วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

เขาบอกว่าอุมัรฟื้นฟูทำไมในเมื่อท่านนบีทำดีแล้ว





เขาบอกว่าอุมัรฟื้นฟูทำไมในเมื่อท่านนบีทำดีแล้ว
Furqan Sunnah
ผมเข้าใจว่าถ้าการละหมาดตารอเวะรวมกันเป็นการกระทำที่นบีได้ยุติไปแล้ว ฉไหนเลยท่านอุมัรต้องฟื้นฟูนอีก มันดีแล้วไงล่ะ ก็นบียุติไปแล้ว นั่นแสดงว่าการที่ท่านอุมัรรื้อฟื้นมันย่อมต้องดี หาไม่แล้วอาจมีข้อครหาจากซอฮาบะได้ว่า ท่านอุมัรฟื้นฟูทำไม ในเมื่อนบีเป็นผู้ยุติด้วยตัวท่านเอง และพอเรามาลองดูในคราที่ท่านอุมัรคะยั้นคะยอให้ท่านอบุบักร์และเซด บิน ษาบิต จนท่านอบุบักร์ กล่าวว่าจะให้ฉันทำในสิ่งที่นบีไม่ได้กระทำได้อย่างไรเล่า แม้ว่าท่านอุมัรบอกว่า แต่มันเป็นสิ่งที่ดีน่ะ ในที่สุดอัลลอฮฺก็เปิดใจของท่านอบูบักร์ *****อัลลอฮฺจะเปิดใจใครนั้นแหละเป็นสิ่งสำคัญครับ***
.............
ชี้แจง
ผมชี้แจงคำพูดข้างต้นของ Furqan Sunnah ด้วยความเคารพนะครับไม่ได้มีเจตนาจะดูแคลนแต่เพื่อให้เป็นข้อมูลศึกษาแแก่ผู้อ่านเท่านั้น
1. คุณ ถ้าการละหมาดตารอเวะรวมกันเป็นการกระทำที่นบีได้ยุติไปแล้ว ฉไหนเลยท่านอุมัรต้องฟื้นฟูนอีก ?
ผมขอตอบดังนี้
คุณ Furqan Sunnah เข้าใจผิดว่า ฟื้นฟูในที่นี้หมายถึง การทำให้ดีขึ้นจากเดิม ความจริงไม่ใช่ แต่หมายถึง ท่านอุมัร ได้ฟื้นฟู ริเริ่ม สิ่งที่มีอยู่เดิมให้มีขึ้นมาไหม่ เนื่องจากได้มีการยุติ ในระยะเวลาหนึ่ง
ดังคำชี้แจงของอิหม่ามอิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)ดังนี้
وَفِيهِ أَنَّ قِيَامَ رَمَضَانَ سُنَّةٌ مِنْ سُنَنِ النَّبِيِّ - عَلَيْهِ السَّلَامُ - مَنْدُوبٌ إِلَيْهَا مُرَغَّبٌ فِيهَا . وَلَمْ يَسُنَّ مِنْهَا عُمَرُ إِلَّا مَا كَانَ رَسُولُ اللَّهِ يُحِبُّهُ وَيَرْضَاهُ ، وَمَا لَمْ يَمْنَعْهُ مِنَ الْمُوَاظَبَةِ عَلَيْهِ إِلَّا أَنْ يَفْرِضَ عَلَى أُمَّتِهِ ، وَكَانَ بِالْمُؤْمِنِينَ رَءُوفًا رَحِيمًا
แท้จริงละหมาดในยามค่ำคืนเราะมะฎอน(ละหมาดตะรอเวียะ) นั้น คือสุนนะฮ จากบรรดาสุนนะฮของนบี ศอ็ลฯ ที่ถูกสนับสนุนและส่งเสริมให้กระทำ ที่และแท้จริง ท่านอุมัร ไม่ได้กำหนดแบบอย่าง จากมัน เว้นแต่ เป็นสิ่งที่ รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ รัก และพอใจมัน และไม่มีสิ่งใดยับยั้ง ท่านรซูลุลลอฮ ไม่ให้ปฏิบัติมัน นอกจาก การเกรงว่า มันจะถูกกำหนดให้เป็นข้อบังคับแก่อุมมะฮของท่าน และท่านนบี มีความสงสาร และ เมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
لَمَّا عَلِمَ عُمَرُ ذَلِكَ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَعَلِمَ أَنَّ الْفَرَائِضَ فِي وَقْتِهِ لَا يُزَادُ فِيهَا وَلَا يُنْقَصُ مِنْهَا أَقَامَهَا لِلنَّاسِ وَأَحْيَاهَا وَأَمَرَ بِهَا ، وَذَلِكَ سَنَةَ أَرْبَعَ عَشْرَةَ مِنَ الْهِجْرَةِ صَدْرَ خِلَافَتِهِ .
ดังนั้นเมื่อ ท่านอุมัร ได้รู้ดังกล่าวจาก รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และรู้ว่า บรรดาละหมาดฟัรดูในเวลาของมัน ไม่ถูกเพิ่มเติม และไม่ถูกลดจากมัน แล้ว ท่านอุมัร ได้จัดให้มันมีขึ้นมาอีก ,ได้ฟื้นฟูมัน และได้สั่งให้ปฏิบัติมัน และดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ 14 ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮของเขา - อัลอิสติซกาซ 1/62-63
................
จึงสรุปว่า การละหมาดตะรอเวียะญะมาอะฮที่เคาะลิฟะฮ อุมัร (ร.ฎ)ริเริ่มให้มีขึ้นและฟื้นฟูขึ้นมานั้น เป็นสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ไม่ใช่บิดอะฮ ดังที่มีการแอบอ้างกัน ทั้งนี้เพราะ ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้เคยทำละหมาดตะรอเวียะในแบบญะมาอะฮ แล้วท่านได้เลิกไปเพราะเกรงว่าจะถูกกำหนดให้เป็นฟัรดู แล้วจะเกิดลำบากแก่อุมมะฮ เมื่อท่านนบีเสียชีวิต ก็สิ้นยุคแห่งการประทานวะหยู ท่านอุมัรก็ริเริ่มให้มีขึ้นมาใหม่ตามที่นบีเคยปฏิบัติ ไม่ใช่ฟืินฟูให้ดีกว่าเดิมอย่างที่คุณ Furqan Sunnah เข้าใจและอ้างว่า เมื่อนบีทำดีแล้ว เหตุใฉนท่านอุมัรจึงฟื้นฟูอีก แสดงว่าคุณ Furqan Sunnah ไม่เข้าใจเรื่องนี้
2.กรณีรวบรวมอัลกุรอ่าน ทำไมอุมัรจึงคะยั้นคะยอให้อบูบักร์ทำ?
ตอบ
1. การรวบรวมอัลอัลกุรอ่านไม่ใช่การทำบิดอะฮ
อิหม่ามสะยูฏีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَقَالَ الْحَارِثُ الْمُحَاسَبِيُّ فِي كِتَابِ فَهْمِ السُّنَنِ : كِتَابَةُ الْقُرْآنِ لَيْسَتْ بِمُحْدَثَةٍ فَإِنَّهُ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - [ ص: 211 ] كَانَ يَأْمُرُ بِكِتَابَتِهِ ، وَلَكِنَّهُ كَانَ مُفَرَّقًا فِي الرِّقَاعِ وَالْأَكْتَافِ وَالْعُسُبِ ، فَإِنَّمَا أَمَرَ الصَّدِيقِ بِنَسْخِهَا مِنْ مَكَانٍ إِلَى مَكَانٍ مُجْتَمِعًا ، وَكَانَ ذَلِكَ بِمَنْزِلَةِ أَوْرَاقٍ وُجِدَتْ فِي بَيْتِ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - فِيهَا قُرْآنٌ مُنْتَشِرٌ ، فَجَمَعَهَا جَامِعٌ ، وَرَبَطَهَا بِخَيْطٍ حَتَّى لَا يَضِيعَ مِنْهَا شَيْءٌ .
อัลหาริษ อัลมุหาสะบีย์ ได้กล่าวไว้ใน ฟะฮมิอัสสุนัน ว่า การบันทึกอัลกุรอ่านนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่(หมายถึงไม่ใช่บิดอะฮ) เพราะแท้จริงนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เคยสั่งให้บันทึกมัน แต่ว่า มัน ถูกแยกกัน อยู่ใน กระดาษ ,แผ่นหนังและ ก้านอินทผลัม แล้วความจริง อัศเศาะดีก(หมายถึงอบูบักร)ได้สั่งคัดลอกมัน จากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง โดยถูกรวมกัน และปรากฏว่าดังกล่าวนั้น อยู่ในที่ของบรรดาแผ่นกระดาษ ที่มันถูกพบในบ้านของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งในมัน คืออัลกุรอ่าน ที่ถูกให้กระจัดกระจาย แล้ว ผู้รวบรวมรวมได้รวบรวมมัน และ ได้เย็บมันด้วยเชือกด้าย จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดจากมันสูญหาย – ดู อัลอิตกอน ฟีอุลูมิลกุรอ่น เล่ม 1 หน้า 211
2. เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
ما رآه المسلمون مصلحة إن كان بسبب أمر حدث بعد النبي فها هنا يجوز إحداث ما تدعو الحاجة إليه
สิ่งที่บรรดามุสลิมเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเนื่องด้วยสาเหตุของกิจการที่ริเริ่มขึ้นมาใหม่หลังจากท่านนบี ศล. ฉนั้น(ประเด็น) ตรงนี้ถือว่าอนุญาตให้ริเริ่มได้กับสิ่งที่ความจำเป็นนั้นร้องหาไปยังมัน- อิกติดออุซศิรอฏิลมุสตะกีม หน้าที่ 258
@@@
คำว่า “จำเป็นในที่นี้ คือ หากไม่ทำ ก็จะเกิดผลเสียต่อประชาชน เช่น ถ้าไม่รวบรวมอัลกุรอ่าน ก็จะทำให้มนุษย์ไม่ได้รู้ศาสนาบทบัญญัติในอัลกุรอ่าน และถ้าไม่จัดให้มี โรงเรียน ,มหาลัยสอนศาสนา ก็จะไม่มีสถานที่ที่จะให้มุสลิมศึกษาศาสนาอย่างทั่วถึงและพัฒนาไปในระดับที่สูงขึ้น และเพื่อผลิตบุคลากรที่เป็นผู้รู้ศาสนา ไปถ่ายทอดศาสนาต่อไป
3. การรวบรวมให้เป็นเล่มในสมัยนบี ศอ็ลฯ ไม่สามารถทำได้ เพราะวะหยูยังคงถูกประทานลงมา เพราะหุกุมบางเรื่องอาจจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงตามที่อัลลอฮประสงค์
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
هكذا جمع القرآن فإن المانع من جمعه على عهد رسول الله صلى الله عليه وسلم كان أن الوحي كان لا يزال ينزل فيغير الله ما يشاء ويحكم ما يريد فلو جمع في مصحف واحد لتعسر أو تعذر تغييره كل وقت
และในทำนองเดียวกันนี้ (ทำนองเดียวกับเรื่องละหมาดตะรอเวียะญามาอะฮ) คือ การรวบรวมอัลกุรอ่าน เพราะแท้จริง มีอุปรรคขัดขวางจากการรวบรวม ในสมัยรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งปรากฏว่า วะหยูยังคง ถูกประทานลงมาอยู่ (หมายถึงยังไม่ได้สิ้นสุดลง) เพราะอัลลอฮจะทรงเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พระองค์ ทรงประสงค์ และทรงตัดสิน สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ เพราะถ้าหากรวมรวมอัลกุรอ่านให้เป็นเล่มเดียว(อย่างที่ทำในสมัยอุษมาน) ก็จะเกิดความลำบาก หรือ เพราะสุดวิสัยที่จะเปลียนแปลงมัน ทุกเวลา -ดู - อิกติดออุซศิรอฏิลมุสตะกีม หน้าที่ เล่ม 2 หน้า 588-589
........
ความจริงการปฏิบัติของเคาะลิฟะฮรอชิดีน ไม่ถือว่าเป็นบิดอะฮอยู่แล้ว แต่เป็นสุนนะฮที่ท่านนบี ศอ็ลฯสั่งให้ปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นอย่าเอามาเป็นข้ออ้างในการอุตริบิดอะฮ ขึ้นมาใหม่ หรือ เพือสนับสนุนบิดอะฮที่ปู่ย่าตายายได้ปฏิบัติไว้เป็นประเพณีสืบทอดกันมา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/9/59

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น