วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

ตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเขายังหาว่าหลงแล้วจะให้ตามใครหรือ






ตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเขายังหาว่าหลงแล้วจะให้ตามใครหรือ
คนบางกลุ่มพยายามสรรหาวาทกรรมต่างๆ มากล่าวหาใส่ร้ายคนที่ให้ยึดอัลกุรอ่านและสุนนะฮ มากมายเช่น
-พวกวะฮบีย์
-พวกคณะใหม่
-พวกไม่เอาอุลามาอฺ
-พวกคนกลุ่มน้อย
-พวกอะกีดะฮยิว
-พวกอะกีดะฮฟิรเอานฺ
-พวกลูกครึงยิว
-พวกเคาวาริจญ
- พวกลูกครึ่งกาเฟรหัรบีย์
- พวกสร้างความแตกแยก
-พวกลัทธิใหม่
- พวกถืดอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮตามความหมายผิวเผิน
-ฯลฯ
จนกว่าจะถึงวันกิยามะฮ คงมีวาทกรรมกล่าวหาใส่ร้ายอีกมากมาย
أخبرنا أبو عبد الله الحافظ أخبرني إسماعيل بن محمد بن الفضل الشعراني ثنا جدي ثنا بن أبي أويس ثنا أبي عن ثور بن زيد الديلي عن عكرمة عن بن عباس رضي الله عنهما أن رسول الله صلى الله عليه وسلم خطب الناس في حجة الوداع فقال يا أيها الناس أني قد تركت فيكم ما إن اعتصمتم به فلن تضلوا أبدا كتاب الله وسنة نبيه .
คำแปลตัวบท
ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิอับบาส (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อท่านทั้งสองด้วย) รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลลอลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้คุตบะห์แก่บรรดาผู้คนในการทำฮัจญ์ครั้งอำลาของท่าน โดยกล่าวว่า “โอ้บรรดามนุษย์ชาติทั้งหลายเอ๋ย แท้จริงฉันได้ทิ้งไว้ในหมู่พวกเจ้า สิ่งที่หากพวกเจ้าทั้งหลายยึดมันไว้ก็จะไม่หลงทางเป็นอันขาด นั่นคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และซุนนะห์นบีของพระองค์”
ฮะดีษบทนี้ มีบันทึกอยู่ใน สุนันอัลกุบรอ ของบัยฮะกีย์ เลขที่ 20123 และสุนันอัลดารุกุฏนีย์ เลขที่ 149 ในมุสตัดร๊อก อะลัศศอฮีฮัยนี ของนีซาบูรีย์ เลขที่ 319
นอกจากนี้แล้ว ท่านอิหม่ามอัลบานีย์ (รอฮิมาฮุลลอฮ์) นักวิชาการฮะดีษร่วมสมัย ซึ่งได้ตรวจสอบตัวบทและสายรายงานฮะดีษนี้คือ
تركت فيكم أمرين؛ لن تضلوا ما إن تمسكتم بهما : كتاب الله وسنتي، ولن يتفرقا حتى يردا علي الحوض
“ฉันทิ้งไว้ในหมู่พวกท่านสองประการด้วยกัน หากพวกท่านยึดสองประการนี้ไว้จะไม่หลงทาง นั่นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และซุนนะห์ของฉัน โดยทั้งสองจะไม่แยกจากกันจนกว่าจะกลับไปพบกับฉันที่สระน้ำ” (ในวันกิยามะห์) ท่านอิหม่ามอัลบานีย์ กล่าวว่า สายรายงานของฮะดีษบทนี้อยู่ในระดับฮะซัน (ดูมันซิละตุสซุนนะห์ 13)
มันแปลก พอยึดอะกีดะฮ ตามตัวบทที่มีมาในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ก็มีคนบางกลุ่มบอกว่า ความหมายตามตัวบทไม่ใช่ความหมายที่อัลลอฮต้องการ....
นะอูซุบิลละฮ ..อัลลอฮตาอาลา ส่งมลาอิกะฮมาบอกหรือว่า ความหมายนั้นพระองค์ไม่ต้องการ แต่ที่ต้องการคือ ความหมายตามที่อุลามาอฺตีความ (ตะวีล) แปลก.....แม้แต่นบี ศอ็ลฯเองไม่เคยบอกเหล่าเศาะหาบะฮเลยว่า ความหมายบรรดาอายาตสิฟาตที่ปรากฏตามตัวบทนั้น ไม่ใช่ความหมายที่อัลลอฮต้องการ
และปราชญยุคสะลัฟ ยังบอกเลยว่า
นุอัยมฺ บิน หัมมาด (ฮ.ศ 228) ปราชญยุคสะลัฟกว่าวว่า
حق على كل مؤمن أن يؤمن بجميع ما وصف الله به نفسه ويترك التفكر في الرب تبارك وتعالى ويتبع حديث النبي صلى الله عليه وسلم أنه قال : "تفكروا في الخلق ولا تتفكروا في الخالق". قال نعيم : ليس كمثله شيء ولا يشبهه شيء من الأشياء
หน้าที่เหนือผู้ศรัทธาทุกคน คือ ศรัทธา ทั้งหมดของสิ่งที่อัลลอฮได้อธิบายคุณลักษณะ แกตัวของพระองค์ด้วยมัน และละทิ้งการคิดพิจารณาเกี่ยวกับ(ตัวตน)พระผู้อภิบาล ผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่ง และให้ปฏิบัติตามหะดิษนบี ศอ็ลฯที่ท่านกล่าวว่า "พวกท่านจงพิจารณาในสิ่งที่ถูกสร้าง และอย่าได้พิจารณาในตัวของผู้สร้าง " ท่านนุอัยนฺ กล่าวว่า " ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และไม่มีสิ่งใดๆจากบรรดาสิ่งต่างๆ คล้ายคลึงกับพระองค์ - ชัรหอุศูลเอียะติกอดอะฮลิสสุนนะฮ ของ อัลลาลุกาอีย เล่ม 3 หน้า 527
............
ปราชญยุคสะลัฟ สอนให้เชื่อคุณลักษณะของอัลลอฮ ตามที่อัลลอฮทรงอธิบายไว้ อย่ามโนคิดนอกกรอบและจินตนาการว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ในสิ่งที่อัลลอฮไม่ได้อธิบายไว้ เพราะอัลลอฮไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน
แปลก......พอยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮ ตามความหมายในตัวบทที่พระองค์ ทรงอธิบายคุณลักษณะไว้ ก็มีคนบอกว่า ความหมายนั้น ไม่ใช่ความหมายที่อัลลอฮต้องการ หากเชื่อตามนั้น ก็จะเป็นผู้ที่เอาอัลลอฮไปเปรียบกับมัคลูค -นะอูซุบิลละฮ ...ตามที่อัลลอฮบอกก็หาว่าผิด แล้ว จะให้ตามอริสโตเติ้ลหรือ?
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/9/59

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น