วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562

อันตรายของบิดอะฮในศาสนา

อันตรายของบิดอะฮในศาสนา
خطر البدع: من تأمل الكتاب والسنة وجد أن البدع في الدين محرمة ومردودة على أصحابها من غير فرق بين بدعة وأخرى، وإن كانت تتفاوت درجات التحريم بحسب نوعية البدعة.
อันตรายของบิดอะฮ :
ผู้ใด พิจารณา อัลกิตาบและอัสสุนนะฮ เขาจะพบว่า แท้จริง บรรดาบิดอะฮในศาสนา นั้น คือ สิ่งต้องห้าม(หะรอม) และถูกปฏิเสธ บนเจ้าของของมัน (หมายถึงไม่ถูกรับ) โดยไม่แบ่งแยก ระหว่างบิดอะฮใดๆ และอันอื่น และ แม้มันจะแตกต่าง/ไม่เหมือนกันของ ระดับของการหะรอมตามชนิดต่างๆของบิดอะฮก็ตาม
ومن المعلوم أن النهي عن البدع قد ورد على وجه واحد في قول النبي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلِّم «إياكم ومحدثات الأمور فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة» (1) . وقوله صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلِّم: «من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد» (2) . فدل الحديثان على أن كل محدث في الدين فهو بدعة، وكل بدعة ضلالة مردودة، ومعنى ذلك أن البدع في العبادات والاعتقادات محرمة، ولكن التحريم يتفاوت بحسب نوع البدعة
และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เป็นที่รู้กัน คือ แท้จริงการห้ามจากบรรดาบิดอะฮ นั้น ได้มีรายงานบนรูปแบบเดียว ในคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯ คือ(พวกท่านจงห่างใกลบรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพราะแท้จริงสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้้นใหม่คือ บิดอะฮ และทุกบิดอะฮคือการหลงผิด (1) และคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯ ที่ว่า(ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใหม่ในกิจการศาสนาของเรานี้ สิ่งซึ่งไม่ได้มาจากมัน มันถูกปฏิเสธ) (2)
สองหะดิษนี้ แสดงบอกว่า ทุกสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในศาสนา มันคื บิดอะฮ และทุกบิดอะฮคือการหลงผิด ,ถูกปฏิเสธ และความหมายดังกล่าวคือ แท้จริงบรรดาบิดอะฮ ในบรรดาอิบาดะฮ และบรรดาหลักความเชื่อ(อะกีดะฮ)นั้น คือสิ่งต้องห้าม(หะรอม) แต่ การห้ามนั้น มีระดับแตกต่างกัน ตามชนิดของบิดอะฮ - ดู กิตาบอุศูลิลอีหม่าน ฟี เฎาอิลกิตาบวัสสุนนะฮ 1/291
...........
(1) رواه الإمام أحمد في المسند (1 / 435) ، والدارمي في السنن (1 / 78) ، والحاكم في المستدرك (2 / 318) وقال صحيح الإسناد ووافقه الذهبي.
(2) صحيح البخاري برقم (2697) ، وصحيح مسلم برقم (1718)
.......
เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่า
1.บิดอะฮในศาสนา หมายถึง ในเรื่องอะกีดะฮและอิบาดะฮคือ สิ่งที่หะรอม(ต้องห้าม)
2.บิดอะฮคือสิ่งต้องห้าม และรดับของหุกุมหะรอมในบิดอะฮนั้นแตกต่างกันตามชนิดของบิดอะฮ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่สมควร เปิดช่องให้ผู้คนทำบิดอะฮอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม
อะสัน หมัดอะดั้ม
34/9/6
เอกสารอ้างอิง
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 
 

ว่าทกรรมกล่าวหา"ไม่เอาอุลามา"



วาทกรรม ไม่เอาอุลามาอฺ ไม่ผ่านอุลามาอฺ ค้านกับอุลามาอฺ
 
ในภาพอาจจะมี สุนัข และข้อความ
 
การตามอุลามมาอฺ (العلماء )นั้นมี 2 แบบคือ
1.ตามแบบตักลิด(التقليد) คือ เชื่อตามโดยไม่มีหลักฐานของคำพูดนั้นมายืนยัน
คำว่า "ตักลิด"คือ
قبول قول الغير في الأحكام الشرعية من غير دليل على خصوصية ذلك الحكم، أو: قبول قول الغير بلا
حجة
การรับคำพูดของผู้อื่น เกี่ยวกับบรรดาหุกุมศาสนบัญญัติ โดยปราศจากหลักฐาน บนการเจาะจงของหุกุมนั้น(1) หรือหมายถึง การรับคำพูดของผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน(2)
1 - المستصفى للغزالي ٢: ١٢٣. معالم الدين وملاذ المجتهدين، الحسن بن زيد الدين العاملي: ٢٤٢.
2 - حاشية العطار على جمع الجوامع ٢: ٤٣٢، وهو قول السبكي من علماء الشافعية
............................
سَمِعْتُ أَبَا الْعَبَّاسِ مُحَمَّدَ بْنَ يَعْقُوبَ , يَقُولُ : سَمِعْتُ الرَّبِيعَ بْنَ سُلَيْمَانَ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الشَّافِعِيَّ , يَقُولُ : " مثل الَّذِي يَطْلُبُ الْعِلْمَ بِلا حُجَّةٍ , مثل حَاطِبِ لَيْلٍ يَحْمِلُ حَطَبًا فِيهَا أَفْعَى , تَلْدَغُهُ وَهُوَ لا يَدْرِي "
อัชชาฟิอี กล่าวว่า" อุปมาผู้ที่ศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน อุปมัยดังเช่น คนหาไม้ฟืนยามค่ำคืน ,เขาแบกมัดของไม้ฟืน และในนั้นมีงูจะกัดเขาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ ,อัลบัยฮะกีย์ได้ระบุเอาไว้ - บันทึกโดยอัลบัยฮะกีย์ ใน อัลมัดค็อลฯ หน้า 211 หมายเลข 263
2.ตามแบบอัลอิตติบาอ(الاتباع ْคือ ตามสิ่งที่มาจากท่านนนบี ศ็อลฯและเหล่าเศาะหาบะฮ
قال ابو داود: قلت لأحمد: " الأوزاعي اتبع أم مالكا؟ قال: " لا تقلد دينك أحدا من هؤلاء!! ما جاء عن النبي فخذ به
อบูดาวูดกล่าวว่า ฉันได้กล่าวแก่ อะหมัดว่า “ ฉันจะตาม อัลเอาซาอี หรือ จะตามมาลิก ? เขา(อิหม่ามอะหมัด)ตอบว่า “ท่านอย่าตักลิดตามคนหนึ่งคนใดจากเขาเหล่านั้น ในเรื่องศาสนาของท่าน สิ่งใดก็ตามที่มาจากท่านนบี ศอลฯ จงเอามันเถิด -
الإيقاظ: ص 113. إعلام الموقعين: 2 / 200. مجموعة الرسائل المنيرية
..............
قال ابن عباس - رضي الله عنهما - لرجل سأله عن مسألة فأجابه فيها بحديث ، فقال له : قال أبو بكر وعمر ! فقال ابن عباس رضى الله عنهما :
"يوشك أن تنزل عليكم حجارة من السماء ! أقول : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم ، وتقولون : قال أبو بكر وعمر !!"(57).
อิบนิอับบัส (ร.ด)ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่ง ที่ถามปัญหาหนึ่งต่อท่าน แล้วท่านอิบนิอับบัสตอบเขาด้วยการอ้างอิงหะดิษบทหนึ่ง แล้วเขา(ชายผู้นั้น)กล่าวแก่เขา(อิบนิอับบาส)ว่า “ อบุบักร และอุมัรได้ กล่าวว่า (อย่างนั้น อย่างนี้) แล้วอิบนุอับบัส(ร.ด) กล่าวว่า “ก้อนหินจากฟ้ากฟ้า เกือบลงมากระหน่ำพวกท่าน ฉันกล่าวว่า “ ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯกล่าวว่า และพวกท่านกลับกล่าวว่า อบูบักร และ อุมัรกล่าวว่า”
57 - رواه الإمام أحمد برقم (3121) بنحوه وصححه الشيخ أحمد شاكر رحمه الله
อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) กล่าวว่า
" ليس أحد إلا ويؤخذ من رأيه ويترك ما خلا النبي (صلى الله عليه وآله وسلم
ไม่มีบุคคลใด นอกจาก ความเห็นของเขาถูกนำมายึดถือและถูกทอดทิ้ง อื่นจากท่านนบี ศอลฯ(หมายถึงคำสอนของท่านนบี จะละทิ้งไม่ได้ต้องปฏิบัติตาม)
9 - صفة صلاة النبي: ص 28، نقلا عن مسائل الإمام أحمد: ص 2
......................
หะดิษข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ท่านอิบนุอับบัส (ร.ด)ได้กล่าวตำหนิ ผู้ที่นำคำพูดอบูบักรและอุมัร มาล้ำหน้าคำพูดของท่านรอซูล ศอลฯ นี้ระดับ เคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน แล้ว แล้วที่ระดับต่ำจากนี้ จะเหลือหรือ
ที่กล่าวมาไม่ได้ดูหมื่นดูแคลน อุลามาอฺ พูดไว้เสียก่อน เพราะจะมีคนยัดข้อหาว่า "ดูถูกอุลามาอฺ"อีกกระทง แต่ต้องการจะสื่อว่า การตามอุลามาอฺ คือตามหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮที่อุลามาอฺนำมา อ้างอิง ไม่ใช่แค่ความคิดเห็นอุลามาอฺเพียวๆ โดยไม่อ้างอิงหลักฐานที่มา บอกดักไว้ก่อน เกรงว่าจะมายัดข้อหาใส่ผมอีกว่า สอนไม่ผ่านอุลามาอฺ ไม่เอาอุลามาอฺ จะกลับไปหาอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเอง แล้วสั่งให้ผมหยุดเผยแพร่ศาสนา -นะอูซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/9/62
เอกสารอ้างอิง
 

ทุกคำถามไม่จำเป็นต้องตอบเสมอไป



ทุกคำถามไม่จำเป็นต้องตอบ
 
การถามเท่าที่สังเกต นั้น มี 3 ลักษณะ คือ
1.ถามเพื่อที่จะนำไปเป็นความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง ซึ่งผู้ถาม เป็นผู้ที่ต้องการแสวงหาความจริงเพื่ออัลลอฮ
2.ถามเพื่อลองภูมิ ว่ารู้จริงหรือไม่ เพื่อได้ดิสเครดิตว่าคนนี้ไม่รู้จริง อย่าไปเชื่อ
3. ถามเพื่อนำเอาไปฟิตนะฮ เอาไปชงเพื่อทำลายความเชื่อถือ ซึ่งผู้ถามมีเจตนไม่บริสุทธิ์ แต่เพื่อทำลาย
ถ้าเราดูจากแบบอย่างสะลัฟ จะเห็นว่า พวกเขาไม่ได้ตอบทุกคำถาม
أَخْبَرَنَا يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ ، حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ , عَنْ مُغِيرَةَ ، عَنِ الشَّعْبِيِّ قَالَ : لاَ أَدْرِي نِصْفُ الْعِلْمِ.
ยะหยา บิน หัมมาด ได้บอกเรา ว่าอบูอะวานะฮ ได้เล่าเรา ว่ารายงานจาก มุฆีเราะฮ จากอัชชุอบีย์ ว่าเขากล่าวว่า
"ฉันไม่รู้ " คือ ครึงหนึ่งของความรู้ -รายงานโดยอัดดาริมีย์ 1/180 และอัลบัยฮะกีย์ ในอัลมัดค็อล หะดิษหมายเลข 810
قال سفيان الثوري رحمه الله: (أدركت الفقهاء وهم يكرهون أن يجيبوا في المسائل والفتيا، ولا يفتون حتى لا يجدوا بُداً من أن يفتوا
ซูฟยาน อัษเษารีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับบรรดาฟุเกาะฮาฮฺ และพวกเขารังเกียจ(ไม่ชอบ) การที่พวกเขาตอบในประเด็นต่างๆ และฟัตวาต่างๆ และพวกเขาไม่ทำการฟัตวา จนกว่า ไม่มีสามารถาที่จะหลีกเลี่ยงจากการฟัตวาได้ - อัลฟะกีฮ วัลมุตะฟักกีฮ 2/28
عن عبد الرحمن بن أبي ليلى قال: "أدركت عشرين ومائة من أصحاب النبي صلى الله عليه وسلم أراه قال في هذا المسجد فما كان منهم محدث إلا ود أن أخاه كفاه الحديث ولا مفت إلا ود أن أخاه كفاه الفتيا"
จากอับดุรเราะหมาน บิน อบีย์ลัยลา เขากล่าวว่า (ฉันได้พบ เศาะหาบะฮนบี ศ็อลฯ 120 คน ไม่มีผู้รายงานหะดิษคนใด จากพวกเขา ยกเว้น เขาชอบที่จะให้พีน้องของเขา รายงานหะดิษแทนเขา และ และไม่มีนักฟัตวาคนใด(จากพวกเขา) นอกจากเขาชอบที่จะให้พี่น้องของเขาทำการฟัตวาแทนเขา- หะดิษหะซัน -ดู อัดดาริมีย 1/35 ,อิบนุหิบบาน ในอัษษิกอต 9/215
..........
ข้างต้นคือ มารยาทของสะลัฟ ที่พวกเขาไม่โอ้อวดความรู้ และไม่กระหายที่จะตอบคำถาม หรือฟัตวา แต่ชอบให้คนอื่นตอบแทน ต่างกับอุลามาอฺสะลัฟแอบอ้างในปัจจุบัน ที่บ้าจี้และกระหายที่จะตอบคำถาม เพื่ออวดความรู้และไม่ปฏิเสธกลัวชาวบ้านจะรู้ว่า เป็นขนมจีน ที่ไม่มีน้ำยา ปัจจุบัน ถ้าบอกว่า "ฉันไม่รู้" จะถูกมองว่า คือจุดด้อย เลยอุลามาอฺยากดัง กลัวนักกลัวหนา เลยฟัตวากันเละเทะ จนหายนะ
บางครั้งอิหม่ามมาลิกถูกถามถึง 48 ประเด็น ท่านตอบแค่ 32 ประเด็น นอกนั้นท่านบอกว่า "ฉันไม่รู้ "บางครั้ง ท่านถูกถาม 40 ประเด็น ท่านอิหม่ามมาลิกตอบแค่ 5 ประเด็น เท่านั้น -ดู มิน อะลามอัสสะลัฟ 1/352
...
เพราะฉะนั้นการตอบต้องดูที่เจตนาผู้ถามและไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถาม ให้คนอื่นเขาตอบแทนก็ได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/9/62
เอกสารอ้างอิง
 
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

มติสะลัฟยึดทัศนะที่มีน้ำหนัก


ยึดทัศนะที่มีน้ำหนักและทิ้งทัศนะที่อ่อน คือมติของสะลัฟ
1.อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَمَنْ نَظَرَ فِي أَحْوَالِ الصَّحَابَةِ، وَالتَّابِعِينَ، وَتَابِعِيهِمْ، وَمَنْ بَعْدَهُمْ، وَجَدَهُمْ مُتَّفِقِينَ عَلَى الْعَمَلِ بِالرَّاجِحِ، وَتَرْكِ الْمَرْجُوحِ ... اهـ.
และผู้ใด พิจารณาบรรดาสภาพของเหล่าเศาะหาบะฮ ,ตาบิอีน ,ผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขา และผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา เขาก็จะพบว่า พวกเขา เห็นฟ้องกัน บนการปฏิบัติ ด้วยทัศนะที่มีน้ำหนัก และละทิ้งทัศนะที่อ่อน - อิรชาดุลฟุหูล หน้า 1126
2.ในอัลเมาสูอะฮ อัลฟิกฮียะฮ ได้ระบุว่า
قَال الزَّرْكَشِيُّ: إِذَا تَحَقَّقَ التَّرْجِيحُ وَجَبَ الْعَمَل بِالرَّاجِحِ، وَإِهْمَال الآْخَرِ، لإِجْمَاعِ الصَّحَابَةِ عَلَى الْعَمَل بِمَا تَرَجَّحَ عِنْدَهُمْ مِنَ الأْخْبَارِ
อัซซัรกะชีย์ ได้กล่าวว่า "เมื่อการให้น้ำหนักได้เป็นจริงแล้ว ก็จำเป็นจะต้องปฏิบัติด้วยทัศนะที่มีน้ำหนัก และปล่อยทัศนะอื่นไป เพราะมติของ บรรดาเศาะหาบะฮ บนการปฏิบัติด้วย บรรดาหะดิษที่มีน้ำหนักในทัศนะของพวกเขา -อัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮ 36/345
ซะกะรียา บิน ฆุลาม กอเดร อัลบากิสถานีย์ ได้กล่าวว่า
العبرة في الجمع بين الدليلين المتعارضين هو ثبوتهما فإن كان أحدهما لا يثبت فلا عبرة به ولا يحتاج إلى أن يجمع بينه وبين الحديث الثابت، قال الجزائري في توجيه النظر "235": الحديث المقبول إذا عارضه حديث غير مقبول أخذ بالمقبول وترك الآخر، إذ لا حكم للضعيف مع القوي.
ข้อพิจารณาในการรวม ระหว่างสองหลักฐาน ที่ขัดแย้งกัน มันคือ ทั้งสองหลักฐานนั้น แน่นอน(หมายถึงเศาะเฮียะทั้งสองหลักฐานจึงจะรวมกันได้-ผู้แปล)เพราะหากปรากฏว่า หลักฐานหนึ่งหลักฐานใด ไม่แน่นอน (ไม่เศาะเฮียะ) ก็ไม่มีการพิจารณาใดๆด้วยมัน และไม่จำเป็นจะต้องรวมระหว่างมัน(หลักฐานอ่อน)และระหว่างหลักฐานที่แน่นอน(เศาะเฮียะ)
.อัลญะซาอิรีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวไว้ใน เตาญีฮุลนัซริ " 235 ว่า "
الحديث المقبول إذا عارضه حديث غير مقبول أخذ بالمقبول وترك الآخر، إذ لا حكم للضعيف مع القوي. انتهى.
หะดิษที่ถูกยอมรับ เมื่อค้านกับหะดิษ ที่ไม่ได้รับการยอมรับ ก็เอาสิ่งที่ถูกยอมรับและละทิ้งอันอื่น (หมายถึงทิ้งหะดิษที่ไม่ถูกยอมรับ) เพราะไม่มีหุกุม สำหรับ(การปฏิบัติ)ทัศนะเฎาะอีฟ(อ่อน) พร้อมกับทัศนะที่แข็งแรง -ตะฮซีบ อุศูลิลฟิกฮ อะลามันฮัจญอะฮลิลหะดิษ หน้า 60
......
เพราะฉะนั้น เมื่อหะดิษเฎาะอีฟ ขัดแย้งหรือค้าน กับหะดิษเศาะเฮียะ ก็ให้เอาหะดิษเศาะเฮียะและทิ้งหะดิษเฎาะอีฟ
ในขณะเดียวกัน ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น บรรดาสะลัฟ ปฏิบัติด้วยหะดิษที่มีน้ำหนักและทิ้งทัศนะที่อ่อน
แต่ถ้ายึดทัศนะที่มีน้ำหนักแต่ ปกป้องทัศนะที่อ่อน แบบนี้คงจะมีปัญหาไม่รู้จักจบ
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/9/62
 
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ