วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ระวังการตักฟีร






ระวังการตักฟีร
การตักฟีร คือ การตัดสินผู้อื่นที่กระทำผิดว่าออกจากศาสนาอิสลาม
ผมขอเรียนว่า การที่จะตัดสินใครว่าเป็นกุฟุรนั้น ผมกลัวที่สุดในชีวิต เพราะท่านนบีกล่าวว่า
لا يرمي رجلٌ رجلاً بالفسوق ولا يرميه بالكفر إلا ارتدت عليه إن لم يكن صاحبه كذلك 
คนหนึ่งไม่ได้กล่าวหา คนหนึ่งว่า เป็นคนชั่ว และเขาไม่ได้กล่าวหาเขาผู้นั้น ว่า กุฟุร นอกจาก มันจะย้อนกลับมาบนเขา หาก เพื่อนของเขา(ที่เขากล่าวหา)ไม่เป็นเช่นนั้น - รายงานโดยบุคอรี

อิหม่ามเชากานีย์กล่าวว่า
اعلم أن الحكم على الرجل المسلم بخروجه من دين الإسلام ودخوله في الكفر لا ينبغي لمسلم يؤمن بالله واليوم الآخر أن يقدم عليه إلا ببرهان أوضح من شمس النهار فإنه قد ثبت في الأحاديث الصحيحة المروية من طريق جماعة من الصحابة أن من قال لأخيه يا كافر فقد باء بها أحدهما
โปรดทราบไว้เถิดว่า แท้จริง การหุกุมบุคคลที่เป็นมุสลิม ว่าเขาออกจากศาสนาอิสลาม และกลับเข้าไปในการเป็นกุฟูรนั้น มันไม่สมควรแก่มุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลลอฮและวันสุดท้าย ที่จะกล้าหาญทำมัน นอกจาก ต้องด้วยหลักฐานที่ชัดแจ้งยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ในยามกลางวัน ความจริงได้ปรากฏยืนยันในบรรดาหะดิษ จากสายรายงานจากกลุ่มหนึ่งของเหล่าเศาะหาบะฮว่า "ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องของเขาว่า "ไอ้กาเฟร" แน่นอนมันจะกลับไปยังคนหนึ่งคนใดจากสองคนนั้น - 
السيل الجرار (4/578 
........... 
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กกล่าวว่า
أما التكفير فالصواب أن من اجتهد من أمة محمد صلى الله عليه وسلم وقصد الحق فأخطأ لم يكفر ، بل يغفر له خطؤه ، ومن تبين له ما جاء به الرسول ، فشاق الرسول من بعد ما تبين له الهدى واتبع غير سبيل المؤمنين فهو كافر ، ومن اتبع هواه وقصر في طلب الحق وتكلم بلا علم فهو عاص مذنب ، ثم قد يكون فاسقاً . وقد يكون له حسنات ترجح على سيئاته " انتهى
สำหรับการตักฟีรนั้น ดังนั้น ที่ถูกต้องคือ แท้จริงใครก็ตามจากอุมมะฮนบีมุหัมหมัดศอ็ลฯ ที่ทำการวินิจฉัย(อิจญติฮาด) และเขาเจตนาแสวงหาความจริง แล้วเกิดการผิดพลาด เขาจะไม่เป็นกุฟุร แต่ในทางกลับกัน ความผิดพลาดของเขาจะได้รับการอภัย และผู้ใดก็ตามที่สิ่งที่รอซูลได้นำมันมาได้ประจักษ์ชัดเจนแก่เขาแล้ว แล้วเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อรอซูล หลังจากทางนำได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขาได้ปฏิบัติตามแนวทางอื่นจากแนวทางแห่งบรรดาผู้ศรัทธา เขาคือ กาเฟร และผู้ใดก็ตาม ที่ปฏิบัติามอารมณ์ของเขา และไม่ยอมแสวงหาความจริงและพูด(หรือปฏิบัติ)โดยไม่มีความรู้ เขาคือผู้ที่ฝ่าฝืนที่ทำบาป หลังจากนั้น บางทีเขาก็เป็นคนฟาซิก(คนชั่ว)และบางทีเขามีบรรดาความดี มากบรรดาความชั่ว -มัจญมัวะอัลฟะตาวา 112/180
والله أعلم بالصوب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/12/58

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ความลำบากบนเส้นทางของความขัดแย้ง





ความลำบากบนเส้นทางของความขัดแย้ง

มันเดินลำบากยิ่งนักในการเดินบนถนนแห่งความขัดแย้ง จะเหยียบจะย่างแต่ละก้าว มันลำบาก กลัวจะเหยียบตาปลาฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ ในขณะที่ศาสนาสอนให้เดินทางตรง ห้ามไม่เดินหลายๆทาง


وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง -อัลอันอาม/153

، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ - هُوَ ابْنُ مَسْعُودٍ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ - قَالَ : خَطَّ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خَطًّا بِيَدِهِ ، ثُمَّ قَالَ : " هَذَا سَبِيلُ اللَّهِ مُسْتَقِيمًا " وَخَطَّ عَلَى يَمِينِهِ وَشِمَالِهِ ، ثُمَّ قَالَ : " هَذِهِ السُّبُلُ لَيْسَ مِنْهَا سَبِيلٌ إِلَّا عَلَيْهِ شَيْطَانٌ يَدْعُو إِلَيْهِ " ثُمَّ قَرَأَ : ( وَأَنَّ هَذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيمًا فَاتَّبِعُوهُ وَلَا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَنْ سَبِيلِهِ) . 
. 
รายงานจาก อับดุลลอฮ บุตรมัสอูด (ร.ฎ) ว่า เขากล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ขีดเส้นเส้นหนึ่ง ด้วยมือของท่าน แล้วกล่าวว่า ?นี้คือ แนวทางของอัลลอฮ อันเที่ยงตรง? และท่านได้ขีดเส้นไปทางด้านขวาและด้านซ้ายของท่าน แล้วกล่าวว่า ?นี้คือ หลายๆทาง ซึ่งไม่มีแนวทางใดจากหลายๆทางนั้น นอกจากมีชัยฏอน เชิญชวน ไปสู่แนวทางนั้น แล้วท่านก็อ่านอายะฮที่ว่า ? และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์? ? รายงานโดย อะหมัด อัลหากิมและอัลนะสาอีย์ และอัลหากิม กล่าวว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ โดยที่อิหม่ามบุคอรีและมุสลิม ไม่ได้บันทึกมันไว้ ? ดูมุคตะศอ็รตัฟสีรอิบนิกะษีร อรรถาธิบายอายะฮที่ 153 ซูเราะฮอันอันอาม
ความถูกต้องนั้นมีหนึ่งเดียว ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเข้าถึงความถูกต้องนั้นได้ ส่วนความถูกใจนั้นมีหลายสิ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เพราะคนไปยึดถือความถูกใจว่าเป็นความถูกต้อง มันเลยทำให้เกิดการเห็นต่าง
อิหม่ามอิบนุกุดามะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

والحق في قول واحد من المجتهدين ومن عداه مخطئ، سواء كان في فروع الدين أو 
أصوله

และความถูกต้องนั้น อยู่ในคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากบรรดามุจญตะฮิดและผู้ที่อยู่นอกเหนือจากเขานั้น เป็นผู้ที่ผิดพลาด ไม่ว่า ในเรื่องข้อปลีกย่อยของศาสนาหรือรากฐานของศาสนาก็ตาม – เราเฎาะตุลนาซีร หน้า 193
อิหม่ามอัรซัรกะชีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

واختلف العلماء في حكم أقوال المجتهدين، هل كل مجتهد مصيب، أو المصيب واحد؟ ذهب الشافعي و أبو حنيفة ومالك وأكثر الفقهاء رحمهم الله إلى أن الحق في أحدهما، و إن لم يتعين لنا فهو عند الله متعين،

และบรรดานักวิชาการ มีความเห็นขัดแย้งกัน ในหุกุม(ข้อตัดสิน)บรรดาคำพูดของมุจญฺตะฮิด ว่า มุจญะตะฮิดทุกคนเป็นผู้ที่ถูกต้องทั้งหมด หรือ ผู้ที่ถูกต้องนั้นมีคนเดียว? อัชชาฟิอี,อบูหะนีฟะฮ,มาลิก และบรรดานักนิติศาสต์อิสลาม(ฟุเกาะฮาอิ) (เราะฮิมะฮุมุลลอฮ) ได้มีทัศนะว่า แท้จริงความถูกต้อง อยู่ในคนหนึ่งคนใดจากสองคน และแม้จะไม่ถูกทำให้ชัดเจนแก่เรา มันก็เป็นสิ่งที่ถูกทำให้ชัดเจน ณ อัลลอฮ -อัลบะหฺรุลมุหีฏ ของอิหม่ามอัรซัรกะชีย์ เล่ม 6 หน้า 241
เมื่อส่งถูกนั้นมีหนึ่งเดียว จะเอาตามใจคนว่า ว่า ทุกคนถูกหมดเพื่อรักษาน้ำใจ ได้อย่างไร และสิ่งที่ิพิสูจน์ว่าใครถูกผิดต้องดูที่หลักฐาน

قال الربيع بن سليمان: سمعت الشافعي يقول: (إذا وجدتم في كتابي خلاف سنة رسول 
الله (صلى الله عليه وآله وسلم) فقولوا بها ودعوا ما قلت

อัรรอเบียะ บิน สุลัยมาน กล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้ยิน อัชชาฟิอียกล่าวว่า "เมื่อพวกท่านพบในหนังสือของข้าพจ้า ขัดแย้งกับสุนนะฮรอซูลุ
ลลอฮ ศอลฯ พวกท่านจงปฏิบัติด้วยมันและจงทิ้งสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด

انظر الإيقاظ: ص 100. تاريخ دمشق لابن عساكر: 51 / 389. إعلام الموقعين 2 / 286. معنى قول الإمام المطلبي: ص 76 - 77. أبو نعيم 9 / 107. المجموع، الهروي 1 / 47.
 
การเห็นต่างนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกคนต้องสรุปด้วยหลักฐาน ไม่ใช่เอาความถูกใจมาสรุป เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ ปัญหาก็จะไม่จบ
อย่างไรก็ตาม พึงระวังในการหุกุม ผู้ที่เราเห็นว่าเขาผิด ด้วยการตักฟีร (การกล่าวหาว่าเป็นกาเฟร)
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า

ليس لأحد أن يكفر أحدا من المسلمين وإن خطأ وغلط حتى تقام عليه الحجة ، وتبين له المحجة، ومن ثبت إسلامه بيقين ، لم يزل ذلك عنه بالشك ، بل لا يزول إلا بعد إقامة 
الحجة وإزالة الشبهة

ไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด ตัดสินคนหนึ่งคนใดจากบรรดามุสลิมว่าเป็นกาเฟร แม้เขาจะผิดพลาดและกระทำความผิด จนกว่าจะมีหลักฐานยืนยัน บนมันและจนกว่าสิ่งที่ถุกนำมาเป็นหลักฐานนั้นถูกนำมาพิสูจน์ชัดเจนแก่เขา และความคลุมเครือได้หมดไปแล้วและผู้ใดความเป็นอิสลามของเขามีความแน่นอนด้วยความมั่นใจ การเป็นอิสลามดังกล่าวนั้น จะไม่หายไปจากตัวเขา ด้วยเหตุของการสงสัย แต่ทว่า.. มันจะไม่ได้หายไปยกเว้นมีหลักฐานยืนยัน(ว่าสิ้นสภาพมุสลิมจริง)และหมดความคลุมเครือ -มัจญมัวะฟะตาวา 12/466
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/12/58

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทำไมต้องดีเบท





ทำไมต้องดีเบท

การดีเบท คือ การอภิปรายหรือแสดงความเห็น
แย้งเกี่ยวกับเรื่องหรือหัว
ข้อที่ผู้คนมีความคิดเห็นแตกต่างกัน

คำว่า "ดีเบท" ภาษาอาหรับ เรียกว่า มุนาเกาะชะฮ (مناقشة ) มุนาเซาะเราะฮ (مناطرة ) 

บางคนบอกว่า การดีเบท ไม่ใช่แนวทางของสะลัฟ ผู้เขียนขอกล่าวว่า การอภิปรายโต้แย้งเพื่อให้ความจริงปรากฏ และปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทที่ดีงามและ รักษาความเป็นพี่น้องในอิสลาม ไม่ก่อฟิตนะฮ ต่อกัน นั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ในทางวิชาการและเป็นแนวทางของสะลัฟ

อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า

قد كان العلماء من الصحابة والتابعين من بعدهم، إذا تنازعوا في الأمر اتبعوا أمر الله تعالى في قوله سبحانه يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً 

แท้จริง ปรากฏว่า บรรดาอุลามาอฺ จากเหล่าเศาะหาบะฮ และตาบิอีน หลังจากพวกเขา เมื่อพวกเขามีความเห็นขัดแย้งกัน ในเรื่องใด พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮตาอาลา ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง) 

وكانوا يتناظرون في المسألة مناظرة مشاورة ومناصحة وربما اختلف قولهم في المسألة العلمية والعملية مع بقاء الألفة والعصمة وأخوة الدين . 

และปรากฏว่า พวกเขาจะอภิปรายโต้แย้งกัน ในประเด็นนั้น เป็นการโต้แย้งในเชิงปรึกษาหารือและตักเตือนซึ่งกันและกัน และบางครั้ง คำพูดของพวกเขา ได้มีการเห็นขัดแย้งกัน ในประเด็นทางวิชาการและการปฏิบัติ พร้อมกับ คงไว้ซึ่ง ความสัมพันธ์ ,ความความแนบแน่นและความเป็นน้องในศาสนาเอาไว้- มัจญมัวะอัลฟะตาวา 24/17
การดีเบท ที่ไม่ใช่แบบอย่างสะลัฟ คือ การดีเบท ที่ไม่รักษามารยาท แตกแยก และเป็นศัตรูระหว่างกัน ห้ำหั่นทำลายกัน 

การเห็นต่าง แล้วพูดคนละที ต่างคนต่างกล่าวหากันในเชิงลบ และแสดงออกซึ่งการดิสเครดิตในสื่อสาธารณะ แล้วบอกว่าทางใครทางมัน มันไม่เป็นผลดีต่อส่วนรวมและศาสนาแต่ประการใดเลย

อิหม่ามอัซซะฮะบียได้รายงานว่า

قَالَ يُونُسُ الصَّدَفِيُّ : مَا رَأَيْتُ أَعْقَلَ مِنَ الشَّافِعِيِّ ، نَاظَرْتُهُ يَوْمًا فِي مَسْأَلَةٍ ، ثُمَّ افْتَرَقْنَا ، وَلَقِيَنِي ، فَأَخَذَ بِيَدِي ، ثُمَّ قَالَ : يَا أَبَا مُوسَى ، أَلَا يَسْتَقِيمُ أَنْ نَكُونَ إِخْوَانًا وَإِنْ لَمْ نَتَّفِقْ فِي مَسْأَلَةٍ

ยูนุส อัศเศาะดะฟีย์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครที่ฉลาดยิ่งไปกว่า อัชชาฟิอี ,วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ดีเบท กับเขาในประเด็นหนึ่ง หลังจากนั้น เราได้แยกย้ายกันไป และ (ต่อมา) เขา(ชาฟิอี)ได้พบกับข้าพเจ้า แล้วจับมือข้าพเจ้า หลังจากนั้นเขากล่าวว่า "โอ้อบูมูซา (หมายถึงท่านยูนุส) โปรดรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นพี่น้อง นั้นยังคงดำรงอยู่ แม้เราจะไม่เห็นฟ้องกันในประเด็นใดก็ตาม -สิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 10/17

จะมีสักคนไหมที่อ้างสะลัฟ ที่ใช้มารยาทในการดีเบท แบบสะลัฟ อย่างเช่น ท่านอิหม่ามชาฟิอีย (ร.ฮ) 

والله أعلم بالصواب

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

นบีไม่ได้สอนให้โอ้อวดเรื่องเชื้อสาย





นบีไม่ได้สอนให้โอ้อวดเรื่องเชื้อสาย


มนุษย์จะรอดจากนรก หรือจะได้เข้าสวรรค์ หรือ จะดี หรือจะเลว มันไม่ได้วัดกันที่เชื้อสาย ยิ่งไปกว่านั้นการอวดตระกูลและเชื้อสายเป็นพฤติกรรมญาฮิลียะฮ
ท่านเราะสูลของเรา นบีมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้เตือนถึงการยึดติดเชื้อสายวงศ์
 ตระกูล ดังที่ท่านกล่าวในเมืองมักกะฮฺ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่รับรู้กันเป็นอย่างดี ท่านได้กล่าวว่า 

«يَا مَعْشَرَ قُرَيْشٍ - أَوْ كَلِمَةً نَحْوَهَا - اشْتَرُوا أَنْفُسَكُمْ لاَ أُغْنِي عَنْكُمْ مِنَ اللَّهِ شَيْئًا، يَا بَنِي عَبْدِ مَنَافٍ لاَ أُغْنِي عَنْكُمْ مِنَ اللَّهِ شَيْئًا، يَا عَبَّاسُ بْنَ عَبْدِ المُطَّلِبِ لاَ أُغْنِي عَنْكَ مِنَ اللَّهِ شَيْئًا، وَيَا صَفِيَّةُ عَمَّةَ رَسُولِ اللَّهِ لاَ أُغْنِي عَنْكِ مِنَ اللَّهِ شَيْئًا، وَيَا فَاطِمَةُ بِنْتَ مُحَمَّدٍ سَلِينِي مَا شِئْتِ مِنْ مَالِي لاَ أُغْنِي عَنْكِ مِنَ 
 اللَّهِ شَيْئًا


ความว่า “โอ้ชาวกุร็อยชฺ -หรือคำพูดที่คล้ายคลึงกันนี้- พวกท่านจงซื้อตัวของพวกท่านเถิด ฉันไม่สามารถช่วยเหลือพวกท่านจากการลงโทษของอัลลอฮได้เลย ,โอ้ลูกหลานอับดุลมะนาฟ ฉันไม่สามารถช่วยเหลือพวกท่านจากการลงโทษของอัลลอฮได้เลย,โอ้อับบาส บุตร อับดุลมุฏเฏาะลิบ ฉันไม่สามารถช่วยเหลือท่านจากการลงโทษของอัลลอฮได้เลย,โอ้เศาะฟียะฮ ท่านอาของเราะสูลุลลอฮฺ ฉันไม่สามารถช่วยเหลือท่านจากการลงโทษของอัลลอฮได้เลย และโอ้ฟาฏิมะฮลูกสาวของมุหัมมัด เจ้าจงขอพ่อจากทรัพย์สินของพ่อเถอะตามที่เจ้าต้องการ พ่อไม่สามารถช่วยเหลือเธอจากการลงโทษของอัลลอฮได้เลย” (อัล-บุคอรี หมายเลขหะดีษ : 4771)
ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า

إِنَّ أَهْلَ بَيْتِي هَؤُلاءِ يَرَوْنَ أَنَّهُمْ أَوْلَى النَّاسِ بِي، وَلَيْسَ كَذَلِكَ، إِنَّ أَوْلِيَائِي مِنْكُمُ الْمُتَّقُونَ، مَنْ كَانُوا وَحَيْثُ كَانُوا

แท้จริงครอบครัวของข้าพเจ้า พวกเขาเหล่านี้ เห็นว่า พวกเขาเป็นมนุษย์ที่เหมาะสมกับข้าพเจ้ายิ่งกว่าใครๆ (หมายถึงมีสิทธิ์ในตัวนบียิ่งกว่าผู้ใด)และทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แท้จริงบรรดาวาลี(ผู้อันเป็นที่รัก)ของข้าพเจ้าในหมู่พวกท่านคือ บรรดาผู้ที่ยำเกรง(ต่ออัลลอฮ) ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ที่ใหนก็ตาม.. ดู - อิบนุอบีอาศิม ในอัสสุนนะฮ หมายเลข 212 และ 1011 ,อัฏฏอ็บรอนีย์ ในอัลกะบีร 207120-121 หะดิษหมายเลข 241 เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

أَرْبَعٌ فِي أُمَّتِي مِنْ أَمْرِ الْجَاهِلِيَّةِ لَا يَتْرُكُونَهُنَّ الْفَخْرُ فِي الْأَحْسَابِ وَالطَّعْنُ فِي الْأَنْسَابِ وَالْاسْتِسْقَاءُ بِالنُّجُومِ وَالنِّيَاحَةُ وَقَالَ النَّائِحَةُ إِذَا لَمْ تَتُبْ قَبْلَ مَوْتِهَا تُقَامُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَعَلَيْهَا سِرْبَالٌ مِنْ قَطِرَانٍ وَدِرْعٌ 
   مِنْ جَرَب

“สี่ประการจากเรื่องราวในสมัยญาฮิลิยะฮฺที่มีอยู่ในประชาชาติของฉัน โดยที่พวกเขาจะไม่ ทิ้งมันไป คือ อวดอ้างในเรื่อง เชื้อสายวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ปรักปรำให้ร้ายในเรื่องเชื้อสายต่าง ๆ และการอ้างว่า ฝนตกเพราะดวงดาวต่าง ๆ และการส่งเสียงโอดควรญ (ให้แก่ คนตาย) และท่านได้กล่าวต่อว่า ผู้ที่ส่ง เสียงร้องอวดควรญนั้น ถ้าไม่กลับตัวก่อนตาย ในวันกิยามะฮฺเขาจะถูกยืนขึ้นมาโดยที่ตัวเขา นั้นมี เสื้อผ้าที่ทำจากทองแดงละลาย และเสื้อเกราะที่มาจากโรคผิวหนัง”
(บันทึกโดยมุสลิม : 934 อะหฺมัด : 22396,22405)

จากหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าอิสลาม ไม่ได้สอนให้อวดอ้าง ในเรื่องเชื้อสายวงศตระกูล การโอ้อวดเรื่องเชื้อสายวงศ์ตระกูลเป็นพฤติกรรมพวกญาฮิลียะฮ ,วงศ์ตระกูล ไม่มีผลให้ใครเข้านรกหรือสวรรค์ และ เมื่อถึงวันกิยามะฮ เชื้อสายวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ไม่มีความหมายใดๆ ดังที่อัลลอฮตรัสว่า

فَإِذَا نُفِخَ فِي الصُّورِ فَلَا أَنسَابَ بَيْنَهُمْ يَوْمَئِذٍ وَلَا يَتَسَاءلُونَ


ดังนั้นเมื่อสังข์ได้ถูกเป่าขึ้น ดังนั้นจะไม่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างพวกเขาในวันนั้น และพวกเขาจะไม่ไต่ถามซึ่งกันและกัน -อัล-มุอฺมินูน :101
>>>>>>>
เพราะฉะนั้น หยุดนำปราชญ์คนนั้นคนนี้มาอวดอ้างว่า มีเชื้อสายนบี หรือมีเชื้อสายคนดัง คนมีชื่อเสียงได้แล้วครับ มันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย และไม่ใช่สิ่งที่อิสลามส่งเสริมด้วย
والله أعلم بالصواب

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บอกว่า อัลวุญูด อัลลอฮทรงมี แต่..ไม่รู้อยู่ใหน





อัลวุญูด อัลลอฮทรงมี แต่..ไม่รู้อยู่ใหน
อัลวุญูด(الوجود) แปลว่า อัลลอฮทรงมี่ เป็นสิฟัตหนึ่งของอัลลอฮ ตามแนวอะฮลุลกาลาม ความจริง บรรดามุสลิมทั้งโลก ไม่มีใครปฏิเสธหรอกเกี่ยวกับสิฟัตข้างต้น เพราะมุสลิมทุกคนเชื่อว่าอัลลอฮทรงมี และมีสิ่งพิสูจน์มากมายว่าทรงมีจริง แต่ ประเด็นคือ อยู่ใหนล่ะ เพราะแนวอะฮลุลกาลามสอนว่า ไม่มีที่อยู่ ไม่อยู่บน ไม่อยู่ล่าง ไม่อยู่ด้านซ้าย ไม่อยู่ด้านขวา ไม่...ไม่..ไม่ แบบนี้ ตกลงเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงหรือเปล่า?
แต่ถ้ากลับไปศึกษา ตามอัลกุรอ่านและหะดิษ จะได้ข้อสรุปว่า ทรงอยู่บนฟ้าหรือเบื้องสูงเหนือมัคลูค ดังเช่น 
ตัวอย่างหลักฐานดังกล่าว ก็คือคำตรัสของอัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ที่ว่า
أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า(หมายถึง ทรงสถิตอยู่เหนือฟากฟ้า)จะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าแล้วขณะนั้นมันจะหวั่นไหว
(สูเราะฮฺอัล-มุลกฺ 67 : 16)
ท่านนบี ศอ็ลฯ แสดงสัญลักษณ์ด้วยการชี้ไปยังท้องฟ้า ซึ่งบ่งบอกว่า อัลลอฮทรงอยู่ข้างบน ดังที่มีปรากฏในรายงานของมุสลิทในหะดีษที่ยาว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวไว้เมื่อผู้คนได้รวมตัวกันอย่างมากมาย ในวันที่ประเสริฐ และในสถานที่ที่ประเสริฐ
قَالُوا نَشْهَدُ أَنَّكَ قَدْ بَلَّغْتَ وَأَدَّيْتَ وَنَصَحْتَ. فَقَالَ بِإِصْبَعِهِ السَّبَّابَةِ يَرْفَعُهَا إِلَى السَّمَاءِ وَيَنْكُتُهَا إِلَى النَّاسِ « اللَّهُمَّ اشْهَدِ اللَّهُمَّ اشْهَدْ ». ثَلاَثَ مَرَّاتٍ
ผู้คนที่มาชุมนุมกล่าวว่า “เราเป็นพยานว่า ท่านได้ทำการเผยแพร่ ปฏิบัติ และมอบคำตักเตือนแล้ว” ท่าน(นบี)จึงกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วชี้ของท่านไปยังฟากฟ้า ว่า “โอ้อัลลอฮ โปรดเป็นพยาน โอ้อัลลอฮ โปรดเป็นพยาน” (ท่านกล่าวสามครั้ง)-บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขที่ 1218
อิหม่ามบุคอรี กล่าวว่า
وقال ضمرة بن ربيعة عن صدقة سمعت سليمان التيمي يقول لو سئلت أين الله لقلت في السماء فإن قال فأين كان عرشه قبل السماء لقلت على الماء فإن قال فأين كان عرشه قبل الماء لقلت لا أعلم قال أبو عبد الله وذلك لقوله تعالى { ولا يحيطون بشيء من علمه إلا بما شاء } يعني إلا بما بين
และฎอ็มเราะฮ บิน เราะบีอะฮ ได้รายงานจาก เศาะดะเกาะฮ ว่า ฉันได้ยินจากสุลัยมานอัตตัยมีย์ กล่าวว่า “ฉันถูกถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? ฉันตอบว่า “อยู่บนฟ้า แล้วถ้าเขากล่าวว่า “ อะรัชของพระองค์ อยู่ใหน ก่อนที่ มีฟากฟ้า ,ฉันก็จะกล่าวว่า “อยู่บนน้ำ แล้วถ้าเขากล่าวถามว่า อะรัชของพระองค์อยู่ใหน ก่อนที่มีน้ำ ฉันก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ ,อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า ดังกล่าวนั้นแหละ ที่อัลลอฮตะอาลาตรัสว่า
وَلاَ يُحِيطُونَ بِشَيْءٍ مِّنْ عِلْمِهِ إِلاَّ بِمَا شَاء
และพวกเขาไม่ได้ล้อมรอบ (เข้าถึง) สิ่งใดจากความรู้ของพระองค์ เว้นแต่ตามที่พระองค์ทรงประสงค์
หมายถึง ยกเว้นสิ่งที่พระองค์อธิบายไว้ – คอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด ของ อิหม่าม บุคอรี ๑/๓๘ หะดิษหมายเลข ๖๔ และอัลลาลุกาอีย์ ใน ชัรหุอุศูลุลเอียะติกอด หะดิษหมายเลข ๖๗๑
ผู้อ่านโปรดพิจารณาดูว่า ระหว่างการศึกษาอะกีดะฮโดยใช้ตรรกทางปัญญา กับ การใช้หลักฐานอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเป็นทางนำ มันแตกต่างกันอย่างไร
والله أعلم بالصواب