วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

การยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮตามแนวทางสะลัฟ




การรับรองคุณลักษณะของอัลลอฮตามแนวทางสะลัฟ

Ismail Al Misli สลัฟ ฏิเสธ อัวยวะ หรือไม่?
อ อาสัน......ตอบด้วย
............
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นคำถามของ Ismail Al Misli อาชาอิเราะฮสายแนวคิดตรรกปัญญานิยม ของอริสโตเติ้ล
ถามว่า "สะลัฟปฏิเสธอวัยวะไหม?
ขอเรียนว่า เรื่อง การรับรองสิฟาตอัลลอฮ เป็นเตากีฟียะฮ(توقيفية ) คือ เป็นเรื่องที่ต้องมีหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่ใช้ความคิดเห็น
อิหม่ามอัลกุรฏุบัย์ ซึ่งมีแนวคิดอาชาอิเราะฮไม่สุดโต่ง ไม่ตักลิดแบบหูหนวกตาบอดกล่าวว่า
صفات الله تعالى توقيفية لا مجال للعقل فيها
فلا نثبت لله تعالى من الصفات إلا ما دل الكتاب والسنة على ثبوته، قال الإمام أحمد رحمه الله تعالى: "لا يوصف الله إلا بما وصف به نفسه، أو وصفه به رسوله، لا يتجاوز القرآن والحديث
บรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮตาอาลานั้น คือ เตากีฟียะฮ ไม่มีช่องทางแก่สติปัญญา(การใช้ความคิดเห็นทางปัญญา)ในมัน
เราจะไม่ยืนยันให้แก่อัลลอฮ ตาอาลา จากบรรดาสิฟาต นอกจาก สิ่งที่อัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน) และอัสสุนนะฮ ได้แสดงบอกบนการรับรองมัน ,อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า "อัลลอฮจะไม่ถูกอธิบายคุณลักษณะ นอกจากด้วย สิงที่พระองค์ ได้อธิบายคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน หรือ รอซูลของพระองค์ ได้อธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์ ด้วยมัน เขาจะไม่เกินเลยอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ - อัลอัสนา ฟี ชัรหอัสมาอิลหุสนา ของอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ หน้า 167
...........
จึงถาม Ismail Al Misli ว่า คำว่า "อวัยวะ" มันถูกนำมาเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของอัลลอฮ ว่า " คำนี้ได้ถูกระบุในอัลอัลกุรอ่านอายะฮใด ?และท่านนบี ศ็อลฯได้ระบุไว้ในหะดิษบทใด ในเชิงรับรอง(อิษบาต) และในเชิงปฏิเสธ(นัฟยฺ) ? ขอให้นาย Ismail Al Misli เอาหลักฐานมายืนยัน
เพราะถ้าไม่มี เท่ากับการปฏิเสธในสิ่งที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮไม่ได้บอกไว้ เพราะเมื่อเป็นสิ่งที่คำสอนศาสนาไม่ระบุไว้ เราก็จะไม่อ้างสิ่งนี้ให้แก่คุณลักษณะของอัลลอฮ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเกินเลยอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮดังที่อิหม่ามอะหมัดกล่าวไว้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่กล่าวถึงคำว่า "อวัยวะ"แต่ เราจะปฏิเสธการเปรียบเทียบกับมัคลูค (ตัชบีฮ)
ดังที่อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ได้กล่าวถึงอะกีดะฮอิหม่ามชาฟิอีว่า
وَنُثْبِتُ هَذِهِ الصِّفَاتِ ، وَنَنْفِي عَنْهَا التَّشْبِيهَ ، كَمَا نَفَاهُ عَنْ نَفْسِهِ ، فَقَالَ : لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
และเรายืนยันบรรดาคุณลักษณะเหล่านี้และเราปฏิเสธการเปรียบเทียบ(ตัชบิฮ)จากมัน ดังสิ่งที่พระองค์ ปฏิเสธมันจากตัวของพระองค์ แล้วทรงตรัสว่า(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยินและทรงเห็น) - ดู อัซ-ซะฮะบีย์กล่าวในหนังสือ อัล-มีซาน เล่ม3 หน้าที่ 656 อิบนุ อะบียะอฺลา ในหนังสือ อัฏ-เฏาะบะกอต เล่ม1 หน้าที่ 382 อิบนุลก็อยยิม ใน หนังสือ อิจมาอฺ ญุยูช อัล-อิสลามมียะฮฺ หน้าที่ 165 และเช่นกัน อัซ-ซะฮะบีย์ ในหนังสือ อัส-สิยัร เล่ม 10 หน้าที่ 79)
..............
เพราะฉะนั้น คำว่า อวัยวะ คำนี้ ถูกนำมาเกี่ยวข้องอัลลอฮคุณลักษณะของอัลลอฮ โดยการอ้างอายะฮอัลกุรอ่านอายะฮใดหรือหะดิษบทใด ถ้าไม่มีมันคือ ตรรกที่มาจากความคิดเห็น มันไม่ใช่คำสอนศาสนาที่มาจากวะหยู
...
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/3/62

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

อะกีดะฮอิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ เกียวกับสิฟัตกาลาม







อะกีดะฮอิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ เกียวกับสิฟัตกาลาม
ผู้มีแนวคิดอาชาอิเราะฮบางส่วนพยายามอ้างคำพูดของอิหม่ามอัฏเฏาะบะรีย์ มานำเสนอแล้วกล่าวหาว่าคนที่ถูกเรียกว่า "วะฮบีย" ไม่ได้ยึดอะกีดะฮสะลัฟ
จึงของยกตัวต่อต่อไปนี้ เพื่อพิสูจน์ว่า อาชาอิเราะฮไม่ใด้ยึดอะกีดะฮตามแนวสะลัฟ ตามทัศนะอิบนุญะรีร แต่ยึดตามแนวอะกีดะฮ เคาะลัฟที่เป็นแนวคิดอะฮุลกาลามยุคหลัง
อะชาอิเราะฮเชื่อว่าอัลกุรอ่านที่อยู่ในเล่มคือมัคลูค แต่สะลัฟอย่างอิบนุญะรีร ยืนยันว่าไม่ใช่มัคลูคเช่น
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) เสียชีวิต ปี ฮ.ศ 310 กล่าวว่า
فَأَوَّلُ مَا نَبْدَأُ بِالْقَوْلِ فِيهِ مِنْ ذَلِكَ عِنْدَنَا : الْقُرْآنُ كَلَامُ اللَّهِ وَتَنْزِيلُهُ ؛ إِذْ كَانَ مِنْ مَعَانِي تَوْحِيدِهِ ، فَالصَّوَابُ مِنَ الْقَوْلِ فِي ذَلِكَ عِنْدَنَا أَنَّهُ : كَلَامُ اللَّهِ غَيْرُ مَخْلُوقٍ كَيْفَ كُتِبَ وَحَيْثُ تُلِيَ وَفِي أَيِّ مَوْضِعٍ قُرِئَ ، فِي السَّمَاءِ وُجِدَ ، وَفِي الْأَرْضِ حَيْثُ حُفِظَ ، فِي اللَّوْحِ الْمَحْفُوظِ كَانَ مَكْتُوبًا ، وَفِي أَلْوَاحِ صِبْيَانِ الْكَتَاتِيبِ مَرْسُومًا ، فِي حَجَرٍ نُقِشَ ، أَوْ فِي وَرِقٍ خُطَّ ، أَوْ فِي الْقَلْبِ حُفِظَ ، وَبِلِسَانٍ لُفِظَ
ประการแรกของสิ่งที่เราเริ่ม ด้วยทัศนะของเรา ในมัน ส่วนหนึ่งจากดังกล่าวคือ อัลกุรอ่านคือ กะลามุล(คำพูด)ของอัลลอฮ และการประทานลงมาของพระองค์ เพราะมันได้ปรากฏ ส่วนหนึ่งจากบรรดาความหมายของการเตาฮีด(การเป็นเอกภาพ)ของพระองค์ เพราะที่ถูกต้อง จากทัศนะของเราในดังกล่าวนั้น คือ แท้จริง มันคือ คำพูดของอัลลอฮ (กาลามุลลอฮ) ไม่ใช่มัคลูค(ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง) ถูกเขียนอย่างไรก็ตาม,ถูกอ่านแบบใหนก็ตาม และอยู่ในที่ใหนก็ตาม ที่ถูกอ่าน ,จะถูกพบบนฟ้า ,จะถูกพบในแผ่นดิน โดยที่ถูกท่องจำ ,ถูกบันทึกอยู่ในเลาฮุลมะหฟูซ และอยู่ในบรรดากระดานเขียนของเด็กๆ ที่ถูกวาดไว้ ,ถูกแกะสลักในก้อนหิน หรือ ถูกคัดลายมือไว้ในกระดาษ หรือถูกจำไว้ในใจ และถูกกล่าวเป็นถ้อยคำด้วยวาจาก็ตาม
และอิบนุญะรีร (ร.ฮ)ได้กล่าวต่อมาว่า
فَمَنْ قَالَ غَيْرَ ذَلِكَ أَوِ ادَّعَى أَنَّ قُرْآنًا فِي الْأَرْضِ أَوْ فِي السَّمَاءِ سِوَى الْقُرْآنِ الَّذِي نَتْلُوهُ بِأَلْسِنَتِنَا وَنَكْتُبُهُ فِي مَصَاحِفِنَا، أَوِ اعْتَقَدَ غَيْرَ ذَلِكَ بِقَلْبِهِ، أَوْ أَضْمَرَهُ فِي نَفْسِهِ، أَوْ قَالَهُ بِلِسَانِهِ دَائِنًا بِهِ، فَهُوَ بِاللَّهِ كَافِرٌ، حَلَالُ الدَّمِ، بَرِيءٌ مِنَ اللَّهِ، وَاللَّهُ مِنْهُ بَرِيءٌ،
ดังนั้นผู้ใดกล่าวอื่นจากดังกล่าว หรืออ้างว่า แท้จริงอัลกุรอ่าน ที่อยู่บนแผ่นดิน หรือบนฟ้า อื่นจากจากอัลกุรอ่านที่เราอ่าน ด้วยบรรดาลิ้นของเรา และที่เราเขียนมันใน บรรดามุศฮัฟของเรา หรือ เขา เชื่อมั่นอื่นจากดังกล่าว ด้วยหัวใจของเขา หรือเขาซ่อนมัน ในใจของเขา หรือ เขากล่าวด้วยลิ้นของเขา โดยมีความเชื่อด้วยมัน เขาคือผู้ปฏิเสธศรัทธา(กุฟุร)ต่ออัลลอฮ หะล้าลเลือด พ้นจากการรับประกันจากอัลลอฮ และอัลลอฮพ้นจากเขาผู้นี้ - ดู ชัรหอุศูลิดสุนนะฮ ของอัลลาลุกาอีย์ 2/183 และอัตตับศีร ฟี มะอาลิมิดดีน ของอิหม่ามอิบนุญะรีรอัฏเฏาะบะรีย หน้า 30
..................
สรุป
อิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ เชื่อว่า อัลกุรอ่านคือ กะลามุลลอฮ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ใหนก็ก็ตาม จะถูกบันทึกไว้ในเลาฮุลมะหฟูซ หรือ ที่ถูกเขียนไว้ที่ใหนก็ตาม หรือถูกเขียนไว้ในเล่มอัลกุรอ่าน(มุศหัฟ) มันก็คือกาลามอัลลอฮที่ไม่ใช่มัคลูค 
แต่อาชาอิเราะฮแนวคิดอะฮลุลกาลาม เชื่อว่า อัลกุรอ่านที่บรรจุอยู่ในเล่ม(มุศหัฟ) คือมัคลูค -วัลอิยาซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/2/62

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บอกว่าจะอาสามาแก้ปัญหาความยากจน


ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


บอกว่าจะอาสามาแก้ปัญหาความยากจน
วาทกรรมข้างต้นได้ยินมาทุกสมัยของการหาเสียงในการเลือกตั้ง ทุกระดับ แต่สุดท้าย มันก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
พี่น้องประชาชน อย่าได้เคลิ้ม และฝันหวานกับสัญญาลมๆแล้งๆเหล่านี้
มาตรการแก้ปัญหาความยากจนที่แท้จริง ในคำสอนศาสนา อิสลาม นั้นมีมากมาย ส่วนหนึ่งคือคือ
1.การทำงาน
คือต้องให้ประชาชนมีงานทำ ไม่ใช่เอาเงินมาแจก
อิสลามสอนให้ทำมาหากิน อย่าหวังสิ่งที่อยู่ในมือคนอื่น
ท่านนบีมุหัมหมัด กล่าวว่า
لَأَنْ يَحْتَطِبَ أَحَدُكُمْ حُزْمَةً عَلَى ظَهْرِهِ، خَيْرٌ لَهُ مِنْ أَنْ يَسْأَلَ أَحَدًا، فَيُعْطِيَهُ أَوْ يَمْنَعَهُ
การที่คนใดจากพวกท่านหาฟืนแล้วแบกขึ้นบนหลังเอาไปขายนั้น ย่อมดีกว่าการเที่ยวขอจากผู้อื่น ซึ่งเขาอาจให้หรือไม่ให้ก็ได้ -รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี
และท่านนบีมุหัมหมัด ศ็อลฯ กล่าวว่า
مَا أَكَلَ أَحَدٌ طَعَامًا قَطُّ، خَيْرًا مِنْ أَنْ يَأْكُلَ مِنْ عَمَلِ يَدِهِ، وَإِنَّ نَبِيَّ اللَّهِ دَاوُدَ عَلَيْهِ السَّلاَمُ، كَانَ يَأْكُلُ مِنْ عَمَلِ يَدِهِ
ไม่มีผู้ใดได้รับประทานอาหารใด ที่ประเสริฐยิ่งกว่า รับประทานสิ่งที่เขาหามาได้ด้วยการทำงานของสองมือของเขา” และแท้จริง ศาสดาดาวูด อะลัยฮิสสลาม เขากินจากสิ่งที่ได้มาจากการทำงานด้วยมือเขาเอง- รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี
.....
ในด้านเศรษฐกิจอิสลามถือว่า เกียรติและศักศรีของความเป็นมนุษย์คือ การทำงาน การทำมาหากินด้วยตัวเอง ไม่ใช่นั่งรอให้รัฐหรือคนอื่นมาช่วย
2. ระบบซะกาต
ระบบซะกาตในอิสลาม เป็นระบบการสังคมสงเคราะห์กระจายความร่ำรวยไปสู่คนยากคนจน
ท่านนบี มุหัมหมัด ศ็อลฯ กล่าวแก่ ท่านมุอาซ บิน ญะบัล ตอนที่ท่านส่งเขาไปเป็นข้าหลวงเมืองเยเมน ว่า
فَأَعْلِمْهُمْ أَنَّ اللَّهَ افْتَرَضَ عَلَيْهِمْ صَدَقَةً فِي أَمْوَالِهِمْ تُؤْخَذُ مِنْ أَغْنِيَائِهِمْ وَتُرَدُّ عَلَى فُقَرَائِهِمْ
ท่านจงบอกพวกเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ ทรงกำหนดการบริจาคทาน(ซะกาต)จากทรัพย์สินของพวกเขา ให้เป็นข้อบังคับแก่พวกเขา มันถูกเอาจากบรรดาคนร่ำรวยในหมู่พวกเขา และนำไปให้แก่บรรดาคนยากจนในหมู่พวกเขา -รายงานโดยบุคอรี
........
เพราะฉะนั้นคนร่ำรวยจะต้องให้การสงเคราะหคนยากจนด้วยการจ่ายซะกาต
4. ญาติอุปถัมถ์ค้ำชูญาติ
คือ บรรดาญาติที่มีฐานนะร่ำรวย จะต้อง ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือบรรดาญาติที่มีฐานะยากจน ให้พวกเขาได้ยืนบนขาตัวเองได้
อัลลอฮตาอาลาตรัสไว้ว่า
فَآتِ ذَا الْقُرْبَىٰ حَقَّهُ
จงบริจาคแก่ญาติสนิทซึ่งสิทธิของเขา - อัรรูม/38
.......
ถ้าในหมู่ญาติที่มีฐานนะร่ำรวย ช่วยกันส่งเสริมอุ้มชูญาติที่มีฐานะยากจน ให้พึงตนเองได้ ก็จะไม่เป็นภาระกับสังคม แต่แปลกมีมนุษย์ญาติที่ร่ำรวยจำนวนไม่น้อย ที่พอญาติตัวเองยากจน กลับไม่นับญาติ -นะอูซุบิลละฮ
....
จากที่กล่าวมาข้างต้นคือส่วนหนึ่งของคำสอนอิสลาม ที่เป็นมาตรการแก้ปัญหาความจน ไม่ใช่มานั่งรอว่าเมื่อไหร่ ท่านสอสอ หรือรัฐบาลจะช่วย หรือนำเงินมาแจกอีก
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/2/62

โทษของการดื่มสุราต่อบุคคลและ สังคม



ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ



โทษของการดื่มสุราต่อบุคคลและ สังคม
โทษของสุราต่อสังคมที่เป็นปัญหาในทุกวันนี้คงหนีไม่พ้น การเมาแล้วขับ ที่เรามักพบเจอบ่อยๆในช่วงเทศกาลหยุดยาว ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตจากการเมาแล้วขับ ทั้งคนที่เมาสุราและคนรอบข้างนั้นถือครองอันดับ 1 ในการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมายาวนานเป็นเวลาหลายปี นอกจากนั้น สุรา ยังส่งผลให้เกิดการทะเลาะวิวาท การก่ออาชญากรรมและการฆาตกรรม
รายงานจากอบีอัดดัรดาอฺ (ร.ฎ)ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้สั่งเสียไว้ว่า
لَا تُشْرِكْ بِاللَّهِ شَيْئًا، وَإِنْ قُطِّعْتَ وَحُرِّقْتَ ، وَلَا تَتْرُكْ صَلَاةً مَكْتُوبَةً مُتَعَمِّدًا ، فَمَنْ تَرَكَهَا مُتَعَمِّدًا ، فَقَدْ بَرِئَتْ مِنْهُ الذِّمَّةُ ، وَلَا تَشْرَبِ الْخَمْرَ ، فَإِنَّهَا مِفْتَاحُ كُلِّ شَرٍّ
ท่านอย่าได้นำสิ่งใดมาตั้งภาคีต่ออัลลอฮ และแม้ท่านจะถูกตัดคอและถูกเผาก็ตาม ,ท่านอย่าทิ้งละหมาด ที่ถูกกำหนดให้เป็นข้อบังคับ โดยเจตนา เพราะผู้ใดทิ้งละหมาดโดยเจตนา แน่นอนการรับประกัน(จากอัลลอฮ)ได้พ้นจากเขา และท่านอย่าดื่มสุรา เพราะแท้จริงมันคือ กุญแจของทุกๆความชั่ว - ดู เศาะเฮียะอิบนุหิบบาน หมายเลข 3275 ชัยค์อัลบานีย์ได้กล่าวว่า หะดิษอยู่ในระดับหะซัน(ดี)
อัสซินดีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَفِي الزَّوَائِدِ : إِسْنَادُهُ حَسَنٌ
และระบุใน อัซซะวาอิดว่า สายรายงานของมัน อยู่ในระดับที่ดี
-หาชีอะฮอัสสินดีย์ หะดิษหมายเลข 3371 ยุซที่ 4 หน้า 59
.................
สุรา และสิ่งมึนเมา เป็นกุญแจที่ไขไปสู่ความชั่วทั้งหลาย เพราะเหตุนี้ศาสนาอิสลามจึงห้ามดื่มอย่างเด็ดขาด แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
การลงโทษการดื่มสุรา ตามกฏหมายอิสลามคือ
ผู้ดื่มสุราจะถูกลงโทษโดยการโบยจำนวน 40 ครั้ง และสำหรับความเห็นของผู้นำ (อิมาม) สามารถเพิ่มให้หนักยิ่งขึ้นโดยการเฆี่ยนตีจำนวน 80 ครั้งเป็นการตักเตือน หากเขาเห็นว่าบุคคลนั้นจมปลักอยู่กับการดื่ม
น่าเสียดายบางประเทศที่มีศาสนาประจำชาติและกลัวศาสนาอิสลามจะมากลืนศาสนาของตน แต่กลับอนุญาตให้ผลิตและดื่มสุราได้ ทั้งๆที่สุราสร้างความหายนะต่อบุคคล สังคมและเศรษฐกิจ อย่างใหญ่หลวง
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/2/62

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

โทษของการปกปิดความรู้และการอวดรู้ในสิ่งที่ไม่รู้










ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และเครา


โทษของการปกปิดความรู้และการอวดรู้ในสิ่งที่ไม่รู้
ผู้มีความรู้จะต้องซื่อสัตย์ต่ออัลลอฮเกี่ยวกับความรู้ที่เขาเรียนมา เมื่อผู้ที่ไม่รู้ ถามสิ่งใดที่เขารู้ เกี่ยวกับศาสนาของอัลลอฮ เขาจะต้องตอบตามความเป็นจริง ไม่บ่ายเบี่ยงและบิดเบือน
มีรายงานหะดีษจากหลายๆสาย ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า
“مَنْ سُئِلَ عَنْ عِلْمٍ فَكَتَمَهُ، ألْجِم يَوْمَ الْقِيَامَةِ بِلِجَامٍ مِنْ نَارٍ”
(ผู้ใดถูกคนใดคนหนึ่งถามเรื่องความรู้แล้วเขาปกปิดความรู้ที่เขามีอยู่นั้น ปากของเขาจะล่ามด้วยบังเหียนจากไฟนรก) (อะหฺมัด : 2/263, อาบูอาวูด : 3658, อัตติรมีซีย์ : 2649, อิบนุมาญะฮฺ : 261)
แต่ถ้าไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ไม่ต้องกลัวเสียหน้าหรือเสียฟอร์ม
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) ได้ระบุรายงานว่า
سئل سعيد بن جبير عن شيء فقال لا أعلم ثم قال ويل للذي يقول لما لا يعلم إني أعلم
สะอีด บิน ญุบัยร ถูกถามเกี่ยวกับสิ่งหนึ่ง แล้วเขากล่าวตอบว่า "ฉันไม่รู้" ต่อมาเขากล่าวว่า "ความวิบัติจะประสบกับผู้ที่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่รู้ว่า "แท้จริงฉันรู้ " - ดู ญามิอุบะยานอัลอิลมิวะฟัฎลิฮี 2/53
........
ปราชญยุคสะลัฟ เมื่อมีคนถามและพวกเขาไม่รู้ เขาก็บอกว่าไม่รู้ เขาไม่กลัวว่า คนจะกล่าวหาว่ารู้ไม่จริง ไม่เหมือนปัจจุบัน พวกอวดรู้มีเยอะ ใช้ตรรกตอบเรื่องศาสนา ในสิ่งที่ไม่รู้จริงเพราะกลัวเสียฟอร์ม กลัวคนจะว่า "ไม่อาเหล่มจริง"
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/2/62