วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

อะฮลุสสุนนะฮบอกว่าอัลลอฮทรงมีโดยปราศจากสถานที่จริงหรือ







อะฮลุสสุนนะฮใหนหรือเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีและทรงไม่มีสถานที่และทิศ
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน รู้สึกกังวล
22 ชม.
ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่า อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น เชื่อว่าอัลเลาะฮ์ไม่ทรงมีสถานที่และทิศ แต่วะฮาบีย์เชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีสถานที่และทิศ ซึ่งขัดกับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ส่วนมาก
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
ท่านบาบออ้างว่า "อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น เชื่อว่าอัลเลาะฮ์ไม่ทรงมีสถานที่และทิศ"
ผมขอถามบาบอว่า "อะฮลุสสุนนะฮใหนหรือกล่าวคำพูดข้างต้น?
การนั่งเทียนเขียนตามอารมณ์แล้วอ้างว่า เป็นอะกีดะฮอะฮลุสสุนนะฮนั้น ใครก็ทำได้ เพราะไม่ต้องลุงทุนอ่านตำหรับตำรา เพราะเชื่อในเครดิตตัวเองว่าคนอาวามต้องเชื่อที่ฉันบอกแน่ แต่ต้องไม่ลืมว่า เรื่อง ศาสนา หากชี้นำคนในทางที่ผิดนั้น ในวันอาคีเราะฮผลคือความหายนะ
ท่านอบีหุร็อยรอฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุได้กล่าวว่า ท่านเราะสูล ศอ็ลฯ ได้กล่าวว่า
«مَنْ دَعَا إلَى هُدَىً، كَانَ لَـهُ مِنَ الأَجْرِ مِثْلُ أُجُورِ مَنْ تَبعَهُ، لا يَنْقُصُ ذلِكَ مِنْ أُجُورِهِـمْ شَيْئاً، وَمَنْ دَعَا إلَى ضَلالَةٍ، كَانَ عَلَيْـهِ مِنَ الإثمِ مِثْلُ آثَامِ مَنْ تَبعَهُ، لا يَنْقُصُ ذلِكَ مِنْ آثامِهِـمْ شَيْئاً».
“ผู้ใดเชิญชวนผู้อื่นไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง เขาก็จะได้รับผลบุญเท่ากับผลบุญของผู้ปฏิบัติตามคำเชิญชวนของเขา โดยที่ผลบุญของเขาเหล่านั้นไม่ได้ลดน้อยไปกว่าผลบุญของพวกเขาแม้แต่น้อย และผู้ใดที่เชิญชวนผู้อื่นสู่ทางหลงผิด เขาก็จะได้รับผลบาปเท่ากับผลบาปของผู้ปฏิบัติตามคำเชิญชวนของเขา โดยที่ผลบาปของเขาเหล่านั้นไม่ได้ลดน้อยไปจากผลบาปของพวกเขาแม้แต่น้อย” [บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2674]
ท่านอิบนุอับดุลบัรริ(ร.ฮ) กล่าวว่า
أهل السنة مجمعون على الإقرار بالصفات الواردة كلها في القرآن والسنة والإيمان بها وحملها على الحقيقة لا على المجاز إلا أنهم لا يكيفون شيئا من ذلك
อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ มีมติเห็นพ้องกัน ในการยอมรับบรรดาคุณลักษณะ(ซิฟาต) ทั้งหมดที่ปรากฏในอัลกุรอ่านและซุนนะฮ์ และศรัทธาต่อมัน และถือมันตามความหมายจริง(ฮะกีกัต) ไม่ใช่ตามความหมายในเชิงอุปมาอุปมัย นอกจากว่า แท้จริงพวกเขา ไม่ได้อธิบายวิธีการว่าเป็นอย่างไรจากซิฟัตดังกล่าวเลย-อัตตัมฮีด 7/145
.......
อะฮลุสสุนนะฮ พวกเขารับรองคุณลักษณะอัลลอฮ ตาอาลาตามความหมายจริงที่มีมาตามตัวบท เพียงแต่เขาไม่อธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร แต่อะกีดะฮบาบอเชื่อว่า ความหมายตามตัวบทไม่ใช่ความหมายจริง ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ ห้ามแปลความหมาย แล้วใช้ตรรกทางปัญญาตีความ(ตะวีล) แบบนี้ อะกีดะฮของใครหรือ?
อิหม่ามกุตัยบะฮ บิน สะอีด( ฮ.ศ 150-240) กล่าวว่า
هذا قول الائمة في الإسلام والسنة والجماعة نعرف ربنا في السماء السابعة على عرشه ، كما قال جل جلاله:الرحمن على العرش
  استوى

 นี่คือคำพูด( ทัศนะ)ของบรรดาอิหม่าม ในอัลอิสลาม ,อัสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ  ว่า พระผู้อภิบาลของเรา อยู่บนฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ ดังที่พระองค์ผู้ซึ่งความเกรียงไกรของพระองค์ ทรงเลิศยิ่ง ตรัสว่า "พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงสถิตเหนือบัลลังค์  - ดู อัลอุลูว ลิอะลียิลฆอ็ฟฟาร หน้า  174

อิหม่ามอบูอุษมาน อัศศอบูนีย์ มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ 373 -449 กล่าวว่า
ويعتقد أصحاب الحديث ويشهدون أن الله سبحانه وتعالى فوق سبع سمواته، على عرشه، كما نطق به كتابه في قوله عز وجل في سورة يونس: {إِنَّ رَبَّكُمُ اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ يُدَبِّرُ الْأَمْرَ مَا مِنْ شَفِيعٍ إِلَّا مِنْ بَعْدِ إِذْنِهِ} [يونس : 3
และบรรดานักหะดิษ เชื่อมั่นและพวกเขาเป็นพยานว่า แท้จริงอัลลอฮ (ซ.บ)อยู่เหนือ เจ็ดชั้นฟ้าของพระองค์ บน บัลลังค์ของพระองค์ ดังสิ่งที่คัมภีร์ของพระองค์ได้กล่าวด้วยมัน ในคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่งที่ว่า
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ يُدَبِّرُ الأَمْرَ مَا مِن شَفِيعٍ إِلاَّ مِن بَعْدِ إِذْنِهِ
แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในเวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ ทรงบริหารกิจการ ไม่มีผู้ให้ความช่วยเหลือคนใด เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์- ซูเราะฮยูนูส/3 - ดู อะกีดะฮสะลัฟ วะอัศหาบุลหะดีษ ของอัศศอบูนีย์ หน้า 44 และ กิตาบอัลอะรัชของอัซซะฮะบีย์ 2/250
-----------------
บาบอครับ ไม่มีมีคนที่บาบอฉายาให้เป็นวะฮบีย์คนใหน บอกว่า อัลลอฮใช้มัคลูค เป็นสถานที่หรอกครับ ไม่ควรมาปรักปรำ เพราะ ความว่าสถานที่ ที่เกี่ยวกับอัลลอฮ คือ การอยู่เบื้องสูง ทิศเบื้องสูง
ดังที่ท่านอับดุลเกาะดีร อัลญัยลานีย์ ปราชญ์ตะเศาวูฟ กล่าวว่า
وهو بجهة العلو مستو على العرش، محتو على الملك، محيط علمه بالأشياء، {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه})
และพระองค์อยู่ทิศเบื้องสูง ทรงเป็นผู้สถิตเหนือบัลลังค์ ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือการปกครอง ความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมบรรดาสรรพสิ่ง (บรรดาถ้อยคำ ที่ดีจะ (ถูกพา) ขึ้นสู่พระองค์ และการงานที่ดีก็จะ (ถูก) ยกขึ้นสู่พระองค์เช่นกัน” (ฟาฏิร/10)–อัลเฆาะนียะฮ 1/123-121
..............
บาบอครับ หยุดโฆษณาชวนเชืออุปโลกน์พี่น้องมุสลิมให้เป็นวะฮบีย์ที่ชั่วร้ายได้แล้ว แล้วเอาความจริงทางวิชาการที่เป็นหลักฐานทางศาสนามาเสนอ นี่คือวิธีสอนศาสนาของผู้รู้ที่อิคลาศและซื่อสัตย์ต่ออัลลอฮ จะเอาชนะทางดุนยา ระวังจะหายนะในวันอาคีเราะฮ
والله أعلم بااصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/10/59

อิหม่ามอะหมัดอนุญาตให้จูบหลุมศพจริงหรือ






อิหม่ามอะหมัดอนุญาตให้จูบหลุมศพจริงหรือ
ท่านครูซูฟีสายฏอรีกัตท่านหนึ่ง กล่าวว่า
หากจูบโดยมีเจตนาเพื่อให้เกียรติถือว่าเป็นบิดอะฮ์น่ารังเกียจน่าตำหนิและหะรอม แต่หากจูบโดยมีเจตนาเพื่อเอาบะร่อกัต ถือว่าอนุญาต
ท่านอิหม่ามอะห์มัดได้ถูกถามว่า
سَأَلْتُهُ عَنِ الرَّجُلِ يَمَسُّ مِنْبَرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَ سَلَّمَ وَيَتَبَرَّكُ بِمَسِّهِ وَيُقَبِّلُهُ وَيَفْعَلُ بِالْقَبْرِ مِثْلَ ذَلِكَ أَوْ نَحْوَ هَذَا يُرِيْدُ بِذَلِكَ التَّقَرُّبَ إِلَى اللهِ جَلَّ وَعَزَّ فَقَالَ لاَ بَأْسَ بِذَلِكَ
“ฉัน(อับดุลลอฮ์ บุตร ท่านอิหม่ามอะห์มัด)ได้ถามอิหม่ามอะห์มัด เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ทำการลูบมิมบัรของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และขอบะร่อกัต(จากอัลลอฮฺ)ด้วยการลูบสัมผัสมิมบัรและทำการจูบมิมบัร และเขาได้กระทำกับกุบูรเฉกเช่นดังกล่าวด้วยโดยเขากระทำสิ่งดังกล่าวเพื่อสร้างความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺตะอาลา ท่านอิหม่ามอะห์มัดตอบว่า ดังกล่าวนั้นไม่เป็นไร” อัลอิลัล วะ มะอฺริฟะตุรริญาล, เล่ม 2, หน้า 492.
ท่านอิหม่ามอะห์มัด กล่าวว่า การจูบกุบูรเพื่อบะร่อกัตนั้นไม่เป็นไร
@@@@
ท่านครู บอกว่า "ท่านอิหม่ามอะห์มัด กล่าวว่า การจูบกุบูรเพื่อบะร่อกัตนั้นไม่เป็นไร"
อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ)อนุญาตให้จูบกุบูร(หลุมศพ)จริงหรือไม่ มาดูหลักฐานจากคำชี้แจงของปราชญมัซฮับหัมบะลี ต่อไปนี้
อิบนุกุดามะฮ (ฮ.ศ 541 – 620) ปราชญ์อวุโส แห่งมัซฮับหัมบะลีย์กล่าวว่า
وَلَا يُسْتَحَبُّ التَّمَسُّحُ بِحَائِطِ قَبْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَا تَقْبِيلُهُ ، قَالَ أَحْمَدُ : مَا أَعْرِفُ هَذَا . قَالَ الْأَثْرَمُ : رَأَيْت أَهْلَ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ الْمَدِينَةِ لَا يَمَسُّونَ قَبْرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُومُونَ مِنْ نَاحِيَةٍ فَيُسَلِّمُونَ . قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ : وَهَكَذَا كَانَ ابْنُ عُمَرَ يَفْعَلُ
และไม่ชอบ(ไม่ส่งเสริม)ให้ลูบกำแพงหลุมศพนบี ศอ็ลฯ และไม่ส่งเสริมให้จูบมัน ,อะหมัดกล่าวว่า “ฉันไม่รู้จักสิ่งนี้ ,อิบนุ อัลอัษรอม กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็น นักวิชาการชาวมะฮดีนะฮ พวกเขาไม่ได้สัมผัส หลุมศพนบี ศอ็ลฯ พวกเขายืนข้างๆ แล้วกล่าวสล่าม อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า เช่นนั้นแหละ อิบนุอุมัร ได้ปฏิบัติ – อัลมุฆนีย 3/559
หาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ) กล่าวเกี่ยวกับรายงานของอิหม่ามอะหมัด ที่อ้างว่าเขาอนุญาตให้จูบกุบูร ว่า
فَنُقِلَ عَنِ الْإِمَامِ أَحْمَدَ أَنَّهُ سُئِلَ عَنْ تَقْبِيلِ مِنْبَرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَقْبِيلِ قَبْرِهِ فَلَمْ يَرَ بِهِ بَأْسًا ، وَاسْتَبْعَدَ بَعْضُ أَتْبَاعِهِ صِحَّةَ ذَلِكَ
ได้ถูกรายงานจาก อิหม่ามอะหมัด ว่าเขาถูกถามเกี่ยวกับ การจูบมินบัร นบี ศอ็ลฯ และการจูบหลุมศพของท่าน แล้วเขาเห็นว่า “ไม่เป็นไร” (อิบนุหะญัรกล่าวว่า) ส่วนหนึ่งของผู้ที่เจริญรอยตามเขา (หมายถึงบรรดาปราชญ์มัซฮับอิหม่ามอะหมัด) เห็นว่า รายงานดังกล่าวห่างใกลความถูกต้อง(เศาะเฮียะ)- ฟัตหุลบารีย 3/475 
......
กล่าวคือ ส่วนหนึ่งจากปราชญมัซฮับฮับบะลี เชื่อว่า รายงานดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ว่าเป็นรายงานที่เศาะเฮียะ
มันศูร บิน ยูนูส อัลบะฮูตีย (ฮ.ศ 1000-1051) ปราชญมัซฮับหัมบะลี กล่าวว่า
قَالَ فِي الِاخْتِيَارَاتِ : اتَّفَقَ السَّلَفُ وَالْأَئِمَّةُ عَلَى أَنَّ مَنْ سَلَّمَ عَلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَوْ غَيْرِهِ مِنْ الْأَنْبِيَاءِ الصَّالِحِينَ فَإِنَّهُ لَا يَتَمَسَّحُ بِالْقَبْرِ وَلَا يُقَبِّلُهُ
เขาได้กล่าวในอัลอิคติยารอตว่า สะลัฟและบรรดาอิหม่าม ได้เห็นฟ้องกัน ว่า แท้จริงผู้ที่สล่ามแก่ท่านนบี ศอ็ลฯ(หมายถึงเวลาซิยาเราะฮ) หรือคนอื่นจากท่านนบี จากบรรดานบี ผู้ทรงธรรม แท้จริง เขาจะไม่ลูบหลุมศพ และไม่จูบมัน -ดูกัชฟุลกินาอฺ 4/439
...........
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า การอ้างว่า อิหม่ามอะหมัดอนุญาตให้จูบกุโบร์หรือหลุมศพเพื่อแสวงหาบะเราะกัตนั้น ย่อมไม่มีน้ำหนัก และปราชญมัซอับหัมบะลีก็ไม่เห็นด้วย ดังที่กล่าวมาข้างต้น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/9/59

เขาว่าจูบหลุมศพต้องดูที่เนียต





เขาว่าจูบหลุมศพต้องดูที่เนียต
ช่วงนี้กระแสเรื่องเนียตมาแรง เขาบอกว่า ถ้าเห็นใครจูบหลุมศพก็อย่าด่วนตัดสินใจว่าเขาทำชิริก เพราะเขาอาจจะจูบเพื่อตะบัรรุก(แสวงหาความจำเริญจากอัลลอฮ) เพราะเราไม่รู้ในใจเขาว่าเขาเนียตอย่างไร
ขอชี้แจงว่า พฤติกรรมย่อมส่อเจตนา ในเมื่อเห็นคนจูบหลุมศพ ไม่ว่าเขาจะเนียตดีอย่างไร แต่นั้นคือพฤติกรรมของคนที่ทำบิดอะฮ เพราะการตะบัรรุก ด้วยการจูบหลุมศพ ไม่มีในสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ไม่มีในสุนนะฮเคาะลิฟะฮผู้ทรงธรรม ไม่มีในสุนนะฮของบรรพชนผู้ทรงธรรมในยุคสะลัฟ
ชัยค์อับดุลกอเดร อัลญัยลานีย์ (ฮ.ศ 470-561) ปราชญซูฟีย์ มัซฮับหัมบะลีย์ ที่ถูกอ้างว่าเป็นหัวหน้าฏอรีกัตซูฟีย์สายอัล-กิดิรียะฮฺ (القادرية) กล่าวว่า
واذا زار قبراً لا يضع يده عليه، ولا يُقبله فانه عادة اليهود
และเมื่อเขาเยี่ยมกุโบร์ เขาอย่าวางมือของเขาบนมัน และเขาอย่าจูบมัน เพราะแท้จริงมันคือ ประเพณีของยะฮูดี(ยิว) - อัลเฆาะนียะฮ เล่ม 1 หน้า 91
...........
หัวหน้าซูฟีย์ อัลกอดิรียะฮ ห้าจูบกุโบร์ แต่ไปเจอปราชญซูฟีย์สายอัลกอดิรียะฮ บอกว่าอนุญาต เลยสับสันว่า เขาถิอฏอรีกัตซูฟีย์กันอย่างไร ถึงได้แหวกแนวจากครู
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/9/59

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

คำว่าสถานที่ที่เกี่ยวกับอัลลอฮ







คำว่าสถานที่ที่เกี่ยวกับอัลลอฮ


มีคนบางกลุ่มยืนยันว่า อะกีดะฮของเขาคือ อัลลอฮทรงมี โดยปราศจากสถานที่ โดยอ้างสะโลแกนที่ว่า موجود بلا مكان (ทรงมีโดยไม่มีสถานที่) 
ถ้าคำว่า “สถานที่คือ สิ่งที่ถูกสร้าง” แน่นอนว่าอัลลอฮไม่พึงพามัคลูค และปราศจากสถานที่ที่เป็นมัคลูค ประเด็นนี้ถูกต้อง
แต่การเอาโลโก้นี้มาปฏิเสธ คำว่า สถานที่ ซึ่งหมายถึง การอยู่เบื้องสูง เหหนือมัคลูคของอัลลอฮนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีหลักฐานมากมากมายแสดงถึงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ทั้งอัลกุรอ่าน ,อัสสุนนะฮและทัศนะของปราชญ์สะลัฟผู้ทรงธรรม
ท่านอิหม่าม อิสมาอีล บน ยะหยา อัลมะซานีย์ อัชชาฟิอี (ฮ.ศ 264) กล่าวว่า
عال على عرشه بائن من خلقه موجود ليس بمعدوم ولا مفقود.
ทรงสูงเหนืออะรัชของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ทรงมีอยู่ ไม่ทรงไม่มี และไม่ทรงสูญหาย - ดู
ดู ชัรหุสุนนะฮของ อัลมุซันนีย์ หน้า 82 และاجتماع الجيوش (168) والعلو (2|1143)
……
ส่วนการที่มีคนบางกลุ่มกล่าวหาและปรักปรำว่า พวกวะฮบีย์ ให้สถานที่แก่อัลลอฮ ซึ่งพวกเขาหมายถึง สถานที่มัคลูคนั้น เป็นการกุคำเท็จให้ร้ายผู้อื่น
ชัยค์อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) กล่าวว่า
وإن أراد بنفي المكان : نفي أن يكون الله تعالى في العلو ، فهذا النفي غير صحيح ، بل هو باطل بدلالة الكتاب والسنة ، وإجماع السلف والعقل والفطرة . 
وقد ثبت عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه قال للجارية : أين الله ؟ . قالت : في السماء . قال لمالكها : ( أعتقها فإنها مؤمنة ) رواه مسلم (537) .
ถ้าหากการปฏิเสธสถานที่ หมายถึง ปฏิเสธการที่อัลลอฮอยู่ ในเบื้องสูงนั้น การปฏิเสธนี้ไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น มันคือ ทัศนะที่เป็นโมฆะ ด้วยบรรดา หลักฐานแห่งคัมภีร์ ,อัสสุนนะฮ,ด้วยมติเห็นฟ้องของสะลัฟ,สติปัญญาและธรรมชาติ และแท้จริง ได้มีรายงานยืนยันจากนบี ศอ็ลฯ ว่า ท่านได้กล่าวแก่ทาสหญิงว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? นางตอบว่า อยู่บนฟ้า ,ท่านนบี กล่าวแก่นายของนางว่า “(จงปล่อยนางให้เป็นอิสระ แท้จริง นางคือหญิงที่ศรัทธา –รายงานโดยมุสลิม หะดิษหมายเลข 537 مجموع فتاوى ورسائل ابن عثيمين " (1/196-197) .
อิหม่ามบุคอรีย์ ได้รายงานว่า
وَقَالَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ : إِذَا قَالَ لَكَ جَهْمِيٌّ : أَنَا أَكْفُرُ بِرَبٍّ يَزُولُ عَنْ مَكَانِهِ ، فَقُلْ : " أَنَا أُؤْمِنُ بِرَبٍّ يَفْعَلُ مَا يَشَاءُ
อัลฟุฎัยลฺ บิน อิยาฎ กล่าวว่า “เมื่อผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ กล่าวกับท่านว่า “ฉันปฏิเสธ พระเจ้าที่เสด็จลงมาจากสถานที่ของพระองค์ ก็จงกล่าวว่า “ฉันศรัทธา ต่อพระเจ้า ที่ทรงกระทำ ตามที่ทรงประสงค์ – ดูคอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด หน้า 13
หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กักตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา.... 
..........................
คำว่า وَهْوَ مَكَانَهُ นักตีความ ก็จะบอกว่า หมายถึงสถานที่ของนบี แต่ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร หะดิษข้างต้น ก็มีความหมายชัดเจนว่า
1. อัลลอฮทรงอยู่เบื้องสูง เพราะญิบรีลนำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังอัลลอฮ
2. ญิบรีล ,นบีมูซา และนบีมุหัมหมัด (อ) รู้ว่าอัลลอฮอยู่ใหน 
3. คำว่า
فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ 
แปลว่า และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา คำนี้ยืนยันว่า พวกเขารู้ว่าอัลลอฮอยู่ไหน
อิบนุบัฏเฏาะฮ อัลอักบะรีย์(ฮ.ศ 304 -387) กล่าวว่า
لكنا نقول : إن ربنا تعالى في أرفع الأماكن ، وأعلى عليين ، قد استوى على عرشه فوق سماواته ، وعلمه محيط بجميع خلقه ، يعلم ما نأى كما يعلم ما دنا ، ويعلم ما بطن كما يعلم ما ظهر كما وصف نفسه تعالى"
แต่เรากล่าวว่า แท้จริงพระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงสูงส่ง อยู่ ณ สถานที่สูงที่สุดของบรรดาสถานที่ และ สูงที่สุดของบรรดาสถานที่สูง แท้จริง ทรงสถิตบนบัลลังค์ของพระองค์ เหนือบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ และความรอบรู้ของพระองค์ ห้อมล้อม(ครอบคลุม)บรรดามัคลูคของพระองค์ทั้งหมด ,ทรงรู้สิ่งที่อยู่ใกล เหมือนสิ่งที่อยู่ใกล้ ,ทรงรู้ สิ่งที่ซ่อนเร้น เหมือน สิ่งที่เปิดเผย ดังสิ่งที่ทรงอธิบายคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เอง – อัลอิบานะฮ ของอิบนุบัฏเฏาะฮ 6/141
..................
ที่กล่าวมาทั้งหมดย่อมเป็นดวงตะเกียงที่ให้ความสว่างชัดเจนแก่ผู้ที่มีหัวใจแสวงหาสัจธรรม แต่แม้จะส่ว่างเท่าดวงอาทิตย์ ให้ความชัดเจนเพียงใด ก็ไม่สามารถให้คนตาใจบอดมองเห็นได้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/9/59

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ญิบรีลนำท่านนบีขึ้นไปยังพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพ






ญิบรีลนำท่านนบีขึ้นไปยังพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพ
ในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........
หะดิษข้างต้น ระบุชัดเจนถึงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ โดยญิบรีลนำท่านนบี ศอ็ลฯขึ้นไปยังอัลลอฮ พระเจ้าผู้ทรงอานุภาพ(อัลญับบาร)
หะดิษอิสรออฺและเมียะรอจญ์ เพื่อยืนยันการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัชของอัลลอฮ ตาอาลานั้น เป็นการยืนยันจากปราชญ์ยุคสะลัฟและเคาะลัฟ เช่น
อิหม่ามอิบนุคุซัยมะฮ (ฮ.ศ 223-311)
وَفِي الأَخْبَارِ دَلالَةٌ وَاضِحَةٌ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عُرِجَ بِهِ مِنَ الدُّنْيَا إِلَى السَّمَاءِ السَّابِعَةِ ، وَأَنَّ اللَّهَ تَعَالَى فَرَضَ عَلَيْهِ الصَّلَوَاتِ عَلَى مَا جَاءَ فِي الأَخْبَارِ ، فَتِلْكَ الأَخْبَارُ كُلُّهَا دَالَّةٌ عَلَى أَنَّ الْخَالِقَ الْبَارِئَ فَوْقَ سَبْعِ سَمَاوَاتِهِ

ในบรรดาการบอกเล่า(หมายถึงหะดิษอัลเมียะรอจญ) คือหลักฐาน แสดงว่า แท้จริงนบี ศอ็ลฯ ถูกนำขึ้น จากดุนยา สู่ชั้นฟ้าที่เจ็ด และอัลลอฮ ตาอาลา ได้กำหนดละหมาดห้าเวลา ให้เป็นข้อบังคับ บนสิ่งที่มีมาในบรรดาคำบอกเล่า(หมายถึงหะดิษเมียะรอจญ์) และ บรรดาคำบอกเล่า(หะดิษ) ทั้งหมด แสดงบอกว่า พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์ ผู้ทรงให้บังเกิด อยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้าของพระองค์ - กิตาบุตเตาฮีด หน้า 119 
............
แปลกที่ยังมีผู้คนบางกลุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง โดยใช้ตรรกทางปัญญาตีความว่า หมายถึงสูงส่งในด้านฐานันดร และอำนาจ -นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/9/59

ดุอาต่ออัลลอฮต้องมีคนกลางด้วยหรือ




ดุอาต่ออัลลอฮต้องมีคนกลางด้วยหรือ
ได้อ่านหลายกระทู้มีผู้รู้บางคนหรือหลายคน พยายามที่จะชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อมาสนับสนุนการดุอาต่ออัลลอฮ โดยใช้ศพหรือหลุมศพคนดีๆหรือวาลียุลลอฮ เป็นสื่อกลาง ทั้งๆที่การกระทำแบบนี้ไม่ปรากฏในยุคของท่านนบี ศอ็ลฯ และเคาะลิฟะฮผู้ทรงธรรมทั้งสี่ท่านเลย
สิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลฯ สอนในการดุอาต่ออัลลอฮ ตาอาลา นั้น ก็ให้ใช้พระนามอัลลอฮเป็นสื่อกลาง ไม่ใช่ใช้หลุมศพเป็นสือกล่าง
รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน บุร็อยดะฮฺ จาก บิดาของเขา เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า
أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سَمِعَ رَجُلًا يَقُولُ " اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ أَنِّي أَشْهَدُ أَنَّكَ أَنْتَ اللَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنْتَ الْأَحَدُ الصَّمَدُ الَّذِي لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًا أَحَدٌ " ، فَقَالَ : «لَقَدْ سَأَلْتَ اللَّهَ بِالِاسْمِ الَّذِي إِذَا سُئِلَ بِهِ أَعْطَى وَإِذَا دُعِيَ بِهِ أَجَابَ»
ความว่า “แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยินชายคนหนึ่ง วิงวอนขอดุอาอ์ ว่า โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงฉันได้ปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรเคารพยกเว้นพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงเอกกะ ทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ ท่านนบี ได้กล่าวว่า “แท้จริงท่านได้วอนขอจากอัลลอฮฺ ด้วยพระนามที่เมื่อพระองค์ถูกร้องขอด้วยมัน พระองค์จะประทานให้ และเมื่อพระองค์ถูกวิงวอนขอด้วยมัน พระองค์ก็จะตอบรับ” (บันทึกโดยอบูดาวูด 2/79 หมายเลข 1493 )
...
การขอ(ดุอา)ต่ออัลลอฮ โดยการใช้นามของอัลลอฮเป็นสื่อกลาง เป็นสิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลฯสอนไว้ แล้วทำไมต้องไปที่สุสานหรือกูโบร์โต๊ะวาลี เพื่อขอต่ออัลลอฮ โดยใช้หลุมศพโต๊ะวาลาให้ ช่วยขออนุเคราะห์(ชาฟาอะฮต่ออัลลอฮ)
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮกล่าวว่า
لَيْسَ فِي الزِّيَارَةِ الشَّرْعِيَّةِ حَاجَةُ الْحَيِّ إلَى الْمَيِّتِ وَلَا مَسْأَلَتُهُ وَلَا تَوَسُّلُهُ بِهِ ؛ بَلْ فِيهَا مَنْفَعَةُ الْحَيِّ لِلْمَيِّتِ كَالصَّلَاةِ عَلَيْهِ ، وَاَللَّهُ تَعَالَى يَرْحَمُ هَذَا بِدُعَاءِ هَذَا وَإِحْسَانِهِ إلَيْهِ وَيُثِيبُ هَذَا عَلَى عَمَلِهِ
ในการเยี่ยมกุโบร์ตามหลักศาสนบัญญัตินั้น คนเป็นไม่จำเป็นต้องอาศัยคนตาย และการขอของเขาก็ไม่จำเป็น(ต้องอาศัยคนตาย) และไม่ต้องตะวัสซุล(ดุอาโดยผ่านสือกลาง)ด้วยเขา(ด้วยคนตาย) แต่ในทางกลับกัน ในมัน(การการเยี่ยมกุโบร์)นั้น คนเป็นทำประโยชน์ให้คนตาย เช่น ละหมาดให้คนตาย และอัลลอฮตาอาลาทรงเมตตาคนนี้ ด้วยดุอาของคนๆนี้ และการทำความดีของเขาต่อเขาผู้นั้น(ผู้ที่ตาย) และคนนี้ก็ได้รับผลบุญ บนการงานของเขา - มัจญมัวะอัลฟาตาวา 27/71
เวลาะหมาด อ่านทุกวันว่า
إِيَّاكَ نَعْبد وإِيَّاكَ نَسْتَعِين
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเคารพภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ
แล้วทำไม่เวลาจะดุอาของต่ออัลลอฮ จึงต้องไปที่กูโบร์หรือหลุมศพโต๊ะวาลี เพื่อให้เป็นคนกลางในการขอต่ออัลลอฮ
อัลลามะฮ อัลกะสาอีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَيُكْرَهُ لِلرَّجُلِ أَنْ يَقُولَ فِي دُعَائِهِ أَسْأَلُك بِحَقِّ أَنْبِيَائِك وَرُسُلِك وَبِحَقِّ فُلَانٍ ، لِأَنَّهُ لَا حَقَّ لِأَحَدٍ عَلَى اللَّهِ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى جَلَّ شَأْنُهُ
และเป็นที่น่ารังเกียจ(มักรูฮ) แก่คนใดคนหนึ่ง ต่อการที่เขากล่าวในดุอาของเขาว่า “ข้าขอต่อพระองค์ท่าน ด้วยสิทธิ ของบรรดานบีของพระองค์ท่าน , ด้วยสิทธิของรซูลของพระองค์ท่าน และด้วยสิทธิของคนนั้นคนนี้..เพราะแท้จริงไม่มีสิทธิของคนหนึ่งคนใด มีอำนาจเหนืออัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอา ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง – บะดาอิอุอัศเศาะนาเอียะ เล่ม 5 หน้า 126
......
ดุอาต่ออัลลอฮตาอาลาโดยตรงเถอะครับ ไม่ต้องวิงไปหาคนตายเป็นคนกลาง แล้วจะปลอดภัย ดุอาคืออิบาดะฮ การอิบาดะฮต่ออัลลอฮจะต้องไม่นำสิ่งใดมาหุ้นส่วนในการอิบาดะฮต่อพระองค์ และ พระองค์คือ ผู้ให้คุณ ให้โทษ สำหรับคนตายไม่มีอำนาจที่จะบันดาลสิ่งต่างๆให้เราได้ 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/9/59

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

การเชื่อว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าคืออะกีดะฮบิดอะฮจริงหรือ





การเชื่อว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าคืออะกีดะฮบิดอะฮจริงหรือ
Bashir Chalermthai ผู้ทรงสูงส่งเหนือฝากฟ้า 
ผู้ทรงบริสุทย์จากแนวคิดบิดอะฮ์ที่ให้สถานที่กับพระองค์
..................
ชี้แจง
ใหนหรือคำพูดของปราชญยุคสะลัฟ ที่บอกว่าถ้าเชื่อว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้า คือ การให้สถานที่แก่อัลลอฮ ไม่นำหลักฐานมาตอบ ก็แสดงว่ามุสา
เพราะสะลัฟเขาอธิบายว่า
อบูบักร์ อะหมัด อัศศอ็บฆี (ฮ.ศ 342) กล่าวว่า
قد تضع العرب ;في بموضع ;على; قال الله عز وجل: {فسيحوا في الأرض}، وقال {لأصلبنكم في جذوع النخل} ومعناه: على الأرض وعلى النخل ، فكذلك قوله: {في السماء} أي على العرش فوق السماء، كما صحت الأخبار عن النبي صلى الله عليه وسلم
แท้จริง อาหรับได้วาง คำว่า “ฟี”(แปลว่าใน) ด้วยที่ของคำว่า “อะลา” (แปลว่าบน) ,อัลลอฮตะอาลาผู้ทรงอำนาจ 
ผู้ทรงเลิศยิ่ง ตรัสว่า (ดังนั้นพวกท่าน จงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน) และตรัสว่า(แน่นอนฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ในต้นอินทผาลัม) และความหมายของมันคือ บน แผ่นดินและบนต้นอินทผลัม ในทำนองเดียวกัน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (ในฟากฟ้า )หมายถึง บน อะรัช เหนื่อฟากฟ้า ดังเช่นที่บรรดาหะดิษที่เศาะเฮียะจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม(ได้ระบุไว้) – ดูที่มาข้างล่าง และดูสำเนาหนังสือที่แนบมา
الأسماء والصفات للبيهقي (ص324)، قال: (قال أبو عبد الله الحافظ: قال الشيخ أبو بكر أحمد بن إسحاق بن أيوب الفقيه: ...) وذكره. والسند صحيح، فأبو عبد الله الحافظ هو الحاكم وكان من تلاميذ الصبغي، وكان الحاكم من شيوخ البيهقي رحمهم الله جميعا. 
.............. 
มีหลักฐานมากมายแสดงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ แล้วจะหาว่า อะกีดะฮบิดอะฮอย่างไร ครับ บะชีร เฉลิมไทย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/9/59

การแอบอ้างอิหม่ามชาฟิอีเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ








การแอบอ้างอิหม่ามชาฟิอีเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

قال الإمام الشافعي : إنه تعالى كان ولا مكان ، فخلق المكان وهو على صفة الأزلية كما كان قبل خلقه المكان، ولا يجوز عليه التغيير في ذاته، ولا التبديل في صفاته
--------
اتحاف السادة المتقين 2-24...
………………..
ชี้แจง
ไม่ใส่คำแปลมา ขอแปลให้ดังนี้
" إنه تعالى كان ولا مكان فخلق المكان وهو على صفة الأزلية كما كان قبل خلقه المكان لا يجوز عليه التغيير في ذاته ولا التبديل في صفاته "
แท้จริงอัลเลาะฮฺ ตะอาลา ทรงมีมา(แต่เดิม)แล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ จากนั้นอัลเลาะฮฺทรงสร้างสถานที่ โดยที่พระองค์อยู่บนคุณลักษณะเดิม เสมือนกับที่พระองค์ทรงมีก่อนสร้างสถานที่ ไม่อนุญาตเปลี่ยนแปลงซาตของพระองค์ และคุณลักษณะของพระองค์? -ดู อิตหาฟ อัสสาดะฮฺ อัลมุตตะกีน เล่ม 2 หน้า 24 -เป็นการแอบอ้างว่าอิหม่ามชาฟิอีพูดดดยไม่มีสายรายงาน
……….
ข้างต้น คุณ บาชีร เฉลิมไทย  เอาคำพูดเท็จแอบอ้างอิหม่ามชาฟิอีมาเป็นหลักฐาน  ,ผู้อ้างคือ มุรตะฎอ อัซซุบัยดีย์ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ฮ.ศ 1145-1205 ในขณะที่ อิหม่ามชาฟิอี มีชีวิตอยู่ ระหว่างปี 150-204 ห่างกัน 941 แล้วท่านอัซซุบัยดีได้รายงานมาจากใครหรือครับ Bashir Chalermthai(บะชีร เฉลิมไทย)
.........
มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา.... 
.......................... 
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์ ขอเรียนว่า หลักฐานมีมากมาย ที่แสดงถึงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เพียงแต่มีคนบางกลุ่มใช้ตรรกทางปัญญาตีความให้กินกับปัญญาเท่านั้นเอง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/9/59

คำถามที่แฝงด้วยอคติและความไม่เข้าใจอะกีดะฮ






คำถามที่แฝงด้วยอคติและความไม่เข้าใจอะกีดะฮ
ชัดเจน วะฮาบีสือซะ
1 ชม.
คำถามนะครับ
ถ้าสมมุติว่า เราทำอาม้าลอิบาดัต (อาม้าลซอแหละ) ถูกตามหลักการของอัลลอฮและรอซูล (ซล) แต่เรามีอากีดะห์ (แอบตีกอด) พระเจ้าอยู่บนฟ้า แบบนี้อาม้าลซอแหละจะเสียหรือไหม
เพราะในซูเราะตุลกะฟีย์ อายะห์ท้ายๆสุดอัลลอฮตรัสใว้ว่า ...............
ولا يشرك بعبادة ربه احدا.
#ขอเรียนเชิญครับ
>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
คนที่ถามยังปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ซึ่งเป็นอะกีดะฮสะลัฟ แต่เขากลับมองว่า คนที่เชื่อแบบนี้ไม่ใช่มุสลิม จึงถามว่า อิบาดะฮเสียไหม นี่คือ ความมืดบอดที่หาพระเจ้ายังไม่เจอ ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่ใหน มี แต่ไม่รู้อยู่ใหน -นะอูซุบิลละฮ
แม้แต่อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) ปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ที่มีการกล่าวว่าท่านมีอะกีดะฮแนวอาชาอิเราะฮ ท่านยังยืนยันถึงความเป็นมุสลิมของ ผู้ที่เชื่อว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า แล้วคุณ ชัดเจน วะฮาบีสือซะ (หรือ sohin wahabisesah) เป็นใคร และ อ่านหนังสือศาสนามากี่เล่ม จึงหาญกล้าถามแบบนี้
มาดูคำพูดท่านอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَأَنَّهُ لَوْ قَالَ : لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ الْمَلِكُ الَّذِي فِي السَّمَاءِ ، أَوْ إِلَّا مَلِكُ السَّمَاءِ ، كَانَ مُؤْمِنًا ، قَالَ اللَّهُ تَعَالَى : أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ .
และแท้จริงถ้าเขา(หมายถึงกาเฟร) กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ ราชา ผู้ซึ่งอยู่บนฟ้า หรือ ราชาแห่งฟากฟ้า เขาก็เป็นผู้ศรัทธา ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือจากผู้อยู่บนฟ้า - ดู เราะเดาะตุลฏอลิบีน เล่ม 10 หน้า 85 สำนักพิมพ์มักตับอัลอิสลามีย์
.............
อิหม่ามนาวาวีย์ กล่าวว่า ถ้ากาเฟร กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ ราชา ผู้ซึ่งอยู่บนฟ้า หรือ ราชาแห่งฟากฟ้า เขาก็เป็นผู้ศรัทธา ,
ผมจึงถามคุณ ชัดเจน วะฮาบีสือซะ คุณเอาความคิดส่วนใหนหรือที่คิดคำถามว่า มีอะกีดะฮพระเจ้าอยู่บนฟ้า อะมั้ลซอลิหฺจะเสียไหม ...คุณไม่เข้าใจศาสนาแล้วมาบังอาจถามเพื่อตีคนอื่นที่เห็นต่าง
ส่วนที่คุณ ชัดเจน วะฮาบีสือซะ อ้างอายะฮที่ว่า
ولا يشرك بعبادة ربه احدا.
ซึ่งแปลว่า และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา" อัลกะฮ์ฟิ 110
อายะฮข้างต้น มันไม่เกี่ยวกับเรื่อง อะกีดะฮ พระเจ้าอยู่บนฟ้า แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับให้มีความบริสุทธิ์ใจในการอิบาดะฮเพื่ออัลลอฮ และอายะฮเต็มๆคือ
อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงตรัส ความว่า
فَمَن كَانَ يَرْجُو لِقَاء رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلاً صَالِحاً وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَداً
"ดังนั้น ผู้ใดที่หวังจะได้พบองค์ผู้อภิบาลของเขา เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา" อัลกะฮ์ฟิ 110
.....
อายะฮข้างต้น อิบนุกะษีรอธิบายว่า
( فَمَنْ كَانَ يَرْجُو لِقَاءَ رَبِّهِ ) أَيْ : ثَوَابَهُ وَجَزَاءَهُ الصَّالِحَ ، ( فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا ) ، مَا كَانَ مُوَافِقًا لِشَرْعِ اللَّهِ ) وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا ) وَهُوَ الَّذِي يُرَادُ بِهِ وَجْهُ اللَّهِ وَحْدَهُ لَا شَرِيكَ لَهُ ، وَهَذَانَ رُكْنَا الْعَمَلِ الْمُتَقَبَّلِ . لَا بُدَّ أَنْ يَكُونَ خَالِصًا لِلَّهِ ، صَوَابًا عَلَى شَرِيعَةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ 
อิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าว(อธิบายอายะฮ)ที่ว่า (แล้วผู้ใด หวังที่จะพบกับพระเจ้าของเขา) หมายถึง หวัง ผลบุญและการตอบแทนที่ดีของพระองค์ (จงประกอบการงานที่ดี) หมายถึง สิ่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของอัลลอฮ (และเขาไม่นำบุคคลใดมาหุ้นส่วนในการอิบาดะฮต่อพระเจ้าของเขา) โดยที่เขามี จุดประสงค์ในการอิบาดะฮนั้นเพื่ออัลลอฮพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆต่อพระองค์ และนี้คือ หลักการสองประการ ของการงานที่ถูกรับ ซึ่งมันจะต้อง มีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ และมันตรงกับชะรีอัตของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม .- ดูตัฟสีร อิบนุกะษีร 5/206
......................................
...อายะฮนี้ บอกถึงเงือนไขของอิบาดะฮที่อัลลอฮรับรองคือ
1. มีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ
2. ตรงหรือสอดคล้องกับชารีอะฮของท่านนบี 
แสดงให้เห็นว่า คุณ ชัดเจน วะฮาบีสือซะ ไม่รู้เรื่องจุดมุ่งหมายของอายะฮอัลกุรอ่านแล้วยกมั่วๆแบบปิดตา มาอ้าง ผมขอเตือนด้วยความหวังดีว่า หยุดเถอะครับ ไม่อย่างนั้น คุณจะถลำลึกไปกว่านี้และอันตรายจะกลับไปหาคนเองในวันกิยามะฮ
ขออัลลอฮอิดายะฮคุณที่ใช้นามแฝงว่า ชัดเจน วะฮาบีสือซะ ด้วยเถิด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/9/59

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

เมื่อเอาตรรกมาหักล้างอะกีดะฮสะลัฟ ภาค 2




เมื่อเอาตรรกมาหักล้างอะกีดะฮสะลัฟ ภาค 2
‎ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน‎
ถึง أهل السـنة و الجـماعة ( ฉบับไม่แอบอ้าง )
10 กันยายน เวลา 9:42 น. ·
มีสาระดี เลยเอามาให้เรียนรู้กัน
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ
"และ พระองค์นั้นคือ อัลลอฮ ทั้งในบรรดาชันฟ้าและในแผ่นดิน ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้าและทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่" อัลอันอาม-3
ทำไมไม่แปลตามตัวว่า อัลเลาะฮ์อยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน เหตุถึงแปลว่าสถิตอยู่ ณ บรรดาชั้นฟ้าแผ่นดิน หากจะแปลอย่างนั้นทำไมไม่แปลตามตัวให้เหมือนกัน ทั้งที่สองอายะฮ์นั้นเป็นคำบุรพบทและคำนามที่อยู่ตามนัยยะเดียวกัน และทั้ง ๆ ที่รู้ว่าวะฮาบีน์มีหลักการแปลคำที่ตรงตัว(ฮะกีกัตที่แปลว่าในฟากฟ้า) ไม่ใช่คำอ้อม (มะญาซฺที่แปลว่าบนฟากฟ้าหรือสถิต ณ ที่ฟากฟ้า) ครับ
วัลลอฮุอะลัม
................
ชี้แจง
ในภาคแรก ผมได้ชี้แจงไปแล้วว่า บาบอมุตตอลิบ น่าจะหาตำราอ่านบ้าง มาดูคำอธิบายอายะฮที่บาบอมุตตอลิบ นำมาชงข้างต้น มาดูเต็มๆครับท่าน
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ وَيَعْلَمُ مَا تَكْسِبُونَ
และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน(*1*) ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่
---------------
(1) หมายถึงว่า อัลลอฮ์นั้นย่อมเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในบรรดาชั้นฟ้า และในแผ่นดินว่า พระองค์นั้นคือพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงคุณลักษณะอันสมบูรณ์ทุกประการ
อิบนุกะษีร (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
وَالْقَوْل الثَّالِث أَنَّ قَوْله " وَهُوَ اللَّه فِي السَّمَوَات " وَقْف تَامّ ثُمَّ اِسْتَأْنَفَ الْخَبَر فَقَالَ " وَفِي الْأَرْض يَعْلَم سِرّكُمْ وَجَهْركُمْ " وَهَذَا اِخْتِيَار اِبْن جَرِير
และทัศนะที่สามคือ แท้จริงคำตรัสของพระองค์ที่ว่า "และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ในบรรดาชั้นฟ้า" เป็นการจบประโยคโดยสมบูรณ์(วะกัฟตาม) หลังจากนั้น ได้เริ่มต้นเคาะบัร(ประโยคที่เป็นภาคแสดงในนามานุประโยค)ใหม่ โดย ตรัสว่า "และในแผ่นดินทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า" และทัศนะนี้ คือ ทางเลือกของอิบนุญะรีร - ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร อรรถาธิบายซูเราะฮอันอันอาม อายะฮที่ 3
............
ในทัศนะอิบนุญะรีร ปราชญยุคสะลัฟท่านหมายถึง อัลลอฮอยู่บนฟ้า และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่มนุษย์ซ่อนเร้นและเปิดเผย บนแผ่นดินนี้ ถ้าบาบอเล่นเอาวิชานาฮูว่ามาตัดสินตามความคิดเห็นเองอย่างนี้ คิดดูว่าอันตรายไหมครับ ถ้าเอาวิชานาฮูว่า ตัดสินอย่างเดียวไม่ดูว่าสะลัฟเขาเข้าใจอย่างไร บาบอมุตตอลิบก็จะเข้าใจแบบพวกมุอตะซิละฮ คือ อัลลอฮอยู่ทุกหนทุกแห่ง (ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร 3/240)
นี่คือคำอธิบายของอิบนุญะรีร ปราชญสะลัฟ

هُوَ اللَّهُ الَّذِي هُوَ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ ، فَلَا يَخْفَى عَلَيْهِ شَيْءٌ .

พระองค์คือ อัลลอฮ ผู้ซึ่งพระองค์ อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และ ในแผ่นดินนั้น พระองค์ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้าดังนั้นไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นพระองค์"- ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 11 หน้า 26
..............
เพราะฉะนั้น บาบอมุตตอลิบ จะหากลยุทธ์วิชานาฮูระดับใหน ก็ไม่มีน้ำหนักที่จะมาหักล้างอะกีดะฮสะลัฟ ที่เชื่อในการอยู่เบื้องของอัลลอฮได้หรอก
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/9/59
ปล. หากตำราที่ผมอ้างอิงท่านบอกว่าปลอม ขอให้นำตำราฉบับจริงมานำเสนอได้และจะขอบพระคุณยิ่ง

เมื่อเอาตรรกมาหักล้างอะกีดะฮสะลัฟ ภาค 1







เมื่อเอาตรรกมาหักล้างอะกีดะฮสะลัฟ ภาค 1
‎ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน‎
ถึง أهل السـنة و الجـماعة ( ฉบับไม่แอบอ้าง )
10 กันยายน เวลา 9:42 น. ·
มีสาระดี เลยเอามาให้เรียนรู้กัน
อายะฮ์ที่ว่า
مَنْ فِي السَّمَاءِ
ตรงนี้วะฮาบีเว็บมรดกแปลว่า "พระผู้ทรงสถิตอยู่ ณ ฟากฟ้า" คือใช้คำว่า مَنْ แปลว่า "พระองค์ผู้ทรง" + คำว่า فِيْ แปลว่า"ใน" + คำว่า السَّمَاءِ แปลว่า "ฟากฟ้า"
وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ ใช้คำว่า الله แปลว่า "พระเจ้า" + คำว่า فِيْ แปลว่า"ใน" + คำว่า السَّمَاوَاتِ แปลว่า "บรรดาชั้น" + อักษร وَ แปลว่า "และ" + คำว่า الْأَرْضِ แปลว่า "แผ่นดิน"
فِي الْأَرْضِ إِلَهٌ ใช้คำว่า إِلَهٌ แปลว่า "พระเจ้า" + คำว่า فِيْ แปลว่า"ใน" + คำว่า الْأَرْضِ แปลว่า "แผ่นดิน"
อายะฮ์ทั้งหมดใช้ บุรพบทตัวเดียวกันคือ คำว่า فِيْ แปลว่า"ใน" ถ้อยคำถามนามเดียวกันที่ชี้ถึงสถานที่ คือ คำว่า السَّمَاءِ แปลว่า "ฟากฟ้า" คำว่า السَّمَاوَاتِ แปลว่า "บรรดาชั้น" คำว่า الْأَرْضِ แปลว่า "แผ่นดิน"
แล้วไฉนเลย ทำไมเวลาแปล ถึงแปลคนละความหมาย
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ
"และ พระองค์นั้นคือ อัลลอฮ ทั้งในบรรดาชันฟ้าและในแผ่นดิน ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้าและทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่" อัลอันอาม-3
ทำไมไม่แปลตามตัวว่า อัลเลาะฮ์อยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน เหตุถึงแปลว่าสถิตอยู่ ณ บรรดาชั้นฟ้าแผ่นดิน หากจะแปลอย่างนั้นทำไมไม่แปลตามตัวให้เหมือนกัน ทั้งที่สองอายะฮ์นั้นเป็นคำบุรพบทและคำนามที่อยู่ตามนัยยะเดียวกัน และทั้ง ๆ ที่รู้ว่าวะฮาบีน์มีหลักการแปลคำที่ตรงตัว(ฮะกีกัตที่แปลว่าในฟากฟ้า) ไม่ใช่คำอ้อม (มะญาซฺที่แปลว่าบนฟากฟ้าหรือสถิต ณ ที่ฟากฟ้า) ครับ
วัลลอฮุอะลัม
...........

ชี้แจง‎
ท่านราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน หรือ บาบอมุตตอลิบ ทำไมไม่ไปหาตำหรับตำราอะกีดะฮสะลัฟอ่าน ทำไม่มานั่งแกะศัพท์ แล้วมโนว่าต้องแบบนั้น แบบนี้ ตามตรรกและการเล่นคำ ตามที่ท่านคิดเอง
คำว่า
مَنْ فِي السَّمَاءِ
หมาความว่าอย่างไร และควรแปลอย่างไรเขาต้องดูที่ปราชญอธิบายกันครับ ไม่ใช่มานังเทียนอวดวิชานาฮู แล้วปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
คำว่า
مَنْ فِي السَّمَاءِ
แปลว่า ผู้อยู่บนฟ้า ส่วนที่แปล ว่า ณ ฟากฟ้า เป็นสำนวนการแปลไทย ที่อาจจะต่างกันไป แต่ความหมาย ประโยคข้างต้น แสดงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
มาดูคำอธิบายของปราชญยุคสะละลัฟครับ ท่านบาบอมุตตอลิบ
อบูบักร์ อะหมัด อัศศอ็บฆี (ฮ.ศ 342) กล่าวว่า

قد تضع العرب ;في بموضع ;على; قال الله عز وجل: {فسيحوا في الأرض}، وقال {لأصلبنكم في جذوع النخل} ومعناه: على الأرض وعلى النخل ، فكذلك قوله: {في السماء} أي على العرش فوق السماء، كما صحت الأخبار عن النبي صلى الله عليه وسلم
แท้จริง อาหรับได้วาง คำว่า “ฟี”(แปลว่าใน) ด้วยที่ของคำว่า “อะลา” (แปลว่าบน) ,อัลลอฮตะอาลาผู้ทรงสูงส่งและผู้ทรงเลิศยิ่ง ตรัสว่า (ดังนั้นพวกท่าน จงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน) และตรัสว่า(แน่นอนฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ในต้นอินทผาลัม) และความหมายของมันคือ บน แผ่นดินและบนต้นอินทผลัม ในทำนองเดียวกัน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (ในฟากฟ้า )หมายถึง บน อะรัช เหนื่อฟากฟ้า ดังเช่นที่บรรดาหะดิษที่เศาะเฮียะจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัล - ดู อัลอัสมาอฺวัสสิฟาต ของ อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ เล่ม 2 หน้า 324 (ดูสำเนาหน้าหนังสือที่แนบบมา)
อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์(ฮ.ศ 458)เอง ก็อธิบายว่า
(وقال {أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ} وأراد من فوق السماء
และ พระองค์กล่าวว่า (หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า) และพระองค์หมายถึง ผู้อยู่เหนือฟากฟ้า-อัลเอียะติกอด วัลฮิดายะอ อิลาสะบีลิรรอชาดฯ 2/116 (ดูสำเนาหน้าหนังสือที่แนบมา
>>>>>>>>>>>>>>>
เพราะฉะนั้น การทีท่านบาบอมุตตอเล็บ เอาวิชานาฮูที่ท่านเข้าใจมานั่งเทียน เขียนแสดงความเห็นที่ท่านเข้าใจ โดยไม่สนใจว่าปราชญ์ยุคก่อนเขาอธิบายอย่างไร ในทางวิชาการไม่มีน้ำหนักหรอกครับท่าน แต่สวนคนอาวามนั้น ท่านว่าอย่างไรเขาก็อาจจะเชื่อตามท่าน เพราะท่านชงอร่อย ถึงนม ถึง น้ำตาล ก็ว่ากันไป
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/9/59