วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ละหมาดกุซูฟ(สุริยุปราคา)อ่านเบ่าหรืออ่านดัง (ภาค 2)


ละหมาดกุซูฟ(สุริยุปราคา)อ่านเบ่าหรืออ่านดัง (ภาค 2)

มีพี่น้องถามมาว่า มีคนบอกว่า ละหมาดคุซูฟ(สุริยุปราคา)อ่านเบา และมองว่าอ่านดังเป็นเรืองแปลก แปลก อาจจะเพราะการตักลิดแต่ไม่ศึกษาข้อเท็จจริง จึงมองว่าแปลก จึงขอนำรายละเอียดชี้แจงดังนี้
การละหมาดสุริยุปราคา มีสุนนะฮให้อ่านดังด้วยหลักฐานต่อไปนี้

صلاةُ كُسوفِ الشَّمسِ صَلاةٌ جهريَّة، وهذا مذهبُ الحَنابِلَة (1) ، والظاهريَّة (2) ، وقولُ أبي يُوسفَ ورِواية عن محمَّد بن الحسنِ من الحَنَفيَّة (3) ، وقول للمالكيَّة (4) ، وهو قولُ طائفةٍ من السَّلف (5) ، واختاره ابنُ خُزَيمةَ (6) ، وابنُ المنذرِ (7) ، وابنُ 
العربيِّ (8) ، والشوكانيُّ (9) ، وابنُ عُثَيمين (10) ، وابنُ باز
ละหมาดสุริยุปราคา คือ การละหมาดอ่านเสียงดัง นี้คือ มัซฮับ อัลหะนาบะละฮ(1) อัซซอฮิรียะฮ(2) และเป็นทัศนะของอบียูซุฟ และรายงานหนึ่ง จากมุหัมหมัด บิน อัลหะซัน เป็นส่วนหนึ่งจากปราชญ์หะนะฟียะฮ(3) และทัศนะของปราชญ์มัซฮับมาลิกียะฮ (4) และเป็นทัศนะกลุ่มหนึ่งจากสะลัฟ (5) และ อิบนุคุซัยมะฮ (6) อิบนุอัลมุนซีร (7) อิบนุอัลอะเราะบีญ์(8) อัชเชากานีย์ (9) อิบนุอุษัยมีน (10) และอิบนุบาซ(10)ได้เลือกมัน(หมายถึงเลือกทัศนะอ่านดัง)
........
แหล่งอ้างอิง
1.((كشاف القناع)) للبُهوتي (2/62)، وينظر: ((المغني)) لابن قدامة (2/313).
2.قال ابنُ حزم: (قَطْعُ عائشةَ، وعُروةَ، والزُّهريِّ، والأوزاعيِّ بأنَّه عليه السَّلام جهَر فيها أَوْلى من ظُنونِ هؤلاء) ((المحلى)) (3/319)، ونقلَه النوويُّ عن داود الظاهريِّ. يُنظر: ((المجموع)) للنووي (5/52
3.قال ابنُ عابدين: (وقال أبو يوسف: يَجهَر، وعن محمَّد رِوايتان) ((حاشية ابن عابدين)) (2/182). ويُنظر: ((بدائع الصنائع)) للكاساني (1/281).
4.قال ابنُ المنذر: (ممَّن رُوِّينا عنه أنه جهَر بالقراءة في صلاة الكسوف: عليُّ بن أبي طالب، وفَعَل ذلك عبدُ الله بن يزيد، وبحضرته البَراءُ بن عازب وزيدُ بن أرقمَ، وبه قال أحمدُ، وإسحاق) ((الإشراف)) (2/304). وقال ابنُ قدامة: (وأمَّا الجهر فقد رُوي عن علي رضي الله عنه، وفَعَله عبدُ الله بن زيد وبحضرته البَراءُ بن عازب وزيد بن أرقم، وبه قال أبو يوسف، وإسحاق، وابن المنذر) ((المغني)) (2/314). وقال النوويُّ: (قال الخطَّابي: الذي يجيء على مذهب الشافعي أنَّه يَجهَر في كسوف الشمس، كذا نقلَه الرافعيُّ عن الخطابي، ولم أرَه في كتاب الخطَّابي) ((المجموع)) (5/52).
5.قال الشوكانيُّ: (إلَّا أنَّ الجهر أَوْلى من الإسرار؛ لأنَّه زيادة، وقد ذهب إلى ذلك أحمد وإسحاق، وابن خزيمة وابن المنذر، وغيرهما من محدِّثي الشافعية، وبه قال صاحبَا أبي حنيفة، وابنُ العربيِّ من المالكيَّة) ((نيل الأوطار)) (3/395).
6.قال ابنُ المنذر: (بالقول الأوّل «أي: الجهر» أقول؛ لحديثِ النبيِّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم أنه جهَر بالقِراءة) ((الإشراف)) (2/304).
7.قال ابن العربي: (والجهرُ عندي أَوْلى؛ لأنَّها صلاةُ الجماعة، يُنادي لها كما يُنادي للصبح: الصلاة جامعة، ويَخطُب لها كما في بعضِ الرِّوايات) ((عارضة الأحوذي)) (3/42).
8.قال الشوكانيُّ: (الجهر أَوْلى من الإسرار؛ لأنَّه زيادة) ((نيل الأوطار)) (3/395).
9.قال ابنُ عثيمين: (السُّنَّة في صلاة الكسوف الجهرُ، سواء في الليل أو في النهار، وهو كذلك؛ لحديث عائشةَ) ((الشرح الممتع)) (5/183).
10.قال ابنُ باز: (السُّنةُ الجهرُ في صلاة الكسوف؛ لأنَّ الرسول صلَّى اللهُ عليه وسلَّم جهَر فيها عند حصولِ الكسوف، وصلَّى بالناس) ((فتاوى نور على الدرب)) (13/393).
หลักฐานคือ
1.จากอัสสุนนะฮ
عن عائشةَ رَضِيَ اللهُ عنها: ((أنَّ النبيَّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم جهَرَ في صلاةِ الخُسوفِ))
รายงานจากอาอีฉะฮ (ร.ฏ) แท้จริง ท่านนบี ศ็อลฯ อ่านเสียงดังในละหมาดสุริยุปราคา
رواه البخاري (1065)، ومسلم (901).
2.เหตุผลที่อ่านดัง
أنَّها نافلةٌ شُرِعتْ لها الجماعة، فكان مِن سُننها الجهرُ، كصلاةِ الاستسقاءِ، والعيد، والتَّراويح
แท้จริงมัน(ละหมาดสุริยุปราคา )คือละหมาดอาสา(สุนัต) ถูกบัญญัติให้ละหมาดญะมาอะฮสำหรับมัน และส่วนหนึ่งจากแบบอย่างของมันคือ การอ่านดัง เช่น ละหมาดขอฝน ,ละหมาดอีดและละหมาดตารอเวียะ -
((المغني)) لابن قدامة (2/314)، ((الاستذكار)) لابن عبد البر (2/415). قال ابنُ عبد البَرِّ: (ومِن حُجَّة مَن قال بالجهر في صلاة الكسوف: إجماعُ العلماء على أنَّ كلِّ صلاة سُنَّتها أن تُصلَّى في جماعةٍ من الصلوات المسنونات، فسنتها الجهرُ كالعيدين والاستسقاء، قالوا: فكذلك الكسوف) ((الاستذكار)) (2/415).
............
กล่าวคือการละหมาดสุนัตสุริยุปราคานั้น เป็นละหมาดที่มีบัญญัติให้ปฏิบัติในรูปของญะมาอะฮ ซึ่งทุกๆละหมาดสุนัตที่มีบัญญัติให้ปฏิบัติในรูปแบบญะมาอะฮนั้นแบบอย่างของมัน คือ การอ่านดัง
......
หลักฐานการอ่านดังในละหมาดสุริยุปราคา นั้น มีน้ำหนัก -ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ มันฮัจญ์ อัตเตาฟิก วัตตัรเญียะ บัยนะมุคตะละฟิลหะดิษ ของ ดร. อับดุลมะญีด มุหัมหมัด บิน อิสมาอีล อัสสูสูต หน้า 491 (ดูสำเนา หนังสือที่แนบมา)

อะสัน หมัดอะดั้ม
27/12/62








เอกสารอ้างอิง





 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562

จงทิ้งสามประการแล้วท่านจะได้รับความหวานของอิบาดะฮ




ในภาพอาจจะมี ข้อความ


จงทิ้งสามประการแล้วท่านจะได้รับความหวานของอิบาดะฮ
อบูอับดุลลอฮ อันนัยสะบูรีย์ ,อะหมัด บิน หัรบิน (เสียชีวิตปี ฮ.ศ 192) กล่าวว่า
عَبَدْتُ اللَّهَ خَمْسِينَ سَنَةً ، فَمَا وَجَدْتُ حَلَاوَةَ الْعِبَادَةِ حَتَّى تَرَكْتُ ثَلَاثَةَ أَشْيَاءَ : تَرَكْتُ رِضَا النَّاسِ حَتَّى قَدَرْتُ أَنْ أَتَكَلَّمَ بِالْحَقِّ ، وَتَرَكْتُ صُحْبَةَ الْفَاسِقِينَ حَتَّى وَجَدْتُ صُحْبَةَ الصَّالِحِينَ ، وَتَرَكْتُ حَلَاوَةَ الدُّنْيَا حَتَّى وَجَدْتُ حَلَاوَةَ الْآخِرَةِ .
ข้าพเจ้าทำอิบาดะฮต่ออัลลอฮมา 50 ปี ข้าพเจ้าไม่เคยได้พบกับความหวานของอิบาดะฮเลย จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้ทิ้ง 3 สิ่ง คือ
1.ข้าพเจ้าทิ้งความพอใจของมนุษย์ จนกระทั้่งข้าพเจ้าสามารถพูดความจริงได้
2. ข้าพเจ้าละทิ้งบรรดาเพื่อนที่เลว จนกระทั้งข้าพเจ้าได้พบบรรดาเพือนที่ดี
3. ข้าพเจ้าได้ทิ้งความหวานของดุนยา จนกระทั่งข้าพเจ้า พบกับความหวานของอาคีเราะฮ - สิยัรเอียะลามอัลนุบะลาอฺ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ 11/34
..........
ทุกวันนี้ ผู้รู้ส่วนหนึ่ง เป็นเตมีย์ใบ้ ไม่กล้าพูดความจริงให้สังคมรับรู้ ก็เพราะยังต้องการความนิยมและความพอใจของสังคมอยู่ จึงไม่เป็นอิสระ ถูกครอบด้วยกะลาของคนญาเฮล
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/12/62

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เอาเงินซะกาตมาสร้างและบูรณะมัสยิดได้ไหม



เอาเงินซะกาตมาสร้างและบูรณะมัสยิดได้ไหม
ยุคหลังๆ การสร้างมัสยิด การบูรณะมัสยิด มีกระแสแรงมาก แต่ละปีงานการกุศุลสร้างมัสยิด บูรณะมัสยิด ตบแต่งมัสยิด มีมาไม่ขาดสาย จึงนำเสนอบทความนี้ให้พี่น้องอ่านและพิจารณาว่า มันสมควรหรือหากเราเอาเงินซะกาตไปสร้างหรือบูรณะมัสยิด
السؤال
هل يجوز لي أن أستخدم مال الزكاة في بناء مسجد؟.
คำถาม
อนุญาตให้ข้าพเจ้าใช้ทรัพย์สินซะกาต ในการสร้างมัสยิดไหม?
نص الجواب
الحمد لله
سئلت اللجنة الدائمة هل يجوز صرف الزكاة على المسجد لترميمه وفرشه ونحو ذلك من الزكاة فأجابت :
คำตอบ
อัลหัมดุลิลละฮ
คณะกรรมการถาวร(เพื่อการวิจัยวิชาการและตอบปัญหา) ได้ถูกถาม ว่า "จายซะกาตให้แก่มัสญิด เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมมัสยิดและปูพื้นมัสยิด และในทำนองนั้นจากซะกาตได้ไหม แล้วอัลลุจญะนะฮดาอิมะฮตอบว่า
أما الزكاة فهي مخصوصة لثمان جهات عينها الله تعالى بقوله : ( إنما الصدقات للفقراء والمساكين والعاملين عليها والمؤلفة قلوبهم وفي الرقاب والغارمين وفي سبيل الله وابن السبيل ) التوبة ، ومن ذلك يتضح أن المساجد ليست من الجهات الثمان المذكورة في الأية ، والمحصور إخراج الزكاة فيها . وبالله التوفيق
สำหรับ ซะกาตนั้น มันถูกเจาะจงเฉพาะ 8 ด้านเท่านั้น ซึ่งอัลลอฮตาอาลาได้เจาะจงเป็นการเฉพาะด้วยคำตรัสของพระองค์ที่ว่า ( “ ความจริงซะกาตนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของคนยากไร้ คนขัดสน เจ้าหน้าที่ซะกาต ผู้ที่ศรัทธาใหม่ สำหรับการไถ่ตัว คนมีหนี้สิน สำหรับวิถีทางแห่งอัลเลาะห์ และคนที่เดินทาง..) ซูเราะอัตเตาบะฮ /” และจากดังกล่าวนั้น มันทำให้ชัดเจนว่า แท้จริง มัสยิด ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาด้านทั้งแปด(ผู้มีสิทธิ์รับซะกาตทั้งแปด) ที่ถูกระบุในอายะฮ และสิ่งที่ถูกจำกัด การจ่ายซะกาตอยู่ในมัน -วะบิลลาฮิตเตาฟิก -ฟะตาวาอิสลามียะฮ 2/91
ในฟิกฮอัลอิสลามีย์ ของ ดร.วะฮบะฮอัซซุหัยลีย์ระบุว่า
اتفق جماهير فقهاء المذاهب على أنه لا يجوز صرف الزكاة إلى غير من ذكر الله تعالى، من بناء المساجد والجسور والقناطر والسقايات وجري الأنهار وإصلاح الطرقات، وتكفين الموتى والتوسعة على الأضياف، وبناء الأسوار، .........ونحو ذلك من القرب التي لم يذكرها الله تعالى مما لا تمليك فيه؛ لأن الله سبحانه وتعالى قال: {إنما الصدقات للفقراء....} [التوبة: 60]، وكلمة إنما للحصر والإثبات، تثبت المذكور وتنفي ما عداه
บรรดาปราชญ์ฟิกฮมัซฮับต่างๆส่วนใหญ่(ญุมฮูร) เห็นฟ้องกันว่า ไม่อนุญาตให้จ่ายซะกาต แก่อื่นจากผู้ที่อัลลอฮตาอาลาได้ระบุไว้ เช่น การสร้างมัสยิด ,สร้างสะพาน ,สร้างเขื่อน สร้างแอ่งน้ำ, ขุดคลอง ,ปรับปรุงถนนหนทาง,การห่อศพ ,การให้ความสะดวกบรรดาแขกมาเยือน ,การสร้างกำแพง........ และในทำนองนั้น จากการอิบาดะฮที่อัลลอฮตาอาลาไม่ได้ระบุมันเอาไว้ จากสิ่งที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในมัน เพราะ เพราะแท้จริงอัลลอฮ (ซ.บ) ตรัสวา( ความจริงซะกาตนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดาคนยากไร้....) และคำว่า "อินนะมา"(انما ) เพื่อการจำกัดความและการยืนยัน ,ยืนยันสิ่งที่ถูกระบุไว้ และปฏืเสธสิ่งที่อื่นจากนั้น - ดูฟิกฮอัลอิสลามมีย์ เล่ม 2 หน้า 876 (ดูสำเนาที่แนบมา)
..........
สรุปคือ มัสยิด หรือการสร้างมัสยิดไม่ได้ระบุไว้ในประเภทของผู้มีสิทธิ์รับซะกาต ในทัศนะปราชญ์ฟิกฮมัซฮับส่วนใหญ่จึงไม่อนุญาตให้นำทรัพย์สินซะกาต มาสร้างมัสยิด
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/12/62

 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562

อันตรายของบิดอะฮในศาสนา

อันตรายของบิดอะฮในศาสนา
خطر البدع: من تأمل الكتاب والسنة وجد أن البدع في الدين محرمة ومردودة على أصحابها من غير فرق بين بدعة وأخرى، وإن كانت تتفاوت درجات التحريم بحسب نوعية البدعة.
อันตรายของบิดอะฮ :
ผู้ใด พิจารณา อัลกิตาบและอัสสุนนะฮ เขาจะพบว่า แท้จริง บรรดาบิดอะฮในศาสนา นั้น คือ สิ่งต้องห้าม(หะรอม) และถูกปฏิเสธ บนเจ้าของของมัน (หมายถึงไม่ถูกรับ) โดยไม่แบ่งแยก ระหว่างบิดอะฮใดๆ และอันอื่น และ แม้มันจะแตกต่าง/ไม่เหมือนกันของ ระดับของการหะรอมตามชนิดต่างๆของบิดอะฮก็ตาม
ومن المعلوم أن النهي عن البدع قد ورد على وجه واحد في قول النبي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلِّم «إياكم ومحدثات الأمور فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة» (1) . وقوله صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلِّم: «من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد» (2) . فدل الحديثان على أن كل محدث في الدين فهو بدعة، وكل بدعة ضلالة مردودة، ومعنى ذلك أن البدع في العبادات والاعتقادات محرمة، ولكن التحريم يتفاوت بحسب نوع البدعة
และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เป็นที่รู้กัน คือ แท้จริงการห้ามจากบรรดาบิดอะฮ นั้น ได้มีรายงานบนรูปแบบเดียว ในคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯ คือ(พวกท่านจงห่างใกลบรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพราะแท้จริงสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้้นใหม่คือ บิดอะฮ และทุกบิดอะฮคือการหลงผิด (1) และคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯ ที่ว่า(ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใหม่ในกิจการศาสนาของเรานี้ สิ่งซึ่งไม่ได้มาจากมัน มันถูกปฏิเสธ) (2)
สองหะดิษนี้ แสดงบอกว่า ทุกสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในศาสนา มันคื บิดอะฮ และทุกบิดอะฮคือการหลงผิด ,ถูกปฏิเสธ และความหมายดังกล่าวคือ แท้จริงบรรดาบิดอะฮ ในบรรดาอิบาดะฮ และบรรดาหลักความเชื่อ(อะกีดะฮ)นั้น คือสิ่งต้องห้าม(หะรอม) แต่ การห้ามนั้น มีระดับแตกต่างกัน ตามชนิดของบิดอะฮ - ดู กิตาบอุศูลิลอีหม่าน ฟี เฎาอิลกิตาบวัสสุนนะฮ 1/291
...........
(1) رواه الإمام أحمد في المسند (1 / 435) ، والدارمي في السنن (1 / 78) ، والحاكم في المستدرك (2 / 318) وقال صحيح الإسناد ووافقه الذهبي.
(2) صحيح البخاري برقم (2697) ، وصحيح مسلم برقم (1718)
.......
เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่า
1.บิดอะฮในศาสนา หมายถึง ในเรื่องอะกีดะฮและอิบาดะฮคือ สิ่งที่หะรอม(ต้องห้าม)
2.บิดอะฮคือสิ่งต้องห้าม และรดับของหุกุมหะรอมในบิดอะฮนั้นแตกต่างกันตามชนิดของบิดอะฮ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่สมควร เปิดช่องให้ผู้คนทำบิดอะฮอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม
อะสัน หมัดอะดั้ม
34/9/6
เอกสารอ้างอิง
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 
 

ว่าทกรรมกล่าวหา"ไม่เอาอุลามา"



วาทกรรม ไม่เอาอุลามาอฺ ไม่ผ่านอุลามาอฺ ค้านกับอุลามาอฺ
 
ในภาพอาจจะมี สุนัข และข้อความ
 
การตามอุลามมาอฺ (العلماء )นั้นมี 2 แบบคือ
1.ตามแบบตักลิด(التقليد) คือ เชื่อตามโดยไม่มีหลักฐานของคำพูดนั้นมายืนยัน
คำว่า "ตักลิด"คือ
قبول قول الغير في الأحكام الشرعية من غير دليل على خصوصية ذلك الحكم، أو: قبول قول الغير بلا
حجة
การรับคำพูดของผู้อื่น เกี่ยวกับบรรดาหุกุมศาสนบัญญัติ โดยปราศจากหลักฐาน บนการเจาะจงของหุกุมนั้น(1) หรือหมายถึง การรับคำพูดของผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน(2)
1 - المستصفى للغزالي ٢: ١٢٣. معالم الدين وملاذ المجتهدين، الحسن بن زيد الدين العاملي: ٢٤٢.
2 - حاشية العطار على جمع الجوامع ٢: ٤٣٢، وهو قول السبكي من علماء الشافعية
............................
سَمِعْتُ أَبَا الْعَبَّاسِ مُحَمَّدَ بْنَ يَعْقُوبَ , يَقُولُ : سَمِعْتُ الرَّبِيعَ بْنَ سُلَيْمَانَ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الشَّافِعِيَّ , يَقُولُ : " مثل الَّذِي يَطْلُبُ الْعِلْمَ بِلا حُجَّةٍ , مثل حَاطِبِ لَيْلٍ يَحْمِلُ حَطَبًا فِيهَا أَفْعَى , تَلْدَغُهُ وَهُوَ لا يَدْرِي "
อัชชาฟิอี กล่าวว่า" อุปมาผู้ที่ศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน อุปมัยดังเช่น คนหาไม้ฟืนยามค่ำคืน ,เขาแบกมัดของไม้ฟืน และในนั้นมีงูจะกัดเขาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ ,อัลบัยฮะกีย์ได้ระบุเอาไว้ - บันทึกโดยอัลบัยฮะกีย์ ใน อัลมัดค็อลฯ หน้า 211 หมายเลข 263
2.ตามแบบอัลอิตติบาอ(الاتباع ْคือ ตามสิ่งที่มาจากท่านนนบี ศ็อลฯและเหล่าเศาะหาบะฮ
قال ابو داود: قلت لأحمد: " الأوزاعي اتبع أم مالكا؟ قال: " لا تقلد دينك أحدا من هؤلاء!! ما جاء عن النبي فخذ به
อบูดาวูดกล่าวว่า ฉันได้กล่าวแก่ อะหมัดว่า “ ฉันจะตาม อัลเอาซาอี หรือ จะตามมาลิก ? เขา(อิหม่ามอะหมัด)ตอบว่า “ท่านอย่าตักลิดตามคนหนึ่งคนใดจากเขาเหล่านั้น ในเรื่องศาสนาของท่าน สิ่งใดก็ตามที่มาจากท่านนบี ศอลฯ จงเอามันเถิด -
الإيقاظ: ص 113. إعلام الموقعين: 2 / 200. مجموعة الرسائل المنيرية
..............
قال ابن عباس - رضي الله عنهما - لرجل سأله عن مسألة فأجابه فيها بحديث ، فقال له : قال أبو بكر وعمر ! فقال ابن عباس رضى الله عنهما :
"يوشك أن تنزل عليكم حجارة من السماء ! أقول : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم ، وتقولون : قال أبو بكر وعمر !!"(57).
อิบนิอับบัส (ร.ด)ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่ง ที่ถามปัญหาหนึ่งต่อท่าน แล้วท่านอิบนิอับบัสตอบเขาด้วยการอ้างอิงหะดิษบทหนึ่ง แล้วเขา(ชายผู้นั้น)กล่าวแก่เขา(อิบนิอับบาส)ว่า “ อบุบักร และอุมัรได้ กล่าวว่า (อย่างนั้น อย่างนี้) แล้วอิบนุอับบัส(ร.ด) กล่าวว่า “ก้อนหินจากฟ้ากฟ้า เกือบลงมากระหน่ำพวกท่าน ฉันกล่าวว่า “ ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯกล่าวว่า และพวกท่านกลับกล่าวว่า อบูบักร และ อุมัรกล่าวว่า”
57 - رواه الإمام أحمد برقم (3121) بنحوه وصححه الشيخ أحمد شاكر رحمه الله
อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) กล่าวว่า
" ليس أحد إلا ويؤخذ من رأيه ويترك ما خلا النبي (صلى الله عليه وآله وسلم
ไม่มีบุคคลใด นอกจาก ความเห็นของเขาถูกนำมายึดถือและถูกทอดทิ้ง อื่นจากท่านนบี ศอลฯ(หมายถึงคำสอนของท่านนบี จะละทิ้งไม่ได้ต้องปฏิบัติตาม)
9 - صفة صلاة النبي: ص 28، نقلا عن مسائل الإمام أحمد: ص 2
......................
หะดิษข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ท่านอิบนุอับบัส (ร.ด)ได้กล่าวตำหนิ ผู้ที่นำคำพูดอบูบักรและอุมัร มาล้ำหน้าคำพูดของท่านรอซูล ศอลฯ นี้ระดับ เคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน แล้ว แล้วที่ระดับต่ำจากนี้ จะเหลือหรือ
ที่กล่าวมาไม่ได้ดูหมื่นดูแคลน อุลามาอฺ พูดไว้เสียก่อน เพราะจะมีคนยัดข้อหาว่า "ดูถูกอุลามาอฺ"อีกกระทง แต่ต้องการจะสื่อว่า การตามอุลามาอฺ คือตามหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮที่อุลามาอฺนำมา อ้างอิง ไม่ใช่แค่ความคิดเห็นอุลามาอฺเพียวๆ โดยไม่อ้างอิงหลักฐานที่มา บอกดักไว้ก่อน เกรงว่าจะมายัดข้อหาใส่ผมอีกว่า สอนไม่ผ่านอุลามาอฺ ไม่เอาอุลามาอฺ จะกลับไปหาอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเอง แล้วสั่งให้ผมหยุดเผยแพร่ศาสนา -นะอูซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/9/62
เอกสารอ้างอิง
 

ทุกคำถามไม่จำเป็นต้องตอบเสมอไป



ทุกคำถามไม่จำเป็นต้องตอบ
 
การถามเท่าที่สังเกต นั้น มี 3 ลักษณะ คือ
1.ถามเพื่อที่จะนำไปเป็นความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง ซึ่งผู้ถาม เป็นผู้ที่ต้องการแสวงหาความจริงเพื่ออัลลอฮ
2.ถามเพื่อลองภูมิ ว่ารู้จริงหรือไม่ เพื่อได้ดิสเครดิตว่าคนนี้ไม่รู้จริง อย่าไปเชื่อ
3. ถามเพื่อนำเอาไปฟิตนะฮ เอาไปชงเพื่อทำลายความเชื่อถือ ซึ่งผู้ถามมีเจตนไม่บริสุทธิ์ แต่เพื่อทำลาย
ถ้าเราดูจากแบบอย่างสะลัฟ จะเห็นว่า พวกเขาไม่ได้ตอบทุกคำถาม
أَخْبَرَنَا يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ ، حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ , عَنْ مُغِيرَةَ ، عَنِ الشَّعْبِيِّ قَالَ : لاَ أَدْرِي نِصْفُ الْعِلْمِ.
ยะหยา บิน หัมมาด ได้บอกเรา ว่าอบูอะวานะฮ ได้เล่าเรา ว่ารายงานจาก มุฆีเราะฮ จากอัชชุอบีย์ ว่าเขากล่าวว่า
"ฉันไม่รู้ " คือ ครึงหนึ่งของความรู้ -รายงานโดยอัดดาริมีย์ 1/180 และอัลบัยฮะกีย์ ในอัลมัดค็อล หะดิษหมายเลข 810
قال سفيان الثوري رحمه الله: (أدركت الفقهاء وهم يكرهون أن يجيبوا في المسائل والفتيا، ولا يفتون حتى لا يجدوا بُداً من أن يفتوا
ซูฟยาน อัษเษารีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับบรรดาฟุเกาะฮาฮฺ และพวกเขารังเกียจ(ไม่ชอบ) การที่พวกเขาตอบในประเด็นต่างๆ และฟัตวาต่างๆ และพวกเขาไม่ทำการฟัตวา จนกว่า ไม่มีสามารถาที่จะหลีกเลี่ยงจากการฟัตวาได้ - อัลฟะกีฮ วัลมุตะฟักกีฮ 2/28
عن عبد الرحمن بن أبي ليلى قال: "أدركت عشرين ومائة من أصحاب النبي صلى الله عليه وسلم أراه قال في هذا المسجد فما كان منهم محدث إلا ود أن أخاه كفاه الحديث ولا مفت إلا ود أن أخاه كفاه الفتيا"
จากอับดุรเราะหมาน บิน อบีย์ลัยลา เขากล่าวว่า (ฉันได้พบ เศาะหาบะฮนบี ศ็อลฯ 120 คน ไม่มีผู้รายงานหะดิษคนใด จากพวกเขา ยกเว้น เขาชอบที่จะให้พีน้องของเขา รายงานหะดิษแทนเขา และ และไม่มีนักฟัตวาคนใด(จากพวกเขา) นอกจากเขาชอบที่จะให้พี่น้องของเขาทำการฟัตวาแทนเขา- หะดิษหะซัน -ดู อัดดาริมีย 1/35 ,อิบนุหิบบาน ในอัษษิกอต 9/215
..........
ข้างต้นคือ มารยาทของสะลัฟ ที่พวกเขาไม่โอ้อวดความรู้ และไม่กระหายที่จะตอบคำถาม หรือฟัตวา แต่ชอบให้คนอื่นตอบแทน ต่างกับอุลามาอฺสะลัฟแอบอ้างในปัจจุบัน ที่บ้าจี้และกระหายที่จะตอบคำถาม เพื่ออวดความรู้และไม่ปฏิเสธกลัวชาวบ้านจะรู้ว่า เป็นขนมจีน ที่ไม่มีน้ำยา ปัจจุบัน ถ้าบอกว่า "ฉันไม่รู้" จะถูกมองว่า คือจุดด้อย เลยอุลามาอฺยากดัง กลัวนักกลัวหนา เลยฟัตวากันเละเทะ จนหายนะ
บางครั้งอิหม่ามมาลิกถูกถามถึง 48 ประเด็น ท่านตอบแค่ 32 ประเด็น นอกนั้นท่านบอกว่า "ฉันไม่รู้ "บางครั้ง ท่านถูกถาม 40 ประเด็น ท่านอิหม่ามมาลิกตอบแค่ 5 ประเด็น เท่านั้น -ดู มิน อะลามอัสสะลัฟ 1/352
...
เพราะฉะนั้นการตอบต้องดูที่เจตนาผู้ถามและไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถาม ให้คนอื่นเขาตอบแทนก็ได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/9/62
เอกสารอ้างอิง
 
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

มติสะลัฟยึดทัศนะที่มีน้ำหนัก


ยึดทัศนะที่มีน้ำหนักและทิ้งทัศนะที่อ่อน คือมติของสะลัฟ
1.อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَمَنْ نَظَرَ فِي أَحْوَالِ الصَّحَابَةِ، وَالتَّابِعِينَ، وَتَابِعِيهِمْ، وَمَنْ بَعْدَهُمْ، وَجَدَهُمْ مُتَّفِقِينَ عَلَى الْعَمَلِ بِالرَّاجِحِ، وَتَرْكِ الْمَرْجُوحِ ... اهـ.
และผู้ใด พิจารณาบรรดาสภาพของเหล่าเศาะหาบะฮ ,ตาบิอีน ,ผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขา และผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา เขาก็จะพบว่า พวกเขา เห็นฟ้องกัน บนการปฏิบัติ ด้วยทัศนะที่มีน้ำหนัก และละทิ้งทัศนะที่อ่อน - อิรชาดุลฟุหูล หน้า 1126
2.ในอัลเมาสูอะฮ อัลฟิกฮียะฮ ได้ระบุว่า
قَال الزَّرْكَشِيُّ: إِذَا تَحَقَّقَ التَّرْجِيحُ وَجَبَ الْعَمَل بِالرَّاجِحِ، وَإِهْمَال الآْخَرِ، لإِجْمَاعِ الصَّحَابَةِ عَلَى الْعَمَل بِمَا تَرَجَّحَ عِنْدَهُمْ مِنَ الأْخْبَارِ
อัซซัรกะชีย์ ได้กล่าวว่า "เมื่อการให้น้ำหนักได้เป็นจริงแล้ว ก็จำเป็นจะต้องปฏิบัติด้วยทัศนะที่มีน้ำหนัก และปล่อยทัศนะอื่นไป เพราะมติของ บรรดาเศาะหาบะฮ บนการปฏิบัติด้วย บรรดาหะดิษที่มีน้ำหนักในทัศนะของพวกเขา -อัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮ 36/345
ซะกะรียา บิน ฆุลาม กอเดร อัลบากิสถานีย์ ได้กล่าวว่า
العبرة في الجمع بين الدليلين المتعارضين هو ثبوتهما فإن كان أحدهما لا يثبت فلا عبرة به ولا يحتاج إلى أن يجمع بينه وبين الحديث الثابت، قال الجزائري في توجيه النظر "235": الحديث المقبول إذا عارضه حديث غير مقبول أخذ بالمقبول وترك الآخر، إذ لا حكم للضعيف مع القوي.
ข้อพิจารณาในการรวม ระหว่างสองหลักฐาน ที่ขัดแย้งกัน มันคือ ทั้งสองหลักฐานนั้น แน่นอน(หมายถึงเศาะเฮียะทั้งสองหลักฐานจึงจะรวมกันได้-ผู้แปล)เพราะหากปรากฏว่า หลักฐานหนึ่งหลักฐานใด ไม่แน่นอน (ไม่เศาะเฮียะ) ก็ไม่มีการพิจารณาใดๆด้วยมัน และไม่จำเป็นจะต้องรวมระหว่างมัน(หลักฐานอ่อน)และระหว่างหลักฐานที่แน่นอน(เศาะเฮียะ)
.อัลญะซาอิรีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวไว้ใน เตาญีฮุลนัซริ " 235 ว่า "
الحديث المقبول إذا عارضه حديث غير مقبول أخذ بالمقبول وترك الآخر، إذ لا حكم للضعيف مع القوي. انتهى.
หะดิษที่ถูกยอมรับ เมื่อค้านกับหะดิษ ที่ไม่ได้รับการยอมรับ ก็เอาสิ่งที่ถูกยอมรับและละทิ้งอันอื่น (หมายถึงทิ้งหะดิษที่ไม่ถูกยอมรับ) เพราะไม่มีหุกุม สำหรับ(การปฏิบัติ)ทัศนะเฎาะอีฟ(อ่อน) พร้อมกับทัศนะที่แข็งแรง -ตะฮซีบ อุศูลิลฟิกฮ อะลามันฮัจญอะฮลิลหะดิษ หน้า 60
......
เพราะฉะนั้น เมื่อหะดิษเฎาะอีฟ ขัดแย้งหรือค้าน กับหะดิษเศาะเฮียะ ก็ให้เอาหะดิษเศาะเฮียะและทิ้งหะดิษเฎาะอีฟ
ในขณะเดียวกัน ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น บรรดาสะลัฟ ปฏิบัติด้วยหะดิษที่มีน้ำหนักและทิ้งทัศนะที่อ่อน
แต่ถ้ายึดทัศนะที่มีน้ำหนักแต่ ปกป้องทัศนะที่อ่อน แบบนี้คงจะมีปัญหาไม่รู้จักจบ
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/9/62
 
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

แบบอย่างการสอนกะลิมะฮชะฮาดะฮแก่คนที่ป่วยหนัก


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


แบบอย่างการสอนกะลิมะฮชะฮาดะฮแก่คนที่ป่วยหนัก
การสอนกะลิมะฮ "ลาอิลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ "แก่คนป่วยหนัก" ตามที่พบเห็นในบ้านเรา บางที่ ส่วนหนึ่งอ่านอัลกุรอ่าน ส่วนหนึ่งสอนกะลิมะฮ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผสมปนเปมั่วไปหมด ความจริง ตามสุนนะฮ ให้สอนครั้งครั้งเดียวก็พอ เมื่อผู้ป่วยกล่าวแล้วก็จบ เพราะเป้าหมายคือ ให้คำพูดของเขาก่อนตายคือ "ลาอิลาฮะอิลลั้ลลอฮ" แต่ถ้าผู้ป่วยพูดเรื่องอื่นอีก ก็ให้สอนซ้ำได้จนเขากล่าวคำชะฮาดะฮเป็นครั้งสุดท้าย
มาดูหลักฐานต่อไปนี้
1.สอนผู้ที่ยังคงสามารถพูดได้อยู่
عَنْ أَنَسٍ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَادَ رَجُلا مِنْ الأَنْصَارِ فَقَالَ : ( يَا خَالُ ، قُلْ : لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ . قَالَ : خَالٌ أَمْ عَمٌّ ؟! قَالَ : بَلْ خَالٌ . قَالَ : وَخَيْرٌ لِي أَنْ أَقُولَهَا ؟! قَالَ : نَعَمْ ) رواه أحمد (13414) وقال الألباني في أحكام الجنائز : إسناده صحيح على شرط مسلم
รายงานจากอะนัส ว่าแท้จริงรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ เยี่ยม(ผู้ป่วย)ชาวอันศ็อรคนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า (โอ้ คุณน้า จงกล่าว "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ เถิด ,เขากล่าวว่า น้าหรือ ลุง? ท่านรอซูลกล่าวว่า แต่ทว่า เป็นน้านั้นแหละ (หมายถึงน้าฝ่ายแม่) เขา(ชายคนนั้น)กล่าวว่า " และเป็นผลดีแก่ฉันที่จะกล่าวมันใช่ไหม? ท่านรอซูลกล่าวว่า "ครับ" -รายงานโดยอะหมัด (13414)และอัลอัลบานีย์กล่าวไว้ใน อะหกามอัลญะนาอิซว่า "สายรายงานเศาะเฮียะ ตามเงือนไขของอิหม่ามมุสลิม
...........
จะเห็นได้ว่า ท่านนบี ศ็อลฯ สอนกะลีมะฮ แก่คนป่วยที่ยังพูดได้อยู่ เพื่อให้เขากล่าวมัน ก่อนสิ้นลมหายใจ ให้ป็นคำพูดสุดท้ายของเขา
2 ไม่ควรสอนหลายครั้งและซ้ำซาก เมื่อคนป่วยได้กล่าวคำนี้ไปแล้ว
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ﻭَﻛَﺮِﻫُﻮﺍ ﺍﻹِﻛْﺜَﺎﺭ ﻋَﻠَﻴْﻪِ ﻭَﺍﻟْﻤُﻮَﺍﻻﺓ ﻟِﺌَﻼ ﻳَﻀْﺠَﺮ ﺑِﻀِﻴﻖِ ﺣَﺎﻟﻪ ﻭَﺷِﺪَّﺓ ﻛَﺮْﺑﻪ
และพวกเขา(บรรดาอุลามาอฺ)รังเกียจ การกล่าวตัลกีนเป็นจำนวนมาก และการกล่าวต่อเนื่องกันหลายครั้ง เพื่ออย่าให้มัน สร้างความยุ่งยาก ด้วยการทำให้สภาพของเขา(ผู้ป่วย)คับแคบและลำบากหนักขึ้น(ในขณะที่ชีวิตกำลังจะออกจากร่าง) -ชัรหมุสลิม 6/219 กิตาบุลญะนาอิซ
قَالَ أَحْمَدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ الْعِجْلِيُّ : حَدَّثَنِي أَبِي قَالَ : لَمَّا احْتَضَرَ ابْنُ الْمُبَارَكِ ، جَعَلَ رَجُلٌ يُلَقِّنُهُ قُلْ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ فَأَكْثَرَ عَلَيْهِ ، فَقَالَ لَهُ : لَسْتَ تُحْسِنُ ، وَأَخَافُ أَنْ تُؤْذِيَ مُسْلِمًا بَعْدِي ، إِذَا لَقَّنْتَنِي فَقُلْتُ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ ، ثُمَّ لَمْ أُحْدِثْ كَلَامًا بَعْدَهَا فَدَعْنِي ، فَإِذَا أَحْدَثْتُ كَلَامًا فَلَقِّنِي حَتَّى تَكُونَ آخِرَ كَلَامِي
อะหมัด บิน อับดุลลอฮ อัลอิจญลีย์ ได้กล่าวว่า บิดาของฉันได้เล่าฉัน โดยเขากล่าวว่า เมื่อ อิบนุอัลมุบาร็อก ใกล้จะเสียชีวิต ชายคนหนึ่งได้สอน เขา โดยกล่าวว่า "ท่านจงกล่าวว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮเถิด" แล้วเขาได้กล่าวมัน มากครั้ง แล้วท่านอิบนุอัลมุบาร็อกได้กล่าวแก่เขาผู้นั้นว่า "ท่านทำไม่สวยงามเลย และฉันเกรงว่า ท่านจะสร้างความเดือดร้องให้มุสลิมคนหนึ่งคนใด หลังจากฉัน ,เมื่อท่านสอนฉัน แล้วฉันกล่าวว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ"ต่อมา ฉัน ไม่ได้พูดคำพูดใดๆ หลังจากนั้น ก็จงปล่อยฉัน (คือไม่ต้องสอนอีก) แล้วเมื่อฉันพูดคำพูดใดๆอีก ก็จงสอนฉัน (ให้กล่าวกะลิมะฮลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ-ผู้แปล) จนกว่ามันจะเป็นคำพูดสุดท้ายของฉัน- ดูสิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฮ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ 8/418
..........
สรุปคือ
การสอนคำว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ แก่ผู้ที่ใกล้จะตาย นั้นให้สอน เมื่อผู้ป่วยกล่าวแล้ว ก็ไม่ต้องสอนซ้ำอีก แต่ถ้าเขาพูดเรื่องอื่น ก็ให้สอนซ้ำ จนเขากล่าวกะลิมะฮ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนตาย
ขอให้ผู้อ่านโปรดพิจารณากันนะครับ
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/4/64

นบีและเศาะหาบะฮอ่านคำเนียตละหมาดไหม?


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

นบีและเศาะหาบะฮอ่านคำเนียตละหมาดไหม?
ขอนำคำตอบของของอิหม่ามญะลาลุดดีน อัสสะยูฏีย์ (ฮ.ศ 849-911) ปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ได้กล่าวว่า
ومن البدع أيضاً : الوسوسة في نية الصلاة ، ولم يكن ذلك من فعل النبي صلى الله عليه وسلم ولا أصحابه ، كانوا لا ينطقون بشيء من نية الصلاة ، بسوى التكبير . وقد قال تعالى :{ لقد كان لكم في رسول الله أسوة حسنة } [سورة الأحزاب : 21 ].
และส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดอะฮ อีกเช่นกัน คือ การมีใจรวนเรในการเนียตละหมาด และดังกล่าวนั้น ไม่ปรากฏจาก การกระทำของนบี ศอ็ลฯ และเหล่าเศาะหาบะฮของท่าน ,ปรากฏว่า พวกเขาไม่ได้ พูด(เปล่งเสียง)ด้วยสิ่งใดๆจากการเนียตละหมาด อื่นจากการตักบีร และแท้จริง อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (แท้จริง ในรซูลุลลอฮนั้น คือแบบอย่างที่ดีแก่พวกเจ้า)- ซูเราะฮอัลอะหซาบ /21 - ดู อัลอัมรุบิลอิตบาอฺ ฯ วัลนะฮยุ อะนิลอิบติดาอฺ หน้า 295
............
อิหม่ามอัสสะยูฏีย์ ระบุว่า ไม่ปรากฏว่าท่านนบี และเหล่าเศาะหาบะฮ กล่าวเปล่งเสียงการเนียต อื่นจากการตักบีร และท่านได้อ้างอายะฮอัลกุรอ่านข้างต้นเพื่อบอกว่า รซูลุลลอฮ เป็นแบบอย่างที่ดี
ผู้เขียนแค่นำข้อเท็จจริงมาเสนอ หากสิ่งนี้ขัดแย้งกับการปฏิบัติของพี่น้องท่านใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย ไม่ได้บังคับให้เชื่อ แต่เพื่อพิจารณาเท่านั้น
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/4/62

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562

การทอดทิ้งและไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การทอดทิ้งและไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَقَالَ الرَّسُولُ يَا رَبِّ إِنَّ قَوْمِي اتَّخَذُوا هَٰذَا الْقُرْآنَ مَهْجُورًا
และอัลร่อซูลได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงชนชาติของข้าพระองค์ได้ยึดเอาอัลกรุอานนี้เป็นสิ่งที่ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว - อัลฟรกอน/30
อิบนุญะรีร(ร.ฮ) รายงานว่า
حَدَّثَنِي يُونُسُ ، قَالَ : أَخْبَرَنَا ابْنُ وَهْبٍ ، قَالَ : قَالَ ابْنُ زَيْدٍ ، فِي قَوْلِ اللَّهِ : ( وَقَالَ الرَّسُولُ يَا رَبِّ إِنَّ قَوْمِي اتَّخَذُوا هَذَا الْقُرْآنَ مَهْجُورًا ) لَا يُرِيدُونَ أَنْ يَسْمَعُوهُ ، وَإِنْ دُعُوا إِلَى اللَّهِ قَالُوا لَا . وَقَرَأَ ( وَهُمْ يَنْهَوْنَ عَنْهُ وَيَنْأَوْنَ عَنْهُ ) قَالَ : يَنْهَوْنَ عَنْهُ ، وَيَبْعُدُونَ عَنْهُ .
ยูนูสได้เล่าข้าพเจ้า โดยเขาได้กล่าวว่า อิบนุวะฮับ ได้บอกเรา โดยเขากล่าวว่า อิบนุเซด ได้กล่าวเกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า(และอัลร่อซูลได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงชนชาติของข้าพระองค์ได้ยึดเอาอัลกรุอานนี้เป็นสิ่งที่ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว) หมายถึงพวกเขาไม่ประสงค์ที่จะฟังอัลกุรอ่าน และหากพวกเขาถูกเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ พวกเขาก็จะกล่าวว่า "ไม่" และเขา(อิบนุเซด)ได้อ่านอายะฮที่ว่า (และพวกเขาห้าม เกี่ยวข้องกับอัลกุรอาน และพวกเขาก็ปลีกตัวออกห่างจากอัลกรุอานด้วย ) เขา(อิบนุเซด)กล่าวว่า (หมายถึง)พวกเขางดเว้นจากอัลกุรอ่านและห่างใกลจากอัลกุรอ่าน
قَالَ أَبُو جَعْفَرٍ : وَهَذَا الْقَوْلُ أَوْلَى بِتَأْوِيلِ ذَلِكَ ، وَذَلِكَ أَنَّ اللَّهَ أَخْبَرَ عَنْهُمْ أَنَّهُمْ قَالُوا : ( لَا تَسْمَعُوا لِهَذَا الْقُرْآنِ وَالْغَوْا فِيهِ ) ، وَذَلِكَ هَجْرُهُمْ إِيَّاهُ .
อบูญะอฟัร(หมายถึงอิบนุญะรีรเอง) ได้กล่าวว่า นี่คือทัศนะเหมาะสมกว่าด้วยการอรรถาธิบายดังกล่าวนั้น และดังกล่าวนั้น แท้จริงอัลลอฮได้ทรงบอกเกี่ยวกับพวกเขา ว่าแท้จริงพวกเขา(กาเฟร)กล่าวว่า (พวกท่านอย่าฟังอัลกุรอานนี้ แต่จงทำเสียงอึกทึกในขณะนั้น ) และดังกล่าวนั้นแหละคือ การฮิจญเราะฮ(การทอดทิ้ง)อัลกุรอ่านของพวกเขา - ดูตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย อธิบายซูเราะฮ อัลฟุรกอน อายะฮ 30
...........
ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ร้องเรียนต่ออัลลอฮ ว่ากลุ่มชนของท่าน ไม่ยอมรับฟังและไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน นี่คือ สิ่งที่เลวร้าย เพราะการไม่ฟังอัลกุรอ่าน การทำตัวให้ห่างและไม่เกี่ยวข้องกับอัลกุรอ่าน ผลสุดท้ายคือความหายนะในวันอาคีเราะฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/4/62

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562

อิหม่ามที่การละหมาดไม่ถูกรับ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ



อิหม่ามที่การละหมาดไม่ถูกรับ
คนที่เป็นอิหม่าม ที่ดันทุรังจะอยู่ในตำแหน่งอิหม่ามเพราะเสียดายค่าตอบแทน หรือเพราะที่ดินสร้างมัสยิด เคยเป็นของปู่อย่าตายายที่ได้วากัฟไว้ ใครจะมาเป็นใหญ่ฉันไม่ยอม พึงให้ความตระหนักต่อคำสอนของท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า
عن أبي أُمَامَةَ رضي الله عنه قال : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( ثَلَاثَةٌ لَا تُجَاوِزُ صَلَاتُهُمْ آذَانَهُمْ : الْعَبْدُ الْآبِقُ حَتَّى يَرْجِعَ ، وَامْرَأَةٌ بَاتَتْ وَزَوْجُهَا عَلَيْهَا سَاخِطٌ ، وَإِمَامُ قَوْمٍ وَهُمْ لَهُ كَارِهُونَ ) وحسنه الألباني في "صحيح الترمذي
รายงานจากอบีอุมามะฮ(ร.ฎ)เขาได้กล่าวว่า ท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า สามจำพวกที่การละหมาดของพวกเขานั้นไม่เกินเลยใบหูของพวกเขา (หมายถึงการละหมาดไม่ถูกรับ) คือ ทาสที่หนีจนกว่าเขาจะกลับมาหานายของเขา, สตรีที่นอนในสภาพที่สามีของนางโกรธนาง และคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มชน โดยที่พวกเขา(ผู้ตาม)นั้นรังเกียจในตัวเขา
บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 328/ กิตาบ อัศ-เศาะลาฮฺ/ บาบ ผู้ทีเป็นอิหม่ามนำละหมาดในขณะที่มะอฺมูม(ผู้ตาม) รังเกียจตัวเขา
คำว่า เป็นผู้นำที่พวกเขารังเกียจ หมายถึงเป็นผู้นำที่มีความประพฤติไม่ดี หรือเพราะไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ
อิหม่ามอัชเชาการนีย์(ร.ฮ)อธิบายว่า
وَقَدْ قَيَّدَ ذَلِكَ جَمَاعَة مِنْ أَهْل الْعِلْم بِالْكَرَاهَةِ الدِّينِيَّة لِسَبَبٍ شَرْعِيِّ، فَأَمَّا الْكَرَاهَة لِغَيْرِ الدِّين فَلَا عِبْرَة بِهَا
และแท้จริง คณะหนึ่งจากนักวิชาการ ได้กำหนดเงื่อนไข ดังกล่าวนั้น ด้วย(เงื่อนไขเกี่ยวกับ)การรังเกียจที่เกี่ยวกับศาสนา เพราะเหตุใดๆที่เกี่ยวกับศาสนาบัญญัติ สำหรับการรังเกียจอื่นจากเรื่องศาสนานั้น ไม่มีการพิจารณาด้วยมัน -ดูนัยลุลเอาฏอร 3/211
...
กล่าวคือ คำว่ากลุ่มชนรังเกียจ หมายถึงรังเกียวกับกับความประพฤติของอิหม่ามที่เป็นข้อตำหนิเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาก็จะไม่มีผล
อิหม่ามอัตติรมิซีย์ (ร.ฮ) ได้รายงานคำพูดของ ปราชญยุคตาบิอีน ชาวกุฟะฮ ท่านหนึ่งคือ มันศูร บิน อัลมุอตะมีร (ฮ.ศ 132) โดยกล่าวว่า
قَالَ جَرِيرٌ: قَالَ مَنْصُورٌ: فَسَأَلْنَا عَنْ أَمْرِ الإِمَامِ؟ فَقِيلَ لَنَا: «إِنَّمَا عَنَى بِهَذَا الْأَئِمَّةَ الظَّلَمَةَ، فَأَمَّا مَنْ أَقَامَ السُّنَّةَ فَإِنَّمَا الإِثْمُ عَلَى مَنْ كَرِهَهُ»
ญะรีร ได้กล่าวว่า มันศูรได้กล่าวว่า เราได้ถามเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอิหม่าม ? แล้วได้ถูกกล่าวแก่เรา(หมายถึงมีผู้ตอบให้แก่เรา-ผู้แปล) ว่า หมายถึง บรรดาอิหม่ามที่อธรรม แล้วสำหรับอิหม่ามที่ดำรงไว้ซึ่งอัสสุนนะฮ ความจริงบาปก็จะตกบนผู้ที่รังเกียจเขา - ดูตุหฟะตุลอะวะซีย์ 2/347
...........
สรุปคือ
อิหม่ามที่การละหมาดไม่ถูกรับคือ อิหม่ามที่ผู้ตามส่วนมากรังเกียจเกี่ยวกับความประพฤติที่ผิดหลักศาสนาเช่น เป็นผู้ที่อธรรม กดโกง เป็นต้น เกาะตำแหน่งไม่ยอมวาง บ้างก็อ้างว่าเป็นลูกหลานเจ้าของที่ดินวากัฟ จึงมีสิทธิ์เป็นอิหม่ามชาวบ้านก็ทำอะไรไม่ได้ อิหม่ามประเภทนี้มีไม่น้อย
ส่วนอิหม่ามที่ยืนหยัดและดำรงไว้ซึ่งสุนนะฮนบี แต่บรรดาผู้ตามรังเกียจ แต่ในด้านศาสนาจะไม่มีผล คือไม่มีความผิด แต่คนที่รังเกียจนั้นแหละมีบาป ซึ่ง ประเภทหลังนี้มีเยอะเช่นกัน พอเรียกร้องให้ตามสุนนะฮละทิ้งบิดอะฮ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นวะฮบีย์ มีการยุยงเสียมสอนชาวบ้านให้ต่อต้าน ให้ปลดจากอิหม่ามเป็นต้น
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/4/62

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

แปลก...พอมีการดุอาตัษบีต ทำไมต้องเดินหนี


แปลก...พอมีการดุอาตัษบีต ทำไมต้องเดินหนี
หลายครั้งหลายครา ที่ผู้เขียนประสบมาเมื่อไปส่งมัยยิตที่กุโบร์ พอฝังและกลบหลุมมัยยิตเสร็จ ก็จะมีการอ่าน"ดุอาตัษบีต" แต่มีพี่น้องอีกกลุ่มไม่เข้าร่วม บ้างก็เดินหนี
การอ่านดุอาตัษบีต ท่านนบี ศ็อลฯสอนมาเป็นพันๆปีแล้วคือ
وعن عُثمانَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قالَ: كَانَ رسولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وسَلَّمَ إِذَا فَرَغَ مِن دَفْنِ الْمَيِّتِ وَقَفَ عَلَيْهِ وقالَ: ((اسْتَغْفِرُوا لِأَخِيكُمْ، وَسَلُوا لَهُ التَّثْبِيتَ فَإِنَّهُ الْآنَ يُسْأَلُ)). رواهُ أبو دَاوُدَ، وصَحَّحَهُ الحاكمُ
รายงานจากอุษมาน (ร.ฏ)กล่าวว่า “ปรากฏว่าท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อฝังมัยยิตเสร็จเรียบร้อย ท่านได้หยุดอยฺู่ ณ หลุมศพ และกล่าวว่า “พวกท่านจงขออภัยโทษแก่พี่น้องของพวกท่านและจงขอให้เกิดความหนักแน่นมั่นคงให้แกเขา เพราะขณะนี้ เขากำลังถูกสอบสวน”- รายงานโดย อบูดาวูด และอัลหากิม ระบุว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
อิหม่ามอัชเชากานีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
"فيه مشروعية الاستغفار للميت عند الفراغ من دفنه ، وسؤال التثبيت له ؛ لأنه يسأل في تلك الحال
ในหะดิษ คือ สิ่งที่ถูกบัญญัติ ให้อิสติฆฟัร(ขออภัยโทษ)ให้แก่ผู้ตาย เมื่อเสร็จจากการฝังมัยยิต และขอการตัษบีต(ความหนักแน่นมั่นคง)ให้แก่เขา(มัยยิต) เพราะแท้จริงเขาถูกถามในเวลานั้น -ดู นัยลุลเอาฏ็อร 2/98
ในหนังสือ อัลเมาสูอะฮ อัลฟิกฮียะฮ ของกระทรวงศาสนา ประเทศคูเวตระบุว่า
وَعَقِبَ الدَّفْنِ يُنْدَبُ أَنْ يَقِفَ جَمَاعَةٌ يَسْتَغْفِرُونَ لِلْمَيِّتِ، لأَِنَّهُ حِينَئِذٍ فِي سُؤَال مُنْكَرٍ وَنَكِيرٍ، رَوَى أَبُو دَاوُدَ بِإِسْنَادِهِ عَنْ عُثْمَانَ قَال: كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا دَفَنَ الرَّجُل وَقَفَ عَلَيْهِ وَقَال: اسْتَغْفِرُوا لأَِخِيكُمْ وَاسْأَلُوا لَهُ التَّثَبُّتَ فَإِنَّهُ الآْنَ يُسْأَل وَصَرَّحَ بِذَلِكَ جُمْهُورُ الْفُقَهَاءِ

และหลังจากฝังมัยยิต สุนัตให้มีคนคณะหนึ่ง ยืนขึ้น(หยุด ณ ที่หลุมศพ) ขออภัยโทษ(อิสติฆฟัร)ให้แก่มัยยิต เพราะว่า ในขณะนั้น อยู่ในการสอบสวนของมุงกัร-นะกีร ,อบูดาวูด ได้รายงานด้วยสายรายงานของเขา จากอุษมาน ว่าเขาได้กล่าวว่า "ปรากฏว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อท่านนบีได้ฝังคนตายเสร็จ ท่านนบีได้หยุดอยู่ ณ หลุมศพของเขา และกล่าวว่า ( พวกท่านจงขออภัยโทษแก่พี่น้องของพวกท่านและจงขอให้เกิดความหนักแน่นมั่นคงให้แกเขา เพราะขณะนี้ เขากำลังถูกสอบสวน) และบรรดาฟุเกาะฮาฮ(ปราชญกฏหมายอิสลาม)ส่วนใหญ่ ได้ชี้แจงด้วยดังกล่าวนั้น - อัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮ 4/41
ชัยคบินบาซ (ร.ฮ)กล่าวว่า
الدعاء للميت بعد الدفن بالثبات والمغفرة سنة
ดุอาให้แก่มัยยิต ด้วยการให้ได้รับความหนักแน่นมั่นคงและการอภัยโทษ หลังจากฝังนั้น คือสุนนะฮ -มัจญมัวะฟะตาวา 13/205
..
ตัวอย่าดูอาตัษบีตคือ
اللهم ثبته بالقول الثابت في الحياة الدنيا والأخرة اللهم اغفرله وارحمه انك أنت الغفور الرحيم
อัลลอฮฮุมมะ-ษับบิตฮู บิลเกาลิษษาบิต ฟิลหายาติดดุนยา วัลอาคิเราะฮ อัลลอฮุมมัฆฟีรละฮู วัรหัมฮู อินนะกะ อันตัน เฆาะฟู รูรเราะฮีม.
คำแปล - โอ้อัลลอฮ โปรดให้เขามีความหนักแน่นมั่นคง ในชีวิตดุนยาและอาคีเราะฮ ,โอ้อัลลอฮ โปรดอภัยโทษและประทานความเมตตาต่อเขาด้วยเถิด แท้จริงพระองค์ท่านนั้น คือ ผู้ทรงอภัยโทษและผู้ทรงเมตตายิ่ง
.........
ทำไม่จึงรังเกียจ ทำไมจึงเดินหนี ทั้งๆที่เป็นสุนนะฮนบี ศ็อลฯ น่าเศร้าครับ สังคมมุสลิมเรา ถูกปลูกฝั่งให้แบ่งฝ่ายจนมองสิ่งที่เป็นสุนนะฮ กลายเป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัว
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/3/62


เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

การโกหกแอบอ้างว่าอิหม่ามชาฟิอีส่งเสริมให้ทำเมาลิดนบี


การโกหกแอบอ้างว่าอิหม่ามชาฟิอีส่งเสริมให้ทำเมาลิดนบี
ไปเจอเว็บไซด์หนึ่ง ได้อ้างว่า
قال الشافعى رحمه الله من جمع لمولد النبى صلى الله عليه وسلم اخوانا وتهياء لهم طعاما وعملا حسانا بعثه الله يوم القيامة مع الصديقين والشهداء والصالحين
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า ผู้ใดรวบรวมบรรดาพี้น้อง สำหรับวันเกิดนบี ศ็อลฯ และเตรียมอาหารให้แก่พวกเขา และทำความดี อัลลอฮจะให้เขาฟื้นขึ้นมาในวันกิยามะฮ พร้อมกับบรรดาผู้มีสัจจะ ,บรรดาผู้ตายชะฮีด และบรรดาคนดี
ข้างต้นเป็นการโกหกแอบอ้าง อิหม่ามชาฟิอี โดยไม่มีที่มาและไม่มีสายรายงานสืบไปถึงอิหม่ามชาฟิอี
อนึ่ง การจัดเฉลิมฉลองเมาลิดนบี เกิดขึ้นหลักยุคหลังจากสามร้อยปี ดังที่อิหม่ามอัสสะยูฏีย์ ได้บอกว่า อัลหาฟิซอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ได้กล่าวไว้ว่า
أَصْلُ عَمَلِ الْمَوْلِدِ بِدْعَةٌ لَمْ تُنْقَلْ عَنْ أَحَدٍ مِنَ السَّلَفِ الصَّالِحِ مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ
ที่มาของการทำเมาลิดนั้น คือบิดอะฮ ไม่ได้ถูกรายงานจากคนใดจากชาวสะลัฟ ผู้ทรงธรรม จากศตวรรษ ที่สาม.... - ،อัลหาวีย์ ลิลฟะตาวีย์ 1/188
.............
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) มีชีวิตในช่วง ปี ฮ.ศ 150-204 ท่านอยู่ในยุคสะลัฟ แสดงว่า การแอบอ้างว่า อิหม่ามชาฟิอี ส่งเสริมให้ทำเมาลิด เป็นการโกหกแอบอ้างอิหม่ามชาฟิี
ท่านมุหัมหมัด อับดุสสลาม เคาะฎีร อัชชะกีรีย์ กล่าวว่า
فاتخاذ مولده موسماً والاحتفال به بدعة منكرة، وضلالة لم يرد بها شرع ولا عقل، ولو كان في هذا خير كيف يغفل عنه أبو بكر وعمر وعثمان وعلي وسائر الصحابة والتابعون وتابعوهم والأئمة وأتباعهم
การถือเอาวันเกิดของท่านนบี เป็นเทศกาลชุมนุมและการเฉลิมฉลอง ด้วยมันนั้น เป็นบิดอะฮ ที่เลว เป็นการหลงผิด ไม่ปรากฏบทบัญัติด้วยมัน และ ไม่กินกับปัญญา และถ้าปรากฏว่าในสิ่งนี้ มีความดีงาม ทำไมอบูบักร์,อุมัร,อุษมาน ,อาลี ,เหล่าสาวกคนอื่นๆ,เหล่า ตาบิอีน ,บรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา ,บรรดาอิหม่ามและบรรดาผู้ที่ตามพวกเขา ได้ละเลย จากมัน – อัสสุนัน วัล มุบตะดะอาต หน้า 138
และคำพูดที่แอบอ้างชาฟิอี ความจริง เป็นคำพูดของอัลญาฟิอี คือ
وَقاَلَ الإِماَمُ الياَفِعِيْ اليَمَنِىْ مَنْ جَمَّعَ لِمَوْلِدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِخْوَاناً وَهَيَّأَ طَعَاماً وَأَخْلَى مَكاَناً وَعَمِلَ إِحْساَناً وَصاَرَ سَبَباً لِقِرَاءَةِ مَوْلِدِ الرَّسُوْلِ بَعَثَهُ اللهُ يَوْمَ القِياَمَةِ مَعَ الصِّدِّيْقِيْنَ وَالشُّهَدَاءِ وَالصّاَلِحِيْنَ وَيَكُوْنُ فيِ جَنّاَتِ النَّعِيْمٍ
และอิหม่ามอัลญาฟิอีย์ อัลยะมะนีย์ กล่าวว่า "ผู้ใดรวบรวมบรรดาพี่น้อง สำหรับวันเกิดของท่านนบี ศ็อลฯ และเตรียมอาหาร และ เตรียมสถานที่ให้ว่าง และทำความดี และด้วยเหตุการอ่านประวัติวันเกิดรอซูล ทำให้อัลลอฮทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาในวันกิยามะฮ ให้อยู่พร้อมกับ บรรดาผู้มีสัจจะ ,บรรดาผู้ตายชะฮีด และบรรดาคนดี และเขาจะได้อยู่ในบรรดาบรรดาสวนสวรรค์แห่งความสุขสำราญ- ดู อิอานะฮอัฏฏอลีบีน 3/364-365
...............
การอ้างว่าทำเมาลิดนบี จะได้เข้าสวรรค์ ใครเป็นผู้รับรองหรือ และใหนคือหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
ข้างต้น หากเราไม่ทำเมาลิด จะเรียกว่า "ไม่เอาอุลามาอฺ"อย่างนั้นหรือ โอ้เด็กน้อยเจ้าปัญญาทั้งหลาย คนที่นำหน้าคำว่าอุลามาอฺ เชื่อได้ทุกคนหรือ ไอ้เด็กน้อย
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/362

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562

วาทกรรม คุณมัซฮับใหน สายใหน?



วาทกรรม คุณมัซฮับใหน สายใหน?
วาทกรรมข้างต้น ได้ยินบ่อย พอนำเสนอวิชาการ ก็จะถูกสอบสวนก่อนว่า "อยู่มัซฮับใหน สายใหน?
แปลก...เอาคำว่ามัซฮับ และสาย มาเป็นมาตรฐานรับรองความเป็นมุสลิมของคน คนใหนไม่สังกัดมัซฮับ คนนั้นเป็นมุสลิมไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ถูกฝังหัวกันมานาน ถึงขนาดหุกุมว่าใครออกจากมัซฮับทั้งสี่คือ การหลงผิดเช่น
เจ้าของตัฟสีรอัศศอวีย์ เป็นคนที่คลั่งใคล้กับมัซฮับแบบสุดโต่ง มาดูคำพูดของเขาในตัฟสีรดังกล่าว
ที่อาธิบายอายะฮที่ว่า
وَلا تَقُولَنَّ لِشَيْءٍ إِنِّي فَاعِلٌ ذَلِكَ غَداً * إِلَّا أَنْ يَشَاءَ اللَّهُ
และเจ้าอย่าพูดสิ่งหนึ่งว่า แท้จริงฉันจะกระทำสิ่งดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ นอกจาก กล่าวว่า หากว่าอัลเลาะฮ์ทรงประสงค์” [อัลกะฮ์ฟฺ: 23-24]
อัศศอวีย์ อธิบายว่า
ولا يجوز تقليد ما عدا المذاهب الأربعة ، ولو وافق قول الصحابة ، والحديث الصحيح والآية ، فالخارج عن المذاهب الأربعة ضال مضل ، وربما أداه ذلك إلى الكفر ، لأن الأخذ بظواهر الكتاب والسنة من أصول الكفر
ไม่อนุญาให้ตักลิด(เชื่อตาม) อื่นจากมัซฮับทั้งสี่ แม้ว่าจะสอดคล้องกับคำพูดของเศาะหาบะฮและหะดิษเศาะฮเฮียะ และ อายะฮ ก็ตาม เพราะการออกจากมัซฮับทั้งสี่นั้น เป็นการหลงผิด และเป็นผู้ที่ทำให้หลงผิด และบางที่ ดังกล่าวนั้นอาจจะนำไปสู่การเป็นกุฟุร เพราะการเอาตามความหมายที่ปรากฏของอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากรากฐานการกุฟุร -ตัสสีรอัศศอวีย์ เล่ม 3 หน้า 9
........
ถึงขนาดหุกุมว่า ไม่อนูญาตตามอื่นจากมัซฮับสี่ และการออกจากมัซฮับสี่ เป็นการหลงผิด นีคือส่วนหนึ่งของที่มาของการถามว่า "คุณมัซฮับใหน? สายใหน
มัซฮับคือ แนวคิดที่เกิดจากความเห็นที่แตกต่างในการอิจติฮาด/การวินิจฉัย ซึ่งมีหลายมัซฮับ และที่แพร่หลาย มี 4 มัซฮับเช่น
1.มัซฮับอิหม่ามหะนะฟีย์ (ฮ.ศ 80-150)
2.มัซฮับอิหม่ามมาลิก ( ฮ.ศ 93-179)
3.มัซฮับอิหม่ามชาฟิอีย์ ( ฮ.ศ 150- 204)
4. มัซฮับอิหม่ามอะหมัด (ฮ.ศ 164-241)
มัซฮับ ที่ไม่แพร่หลาย เช่น
1.หะสัน อัล-บัศรีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 110)
2.อัล-เอาซาอีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 157)
3.ซุฟยาน อัษ-เษารีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 160)
4. อัล-ลัยษฺ อิบนฺ สะอัด (เสียชีวิต ฮ.ศ. 157)
5.ซุฟยาน อิบนฺ อุยัยนะฮฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 198)
6.อิบนุ หัซมฺ อัซฺ-ษอฮิรีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 270)
7. อิสหาก อิบนฺ รอฮูยะฮฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 238)
8.อบู เษารฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 240)
9.อื่นๆ
(อัล-อุลวานีย์, ของเฏาะฮา ญาบิรฺ. 1995 : 88)
...
การสังกัดมัซฮับไม่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดให้เป็นข้อบังคับของศาสนา และไม่มีปราชญเจ้ามัซฮับคนใดเรียกร้องให้ผูกขาดกับมัซฮับตัวเอง แล้วใยจึงเอาคำว่า "มัซฮับ"มาเป็นมาตรฐานรับรองความเป็นมุสลิมของคน จนเกิดฟิตนะฮมากมาย
อิบนุกอ็ยยิม (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَقَدْ نَهَى الْأَئِمَّةُ الْأَرْبَعَةُ عَنْ تَقْلِيدِهِمْ ، وَذَمُّوا مَنْ أَخَذَ أَقْوَالَهُمْ بِغَيْرِ حُجَّةٍ ; فَقَالَ الشَّافِعِيُّ : مَثَلُ الَّذِي يَطْلُبُ الْعِلْمَ بِلَا حُجَّةٍ كَمَثَلِ حَاطِبِ لَيْلٍ ، يَحْمِلُ حُزْمَةَ حَطَبٍ وَفِيهِ أَفْعَى تَلْدَغُهُ وَهُوَ لَا يَدْرِي ، ذَكَرَهُ الْبَيْهَقِيُّ .
และความจริง อิหม่ามทั้งสี่ ได้ห้ามตักลีด(เชื่อตาม)พวกเขา และพวกเขาตำหนิผู้ที่ยึดเอาคำพูดของพวกเขาโดยปราศจากหลักฐาน แล้วท่านอิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า" อุปมาผู้ที่ศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน อุปมัยดังเช่น คนหาไม้ฟืนยามค่ำคืน ,เขาแบกมัดของไม้ฟืน และในนั้นมีงูจะกัดเขาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ ,อัลบัยฮะกีย์ได้ระบุเอาไว้ - เอียะลามุลมุวักกิอีน 3/469
..........
ผู้เขียนไม่ได้ตำหนิเรื่องมัซฮับ ไม่ได้ตำหนิการสังกัดมัซฮับ แต่ตำหนิการผูกขาดมัซฮับจนเลยเถิดแล้วมองคนไม่ผูกขาดมัซฮับ ไม่สังกัดมัซฮับใดเป็นการเฉพาะ ว่า ไม่ใช่มุสลิม หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับศาสนาแล้วแสดงการดูหมิ่นดูแคลน หยุดได้แล้วครับ ทุกวันนี้ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการมันเจริญ ควรจะหูตาสว่างกันได้แล้ว อย่าเทียวโจมตี อย่าเทียวยุแยงตะแคงรั่วให้มุสลิมทำลายความเป็นพีน้องกันเลย อย่าถามเลยว่าสังกัดมัซฮับใหน เพราะบางที่คนถามก็ไม่รู้จักหลักการและคำสอนที่แท้จริงของเจ้าของมัซฮับที่ตัวเองอ้างว่าสังกัดด้วยซ้ำ
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/3/62

เอกสารประกอบ

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ