วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

ถ้าไม่ทำบุญคนตายจะถูกให้กลายเป็นวะฮบีย์

ถ้าไม่ทำบุญคนตายจะถูกให้กลายเป็นวะฮบีย์
ทั้งแต่จำได้จนถึงปัจจุบัน วาทกรรมวะฮบีย์หรือพวกมูดา" เป็นอาวุธที่ละแบรุ่นแก่และรุ่นหนุ่ม ใช้กล่าวหา ทำลายพี่น้องที่ไม่ทำบุญเนื่องจากการตายตลอดมา บ้างก็เยาะเย้ยว่า "พ่อแม่ตายเหมือนแมวตายไม่ทำบุญ เป็นลูกอกตัญญู จึงขอความกรุณละแบรุ่นเก่าและรุนใหม่โปรดเสียสละเวลาสักนิดอ่านบทความนี้ จะได้ไม่ฟิตนะกันอีก ส่วนท่านอยากจะทำก็ไม่มีใครห้ามได้แต่อย่าใช้ความญาเฮลและอคติตัดสินพี่น้องที่ไม่ทำ โดยอธรรม
ต่อไปนี้คือมุมมองปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ในกรณีครอบครัวผู้ตายเลี้ยงอาหาร
1.มัซฮับหะนะฟีย์
อิบนุอาบิดีน (ปราชญ์มัซฮับหะนะฟียฺ) กล่าวว่า
وَيُكْرَهُ اتِّخَاذُ الضِّيَافَةِ مِنْ الطَّعَامِ مِنْ أَهْلِ الْمَيِّتِ، لِأَنَّهُ شُرِعَ فِي السُّرُورِ لَا فِي الشُّرُورِ، وَهِيَ بِدْعَةٌ مُسْتَقْبَحَةٌ! وَرَوَى الْإِمَامُ أَحْمَدُ وَابْنُ مَاجَهْ بِإِسْنَادٍ صَحِيحٍ عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ " كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصُنْعَهُمْ الطَّعَامَ مِنْ النِّيَاحَةِ"
และการเลี้ยงอาหารแขก จากฝ่ายครอบครัวผู้ตายนั้น เป็นมักรูฮ(น่ารังเกียจ) เพราะแท้จริงมัน(การเลี้ยงอาหารแก่แขก)นั้น ถูกบัญญัติในโอกาสมีความยินดี ไม่ใช่ในยามทุกข์ และมันคือ บิดอะฮที่น่าเกลียด และอิหม่ามอะหมัด,อิบนุมาญะฮได้รายงานด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะจากอิบนุญะรีร บินอับดุลลอฮ ว่าเขากล่าวว่า ““พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกัน ที่ครอบครัวผู้ตาย และการที่พวกเขาทำอาหารกินกัน (หลังจากการตาย)นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(หมายถึงเป็นส่วนหนึ่งจากฐานความผิด การร้องให้คร่ำครวญถึงผู้ตายที่ต้องห้าม ) - ดู รอดดุลมุหตาร อาลัดดุรริลมุคตาร เล่ม 6 หน้า 666
2. มัซฮับมาลิกีย์
มุหัมหมัด บิน มุหัมหมัด บิน อับดุรเราะหมาน อัลหะฏอ็บ กล่าวว่า
وَيَجُوزُ حَمْلُ الطَّعَامِ لِأَهْلِ الْمَيِّتِ فِي يَوْمِهِمْ وَلَيْلَتِهِمْ وَاسْتَحَبَّهُ الشَّافِعِيُّ وَالْأَصْلُ فِيهِ مَا رَوَاهُ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ جَعْفَرٍ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ «اصْنَعُوا لِآلِ جَعْفَرٍ طَعَامًا فَإِنَّهُمْ فَاجَأَهُمْ أَمْرٌ شَغَلَهُمْ» خَرَّجَهُ أَبُو دَاوُد، لِأَنَّ ذَلِكَ زِيَادَةٌ فِي الْبِرِّ وَالتَّوَدُّدِ لِلْأَهْلِ وَالْجِيرَانِ. ِ .
..
และการพาอาหารไปให้แก่ครอบครัวผู้ตาย ในตอนกลางวันและกลางคือนของพวกเขานั้น เป็นที่อนุญาต และอัชชาฟิอี ได้ชอบ(ส่งเสริม)ให้ปฏิบัติมัน และ ที่มา(หลักฐาน)ในมัน(ในการส่งเสริมให้นำอาหารเลี้ยงครอบครัวผู้ตาย)คือ สิ่งที่อับดุลลอฮ บิน ญะอฟัรได้รายงานมัน ว่า แท้จริง นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “พวกท่านจงทำอาหารไปให้แก่ครอบครัวยะอฟัร เพราะแท้จริงพวกเขา นั้น เรื่องที่ทำให้พวกเขามีภาระกิจยุ่ง(หมายถึง การตาย) ได้มาประสบกับพวกเขา –บันทึกโดย อบูดาวูด เพราะดังกล่าวนั้น (หมายถึงการนำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวผู้ตาย) เป็นการเพิ่มในความดีงามและ ความรักใคร่แก่ครอบครัวผู้ตายและเพื่อนบ้านใกล้เคียง
أَمَّا إصْلَاحُ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا وَجَمْعُ النَّاسِ عَلَيْهِ فَقَدْ كَرِهَهُ جَمَاعَةٌ وَعَدُّوهُ مِنْ الْبِدَعِ ; لِأَنَّهُ لَمْ يُنْقَلْ فِيهِ شَيْءٌ وَلَيْسَ ذَلِكَ مَوْضِعَ الْوَلَائِمِ
สำหรับ การที่ครอบครัวผู้ตาย เตรียมอาหาร และ การชุมนุมของบรรดาผู้คน บนมัน นักวิชาการคณะหนึ่ง ได้ถือว่ามันเป็นมักรูฮ และ นับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ เพราะ ไม่มีสิ่งใด(หมายถึงไม่มีหลักฐานใดๆ) ถูกรายงานในมัน และดังกล่าวนั้น ไม่ใช่สถานที่จัดเลี้ยงอาหาร - ดู มะวาฮิบุลญะลีล 2/229
3. มัซฮับชาฟีอีย
อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย(ปราชมัซฮับชาฟิอี) กล่าวว่า
وَمَا اُعْتِيدَ مِنْ جَعْلِ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا لِيَدْعُوا النَّاسَ عَلَيْهِ بِدْعَةٌ مَكْرُوهَةٌ كَإِجَابَتِهِمْ لِذَلِكَ، لِمَا صَحَّ عَنْ جَرِيرٍ كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصُنْعَهُمْ الطَّعَامَ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنْ النِّيَاحَةِ
สำหรับ สิ่งที่เป็นประเพณี จากการที่ครอบครัวผู้ตายทำอาหาร และเชิญบรรดาผู้คน บนมันนั้น เป็นบิดอะฮที่น่ารังเกียจ เช่นเดียวกัน การตอบรับคำเชิญพวกเขา สำหรับดังกล่าว เพราะ มีสิ่งที่เศาะเฮียะ รายงานจาก ญะรีร “ว่า (พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกัน ที่ครอบครัวผู้ตาย และทำอาหารเลี้ยงกัน (หมายถึงหลังจากการฝังผู้ตาย)นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(หมายถึง การร้องให้คร่ำครวญถึงผู้ตายที่ต้องห้าม) – ดู ตุคฟะตุลมุหตาจญ ฟี ชัรห มินฮาจญ เล่ม 3 หน้า 208
4.มัซฮับหัมบะลีย์
อัลบะฮูตีย์ (ปราชญ์มัซฮับฮัมบะลี)กล่าวว่า
وَيَنْوِي فِعْلَ ذَلِكَ لِأَهْلِ الْمَيِّتِ ( لَا لِمَنْ يَجْتَمِعُ عِنْدَهُمْ ، فَيُكْرَهُ ) لِأَنَّهُ مَعُونَةٌ عَلَى مَكْرُوهٍ ، وَهُوَ اجْتِمَاعُ النَّاسِ عِنْدَ أَهْلِ الْمَيِّتِ نَقَلَ الْمَرُّوذِيُّ عَنْ أَحْمَدَ هُوَ مِنْ أَفْعَالِ الْجَاهِلِيَّةِ ، وَأَنْكَرَ شَدِيدًا ، وَلِأَحْمَدَ وَغَيْرِهِ عَنْ جَرِيرٍ وَإِسْنَادُهُ ثِقَاتٌ قَالَ : " كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصَنْعَةَ الطَّعَامِ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنْ النِّيَاحَةِ " .
และให้เขาเนียตการกระทำดังกล่าว(การเลี้ยงอาหาร) ให้แก่ครอบครอบครัวผู้ตาย (ไม่ใช่ให้แก่ผู้ที่มาชุมนุม ณ ที่พวกเขา (หมายถึงที่ครอบครัวผู้ตาย)เพราะเป็นมักรูฮ(เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ) เพราะแท้จริง มันเป็นการข่วยเหลือ บนสิ่งที่เป็นมักรูฮ คือ การชุมนุมของบรรดาผู้คน ที่ครอบครัวผู้ตาย ,อัลมัรวะซีย์ ได้รายงานจากอะหมัดว่า (เขากล่าวว่า) มันคือ ส่วนหนึ่งจากการกระทำของพวกญาฮิลียะฮ และเขาได้คัดค้านอย่างรุนแรง และรายงานของอะหมัดและคนอื่นจากเขา จากญะรีร ด้วยสายรายงานที่เชื่อถือได้ กล่าวว่า (พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกัน ที่ครอบครัวผู้ตาย และทำอาหารเลี้ยงกันหลังจากการฝังผู้ตาย นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(หมายถึง การร้องให้คร่ำครวญถึงผู้ตายที่ต้องห้าม) – - ดู กัชชาฟุลกินาอฺ ของอัลบะฮูตีย์ เล่ม 2 กิตาบุลญะนาอิซ
4. มัซฮับชาฟีอีย
อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย(ปราชมัซฮับชาฟิอี) กล่าวว่า
وَمَا اُعْتِيدَ مِنْ جَعْلِ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا لِيَدْعُوا النَّاسَ عَلَيْهِ بِدْعَةٌ مَكْرُوهَةٌ كَإِجَابَتِهِمْ لِذَلِكَ، لِمَا صَحَّ عَنْ جَرِيرٍ كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصُنْعَهُمْ الطَّعَامَ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنْ النِّيَاحَةِ
สำหรับ สิ่งที่เป็นประเพณี จากการที่ครอบครัวผู้ตายทำอาหาร และเชิญบรรดาผู้คน บนมันนั้น เป็นบิดอะฮที่น่ารังเกียจ เช่นเดียวกัน การตอบรับคำเชิญพวกเขา สำหรับดังกล่าว เพราะ มีสิ่งที่เศาะเฮียะ รายงานจาก ญะรีร “ว่า (พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกัน ที่ครอบครัวผู้ตาย และทำอาหารเลี้ยงกันหลังจากการฝังผู้ตาย นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(หมายถึง การร้องให้คร่ำครวญถึงผู้ตายที่ต้องห้าม) – ดู ตุคฟะตุลมุหตาจญ ฟี ชัรห มินฮาจญ เล่ม 3 หน้า 207(ดูสำเนาที่แนบมา)
>>>>>>>
จากทัศนะของปราชญ์สี่มัซฮับข้างต้น เป็นที่ชัดเจนว่า การทำบุญเลี้ยงอาหารบ้านผู้ตายและเชิญผู้คนมาชุมนุมรับประทานกัน เป็นมักรูฮ และเป็นบิดอะฮ ไม่มีแบบอย่างจากนบี ศอลฯ ไม่มีหนทางใดที่จะหาข้ออ้างให้มันเป็นสุนนะฮได้ นอกจากผู้ที่ส่งเสริมการทำบิดอะฮเท่านั้น เพราะสุนนะฮจากท่านนบี ศ็อลฯ คือ การสงเคราะห์ครอบครัวผู้ตายโดยนำอาหารไปเลี้ยงพวกเขา
จึงแปลกใจว่า "ทำไมครอบครอบผู้ตายที่ไม่เลี้ยงอาหารละแบ กลายเป็นวะฮบีย์ กลายเป็นลูกอกตัญญู การกล่าวหาเช่นนี้คือการอธรรม ต่อพี่น้องมุสลิม ที่บอกว่าตามมัซฮับชาฟิอี ชาฟิอีใหนหรือ หยุดกันการกล่าวหากันเถอะครับ สังคมวิชาการรู้เท่าทันแล้ว
والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม
1/2/63





เอกสารที่แนบมา





 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

สะลัฟห้ามการโต้เถียวเกี่ยววกับสิฟาตอัลลอฮและห้ามเรียนวิชากาลาม

สะลัฟห้ามการโต้เถียวเกี่ยววกับสิฟาตอัลลอฮและห้ามเรียนวิชากาลาม
อิหม่ามอัลบะเฆาวีย์ (436-516)กล่าวว่า
واتفق علماء السلف من أهل السنة على النهي عن الجدال والخصومات في الصفات وعلى الزجر عن الخوض في علم الكلام وتعلمه
และ บรรดาปราชญ์ยุคสะลัฟจาก ชาวสุนนะฮ ได้เห็นฟ้องกัน บนการห้าม โต้เถียงและการทะเลาะกัน ในเรื่องเกียวกับบรรดาคุณลักษณะอัลลอฮ(สิฟาต) และบนการห้าม เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิชากาลามและการเรียนมัน - ชัรหอัสสุนนะฮ ของอิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์ 1/216
..........
ทั้งเพราะสะลัฟเขายืนยันบรรดาสิฟาตตามความหมายภายนอกในทางภาษาที่มีมาตามตัวบท โดยไม่เปรียบกับมัคลูค ไม่อธิบายว่ามีรูปแบบเป็นอย่างไร
ในขณะที่ผู้ยึดแนวคิดอะฮลุลกาลาม คือ การใช้เหตุผลทางปัญญา อธิบายสิฟาต ตีความหมายของสิฟัต ให้กินกับปัญญา ซึ่ง หากสองแนวนี้มาดีเบตกัน ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะใช้หลักการคนละขั้วกัน เถียงกันอย่างไรไม่จบ มีแต่จะเกิดฟิตนะฮ
วิชากาลามคือ อะไร
อิบนุ คอนดูน ได้กล่าวไว้ว่า
عِلْمٌ يَتَضَمّنُ الحِجَاج عَنِ العَقَائِدِ الإيْمَانِيَّةِ بِالأدِلَّةِ العَقْلِيَّةِ
“วิชาที่รวบรวมข้ออ้างต่างๆเกี่ยวกับหลักความเชื่อมั่นของการศรัทธาโดยหลักฐานทางปัญญา” มุก็อดดิมะห์ อิบนิค็อลดูน หน้าที่ 429
กล่าวคือ วิชากาลาม หมายถึงวิชาที่อธิบายหลักความเชื่อ(อะกีดะฮ) เกี่ยวกับคุณลักษณะอัลลอฮ ด้วยปัญญา หลักฐานต่างๆจากอัลกุรอ่านและหะดิษ จะต้องสอดคล้องกับปัญญา หรือกินกับปัญญา เช่น ห้ามแปลว่า ประทับ กลัวและมโนว่าจะเหมือนมัคลูค แล้วตีความเป็นอำนาจปกครอง ต่างกับทัศนะสะลัฟเหมือนหน้ามือ กับหลังเท้า
อิหม่ามอัลบัรบะฮารีย์ กล่าวว่า
وإذا أردت الاستقامة على الحق، وطريق السنة قبلك، فاحذر الكلام، وأصحاب الكلام
และเมื่อท่านต้องการจะยืนหยัดบนสัจธรรม และแนวทางอัสสุนนะฮ ก่อนท่าน ดังนั้น ท่านจงระวังวิชากาลาม และนักวิชากาลาม -ชัรหุอัสสุนนะฮ 1/64-65
สำหรับจุดยืนของอิหม่ามอัชชาฟิอี (ร.ฮ) มีรายงานว่า
. الزُّبَيْرُ الْإِسْتِرَآبَاذِيُّ : حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ يَحْيَى بْنِ آدَمَ بِمِصْرَ ، حَدَّثَنَا ابْنُ عَبْدِ الْحَكَمِ ، سَمِعْتُ الشَّافِعِيَّ يَقُولُ : لَوْ عَلِمَ النَّاسُ مَا فِي الْكَلَامِ مِنَ الْأَهْوَاءِ ، لَفَرُّوا مِنْهُ كَمَا يَفِرُّونَ مِنَ الْأَسَدِ
คำแปลตามตัวบท
อิบนุ อับดิลหะกัม กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้ยิน อัชชาฟิอี กล่าวว่า "ถ้ามนุษย์รู้สิ่งที่อยู่ในวิชากาลามจาก อัลอะฮวาอฺ(บิดอะฮ )แน่นอน พวกเขาจะต้องหนีจากมัน เหมือนกับพวกเขาหนีจากราชสิห์ -ดูสิยัรเอียะลามอัลนุบะลาอฺ 10/16 และ ตาริคมะดีนะฮดะมัซกิ(ดะมัซกัซ) ยุซ 51 หน้า 310 (หัวอิหม่ามมุหัมหมัด บิน อิดริส อัชชาฟิอีย) ดูสำเรนาที่แนบมา
.......
วิชากาลาม เป็นวิชาอันตราย เมื่อนำไปใช้อธิบายเพื่อยืนยัน(อิษบาต)คุณลักษณะอัลลอฮ ด้วยปัญญา และตรรก เหตุนี้เองที่อิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ)เตือนให้ระวัง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/2/63

เอกสารที่แนบมา
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

ชี้แจงกรณีมีการบิดเบือนว่าอิบนุญะรีรตีความสิฟัตอัลอิสติวาอฺ







ชี้แจงกรณีมีการบิดเบือนว่าอิบนุญะรีรตีความสิฟัตอัลอิสติวาอฺ

มีการบิดเบือนว่า อิบนุญะรีร ปราชญ์ยุคสะลลัฟตีความคำว่า استوى (อิสตะวา)ว่าหมายถึงอำนาจปกครอง ขอชี้แจงว่า อิบนุญะรีร ไม่ได้ตีความคำว่า "อิสตะวา"คืออำนาจปกครอง เพราะ การตีความคำนี้ว่าอำนาจปกครองคือพวกแนวคิดญะฮมียะฮ และอาชาอิเราะฮยุคหลังที่เสพแนวคิดญะฮมียะฮและอะฮลุลกาลาม
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า

أخبرنا أحمد بن هبة الله:أخبرنا زين الأمناء الحسن بن محمد أخبرنا أبو القاسم الأسدي أخبرنا أبو القاسم بن أبي العلاء أخبرنا عبد الرحمن بن أبي نصر التميمي أخبرنا أبو سعيد الدينوري مستملي ابن جرير أخبرنا أبو جعفر محمد بن جرير الطبري بعقيدته فمن ذلك:وحسب امرئ أن يعلم أن ربه هو الذي على العرش استوى فمن تجاوز ذلك فقد خاب وخسر.
وهذا(تفسير)هذا الإمام مشحون في آيات الصفات بأقوال السلف على الإثبات لها لا على النفي والتأويل وأنها لا تشبه صفات المخلوقين أبدا.

อะหมัด บิน ฮิบะติลละฮ ได้บอกเราว่า : ซัยนุลอะมะนาอฺ ,อัลหะซัน บิน มุหัมหมัด ได้บอกเรา ว่า อบุลกอซิม อัลอะสะดีย์ ได้บอกเรา ว่า อบุลกอซิม บิน อบี อัลอะลาอฺ ได้บอกเรา ว่า อับดุรเราะหมาน บิน อบี นัศริน อัตตะมีมีย์ ได้บอกเราว่า อบูสะอีด อัดดินาวะรีย์ ผู้ทำหน้าที่เลขาจดบันทึกของอิบนุญะรีร ได้บอกเรา ว่า อบูญะฟัร มุหัมหมัด บิน ญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ได้บอกเรา ด้วยอะกีดะฮของเขา แล้วส่วนหนึ่งจากดังกล่าว คือ "เพียงพอแล้ว สำหรับบุคคล ต่อการที่เขารู้ว่า แท้จริงพระเจ้าของเขา คือ ผู้ที่ทรงอยู่สูง บน บัลลังก์ ผู้ใดเกินเลยดังกล่าว แน่นอนเขาล้มเหลวและขาดทุน"
(อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) นี้คือ ตัฟสีรของอิหม่ามคนนี้ ในบรรดาอายาตสิฟาต เต็มไปด้วย บรรดาคำพูดของสะลัฟ บนการยืนยัน มัน(หมายถึงยืนยันบรรดาอายาตสิฟาต) ไม่ใช่บนการปฏิเสธ และการตีความ (ตะวีล) และแท้จริง มัน(บรรดาสิฟาตอัลลอฮ)ไม่เหมือนกับบรรดาสิฟาตของบรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง ตลอดไป - ดู สิยารเอียะลามอัลนุบะลาอฺ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ยุซที่ 14 หน้า 280
สรุป
1.ในทัศนะของอิหม่ามอิบนุญะรีร คือ พระเจ้า ทรงอยู่สูงเหนือบัลลังก์ ใครเกินเลยไปกว่านี้ อิบนุญะรีรบอกว่า แน่นอนเขาล้มเหลวและขาดทุน
2. อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ยืนยันว่า ตัฟสีรของอิบนุญะรีร ในบรรดาอายาตสิฟาต เต็มไปด้วยทัศนะของปวงปราชญ์ยุคสะลัฟ ที่รับรอง บรรดาอายาตที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮ โดยไม่ปฏิเสธ,ไม่ตีความ และไม่เปรียบกับบรรดาสิฟาตของมัคลูค
อนึ่ง ความหมายของคำว่า "อิสตะวา ที่ตามด้วย อะลา ( استوى على )ที่อิหม่ามอิบนุญะรีเลือกคือ "การอยู่สูง เหนืออะรัช"
คือ ท่านอัฏเฏาะบะรีย์ได้เลือกความหมายที่ว่า
وَأَوْلَى الْمَعَانِي بِقَوْلِ اللَّهِ جَلَّ ثَنَاؤُهُ : " ثُمَّ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ فَسَوَّاهُنَّ " عَلَا عَلَيْهِنَّ وَارْتَفَعَ ، فَدَبَّرَهُنَّ بِقُدْرَتِهِ ، وَخَلَقَهُنَّ سَبْعَ سَمَاوَاتٍ
“บรรดาความหมายที่ดีที่สุด จากคำตรัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า “จากนั้นพระองค์ทรงอิสตะวาไปสู่ฟากฟ้าแล้วพระองค์ก็ทรงบันดาลพวกมัน” หมายถึง ทรงอยู่สูง เหนือบรรดาฟากฟ้า และ สูงขึ้น แล้วพระองค์ก็ทรงบริหารจัดการบรรดาชั้นฟ้าด้วยเดชานุภาพของพระองค์และทรง สร้างพวกมันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า” อิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์, ตัฟซีรอัฏเฏาะบะรีย์, 430.
.................
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า อิบนุญะรีร ปราชญยุคสะลัฟตีความ คำว่า อิสตะวา คือ อำนาจปกครอง " คือการอ้างบิดเบือนอะกีดะฮอิบนุญะรีร
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/1/63

หลักฐานอ้างอิง

 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

อะกีดะฮย้อนแย้งปลอดภัยจริงหรือ?




อะกีดะฮย้อนแย้งปลอดภัยจริงหรือ?
อะกีดะฮคนบางจำพวก ย้อนแย้ง ขัดขาตัวเอง โดยอ้างว่า อัลลอฮ ทรงมี โดยไม่อยู่ในอาลัม ไม่อยู่นอกอาลัม ไม่อยู่บน ไม่อยู่ล่าง ไม่อยู่ซ้าย ไม่อยู่ขวา ไม่อยู่หน้า ไม่อยู่หลัง สรุป คือ อะกีดะฮขัดขาตัวเอง หรือย้อนแย้ง บอกว่ามี แต่คำอธิบายตามตรรก ทางปัญญา กลายเป็นการปฏิเสธว่าไม่มี ซึ่ง การอ้างแบบนี้ไม่มีในคำสอนอิสลาม
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وقال متأخري المتكلمين : أن الله تعالى ليس في السماء ، ولا على العرش ، ولا على السماوات ، ولا في الأرض ، ولا داخل العالم ولا خارج العالم ، ولا هو بائن عن خلقه ولا متصل بهم . وقالوا جميع هذه الأشياء صفات الأجسام والله تعالى منزه عن الجسم .
และนักวิภาษวิทยายุคหลัง กล่าวว่า "แท้จริงอัลลอฮตาอาลาไม่ได้อยู่บนฟ้า ไม่ได้อยู่บนบัลลังก์ ไม่ได้อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และไม่ได้อยู่บนพื้นดิน ,ไม่ได้อยู่ในอาลัม(สากลจักรวาล) และไม่ได้อยู่นอกอาลัม พระองค์ไม่ได้แยกจากมัคลูคของพระองค์ และไม่ได้เป็นผู้ติดต่อกับพวกเขา และพวกเขา(อะฮลุลกาลามยุคหลัง) กล่าวว่า สิ่งต่างๆทั้งหมดนี้ คือบรรดาลักษณะของบรรดาเรือนร่าง และอัลลอฮตาอาลาคือผู้บริสุทธิ์จากเรีอนร่าง
قال لهم أهل السنة والأثر : نحن لا نخوض في ذلك ونقول ما ذكرناه اتباعا للنصوص ، وإن زعمتم ... ولا نقول بقولكم ، فإن هذه السلوب نعوت المعدوم ، تعالى الله جل جلاله عن العدم ، بل هو موجود متميز عن خلقه ، موصوف بما وصف به نفسه من أنه فوق العرش بلا كيف "
อะลุสสุนนะฮวัลอะษัร (ผู้ปฎิบัติตามอัสสุนนะฮและร่องรอยของสะลัฟผู้ทรงธรรม) กล่าวกับพวกเขาว่า " เราจะไม่เข้าไปยุ่งในดังกล่าว และเราจะกล่าว สิ่งที่เราได้ระบุมัน โดยการปฏิบัติตามบรรดาตัวบท และแม้ว่า พวกท่านมั่นใจก็ตาม และเราจะไม่กล่าวด้วยคำพูดของพวกท่าน (หมายถึงของพวกอะฮลุลกาลามยุคหลัง) เพราะแท้จริง วิธีการเหล่านี้ คือ บรรดาลักษณะที่ไม่มี ,อัลลอฮผู้ซึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์สูงส่งยิ่ง บริสุทธิ์จากการไม่มี ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงมี ทรงเป็นผู้แยกจากมัคลูคของพระองค์ ทรงเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะ ด้วยสิงที่ทรงพรรณาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน ว่าแท้จริงพระองค์ ทรงอยู่เหนือบัลลังก์ โดยไม่อธิบายรูปแบบเป็นอย่างไร - อัลอุลูว์ ลิอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 182 -183 และตัฟสีร อัลกอซิมีย์ ของมุฮัมหมัด ญะมาลุดดีน อัลกอซิมีย์ หน้า 228
...........
สรุป
1.อะดะฮ บรรดาพวกวิภาษวิทยา(อะฮลุลกาลาม)ยุคหลัง คือ อัลลอฮตาอาลาไม่ได้อยู่บนฟ้า ไม่ได้อยู่บนบัลลังก์ ไม่ได้อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และไม่ได้อยู่บนพื้นดิน ,ไม่ได้อยู่ในอาลัม(สากลจักรวาล) และไม่ได้อยู่นอกอาลัม พระองค์ไม่ได้แยกจากมัคลูคของพระองค์ และไม่ได้เป็นผู้ติดต่อกับพวกเขา
2. อะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮวัลอะษัร จะไม่เชื่อแบบอะฮลุลกาลาม แต่ยึดตามบรรดาตัวบท เพราะลักษณะที่เกิดจากตรรกอะฮลุลกาลามที่ระบุข้างต้นนั้น คือบรรดาลักษณะที่ไม่มี และอัลลอฮบริสุทธิ์จากลักษณะที่ไม่มี(العدم )
3. อะฮลุสสุนนะฮวัลอะษัร เชื่อว่า อัลลอฮทรงมี ทรงเป็นผู้แยกจากมัคลูคของพระองค์ ทรงเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะ ด้วยสิงที่ทรงพรรณาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน ว่าแท้จริงพระองค์ ทรงอยู่เหนือบัลลังก์ โดยไม่อธิบายรูปแบบเป็นอย่างไรหรือจะไม่ถามว่าเป็นอย่างไร
แปลก ยอมรับว่า พระเจ้ามี พระเจ้ามีซาต(ตัวตน) แต่พวกตรรกตามแนวคิดอะฮลุลกาลาม กลับใช้ตรรกทางปัญญา อธิบายให้กินกับปัญญาจนเกิดการย้อนแย้งขัดขาตัวเอง -นะอูซุบิลละฮ ตามตัวบทไม่เอาแต่จะเอาตามตรรกก็ช่วยไม่ได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/1/63

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

รซูลุลลอฮ คือครูต้นแบบแห่งมนุษย์ชาติ







ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ




รซูลุลลอฮ คือครูต้นแบบแห่งมนุษย์ชาติ
ชัยค์อับดุลฟัตตาหฺ อบูฆุดดะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
نص القران الكريم على كون الرسول صلى الله عليه وسلم معلم للناس والبشرية جميعا على أميته وصحراويتة بيئته قال تعالى ﴿ هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِنْ كَانُوا مِنْ قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُبِينٍ ﴾ [الجمعة: 2]
อัลกุรอ่านอันทรงเกียติ ได้ระบุ ถึง การที่ท่านรซูลุลลอฮ เป็นครูของมนุษย์ชาติ และมนุษย์ทั้งหมด บนการอ่านเขียนไม่เป็นของท่าน บนสภาพสังคมที่เป็นทะเลทรายของท่าน ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งร่อซูลขึ้นคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้จักหนังสือจากพวกเขาเองเพื่อสาธยายอายาตต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเขา และทรงทำให้พวกเขาผุดผ่อง และทรงสอนคัมภีร์และความสุขุมคัมภีร์ภาพแก่พวกเขา และแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งก็ตาม-ซูเราะฮญุมอะฮอายะฮที่ 2 - ดู อัรรอซูลอัลมุอัลลิม หน้า 8
........
อัลกุรอ่าน ได้ระบุถึงท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ที่เป็นครูของมวลมนุษย์ บนสภาพที่ท่านเองเป็นผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้และอยู่ในสภาพสังคมแวดล้อมที่เป็นทะเลยทราย
เพราะเหตุนี้ ชี้ให้เห็นว่า ทุกถ้อยคำที่ท่านรอซูล ศ้อลฯสอนนั้น มันมาจากวะหยู (วิวรณ์)ของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้มาจาก ความคิดและการแต่งเรื่องด้วยน้ำมือของท่านเอง ทั้งนี้เพราะท่านเป็นคนที่อุมมีย์ (คือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่เคยเรียนหนังสือ)
ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَمَا يَنطِقُ عَنِ الْهَوَى إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى (النجم/3-4)
“และเขามิได้พูดตามอารมณ์ อัล-กุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา”
ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ กล่าวว่า
إن الله لم يبعثني معنتا ولامتعنتا ولكن بعثني معلما ميسرا
แท้จริงอัลลอฮไม่ได้แต่งตั้งฉันมา เพื่อให้เป็นผู้นำความยุ่งยากและสร้างความลำบาก แต่ทรงแต่งตั้งฉันมา ให้เป็นครูที่นำความสะดวกง่ายดาย -รายงานโดยมุสลิม
ท่านมุอาวิยะฮ บิน อัลหะกัม (ร.ฎ)กล่าวยกย่อง ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯว่า
فبأبي هو وأمي، ما رأيت معلماً قبله ولا بعده أحسن تعليماً منه، فوالله ما كَهَرني، ولا ضربني، ولا شتمني،
ขอสาบานด้วยนามพระเจ้าที่สร้างพ่อและแม่ของฉัน ฉันไม่เคยเห็นครูคนใด ก่อนเขาและหลังจากเขา ที่สอนดียิ่งเป็นกว่าเขา(หมายถึงยิ่งไปกว่ารซูลุลลอฮ) เขา(รซูลุลลอฮ)ไม่เคยรังเกียจฉัน เขาไม่เคยเฆี่ยนตีฉัน .และเขาไม่เคยด่าฉัน- รายงานโดยมุสลิม
..........
ท่านมุอาวิยะฮ บิน อัลหะกัม ได้ชื่นชมท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯว่า ท่านเป็นครูที่สอนดี ไม่เคยเห็นใครที่สอนดีเท่าท่านรอซูล ศ็อลฯ ท่านไม่เคยรังเกียจ,ไม่เคยตี ไม่เคยดุด่า
ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯคือ ครูต้นแบบที่แท้จริงที่เป็นแบบอย่างแก่ครูทั้งโลก
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/1/63

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563

สามารถเห็นท่านนบีหลังจากเสียชีวิตในขณะที่ตื่นจริงหรือ

หลังจากท่านนบี ศ็อลฯเสียชีวิต คนเป็นวะลียุลลอฮสามารถเห็นในขณะตื่นจริงหรือ

มีโต๊ะครูท่านหนึ่ง ได้อ้างหะดิษต่อไปนี้ ยืนยันว่า ท่านฮะบีบอาลี อัลญุฟรี ปราชญ์ซูฟีย์ ที่เป็นทีรู้จักในหมู่ชาวซูฟีฏอรีกัตในปัจจุบัน ได้เห็นท่านนบี ศ็อลฯ และท่านนบี ได้สนทนากับเขาในขณะที่เขาตื่น โดยอ้างหะดิษต่อไปนี้สนับสนุนคือ
รายงานจากอะบูฮุร็อยเราะฮฺว่าท่าน ร่อซู้ล ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 
مَنْ رآنِي في المنامِ فسَيَرَانِي في اليقظةِ ولا يَتَمَثَّلُ الشيطانُ بِي

"ผู้ใดฝันเห็นฉันในขณะหลับ เขาย่อมเห็นฉันในขณะตื่น และชัยฏอนไม่สามารถเลียนอบบฉันได้" บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม
@@@@@@
ชี้แจง
ท่านครูโมเมเข้าใจหะดิษข้างต้นผิด เพราะคำว่า

فسَيَرَانِي في اليقظةِ
 
คำแปลที่ถูกต้องคือ เขาจะได้เห็นฉัน ในขณะตื่น
และหะดิษข้างต้น หมายถึง การเห็นท่านนบี ในขณะที่ฝัน นั้น เหมือนกับเห็นท่านนบี ขณะที่ตื่น เพราะชัยฏอนไม่สามารถแปลงร่างหรือเลียนแบบ ให้เหมือนกับท่านนบีได้ การฝันเห็นนบี ศ็อลฯ จึงเป็นการเห็นตัวจริงของท่านนบี
หะดิษนี้ไม่ใช่หลักฐานว่า คนเป็นวะลียุลลอฮ สามารถเห็นนบี ขณะที่ตื่นได้ อย่างที่คุณครูท่านนี้ อ้างแต่อย่างใด
มาดู ในสำนวนที่รายงานโดยมุสลิม หมายเลข 6057 คือ
من رآني في المنام فسيراني في اليقظة – أو: فكأنما رآني في اليقظة
ผู้ใดเห็นฉันในความฝัน เขาจะได้เห็นฉัน ในขณะตื่น หรือ เหมือนกับเขาเห็นฉันในขณะตื่น
อีกรายงานหนึ่ง คือ
سَمُّوا باسْمِي ولا تَكْتَنُوا بكُنْيَتِي، ومَن رَآنِي في المَنامِ فقَدْ رَآنِي، فإنَّ الشَّيْطانَ لا يَتَمَثَّلُ في صُورَتِي، ومَن كَذَبَ عَلَيَّ مُتَعَمِّدًا فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ.
พวกท่านจงตั้งชื่อด้วยด้วยชื่อของฉัน และอย่าได้ใช้นามแฝง ด้วยนามแฝงของฉัน และผู้ใดเห็นฉันในความฝัน แน่นอนเขาได้เห็นฉันจริง เพราะแท้จริงชัยฏอน จะไม่แปลงกายเลียนแบบในรูปของฉัน และผู้ใดอุปโลกน์คำเท็จแก่ฉัน โดยเจตนา เขาจงเตรียมที่อยู่ของเขาจากนรก – รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี หมายเลข 6197
,
ในสุนัน อิบนุมาญะฮ หมายเลข 3904 ระบุว่า
من رآني في المنام فكأنما رآني في اليقظة . إن الشيطان لا يستطيع أن يتمثل بي
ผู้ใดเห็นฉันในความฝัน ก็เสมือนหนึ่งเขาเห็นฉันในขณะตื่น เพราะ ชัยฏอนไม่สามารถ เลียนแบบเหมือนฉันได้
..........
เพราะฉะนั้น การที่อ้างว่า วะลียุลลอฮ สามารถเห็นนบี ในขณะตื่น เป็นการเข้าใจหะดิษไม่ถูกต้อง และการผูกเรื่องขึ้นมาว่า อุลามาอฺซูฟีย์คนหนึ่งได้เห็นนบีขณะตื่นนั้น เป็นโกหก
อัลลามะฮมุหัมหมัดอัลกอสฏอลานีย์ (ฮ.ศ 851-923) กล่าวว่า
واما رؤته صلى الله عليه وسلم في اليقظة بعد موته صلى الله عليه وسلم فقال شيخنا لم يصل إلينا ذلك عن أحد من الصحابة ولا عمن بعدهم وقد اشتد حزن فاطمة عليه‏ صلى الله عليه وسلم حتى ماتت كمدًا بعده بستة أشهر على الصحيح وبيتُها مجاور لضريحه الشريف ولم تنقل عنها رؤيته في المدة التي تأخرتها عنه

และสำหรับการเห็นนบี ศ็อลฯ ในขณะตื่น หลังจากที่ท่านนบี ศ็อลฯเสียชีวิตไปแล้วนั้น ,อาจารย์ของเรา(หมายถึงอิหม่ามอัสสะคอวีย์) ได้กล่าวว่า “ดังกล่าวนั้น (หมายถึงการอ้างว่าเห็นนบีขณะตื่น) ไม่ได้มีรายงานถึงมายังเรา จากเศาะหาบะฮคนใด และ ไม่ได้มีรายงานจากผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขาและแท้จริง ท่านหญิงฟาฏิมะฮมีความโศกเศร้า ต่อการเสียชีวิตของท่านนบี ศ็อลฯ เป็นอย่างมาก จนกระทั้งนางได้เสียชีวิต หลังจากท่านนบีเสียชีวิต 6 เดือน ตามรายงานที่เศาะเฮียะ และบ้านของนาง ใกล้เคียงกับหลุมศพของท่านนบีอันทรงเกียรติ โดยที่ไม่ได้ถูกรายงานจากนาง ว่า เห็นท่านนบี ในเวลาที่นางมีชีวิตอยู่หลังจากการเสียชีวิตของท่านนบี – อัลมะวาฮิบ อัลละดูนีย์ เล่ม 2 หน้า 669 (ดูสำเนาที่แนบมา)
............
สรุปคือ
1.การอ้างว่า การเห็นนบี ในขณะที่ตื่น (ไม่ได้ฝัน) หลังจากที่ท่านนบี ศ็อลฯ เสียชีวิตแล้วนั้น ไม่มีรายงานจากเศาะหาบะฮและผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา
2. ท่านหญิงฟาฏิมะฮ (ร.ฎ) โศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของท่านนบี ศ็อลฯเป็นอย่างมาก และบ้านของท่านก็อยู่ใกล้กับกุโบร์ของท่านนบี ศ็อลฯ ไม่ปรากฏว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ ได้เห็นท่านนบี หลังจากที่ท่านนบีได้เสียชีวิตไปแล้วเลย
........
นำมาเสนอให้พี่น้องได้อ่านกัน จากข้อเท็จจริง ไม่ใช่ปิดตาตามแบบหลับหูหลับตา ใครว่าอย่างไรฉันก็ว่าอย่างนั้น หมดยุค เอานิทานมาอ้างเป็น คำสอนศาสนากันแล้ว





อะสัน หมัดอะดั้ม
14/1/62





เอกสารอ้างอิง





 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การตะบัรรุก เฉพาะกับท่านนบีเท่านั้น

การตะบัรรุกกับร่างกายและบรรดาร่องรอยเป็นกรณีเฉพาะกับท่านนบีเท่านั้น
ขอชี้แจงว่า การตะบัรรุก หรือ การขอความเจริญจากอัลลอฮ ด้วยบุคคลและร่องรอยของบุคคลคลนั้น เราไม่ได้ค้านเกี่ยวกับการตะบัรรุกต่อท่านนบี แต่กับคนอื่นเราไม่เห็นด้วย ดังหลังฐานข้างล่าง
อิหม่ามอัชชาติบีย์กล่าวว่า
الصحابة رضي الله عنهم بعد موته عليه الصلاة والسلام لم يقع من أحد منهم شيء من ذلك بالنسبة إلى من خلفه، إذ لم يترك النبي صلى الله عيه وسلم بعده في الأمة أفضل من أبي بكر الصديق رضي الله عنه، فهو كان خليفته، ولم يفعل به شيء من ذلك، ولا عمر رضي الله عنه، وهو كان أفضل الأمة بعده، ثم كذلك عثمان، ثم علي، ثم سائر الصحابة الذين لا أحد أفضل منهم في الأمة، ثم لم يثبت لواحد منهم من طريق صحيح معروف أن متبركا تبرك به على أحد تلك الوجوه أو نحوها ـ يقصد التبرك بالشعر والثياب وفضل الوضوء ونحو ذلك ـ، بل اقتصروا فيهم على الاقتداء بالأفعال والأقوال والسير التي اتبعوا فيها النبي صلى الله عيه وسلم ، فهو إذا إجماع منهم على ترك تلك الأشياء
บรรดาเศาะหาบะฮ (ร.ฎ)นั้น หลังจากที่นบี ศอ้ลฯ เสียชีวิต ก็ไม่ได้มีสิ่งใดๆ เกิดขึ้นจากคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา จากดังกล่าว(จากการตะบัรรุก) ด้วยการอ้างผู้ที่อยู่ยุคหลังจากท่านนบี ขณะที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ไม่ได้ทิ้งไว้ ในอุมมะฮนี้ หลังจากท่านได้เสียชีวิต ที่ประเสริฐ ไปกว่า อบีบักรฺอัศศิดดีก (ร.ฎ) โดยที่เขาเป็นเคาะลิฟะฮของท่านนบี และไม่มีสิ่งใดถูกปฏิบัติกับเขา(อบูบักร) จากดังกล่าว (หมายถึงการตะบัรรุก) และ ไม่ได้ถูกปฏิบัติกับท่านอุมัร(ร.ฎ) โดยที่ท่านอุมัร เป็นอุมมะฮที่ประเสริฐ รองจากเขา(รองจากอบูบักร) ต่อมาก็ในทำนองเดียวกัน อุษมาน ,อาลี และบรรดาเศาะหาบะฮอื่นๆที่ไม่มีใครประเสริฐกว่าพวกเขาในอุมมะฮนี้ ต่อมา ไม่มีการยืนยัน สำหรับคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา จากสายรายงานที่เศาะเฮียะ ที่เป็นที่รู้จัก ว่า ผู้ที่ทำการตะบัรรุก(ขอความเป็นบะเราะกัต) ได้ทำการตะบัรรุก กับเขา บนวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือในทำนองนั้น เจตนา ทำการตะบัรรุก(ขอความจำเริญ) ด้วยผม ,เสื้อผ้า ,น้ำเหลือจากการการอาบน้ำละหมาด และในทำนองนั้น แต่ทว่า พวกเขาได้พอเพียง บนการปฏิบัติตาม การกระทำและคำพูด และดำเนินตาม ที่พวกเขาได้ปฏิบัติตามนบี ศอ็ลฯ ในมัน ดังนั้น มันคือ มติเอกฉันท์จากพวกเขา(เหล่าเศาะหาบะฮ) บนการละทิ้งบรรดาสิ่งต่างๆดังกล่าวนั้น -อัลเอียะติศอม ๑/๓๑๐
………………………….
หลังจากท่านนบี ศอลฯ เสียชีวิต ก็ไม่มีเศาะหาบะฮคนใด ทำการตะบัรรุก กับอบูบัก ,อุมัร ,อุษมาน ,อาลี และเหล่าสาวกที่สำคัญๆเลย แต่ทว่า พวกเขาพอเพียงอยู่กับการเจริญรอยตามสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติตามนบี ศอลฯ ดังนั้น การละทิ้งจากการขอบะกัต(ตะบัรรุก) กับบุคคลที่นอกเหนือจากนบี จึงเป็นอิจญมาอฺจากเหล่าเศาหาบะฮ
อิบนุเราะญับ(ร.ฮ)กล่าวว่า
وكذلك التبرك بالآثار؛ فإنما كان يفعله الصحابة رضي الله عنهم مع النبي صلى الله عليه وسلم ولم يكونوا يفعلونه مع بعضهم ببعض ولا يفعله التابعون مع الصحابة، مع علو قدرهم. فدل على أن هذا لا يفعل إلا مع النبي صلى الله عليه وسلم مثل: التبرك بوضوئه وفضلاته وشعره وشرب فضل شرابه وطعامه.
และในทำนองเดียวกันนั้น การตะบัรรุก(การขอความจำเริญ) ด้วยบรรดาร่องรอย ความจริงปรากฏว่า บรรดา เศาะหาบะฮ (ร.ฎ) ได้กระทำมัน(ได้ทำการตะบัรรุก) กับท่านนบี ศอ็ลฯ โดยที่พวกเขา(เหล่าเศาะหาบะฮ)ไม่ได้ กระทำมัน (ไม่ได้ตะบัรรุก) ต่อกันและกัน ,บรรดาตาบีอีน ไม่ได้กระทำการตะบัรรุก ต่อเศาะหาบะฮ ทั้งที่พวกเขามีฐานะที่สูง ก็แสดงให้เห็นว่า กรณีนี้ (หมายถึงการขอบะเราะกัต) มันจะไม่ถูกปฏิบัติ นอกจาก ต่อท่านนบี ศอ็ลฯเท่านั้น เช่น การตะบัรรุก (เอาบะเราะกัต)ด้วยน้ำละหมาดนบี ,น้ำที่เหลือจากนบี ,เส้นผมนบี ,เครื่องดื่มนบี ,เครื่องดื่มที่เหลือของนบี และอาหารของท่าน
- อัลญะดีเราะฮ บิล อิซาอะฮ หน้า 55 ของอิบนุเราะฮญับ (ดูสำเนาที่แนบมา)
..............
ข้างต้น อิบนุเราะญับได้ยืนยันว่า ในสมัยนบี ศอ็ลฯ บรรดาเศาะหาบะฮได้ทำการตะบัรรุก หมายถึงขอความจำเริญต่ออัลลอฮ ต่อ ตัวนบี เส้นผมนบี หรืออื่นๆของนบี ศอ็ลฯ แต่พวกเขาไม่ได้ทำการตะบัรรุกต่อเศาะบะฮด้วยกัน และพวกตาบิอีน ที่เป็นสานุศิษย์ ของเศาะหาบะฮ ก็ไม่ได้ทำการตะบัรรุก ต่อ เศาะหาบะฮ นี้แสดงถึงเป็นกรณีเฉพาะนบี
การตะบัรรุก เป็นอิบาดะฮ หลักการอิบาดะฮ ต้อง หยุดอยู่คำสั่ง และปฏิบัติตาม ไม่ใช่คิดแนวทางคำสอนเอง แล้วไปตะบุรรุกกับคนนั้นคนนี้ โดยที่ไม่มหลักฐานสอนไว้
อะสัน หมัดอะดั้ม
13/1/63

เอกสารอ้างอิง

 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

อนุญาตให้ตะบัรรุกกับร่องรอยของท่านนบีได้หรือไม่


อนุญาตให้ตะบัรรุกกับร่องรอยของท่านนบีได้หรือไม่
اتَّفَقَ الْعُلَمَاءُ عَلَى مَشْرُوعِيَّةِ التَّبَرُّكِ بِآثَارِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، وَأَوْرَدَ عُلَمَاءُ السِّيرَةِ وَالشَّمَائِل وَالْحَدِيثِ أَخْبَارًا كَثِيرَةً تُمَثِّل تَبَرُّكَ الصَّحَابَةِ الْكِرَامِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ بِأَنْوَاعٍ مُتَعَدِّدَةٍ مِنْ آثَارِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
บรรดานักปราชญ์เห็นฟ้อง บนการบัญญัติของการตะบัรรุกด้วยบรรดาร่องรอย ของท่านนบี ศ็อลฯ และ บรรดาปราชญ์ด้านอัตขีวประวัติและบรรดาลักษณะนิสัยส่วนตัว(ของท่านนบี) และหะดิษ ได้รายงาน บรรดาคำบอกเล่ามากมาย เกี่ยวกับบรรดาตัวอย่างการตะบัรรุกของเหล่าเศาะหาบะฮ ผู้ทรงเกียรติ (ร.ฎ) ด้วยบรรดาชนิดต่างๆจำนวนมากมายจากบรรดาร่องรอยของท่านนบี ศ็อลฯ - อัลเมาซูอะฮ อัลฟิกฮียะฮ เล่ม 10 หน้า 70
ประเด็นปัญหาคือ ร่องรอยต่างๆที่เป็นของนบี ศ็อลฯจริงๆยังอยู่อีกไหม?
ชัยค์นาศิรุดดีน อัลอัลบานีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
نحن نعلم أن آثاره صلى الله عليه وسلم، من ثياب، أو شعر، أو فضلات، قد فقدت، وليس بإمكان أحد إثبات وجود شيء منها على وجه القطع واليقين
เรานั้น เรารู้ว่า แท้จริงบรรดา ร่องรอยของท่านนบี ศ็อลฯ เช่น เสื้อผ้า ,เส้นผม ,หรือ บรรดาสิ่งที่เหลืออยู่ มันได้สูญหายไปแล้ว และ ไม่มีคนใดสามารถยืนยัน การมีอยู่ของสิ่งใดๆจากมัน บน ด้านที่เด็กขาดและแน่นอน -อัตตวัสซูล ของ อัลอัลบานีย์ หน้า 144 (ดูสำเนาที่แนบมา)
........
ท่านนบี ศ็อลฯ เสียชีวิตมานานถึง 14 ศตวรรษ แล้ว จริงหรือ ว่าเส้นผมและเครื่องใช้อื่นๆของท่านนบี จะยังคงอยู่จริงในปัจจุบัน
ชัยค์อับดุรเราะหมาน นาศีร อัลบะร็อก (หะฟิเซาฮุลลอฮ)กล่าวว่า
أغلب ما يذكر ويحفظ في بعض المتاحف وغيره مما ينسب إلى رسول الله من سيف أو عصا أو غير ذلك فكلام كثير من المحققين والمؤرخين وغيرهم أنه لا أصل له، وليس عليه أي دليل، ومن ثم فينبغي للإنسان أن يحذر من تصديق مثل هذه الأشياء فضلاً عن التبرك بها مع عدم ثبوتها
ส่วนใหญ่สิ่งที่ถูกกล่าวถึงและที่ถูกรักษาไว้ใน พิพิธภัณฑ์ และอื่นจากนั้น จากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรซูลุลลอฮ เช่น ดาบ ,ไม้เท้า หรืออื่นจากนั้น คำพูดของบรรดาผู้ได้รับการรับรองและนักประวัติศาสตร์ส่วนมากและอื่นจากพวกเขา ว่า “แท้จริง ไม่มีที่มาสำหรับมัน และไม่มีหลักฐานใด ยืนยันบนมัน และด้วยเหตุนี้ สมควรแก่บรรดาผู้คน จะต้องระวัง การเชื่อ/ยอมรับ เช่นบรรดาสิ่งต่างๆเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการทำการตะบัรรุกด้วยมัน ทั้งๆที่ไม่มีความแน่นอนของมัน (ว่าเป็นของแท้)
https://sh-albarrak.com/article/1315
....................
เราจะเห็นมีคนนำ ดาบนบี ผมนบี แหวนนบี และอื่นๆที่เกียวกับท่านนบี ศอ็ลฯ แต่สิ่งเหล่านี้มาแสดง ก็ไม่ได้การยืนยันว่าของนบีจริง เพียงแต่บอกต่อๆกันเท่านั้น
ตะบัรรุก(ขอการเพิ่มพูนความดีจากอัลลอฮ)ด้วยการปฏิบัติอิบาดะฮที่เป็นสุนนะฮที่ชัดเจน ย่อมปลอดภัยกว่า
อะสัน หมัดอะดั้ม
13/1/63

เอกสารอ้างอิง
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

 

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563

อัลลอฮและมลาอิกะฮเศาะลาวาตให้แก่ผู้ที่โพกผ้าสาระบันจริงหรือ

อัลลอฮและมลาอิกะฮเศาะลาวาตให้แก่ผู้ที่โพกผ้าสาระบันในวันศุกร์จริงหรือ?
มีสถาบันสอนศาสนาแห่งหนึ่งได้ อ้างหะดิษที่ว่า
وَقَالَ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِنَّ اللهَ وَمَلاَئِكَتَهُ يُصَلُّوْنَ عَلَى أَصْحَابِ الْعَمَائِمِ يَوْمِ اْلجُمُعَةِ
ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้รับสั่งไว้ว่า “แท้จริงอัลเลาะฮ์ (ซบ.) เจ้า และมะลาอิกัต จะทรงประสาทพรพร้อมทั้งยกย่องให้เกียรติ ตลอดจนขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ที่ใช้ผ้าสะระบั่นในวันศุกร์
............
วิจารณ์หะดิษข้างต้น เป็นหะดิษปลอม(เมาฎัวะ)
فحديث أبي الدرداء أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: إن الله وملائكته يصلون على أصحاب العمائم يوم الجمعة. رواه بهذا اللفظ الطبراني في (الكبير)، والديلمي في (الفردوس)، وأبو نعيم في (الحلية)، وهذا حديث موضوع مكذوب على النبي صلى الله عليه وسلم.
หะดิษอบีดัรดาอฺที่ระบุว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ (ซบ.) เจ้า และมะลาอิกัต จะทรงประสาทพรพร้อมทั้งยกย่องให้เกียรติ ตลอดจนขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ที่ใช้ผ้าสะระบั่นในวันศุกร์ -รายงงานด้วยสำนวนนี้ โดย อัฏฏ็อบรอนีย์ ใน(อัลกะบีร) ,อัดดัยละมีย์ ใน(อัลฟิรเดาส์) และอบูนุอัยม ใน(อัลหิลยะฮ ) และนี้คือหะดิษเมาฎัวะ (หะดิษที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา)มักซูบ(ถูกนำมาอ้างเท็จ)ให้แก่ท่านนบี ศ็อลฯ
قال الهيثمي في (مجمع الزوائد): وفيه أيوب بن مدرك قال ابن معين : إنه كذاب.
อัลหัยษะมีย์ ได้กล่าวไว้ใน(มัจญมะอุซซะวาอิด )ว่า ในสายรายงาน มีผู้รายงานชื่อ อัยยูบ บิน มุดร็อก ,อิบนุมุอีน ได้กล่าวว่า "แท้จริงเขาผู้นี้คือจอมโกหก
وقال الألباني في (السلسلة الضعيفة): موضوع.
และอัลอัลบานีย์ ได้กล่าวไว้ใน(อัสสิสิละละฮอัฎเฎาะอีฟะฮ)ว่า เมาฎัวะ(เป็นหะดิษปลอม) -วัลลอฮุอะอลัม
والله أعلم
อิบนุลเญาซีย์ (ร.ฮ) ได้กล่าวเกี่ยวกับผู้รายงานที่ชื่อ อัยยูบ บิน มุดริก อัลหะนะฟีย์ผู้ที่รายงานหะดิษข้างต้น ว่า
قال يحيى بن معين: هو كذاب." وقال أبو حاتم والدارقطني: متروك.
ยะหยา บิน มุอีน ได้กล่าวว่า "เขาคือจอมโกหก และอบูหาติม และอัดดารุลกุฏนีย์ ได้กล่าวว่า มัตรูก (ผู้ที่หะดิษของเขาถูกทิ้ง)-ดู กิตาบอัลเมาฎูอาต ของอิบนุลเญาซีย์ 2/ 403(ดูสำเนาที่แนบมา
นำมาเสนอให้ผู้อ่านได้ศึกษา ให้ระวังหะดิษเฎาะอีฟและหะดิษปลอมที่ถูกนำมาเผยแพร่ ยุคนี้ เป็นยุคที่วิชาการเจริญแล้ว หยุดปิดตารับข้อมูล หรือเชื่อตามเรื่องศาสนา แบบหัวหนวกตาบอดได้แล้ว
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/1/63

แหล่งอ้างอิง
 ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ
 

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

ศาสนาสมบูรณ์แล้ว หรือว่าคุณคิดว่ายังบกพร่องอยู่?







ศาสนาสมบูรณ์แล้ว หรือว่าคุณคิดว่ายังบกพร่องอยู่?
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِى وَرَضِيتُ لَكُمُ الاْسْلاَمَ دِيناً
“วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของสูเจ้าสมบูรณ์แล้วสำหรับสูเจ้า และข้าได้ประทานความโปรดปรานของข้าอย่างครบถ้วนแก่สูเจ้า และข้าได้เลือกอิสลามเป็นศาสนาสำหรับสูเจ้า- อัลมาอิดะฮ์ / 3
.....................
อิหม่ามเชากานีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ได้อธิบายว่า
فإذا كان الله قد أكمل دينه قبل أن يقبض نبيه صلى الله عليه وسلم، فما هو الرأي الذي أحدثه أهله بعد أن أكمل الله دينه، إن كان من الدين في اعتقادهم فهو لم يكمُل عندهم إلا برأيهم، وهذا فيه ردٌّ للقرآن، وإن لم يكن من الدين فأي فائدة بالاشتغال بما ليس من الدين؟!
แล้วเมื่อปรากฏว่า อัลลอฮทรงได้ให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว ก่อนที่ทรงเอาชีวิตท่านศาสดาของพระองค์ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังนั้นสิ่งที่เป็นความคิดเห็น ที่นักแสดงความคิดเห็น อุตริขึ้นมา หลังจากที่อัลลอฮทรงให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว หากมันเป็นส่วนหนึ่งจากศาสนา ตามความเชื่อของพวกเขา ดังนั้นมันเท่ากับว่า ในทัศนะของพวกเขานั้น มันยังไม่สมบูรณ์ นอกจาก ด้วยความคิดเห็นของพวกเขา(มาเสริมให้สมบูรณ์) และนี้คือ การปฏิเสธอัลกุรอ่าน และถ้าหากมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา แล้วประโยชน์อะไร ที่จะไปสาละวน(ไปเสียเวลา)อยู่กับสิ่ง ซึ่งไม่ใช่ศาสนา ?- ดู อัรเราะสาอีลอัลฟิกฮียะฮ ของ อิหม่ามอัชเชากานีย์ หน้า 64 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
..............
สรุป
1.ศาสนาสมบูรณ์แล้วก่อนที่ท่านนบี ศ็อลฯเสียชีวิต
2.ความคิดเห็นที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่เพิ่มเติมเข้ามาในขณะที่ศาสนาสมบูรณ์แล้ว หากเชื่อว่า เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา ก็เท่ากับว่า เขาเชื่อว่าศาสนายังไม่สมบูรณ์ นี่คือการปฏิเสธอัลกุรอ่าน
3.หากความคิดเห็นที่ถูกอุตริขึ้นมา เพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนศาสนา แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่คำสอนศาสนา
............
จึงแปลกใจ ว่า คนบางส่วน แทนที่จะส่งเสริมในสิ่งที่มาจากคำสอนศาสนา ที่เป็นวะหยูของอัลลอฮ ตาอาลาผ่านคำพูดของท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ แต่กลับให้ความสำคัญกับเนื้องอกที่เข้ามาเพิ่มเติมในศาสนา
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/1/62

เอกสารอ้างอิง

 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การอาซานเมื่อหามมัยยิตลงจากบ้านเอามาจากซุนนะฮใครหรือ?


การอาซานเมื่อหามมัยยิตลงจากบ้านเอามาจากซุนนะฮใครหรือ?
มีคนบางกลุ่มเวลาหามมัยยิตออกจากบ้านเพื่อไปฝังที่กุโบร์ จะมีการอาซาน บ้างก็มีการตะฮลี้ล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่มีแบบอย่างจากซุนนะฮนบี ศ็อลฯ และไม่มีมาจากแบบอย่างสะลัฟผู้ทรงธรรม
1.ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
كان المَيِّتُ على عهدِ رَسولِ اللهِ صلَّى الله عليه وسلَّم يخرُجُ به الرِّجالُ يحملونَه إلى المقبرةِ، لا يُسْرِعون ولا يُبْطئونَ، بل عليهم السَّكينةُ، لا نساءَ معهم، ولا يَرفعونَ أصواتَهم، لا بقراءةٍ ولا غيرِها، وهذه هي السُّنَّة باتِّفاقِ المسلمين)
ปรากฏว่ามัยยิต ในสมัยของท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ บรรดาผู้ชายจะนำเขาออกมา แบกไปยังสุสาน (กุโบร์) พวกเขาไม่รีบเร่งและไม่ล่าช้า แต่ทว่า พวกเขามีความสงบ ไม่มีบรรดาผู้หญิงพร้อมกับพวกเขา และพวกเขาไม่ทำเสียงดัง ไม่ทำเสียงดังด้วยการอ่าน (อัลกุรอ่าน)และไม่ทำเสียงดังด้วยอืนจากมัน และนี้คือ สุนนะฮ ด้วยการเห็นฟ้องของบรรดาปราชญ์มุสลิมีน - ดู อัลฟะตาวา อัลกุบรอ 5/361
........
การหามมัยยิตไปกุโบร์ในสมัยนบี ศ็อลฯ มัยยยิต จะถูกหามไปด้วยความสงบสำรวมโดยบรรดาผู้ชาย ไม่มี บรรดาผู้หญิง และไม่มีการทำเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านอัลกุรอ่านและอื่นๆก็ไม่มี
2.ซะกะรียา บิน มุหัมหมัด อันอันศอรีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
قال النَّوَوِيُّ وَالْمُخْتَارُ وَالصَّوَابُ ما كان عليه السَّلَفُ من السُّكُونِ في حَالِ السَّيْرِ مَعَهَا فَلَا يُرْفَعُ صَوْتٌ بِقِرَاءَةٍ وَلَا ذِكْرٍ وَلَا غَيْرِهِمَا لِأَنَّهُ أَسْكَنُ لِلْخَاطِرِ وَأَجْمَعُ لِلْفِكْرِ فِيمَا يَتَعَلَّقُ بِالْجِنَازَةِ وهو الْمَطْلُوبُ في هذا الْحَالِ".
อันนะวาวีย์ ได้กล่าวว่า "และทัศนะที่ถูกเลือกและถูกต้อง คือ สิ่งที่ชาวสะลัฟได้ดำเนินอยู่บนมัน จากการ เงียบสงบ ในขณะที่เดินพร้อมกับมัน(ญะนาซะฮที่ถูกหาม)ไม่มีการทำเสียงดังด้วยการอ่าน ,ไม่มี(การทำเสียงดัง)ด้วยการซิกิร และไม่มี(การทำเสียงดัง)อื่นจากทั้งสองนั้น เพราะ แท้จริง มันคือการสงบนิ่ง สำหรับสิ่งที่อยู่ในใจและการรวมสำหรับการคิด ในสิ่งที่เกี่ยวกับญะนาซะฮ (หมายถึงเกี่ยวกับการตาย) และนี้คือ สิ่งที่ต้องการ ในสถาวะนี้ -ดู อัสนันอัลมะฏอลิบ 1/312 (ดูสำเนาหนังสือที่แนบมา)
..............
สรุปคือ
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ)ระบุว่าที่ถูกเลือกและที่ถูกต้องคือ สิ่งที่ปราชญ์ยุคสะลัฟได้ปฏิบัติ คือ การเงียบสงบ เวลาเดินพร้อมกับญะนาซะฮที่ถูกหามไปกุโบร์ ไม่มีการทำเสียงดัง ด้วยการอ่านอัลกุรอ่าน,การซิกิรและอื่นๆ เพราะเวลานั้นให้เงียบและคิดถึงความตาย
3. ฟัครุดดีน อุษมาน บิน อะลีย อัซซัยละอีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
"وَعَلَى مُشَيِّعِي الْجِنَازَةِ الصَّمْتُ وَيُكْرَهُ لَهُمْ رَفْعُ الصَّوْتِ بِالذِّكْرِ، وَقِرَاءَةِ الْقُرْآنِ فَإِنَّ مَنْ سُنَنِ الْمُرْسَلِينَ الصُّمَاتُ مُخَالِفًا لِأَهْلِ الْكِتَابِ"
และหน้าที่เหนือบรรดาผู้ไปส่งญะนาซะฮ คือ การเงียบ การทำเสียงดังด้วยการซิกิร ,การอ่านอัลกุรอ่าน เป็นมักรูฮ แก่พวกเขา เพราะแท้จริง ส่วนหนึ่งจากบรรดาสุนนะฮของบรรดารอซูล คือ การเงียบ (ในขณะไปส่งญะนาซะฮ) โดยการให้แตกต่างกับชาวคัมภีร - ติบยานอัลหะกออิก ชัรหกันซิดดะกออีก 3/207
..............
ตามสุนนะฮ การไปส่งญะนาซะฮ ไปกุโบร์นั้นจะต้องอยู่ในอาการที่สงบ สำรวม ไม่มีการทำเสียงดัง ไม่ว่าจะด้วยการอ่านอัลกุรอ่านและการซิกีร ก็ไม่มี แล้ว การอาซาน ขณะหามมัยยิตออกจากบ้านเพื่อพาไปกุโบร์นั้นที่มีคนบางกลุ่มปฏิบัติกัน เป็นซุนนะฮของใคร ได้มาจากใหน ? ถ้าไม่มี หยุดสร้างมรดกที่เป็นบิดอะฮในศาสนาไว้ให้กับลูกหลานเถอะครับ

อะสัน หมัดอะดั้ม
6/1/63





 ในภาพอาจจะมี ข้อความ