสอพลอพวกเขา และละทิ้งการคัดค้านพวกเขา ทั้งๆที่มีความสามารถบนดังกล่าว และบางครั้ง พวกเขา(บรรดาปราชญ์นักกฏหมายอิสลาม) ผ่อนปรนให้กับพวกเขา(บรรดาผู้ปกครองและผู้มีอำนาจ) ในสิ่งที่ไม่มีข้อผ่อนปรนแก่พวกเขาในสิ่งนั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ จากดุนยาของพวกเขา แล้วความเสียหายเกิดขึ้นด้วยดังกล่าว 3 ด้านด้วยกันคือ
الوجه الأول : الأمير يقول لولا أني على صواب لأنكر عليّ الفقيه , وكيف لا أكون مُصيباً, وهو يأكل من مالي؟
ด้านที่หนึ่ง : ผู้ปกครองคนนั้น จะกล่าวว่า "ถ้าฉันไม่ได้อยูบนความถูกต้อง แน่นอน นักปราชญ์กฏหมายอิสลามคนนั้นก็ต้องคัดค้านฉัน และฉันจะไม่เป็นผู้ถูกต้องได้อย่างไร โดยที่เขากิน(เงินเดือน)จากทรัพย์สินของฉัน?
والثَّانِي العَامِيُ أَنَّهُ يَقُوْلُ لَا بَأْسَ بِهَذَا الأَمِيْرِ وَلَا بِمَالِهِ وَلَا بِأَفْعَالِهِ فَاِنَّ فُلَانًا الفَقِيْهَ لَا يَبْرَحُ عِنْدَهُ
ด้านที่สอง : คนธรรมดาทั่วไป จะกล่าวว่า ผู้ปกครองคนนี้ไม่ผิด ไม่ว่าจะด้วยทรัพย์สินของเขา และไม่ว่าจะด้วยการกระทำของเขาก็ไม่ผิด เพราะปราชญ์คนนั้น ยังคงอยู่กับเขา (หมายถึงไม่ได้คัดค้านเขา)
والثَّالِثُ الفَقِيْهُ فَإِنَّهُ يَفْسُدُ دِيْنَهُ بَذَلَكَ
ด้านที่สาม : ปราชญ์กฏหมายอิสลามคนนั้น เขาทำให้ศาสนาของเขาเสียหาย ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น -ตัลบิสอิบลิส หน้า 117
.............
1.ส่วนหนึ่งจากการหลอกล่วงของอิบลิสต่อบรรดาผู้รู้ศาสนา คือ ให้ผู้รู้ศาสนาเข้าไปคลุกคลี กับผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจ และประจบสอพลอ กับพวกเขา จนผู้รู้ไม่กล้าที่จะคัดค้านผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจ และบางครั้งยอมผ่อนปรนแก่พวกเขาในสิ่งที่ศาสนาไม่ผ่อนปรนให้ ทั้งนี้ เพราะต้องการผลประโยชน์ทางดุนยา จาก ผู้ปกครองและผู้มีอำนาจ
2. ความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยเหตุดังกล่าว คือ
2.1 ผู้รู้หรืออุลามาอฺ ไม่กล้าคัดค้านเมื่อผู้ปกครองผิด เพราะกินเงินเดือนจากผู้ปกครอง
2.2 คนธรรมดาทั่วไปก็เข้าใจว่า ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจคนนั้นไม่ผิด ,ทรัพย์สินและการกระทำของเขาถูกต้องโปร่งใส่ เพราะผู้รู้หรืออุลามาอฺที่อยู่กับเขาไม่ห้ามไม่ค้าน
2.3 ในที่สุด ผู้รู้หรืออุลามาอฺคนนี้ทำให้ศาสนาของเขาเสียหายด้วยเหตุดังกล่าว
นี่คือ ผลเสียหายที่เกิดจาก ผู้รู้หรือนักวิชาการหรืออุลามาอฺ ที่เข้าไปคลุกคลีกับผู้มีอำนาจ และประจบสอพลอกับผู้มีอำนาจหรือผู้ปกครอง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ดุนยา
อย่าหวังพึง ศาสนาจากคนเหล่านั้นเลย พวกเขาสามารถบิดศาสนาได้ตลอดเวลา เพื่อเอาใจผู้มีอำนาจ และคนเหล่านี้เขาได้ทำความเสียหายกับศาสนาของเขา ด้วยเหตุดังกล่าว
นำมาให้ศึกษา เพื่อรู้ว่า ในสังคมยุคนี้ ในเรื่องศาสนา ให้จำไว้ว่า "ตนเป็นที่พึงแห่งตน" อย่าไปหวังอะไรมากนักกับผู้รู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูง"
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/6/63

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เขาบอกว่าเปรตกลัวเสียฟอร์ม




 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


เขาบอกว่าเปรตกลัวเสียฟอร์ม
การไม่ยอมตามกระแสละหมาดเว้นระยะห่างในแถวนะหรือ เพราะกลัวเสียฟอร์ม เยาะเย้ยว่าออกตัวแรง ไม่กล้ากลับลำ
ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮตาอาลาว่า ผู้เขียนไม่ไม่คิดไม่รู้สึกว่า การไม่ยึดตามกระแสเพราะกลัวเสียฟอร์ ไม่มีเลยแม้เท่าเม็ดงา
เพราะแต่ละฟัตวาที่เป็นกระแสตามกันนั้น ไม่มีหลักฐานจากคำสอนศาสนาว่า ท่านนบี ศ็อลฯเคยปฏิบัติ หรือบรรดาปราชญ์ในยุคเศาะหาบะฮและสลัฟ ได้ปฏิบัติแม้แต่อักษรเดียว
การที่รัฐประเทศต่างในโลกอาหรับมีนโยบายตามนโยบายของประเทศต่างๆในการป้องกันโรคระบาด มันเป็นเรื่องปกติที่ปราชญ์ประเทศนั้นจะต้องฟัตวา ตามนโยบายของรัฐ คงไม่มีปราชญ์คนใหนกล้าที่จะทวนกระแสของอำนาจรัฐหรอก
ข้ออ้างการยืนระยะห่างในแถวคือ การจัดแถวเป็นแค่สุนัต ไม่วาญิบ การละหมาดใช้ได้แม้ไม่จัดแถวให้ตรง โดยอ้างทัศนปราชญ์ส่วนใหญ่ว่า จัดแถวคือ สุนัต
ในขณะที่มีนักวิชาการส่วนหนึ่งถือว่าการจัดแถวคือว่าญิบ หนึ่งในนั้นคือ อิหม่ามบุคอรี ซึ่งท่านได้ตั้งหัวข้อในเศาะเฮียะบุคอรีว่า
باب إثم من لم يتم الصفوف
บทว่าด้วยเรื่องบาปของผู้ที่ไม่จัดแถวให้เรียบร้อยสมบูร
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَيُحْتَمَلُ أَنْ يَكُونَ الْبُخَارِيُّ أَخَذَ الْوُجُوبَ مِنْ صِيغَةِ الْأَمْرِ فِي قَوْلِهِ سَوُّوا صُفُوفَكُمْ وَمِنْ عُمُومِ قَوْلِهِ صَلُّوا كَمَا رَأَيْتُمُونِي أُصَلِّي وَمِنْ وُرُودِ الْوَعِيدِ عَلَى تَرْكِهِ ، فَرَجَحَ عِنْدَهُ بِهَذِهِ الْقَرَائِنِ أَنَّ إِنْكَارَ أَنَسٍ إِنَّمَا وَقَعَ عَلَى تَرْكِ الْوَاجِبِ وَإِنْ كَانَ الْإِنْكَارُ قَدْ يَقَعُ عَلَى تَرْكِ السُّنَنِ ، وَمَعَ الْقَوْلِ بِأَنَّ التَّسْوِيَةَ وَاجِبَةٌ فَصَلَاةُ مَنْ خَالَفَ وَلَمْ يُسَوِّ صَحِيحَةٌ لِاخْتِلَافِ الْجِهَتَيْنِ ، وَيُؤَيِّدُ ذَلِكَ أَنَّ أَنَسًا مَعَ إِنْكَارِهِ عَلَيْهِمْ لَمْ يَأْمُرْهُمْ بِإِعَادَةِ الصَّلَاةِ
และเป็นไปได้ว่า อัลบุคอรีย์ ได้เอาการเป็นวาญิบ จากรูปสำนวนคำสั่ง ในคำพูดของท่านนบีที่ว่า "พวกท่านจงจัดแถวพวกท่านให้ตรง " และเอาจากความหมายกว้างๆของคำพูดท่านนบี ที่ว่า "พวกท่านจงละหมาดเหมือนที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด และเอาจากการมีรายงานคาดโทษ(วะอีด)บนการละทิ้ง(การจัดแถวให้ตรง) แล้วในทัศนะของเขา(บุคอรี)ได้ให้น้ำหนัก ด้วยบรรดาหลักฐานแวดล้อมนี้ ว่าแท้จริง การคัดค้านของท่านอานัส (บิน มาลิก) ความจริงเกิดขึ้นเพราะมีการทิ้งสิ่งที่วาญิบ และแม้ว่า การอิงกัร(การคัดค้าน) บางครั้งเกิดขึ้นบนการทิ้งบรรดาสิ่งที่เป็นสุนัตก็ตาม..พร้องกับ คำพูดที่ว่าการจัดแถวให้ตรง คือว่าญิบ การละหมาดของผู้ที่ขัดแย้ง และเขาไม่จัดแถวให้ตรงก็ใช้ได้(เศาะ)... ดูฟัตหุลบารีย์ อธิบายหะดิษหมายเลข 1181
...........
อิบนุหะญัร (ร.ฮ) ได้ยืนยันว่า ในทัศนะของอิหม่ามบุคอรีนั้น การจัดแถวให้ตรง เป็นวาญิบ โดยพิจารณาจากถ้อยคำที่เป็นคำสั่งของท่านนบี และมีคาดคาดโทษ ผู้ที่ละทิ้งการจัดแถวให้ตรงไว้ด้วย และอื่นๆ ดังที่ท่านอธิบายข้างต้น
อิบนุอัลอุษัยมีน(ร.ฮ)กล่าวว่า
السنة تسوية الصفوف، بل قال بعض العلماء إن تسوية الصف واجبة؛ لأن النبي صلى الله عليه وسلم لما رأى رجلاً بادياً صدره قال: “عباد الله لتسون صفوفكم أو ليخالفن الله بين وجوهكم”. وهذا وعيد، ولا وعيد إلا على فعل محرم أو ترك واجب. والقول بوجوب تسوية الصفوف قول قوي، وقد ترجم البخاري – رحمه الله – على ذلك بقوله: “باب إثم من لم يتم الصفوف
ตามสุนนะฮ คือการจัดบรรดาแถวให้ตรง ยิ่งไปกว่านั้น บางส่วนของนักวิชาการ ได้กล่าวว่า แท้จริงการจัดแถวให้ตรงนั้น คือวาญิบ เพราะท่านนบี ศ็อลฯ เมื่อเห็นชายคนหนึ่ง หน้าอกของเขายื่นออกนอกแถว ท่านจึงกล่าวว่า " โอ้บ่าวของอัลลอฮ พวกท่านจงจัดแถวของพวกท่านให้ตรง หรือ จะให้อัลลอฮเปลี่ยนระหว่าใบหน้าของพวกท่าน(หรือ หมายถึงหมุนหน้าของพวกท่านไปไว้ข้างหลัง") และนี่คือ การคาดโทษ(วะอีด) และไม่มีการคาดโทษ(วะอีด) นอกจากบนการกระทำสิ่งที่ต้องห้าม(หะรอม) หรือทิ้งสิ่งที่เป็นวาญิบ และทัศนะที่วาญิบจะต้องจัดแถวให้ตรง คือทัศนะที่"แข็งแรง" และอัลบุคอรี (ร.ฮ)ได้อธิบายให้ความชัดเจนบนดังกล่าว ด้วยการกล่าวของเขาว่า "บทว่าด้วยบาปของผู้ที่ไม่จัดแถวให้สมบูรณ์เรียบร้อย"-มัจญมัวะฟะตาวา วะเราสาอีล 13-12-13
...........
อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) ยืนยันว่า นักวิชาการส่วนหนึ่งระบุว่าการจัดแถวให้ตรงนั้นคือ วาญิบ และเป็นทัศนะที่มีน้ำหนัก และอิหม่ามบุคอรี ระบุว่าคนที่ไม่จัดแถวให้เรียบร้อยสมบูรณ์นั้น เป็นบาป
...........
เพราะฉะนั้น การเอาฟัตวาต่างๆที่สนองนโยบายรัฐที่พลิกไปพลิกมา ตอนแรก ฟัตวาต่างๆ ให้กักตัวที่บ้าน และทิ้งการละหมาดญะมาอะฮและละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด แล้วฟัตวาต่าง ก็กลับลำว่า "อนุญาตให้ละหมาดยืนระยะห่างในแถวได้ โดยอ้างข้างๆคูๆว่า "การจัดแถวเป็นสุนัต ไม่ใช่วาญิบตามทัศนะญุมฮูร นี้คือ ความคิดเห็นล้วน ๆ ไม่มีหลักฐานสักอักษรเดียว บ้างก็อ้างเรื่องกิยาส จึงเห็นได้ว่า "การฟัตวากับไปกลับมา เพื่อสนองนโยบายของรัฐเท่านั้นเอง ซึ่งหลักเลี่ยงไม่ได้โดยเฑาะประเทศในโลกอาหรับ
เพราะฉะนั้น ผู้อ่านโปรดใช้วืจารณญาน และ ใคร่ครวญ
และอีกอย่างหนึ่งว่า "การยืนระยะห่างในแถวละหมาด ป้องกันโควิดได้จริงหรือ ในเมือการชุมนุมคือตัวอันตราย
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/5/63

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

คนมากมายปราถนาจะให้ได้บุญแต่ไม่ไดบุญเพราะทำสิ่งที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


คนมากมายปราถนาจะให้ได้บุญแต่ไม่ไดบุญเพราะทำสิ่งที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ
ท่านอับดุลลอฮ อิบนุมัสอูด (ร.ฎ)ที่เขาเข้ามัสยิด แล้วเห็น คนกพวกหนึ่ง รอคอยที่จะ ละหมาดญะมาอะฮ โดยจัดกลุ่มตั้งวงเป็นวงกลม โดยหัวหน้ากลุ่มสัง กำหนดให้มีการตักบีร ,การตัสเบียะและการตะฮลีล อย่างละ 100 ครั้ง ให้สมาชิกกลุ่มทำตาม โดยทำเป็นหมู่คณะ ในขณะที่รอละหมาด พออิบนุมัสอูด ไปเตือน พวกเขาก็อ้างว่าเป็นการทำดี ดังหะดิษตอนหนึ่งว่า
قالوا : والله يا أبا عبد الرحمن ، ما أردنا إلا الخير
พวกเขากล่าวว่า "ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮ โอ้อบูอับดุรเราะหมาน(หมายถึงอิบนุมัสอูด) เราไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากความดี
(แล้วอิบนุมัสอูด (ร.ฎ)กล่าวว่า)
ดิษอิบนุมัสอูด ที่เขาเข้ามัสยิด แล้วเห็น คนกลุ่มหนึ่ง รอคอยที่จะ ละหมาดญะมาอะฮ แล้วพวกเขากำหนดให้มีการตักบีร ,การตัสเบียะและการตะฮลีล อย่างละ 100 ครั้ง โดยทำเป็นหมู่คณะ ในขณะที่รอละหมาด พอมีคนไปเตือน พวกเขาก็อ้างว่าเป็นการทำดี ดังหะดิษตอนหนึ่งว่า
قالوا : والله يا أبا عبد الرحمن ، ما أردنا إلا الخير
พวกเขากล่าวว่า "ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮ โอ้อบูอับดุรเราะหมาน(หมายถึงอิบนุมัสอูด) เราไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากความดี
(แล้วอิบนุมัสอูด (ร.ฎ)กล่าวว่า)
وكم من مريد للخير لن يصيبه
สักเท่าไหร่แล้ว ผู้ที่ต้องการให้ได้รับความดี (ผลบุญ) เขากลับไม่ได้รับมัน (คือทำแล้วไม่ได้บุญ )- ดูสุนนันอัดดาริมีย์ หน้า 286- 287 หมายเลขหะดิษ 210 ผู้ตรวจทานระบุว่า "สายรายงานดีเยี่ยม
(ดูสำเนาที่แนบมา)
الراوي : عبدالله بن مسعود | المحدث : الألباني | المصدر : إصلاح المساجد
الصفحة أو الرقم: 11 | خلاصة حكم المحدث : إسناده صحيح
สักเท่าไหร่แล้ว ผู้ที่ต้องการให้ได้รับความดี (ผลบุญ) เขากลับไม่ได้รับมัน (คือทำแล้วไม่ได้บุญ )
ชัยค์อัลบานีย์ได้อธิบายว่า
. ومن الفوائد التي تؤخذ من الحديث والقصة ؛ أن العبرة ليست بكثرة العبادة، وإنما بكونها على السنة بعيدة عن البدعة وقد أشار إلى هذا ابن مسعود رضي الله عنه بقوله أيضا : اقتصاد في سنة خير من اجتهاد في بدعة . ومنها أن البدعة الصغيرة بريد إلى البدعة الكبيرة
ส่วนหนึ่งจากประโยชน์ที่ถูกเอามาจากหะดิษและเรื่องราวนี้คือ แท้จริงข้อพิจารณา มันไม่ใช่ด้วยการปฏิบัติอิบาดะฮเป็นจำนวนมาก และความจริง มันอยู่บนการปฏิบัติตามสุนนะฮ ห่างใกลจากบิดอะฮ และแท้จริง อิบนุมัสอูด (ร.ฎ) ได้บ่งชี้ ในเรื่องนี้ ด้วย คำพูดของเขาอีกเช่นกันที่ว่า "พอเพียงอยู่ในสุนนะฮ ดีกว่าเพียรพยายามในบิดอะฮ
และส่วนหนึ่งจากมัน(จากประโยชน์หรือบทเรียนจากหะดิษ) คือ แท้จริงบิดอะฮเล็กน้อย คือตัวนำไปสู่บิดอะฮใหญ่ - อัสสิสิลละฮ อัศเศาะฮีหะฮ 5/13-14
............
เพราะฉะนั้น คนที่มีหัวใจปกป้องสุนนะฮ และระวังบิดอะฮแพร่ระบาดสู่สังคม เขาจะไม่หาทางผลิตวาทกรรมโลกสวยเพื่อเปิดช่องให้ผู้คนทำบิดอะฮและเห็นดีเห็นงามกับมัน บิดอะฮเล็กน้อย มันจะนำส่งไปสู่บิดอะฮใหญ่ได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/5/63

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ความหมายคำว่า"เปลี่ยนจุดยืน"




ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ



ความหมายคำว่า"เปลี่ยนจุดยืน"
คำว่า "เปลี่ยนจุดยืน " คืออะไรต้องกลับมาดูความหมายคำว่า "อัลอิสติกอมะฮ" ให้เข้าใจก่อน คือ
معنى الاستقامة: هي سلوك الصراط المستقيم ، وهو الدين القيم ، من غير ميل عنه يمنة ولا يسرة ،
ความหมายอัลอิสติกอมะฮคือ การดำเนินตามแนวทางที่เที่ยงตรง และมันคือ ศาสนาที่เที่ยงตรง ปราศจากการเอนเอียงออกจากมัน ไปทางขวาและไม่เอนเอียงไปทางซ้าย- อิบนุเราะญับ,ญามิอุลอุลูมวัลฮิกัม อธิบายหะดิษที่ 21
เพราะฉะนั้นคนที่เปลี่ยนจุดยืนคือการเปลี่ยนจากแนวทางที่ถูกต้อง หลักการที่ถูกต้อง อาจจะเพราะต้องการผลประโยชน์ในดุนยา หรือ เพื่อรักษาต่ำแหน่ง หรือประจบสอพลอผู้นำอะไรก็แล้วแต่
ทั้งนี้เพราะการยืนยัดตามคำสอนคือสื่งที่อัลลอฮตาอาลาได้สั่งไว้
فَلِذَٰلِكَ فَادْعُ ۖ وَاسْتَقِمْ كَمَا أُمِرْتَ ۖ وَلَا تَتَّبِعْ أَهْوَاءَهُمْ ۖ
ดังนั้น เพื่อการนี้แหละเจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนและดำรงมั่นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรมดังที่เจ้าได้รับบัญชา -อัชชูรอ/15
.......
การเผยแพร่ศาสนา ผู้เผยแพร่ต้องมีจุดยืน เป็นหลักในความถูกต้อง ไม่ใช่โอนเอน ไปมาเหมือนสนต้องลม หรือ กลับกลอกเหมือนน้ำค้างอยู่บนใบบอน
ในสังคมทุกวันนี้ ตามที่เห็น ผู้เผยแพร่ศาสนาส่วนหนึ่ง เปลี่ยนจุดยืนคือ การใหลไปตามความต้องการสังคม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง พอได้ตำแหน่ง พอทำธุรกิจ เปลี่ยนสิ่งที่เป็นหลักการบริสุทธิ์ให้เป็นสีเทา
ซึ่งเรี่องนี้สังคมรู้กัน สังเกตุว่าคนประเภทนี้ จะใช้หลักการ "จิ้งเปลี่ยนสี" อยู่กับกลุ่มใหนก็ตามกลุ่มนั้น
ส่วนการที่คนๆหนึ่งเขาเปลี่ยนจากจุดเดิมไปตามสิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนกว่า แบบนี้ไม่ใช่เปลี่ยนจุดยืน แต่เป็นสิ่งที่ศาสนาสอน ให้กระทำ เช่น
ท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า
سددوا وقاربوا
จงปฏิบัติให้ถูกต้อง และใกล้เคียงกับความถูกต้อง -รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี
ความหมายคือ ให้แสวงหาความถูกต้อง ถ้าไม่สามารถก็พยายามให้ใกล้เคียงความถูกต้องที่สุด
อบูหะนีฟะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
قولنا هذا رأي وهو أحسن ما قدرنا عليه، فمن جاءنا بأحسن من قولنا فهو أولى بالصواب منا
คำพูดของเรานี้ คือความคิดเห็น และมันคือที่ดีกว่าของสิ่งเราสามารถบนมัน ดังนั้นผู้ใดนำมายังเรา ที่ดีกว่าคำพูด(ทัศนะ)ของเรา มันคือที่สมควรถูกต้องกว่าที่มาจากเรา"-
تاريخ بغداد، الخطيب البغدادي 3 / 42.
.........
คือ ทัศนะของเรานั้นเราถือว่าถูกต้องแล้วตามความสามารถของเรา แต่ถ้าใครนำทัศนะที่ดีกว่าทัศนะของเรา มันยอมสมควรที่จะถูกกว่าทัศนะของเรา - คือจะไม่ยึดติด ถ้ามีสิ่งที่ถูกต้องกว่า ด้วยหลักฐาน ก็ต้องยอมรับ
.......
เพราะฉะนั้น ต้องแยกให้ถูก คำว่า ยืนหยัด คือ อะไร และการเปลี่ยนจุดยืน คือเปลี่ยนแบบใหน จะได้ไม่เทียวกระแหนะ กระแหน่ เมื่อเราบอกว่า "ไม่มีจุดยืน" เราหมายเปลี่ยนจากจุดยืนที่ถูกต้อง แล้วเอนเอียงไปสู่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั้นเอง
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/5/63