วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

ระวังนักการศาสนาไร้จุดยืนและเจ้าเล่ห์ลอกลวงเยี่ยงสุนัขจิ้งจอก





ระวังนักการศาสนาไร้จุดยืนและเจ้าเล่ห์หลอกลวงเยี่ยงสุนัขจิ้งจอก
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
إِنَّ الَّذِينَ قَالُوا رَبُّنَا اللَّهُ ثُمَّ اسْتَقَامُوا تَتَنَزَّلُ عَلَيْهِمُ الْمَلَائِكَةُ أَلَّا تَخَافُوا وَلَا تَحْزَنُوا وَأَبْشِرُوا بِالْجَنَّةِ الَّتِي كُنتُمْ تُوعَدُونَ
แท้จริงบรรดาผู้กล่าวว่าอัลลอฮฺคือ พระเจ้าของพวกเราแล้วพวกเขาก็ยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น มะลากิกะฮฺจะลงมาหาพวกเขา (โดยกล่าวกับพวกเขาว่า) พวกท่านอย่าหวาดกลัวและอย่าเศร้าสลดใจแต่จงต้อนรับข่าวดี คือสวนสวรรค์ซึ่งพวกเจ้าได้ถูกสัญญาไว้- ฟุศศิลัต/30
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ مَنِيعٍ قَالَ : ثَنَاعَبْدُ اللَّهِ بْنُ الْمُبَارَكِ قَالَ : ثَنَا يُونُسُ بْنُ يَزِيدَ عَنِ الزُّهْرِيِّ قَالَ : تَلَا عُمْرُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ عَلَى الْمِنْبَرِ : ( إِنَّ الَّذِينَ قَالُوا رَبُّنَا اللَّهُ ثُمَّ اسْتَقَامُوا ) قَالَ : اسْتَقَامُوا وَاللَّهِ بِطَاعَتِهِ ، وَلَمْ يَرُوغُوا رَوَغَانَ الثَّعْلَبِ .
อะหมัด บิน มะเนียะ ได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า อับดุลลอฮ บิน อัลมุบาร็อก ได้เล่าเราโดยเขากล่าวว่า ยูนูส บิน ยะซีด ได้เล่าเราว่า รายงานจาก อัซซุฮรีย์ เขากล่าวว่า อุมัร (ร.ฎ) ได้อ่านบนมินบัร ว่า(แท้จริงบรรดาผู้กล่าวว่าอัลลอฮฺคือ พระเจ้าของพวกเราแล้วพวกเขาก็ยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น) เขา(อุมัร)ได้กล่าวว่า "ขอสาบานด้วยนามแห่งอัลลอฮ พวกท่านทั้งหลาย จงยืนหยัด ด้วยการภักดีต่อพระองค์ และอย่าเล่ห์เหลียม(หลอกลวง) เช่นการใช้เล่ห์เหลี่ยมของสุนัขจี้งจอก - ตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ เล่ม 21 หน้า 446 อธิบายอายะฮที่ 30 ซูเราะฮ ฟุศศิลัต อายะฮที่ 30
..........
ศาสนา ของอัลลอฮ สอนให้มีจุดยืนและยืนหยัด ต่อการภักดีต่ออัลลอฮ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เจ้าเล่ห์เพทุบายหลอกลวง คิดคด ทรยศต่ออัลลอฮ
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) อธิบายคำว่า "อิสติกอมะฮว่า
الاستقامة: هي سلوك الطريق المستقيم، وهو الدّين القويم من غير تعويج عنه يَمنة ولا يسرة، ويشمل ذلك فعل الطَّاعات كلّها الظَّاهرة والباطنة، وترْك المنهيَّات كلّها كذلك".
อัลอิสติกอมะฮ คือ การดำเนินแนวทางที่เที่ยงตรง และมันคือศาสนา(อิสลาม)ที่เที่ยงตรง ไม่โค้งงอไปทางขวาและทางซ้าย และดังกล่าวนั้น ครอบคลุมถึง บรรดาการกระทำการภักดีต่างๆทั้งหมด ที่เป็นภายนอก (การแสดงออกภายนอก)และที่เป็นภายใน(การกระทำที่เกิดภายในใจ)และการละทิ้งบรรดาสิ่งที่ต้องห้าม ทั้งหมดของมัน -ญามิอุลอุลูม วัลหิกัม ของอิบนุเราะญิบ หน้า 195
.........
เพราะฉะนั้น ในด้านการเสวงหาความรู้ศาสนา ในฐานะเราที่เป็นคนอาวาม ก็ต้องเลือกผู้ชี้นำในเรื่องศาสนาที่มีจุดยืน ไม่เจ้าเล่ห์ลอกลวง มีนัยยะแอบแฝงหาผลประโยชน์จากคนที่หลงคารม "ดังนิทานสุนัขจิ้งจอกกับอีกา" ในนิทายอีสป และผู้นำศาสนาไร้จุดยืน เอนซ้ายเอนขวา ตามกระแสสังคมและผลประโยชน์
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/4/61

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

การกลัวมนุษย์จนกลายเป็นคนโลกสวย


 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

การกลัวมนุษย์จนกลายเป็นคนโลกสวย
มีคนโลกสวย วางแผนว่า จะเข้าถ้ำมูสัง ต้องคอยเป็นค่อยไปอย่าพูดในสิ่งที่เขาไม่ชอบ อย่านำประเด็นเห็นต่างมาพูด แล้วจะได้ตัวมูสังกลับมา แต่ที่เห็นๆ คนที่เข้าถ้ำมูสัง มักจะติดเชื้อมูสังเสียส่วนใหญ่ จนในที่สุด ก็สามารถ มีที่ยืนในหมู่มูสังได้อย่างเชิดหน้าชูตา
ขอเรียนว่า ศาสนาสอนให้ให้พูดความจริง และไม่เกรงกลัวต่อ ผู้ใดนอกจากอัลลอฮ ตาอาลา การกลัวมนุษย์จนไม่กล้า พูดความจริง ซึ่งผู้รู้จะต้อง ทำหน้าที่นี้ หากกลัวมนุษย์ จนไม่กล้าพูดความจริงที่เป็นคำสอนศาสนาและไม่กล้าเตือนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เข้าข่ายชิริก ในด้านการกลัว(الخوف )
ชัยค์อับดุรเราะหมาน บิน มุหัมหมัด บิน กอซิม อัลอาศิมีย์ อัลนัจญดีย์ ได้ กล่าวถึง การกลัว 3 ประเภท และประเภทืี่ 2 ระบุว่า
(الثاني) أن يترك ما يجب عليه من جهاد وأمر بمعروف ونهي عن منكر لغير عذر خوفا من بعض الناس، فهذا محرم، وهو نوع من الشرك بالله المنافي لكمال التوحيد، وهذا هو سبب نزول الآية، كقوله: إِنَّمَا ذَٰلِكُمُ الشَّيْطَانُ يُخَوِّفُ أَوْلِيَاءَهُ فَلَا تَخَافُوهُمْ وَخَافُونِ إِن كُنتُم مُّؤْمِنِينَ
ประเภทที่ 2 คือ การละทิ้งสิ่งที่วาญิบเหนือเขา โดยไม่มีเหตุจำเป็น เพราะกลัวบางส่วนของมนุษย์ แล้วเขายอมทำตามความพอใจของพวกเขา ด้วยความกริ้วของอัลลอฮ เช่น การละทิ้งการใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามจากความชั่ว กรณีนี้ คือ สิ่งต้องห้าม และมันคือชิริกเล็ก ที่เป็นสิ่งปฏิเสธความสมบูรณ์ของเตาฮีดที่วาญิบ และนี้คือ สาเหตุของการประทานอายะฮนี้ลงมา ดังเช่นคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(แท้จริงชัยฏอนนั้น เพียงขู่ได้เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา) -หาชียะฮกิตาบอัตเตาฮีด ลิอบีกอซิม หน้า 244
............
อัลลอฮตาลา ทรงบอกกับท่านนบี ศอ็ลฯ ว่า ชาวยะฮูดีย์และนะศอรอ เขาจะไม่ยินดี หรืิอยอมรับ จนกว่า ท่านนบี ศอ็ลฯ จะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา โดยอัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَلَن تَرْضَىٰ عَنكَ الْيَهُودُ وَلَا النَّصَارَىٰ حَتَّىٰ تَتَّبِعَ مِلَّتَهُمْ ۗ قُلْ إِنَّ هُدَى اللَّهِ هُوَ الْهُدَىٰ ۗ وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءَهُم بَعْدَ الَّذِي جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ ۙ مَا لَكَ مِنَ اللَّهِ مِن وَلِيٍّ وَلَا نَصِيرٍ
และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้- อัลบะเกาะฮ/120
...........
ในทำนองเดียวกัน อยากจะบอกท่านโลกสวยที่มีเกียรติทั้งหลายว่า อะฮลุลบิดอะฮ เขาจะไม่ยินดี และยอมรับท่านหรอก หากท่านไม่ยอมรับบิดอะฮของพวกเขา หรือไม่ก็หุบปาก ไม่ตำหนิการกระทำที่ไม่ถูกต้องของพวกเขา.... ตอนนี้ก็เห็นได้แล้วว่า โต๊ะครูวะฮบีย์ที่ไปร่วมงานบรรยายกับพวกเขา ก็มีค่าเพียง คนเชียร์แขกเท่านั้น ต่อหน้าอย่าง แต่ลับหลัง ก็ไอ้พวกวะฮบีย์ พวกเขาไม่ยอมรับหรอกถ้าท่านพูดความจริง ยกเว้นตามเขาหรือเป็นเตมีย์ใบ้ ไม่พูดเรื่องบิดอะฮและชิริก

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/4/61





เอกสารประกอบหลักฐาน





 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


 

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

เสพตรรกทางปัญญาจนปฏิเสธการมีอยู่ของอัลลอฮ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
เสพตรรกทางปัญญาจนปฏิเสธการมีอยู่ของอัลลอฮ
แนวทาง อุลามาอฺ อะหฺลุซซุนนะห์ถูกใจเพจ
21 ธันวาคม 2016
หลักความเชื่อ
ของอะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่แท้จริงโดยไม่แอบอ้าง
ท่านชัยคุลอิสลาม อิหม่ามตาญุดดีน อัสสุบกีย์ 
ปราช์ใหญ่มัษฮับชาฟีอีย์ (ช่วงปีฮิจเราะฮ์ที่ 727-771)
ได้กล่าวจากท่านอิหม่ามฟัครุดดีน อิบนุอะซากิร ว่า
إِنَّ اللهَ تَعَالَى مَوْجُوْدٌ قَبْلَ الْخَلْقِ لَيْسَ لَهُ قَبْلٌ ولاَ بَعْدٌ، وَلاَ فَوْقٌ وَلاَ تَحْتٌ، وَلاَ يَمِيْنٌ وَلاَ شِمَالٌ، وَلاَ أَمَامٌ وَلاَ خَلْفٌ...هذا آخِرُ الْعَقِيْدَةِ وَلَيْسَ فِيْهَا مَا يُنْكِرُهُ سُنِّيٌّ
“ แท้จริงอัลลอฮฺตะอาลาทรงมีก่อนมีสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยที่พระองค์ไม่มี(สิ่งใด)ก่อนและหลังสำหรับพระองค์ ไม่มีข้างบน ไม่มีข้างล่าง ไม่มีขวา ไม่มีซ้าย ไม่มีข้างหน้า และไม่มีข้างหลัง... 
(และท่านอิหม่ามอัสสุบกีย์กล่าวว่า) นี้คือบทสรุปสุดท้ายของอะกีดะฮ์โดยไม่มีชาวอะฮฺลิซซุนนะฮ์คนใดให้การปฏิเสธมันเลย ”
อ้างอิง : อัสสุบกีย์, ฏ่อบะก้อดอัชชาฟิอียะฮ์, เล่ม 8, หน้า 186.
เครดิต: อะหมัดรอชีดีน อิสมัญ อัลอัชอะรีย์
ปล .. หลักอากีดะห์ วาญิบต้องบริสุทธิ์ !
ก้อเปรียบได้ดั่ง เด็กน้อยที่ไร้ซึ่งปวงบาป
วัลลอหุอะลัม.
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือ การใช้ความคิดเห็นทางปัญญา อ้างว่า พระเจ้าไม่อยู่ด้านบน ไม่อยู่ด้านล่าง ไม่อยู่ด้านซ้าย ไม่อยู่ด้านขวา ไม่อยู่ด้วยหน้า ไม่อยู่ด้านหลัง เป็นการอ้างโดยปราศจากหลักฐานแม้แต่อักษรเดียว และนำไปสู่การปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า
เพราะหลักฐานทางศาสนาระบุว่า ทรงอยู่บนฟ้า หรืออยู่เบื้องสูง
أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากผู้ที่อยู่บน ฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าแล้วขณะนั้นมันจะหวั่นไหว
คำว่า "ผู้อยู่บนฟ้า " ปราชญยุคสะลัฟอธิบายว่า คือ อัลลอฮ
สะลัฟ ได้อธิบายว่า ผู้ที่อยู่บนฟ้าคือ อัลลอฮ ดังหลักฐานต่อไปนี้
หนึ่ง - อิบนุญะรีร (ฮ.ศ 310) อธิบายว่า
أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ} وهو الله
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือจากผู้ที่อยู่ บน ฟากฟ้า ) และ พระองค์คือ อัลลอฮ
جامع البيان في تأويل القرآن – ابن جرير الطبري (ج23 / ص 513)
สอง – อิบนุอบีซะมะนีน (ฮ.ศ 399) อธิบายว่า
{من في السماء} يعني نفسه.
ผู้ที่อยู่บนฟ้า หมายถึง พระองค์เอง
تفسير القرآن العزيز ابن أبي زمنين (ج5 ص14
อิหม่ามอัลลาลุกาอีย์ ได้ระบุอายะฮอัลอิสติวาอฺ ,อายะฮข้างต้นและอายะฮอื่นๆ แล้วท่านได้สรุปว่า
فَدَلَّتْ هَذِهِ الْآيَةُ أَنَّهُ تَعَالَى فِي السَّمَاءِ وَعِلْمُهُ بِكُلِّ مَكَانٍ مِنْ أَرْضِهِ وَسَمَائِهِ .
وَرَوَى ذَلِكَ مِنَ الصَّحَابَةِ :عَنْ عُمَرَ ، وَابْنِ مَسْعُودٍ ، وَابْنِ عَبَّاسٍ ، وَأُمِّ سَلَمَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ .
وَمِنَ التَّابِعِينَ :رَبِيعَةُ بْنُ أَبِي عَبْدِ الرَّحْمَنِ ، وَسُلَيْمَانُ التَّيْمِيُّ ، وَمُقَاتِلُ بْنُ حَيَّانَ ، وَبِهِ قَالَ مِنَ الْفُقَهَاءِ :مَالِكُ بْنُ أَنَسٍ ، وَسُفْيَانُ الثَّوْرِيُّ ، وَأَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ
บรรดาอายาตเหล่านี้ แสดงบอกว่า พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง อยู่บนฟ้า และความรู้ของพระองค์ อยู่ด้วยทุกๆสถานที่ จากแผ่นดินและชั้นฟ้าของพระองค์ และดังกล่าวนั้น ได้ถูกรายงานจาก เศาะหาบะฮ เช่น อุมัร ,อิบนิมัสอูด ,อิบนิอับบาส ,อุมมิสะละมะฮ และจากบรรดาตาบิอีน เช่น เราะบีอะฮ บิน อบี อับดิรเราะหมาน ,สุลัยมาน อัตตัยมีย์ ,มุกอติล บิน หัยยาน และ ส่วนหนึ่งจากบรรดาฟุเกาะฮาอฺ ได้มีทัศนะด้วยมัน(ทัศนะอัลลอฮยู่บนฟ้า) เช่น มาลิก บิน อานัส ซูฟยาน อัษเษารีย์ และอะหมัด บิน หัมบัล -ดู ชัรหอุศูลเอียะติก็อดอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ของอัลลาลุกาอีย์ เล่ม 3 หน้า 388
............
จากหลักฐานที่นำเสนอข้างต้น จะเห็นได้ว่า อาชาอิเราะฮกลุ่มนี้โกหกบิดเบือน อะกีดะฮเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮ โดยการใช้ตรรกทางปัญญาแสดงความเห็นโดยปราศจากหลักฐานจากกิตาบุลลอฮ ,อัสสุนนะฮและแนวทางของปราชญสะลัฟผู้ทรงธรรม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/4/61

 เอกสารประกอบหลักฐานไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

ตัวอย่างการชงบิดเบือนอะกีดะฮอิบนุญะรีร




ตัวอย่างการชงบิดเบือนอะกีดะฮอิบนุญะรีร
Matty Ibnufatim Hamady ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 ภาพ
13 เมษายน เวลา 20:45 น. ·
...
ท่าน อะบุ อัล-ฮะซัน อัล-อัคฟัช อัลเอาซัฏ ( เสียชีวิต ฮ.ศ 215 บางอุลามะ กล่าวว่า เสียชีวิต ฮ.ศ 210 หรือ 211) ปราชญ์ชาวสะลัฟ อุลามะ ด้านภาษาศาสตร์ ลูกศิษย์ ของท่าน ซิบาวัยฮฺ เเละ เกิดก่อนท่าน อิบนุ ญะรีร อัตฏอบรีย์ เเถมมีความเป็นสะลัฟกว่า เเละมีอากีดะห์ เหมือนกับท่าน อิบนุ ญะรีร โดยอธิบายโองการ الرحمن على العرش استوى ว่า คำว่า อิสตาวา มีความหมายว่า อะลา เเละความหมายความของคำว่า อะลา คือ กอดารอ ซึ่งหมายถึง อัลลอฮ์ สูงส่งด้วยปริชาสามารถ ( قدرة) ไม่ใช่ อยู่เบื้องสูง มีสถานที่ อยู่ด้านบน....
ขนาดปราชญ์ ด้านภาษาศาสตร์ ชาวสะลัฟ ยังไม่เอา กับอากีดะห์ อัลลอฮ์ มีสถานที่อยู่บนฟ้า อยู่เหนือบัลลังก์ ( علو المكان) ดังนั้น เราต้องระวังอากีดะห์ ที่อธิบายโองการนี้ ว่า อัลลอฮ์ มีสถานที่ อยู่ด้านบน..
[ Matty Ibnufatim Hamady] 
13 -เมษายน-2561]
@@@@
ชี้แจง
นาย Matty Ibnufatim Hamady อ้างว่า
ท่าน อิบนุ ญะรีร โดยอธิบายโองการ الرحمن على العرش استوى ว่า คำว่า อิสตาวา มีความหมายว่า อะลา เเละความหมายความของคำว่า อะลา คือ กอดารอ ซึ่งหมายถึง อัลลอฮ์ สูงส่งด้วยปริชาสามารถ ( قدرة) ไม่ใช่ อยู่เบื้องสูง มีสถานที่ อยู่ด้านบน....
ขอตอบว่า
เป็นการโกหกบิดเบือน อะกีดะฮของสะลัฟ อิบนุญะรีรอัฏเฏาะบะรีย์
อิบนุญะรีร อัฏเฎาะบะรีย์ ได้เลือกความหมาย คำว่า استوى (อิสตะวา) ว่า อยู่สูง ไม่ قدرة (ทรงสามารถ)อย่างที่นายMatty Ibnufatim Hamady โกหกบิดเบือน
ผู้อ่านมาดูต่อไปนี้
มาดูความหมาย "อิสติวาอฺ" เพื่อพิสูจน์ว่าใครจริง ใครเท็จ ดังนี้
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
[20.5] ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์
๑. อิหม่ามอัฏฏอ็บรีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) อรรถาธิบายว่า
وَقَوْله : { الرَّحْمَن عَلَى الْعَرْش
اسْتَوَى } يَقُول تَعَالَى ذكْره : الرَّحْمَن عَلَى عَرْشه ارْتَفَعَ وَعَلَا
และอัลลอฮ ตรัสว่า
ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ ) พระองค์ผู้ซึ่งการกล่าวถึงพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า
ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ หมายถึง สูง อยู่สูง(เหนื่ออะรัช) - ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 5 ซูเราะฮ ฏอฮา
ในอายะฮที่ว่า
ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
หลังจากนั้นพระองค์ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ -อัล เราะดุ :2
اللّهُ الَّذِي رَفَعَ السَّمَاوَاتِ بِغَيْرِ عَمَدٍ تَرَوْنَهَا ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
อัลลอฮฺคือผู้ทรงยกชั้นฟ้าทั้งหลายไว้โดยปราศจากเสาค้ำจุน ซึ่งพวกเจ้ามองเห็นมัน แล้วทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์
อิบนุญะรีร อธิบายว่า
وَأَمَّا قَوْلُهُ : ( ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ ) فَإِنَّهُ يَعْنِي : عَلَا عَلَيْهِ
และสำหรับคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (หลังจากนั้นพระองค์ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ ) แท้จริง ความหมายคือ อยู่สูง เหนือมัน - ตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ 16/326
ในซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์อายะฮ์ที่ 29 ท่านอัฏเฏาะบะรีย์ได้เลือกความหมายที่ว่า 
ว่า 
وأوْلى المعاني بقول الله جل ثناؤه:"ثم استوى إلى السماء فسوَّاهن"، علا عليهن وارتفع،
บรรดาความหมายที่ดีที่สุด จากคำตรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า “หลังจากพระองค์ทรงอิสติวาสู่ฟากฟ้า แล้วพระองค์ก็ทรงสร้างมัน” คือ พระองค์ทรงอยู่สูงเหนือมันและทรงสูง (เหนือมัน) -
แล้วท่านอิบนุญะรีรกล่าวต่อไปว่า
فدبَّرهن بقدرته وخلقهن سبع سماوات
แล้วทรงบริหารจัดการมัน ด้วยพลานุภาพของพระองค์ และทรงสร้างมันทั้งมันทั้งหลาย เป็นเจ็ดชั้นฟ้า ..
ประโยคหลัง ไม่ได้เป็นการอธิบายความหมายอิสติวาอฺ
2.มาดูภาพรวมในการอธิบายของอิบนุญะรีร ที่บ่งบอกว่าท่านยืนยันในการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เช่น
และอายะฮที่ว่า
وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنتُمْ ۚ وَاللَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ بَصِيرٌ
ฟ้าและพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด และ อัลลอฮ.ทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ- อัล-หะดีด /4
อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ นักตัฟสีรยุคสะลัฟ (ฮ.ศ 310) ได้อธิบายว่า
وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ ) يَقُولُ : وَهُوَ شَاهِدٌ لَكُمْ - أَيُّهَا النَّاسُ - أَيْنَمَا كُنْتُمْ يَعْلَمُكُمْ ، وَيَعْلَمُ أَعْمَالَكُمْ ، وَمُتَقَلَّبَكُمْ وَمَثْوَاكُمْ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ السَّبْعِ

(และพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด) เขากล่าวว่า หมายถึง และพระองค์ทรงเป็นพยานแก่พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าที่ใหนก็ก็ตามที่พวกเจ้าอยู่ พระองค์ทรงรู้พวกเจ้า และทรงรู้บรรดาการงานของพวกเจ้า (ทรงรู้)สถานที่เกลื่อนย้ายของพวกเจ้าและที่อยู่อาศัยของพวกเจ้า และพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏเฏาะบะรีย์ เล่ม 23 หน้า 170 อธิบายซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 4 
@@@@@ 
คำอธิบายของอิบนุญะรีร ยืนยันถึงพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ และคำอธิบายนี้ เป็นหลักฐานลบล้างคำพูดต่างๆ ที่อ้างโกหก ว่าอิบนุญะรีร ตีความว่า หมายถึง قدرة (ทรงปรีชาสามารถ) ใน สิฟัตอิสติวาอฺอย่างสิ้นเชิง 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/4/61





 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

เมือทาสแนวคิดญะฮมียะฮบอกว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้าเป็นอะกีดะฮพระยะโฮวา



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


เมือทาสแนวคิดญะฮมียะฮบอกว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้าเป็นอะกีดะฮพระยะโฮวา
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
มัสอะละห์ศาสนา มีอิจมาอ์ 4 มัสหับของมุสลิม มันไม่เอา ไม่ยอมรับ​
แต่พอเรื่องอะกีดะห์ พระยะโฮวาห์อยู่บนฟ้า มันดันไปร่วมอิจมาอ์ กับกาเฟรได้ทุกศาสนาในโลก อสกข
@@@
ชี้แจง
ด้วยอคติ และความเกลียดชังที่มาจากชัยฏอน บวกกับเสพแนวคิดญะฮมียะฮที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ประกอบความโง่เขลาเบาปัญญา ทำให้คนเราวิปริตถึงขนาด กล่าวหามุสลิมที่เห็นต่างว่า ร่วมอะกีดะฮกับกาเฟร และยึดอะกีดะฮพระยาโฮว่า -วัลอิยาซุบิลละฮ เขาเป็นมุสลิมประเภทใหนหรือแค่คนที่ชาวบ้านเรียกว่าคนแขก
ขอเรียนผู้อ่านว่า "อะกีดะฮอัลลอฮอยู่บนฟ้า ซึ่งหมายถึงการอยู่เบื้องสูงเหนือมัคลูค เป็นอะกีดะฮอิสลาม ทุกยุคทุกสมัย ไม่ใชอกีดะฮของกาเฟร หรือพระยาโฮว่า อย่างที่นายอานัส ชูชื่นหรือนายนามปลอม อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ، حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ أَبِي بَكْرٍ الْمُقَدَّمِيُّ، حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ زَيْدٍ، عَنْ ثَابِتٍ، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ جَاءَ زَيْدُ بْنُ حَارِثَةَ يَشْكُو فَجَعَلَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ " اتَّقِ اللَّهَ، وَأَمْسِكْ عَلَيْكَ زَوْجَكَ ". قَالَتْ عَائِشَةُ لَوْ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم كَاتِمًا شَيْئًا لَكَتَمَ هَذِهِ. قَالَ فَكَانَتْ زَيْنَبُ تَفْخَرُ عَلَى أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم تَقُولُ زَوَّجَكُنَّ أَهَالِيكُنَّ، وَزَوَّجَنِي اللَّهُ تَعَالَى مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ. وَعَنْ ثَابِتٍ {وَتُخْفِي فِي نَفْسِكَ مَا اللَّهُ مُبْدِيهِ وَتَخْشَى النَّاسَ} نَزَلَتْ فِي شَأْنِ زَيْنَبَ وَزَيْدِ بْنِ حَارِثَةَ.
อะหมัด ได้เล่าเรา ว่า มุหัมหมัด บิน อบีบักร อัลมุกอ็ดดิมีย์ ว่า หัมมาด บิน เซด ได้เล่าเราว่ารายงานจาก ษาบิด จากอะนัส เขากล่าวว่า “ เซด บิน หาริษะฮ ได้มาร้องทุกข์(เกี่ยวกับภรรยาของเขา) ทำให้นบี ศอ็ลฯ กล่าวแก่เขาว่า “ท่านจงยำเกรงต่ออัลลอฮ และจงดูแลรักษาภริยาของเจ้าไว้ให้อยู่กับเจ้าเถิด “ ,นางอาอีฉะฮ (ร.ฎ) กล่าวว่า หากปรากฏว่ารซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ปิดบังสิ่งใด เขาก็ปิดบังสิ่งนี้ เขา(ท่านนบี)กล่าวว่า “ซัยหนับ ได้แสดงความภาคภูมิใจอวด บรรดาภรรยาของนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า “โดยนางกล่าวว่า “ ครอบครัวของพวกเธอจัดการแต่งงานให้พวกเธอ (กับท่านนบี) โดยที่ อัลลอฮ ตะอาลา จัดการแต่งงานฉัน(กับนบี) จากเบื้องบน เจ็ดชั้นฟ้า และรายงานจากษาบีต ว่า (และเจ้าได้ซ่อนไว้ในจิตใจของเจ้าเรื่องที่อัลลอฮฺจะทรงเปิดเผยมัน) ว่า มัน(อายะฮนี้ )ถูก ประทานลงมาเกี่ยวกับ ซัยหนับและเซด บิน หาริษะฮ - รายงานโดยบุคอรี
>>>>
หะดิษข้างต้น ประโยคที่ว่า
وَزَوَّجَنِي اللَّهُ تَعَالَى مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ.
โดยที่ อัลลอฮ ตะอาลา จัดการแต่งงานฉัน(กับนบี) จากเบื้องบน เจ็ดชั้นฟ้า
.............
แสดงให้เห็นชัดเจนแก่ผู้มีสติปัญญาปกติว่า “อัลลอฮทรงอยู่เบื้องสูง เหนือบรรดาชั้นฟ้า
อบูบักรฺ อัลอาญุรีย์ ฮ.ศ 360 (ร.ฮ) กล่าวว่า
وفي كتاب الله عز وجل آيات تدل على أن الله تبارك وتعالى في السماء على عرشه، وعلمه محيط بجميع خلقه
และในคัมภีร์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง มีบรรดาอายาตต่างๆ ที่แสดง บอกว่า อัลลอฮผู้ทรงบริสุทธิ์และสูงส่ง อยู่บนฟ้า บน อะรัช และความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมบรรดามัคลูคของพระองค์ทั้งหมด
الشريعة للآجري (ج8 ص1075 و1079 و1081)
อิหม่ามอัซซะฮะบียกล่าวเกี่ยวกับทัศนะสะลัฟ ,บรรดาอิหม่ามอัสสุนนะฮ โดยอย่างยิ่ง เฉพาะเหล่าเศาะหาบะฮ อัลลอฮ รอซูลและบรรดาศรัทธาชน ว่า
قلت : مقالة السلف ، وأئمة السنة ، بل والصحابة ، والله ورسوله والمؤمنين : أن الله في السماء ، وأن الله على العرش ، وأن الله فوق سماواته ، وأنه ينزل إلى السماء الدنيا ، وحجتهم على ذلك النصوص والآثار

ข้าพเจ้า กล่าวว่า "คำพูดสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามสุนนะฮ โดยเฉพาะ เศาะหาบะฮ และ,อัลลอฮ,รอซูลของพระองค์ (ศอลฯ) และบรรดาผู้ศรัทธา คือแท้จริงอัลลอฮ อยู่บนฟ้า ,แท้จริงอัลลอฮอยู่บนอะรัช ,แท้จริง อัลลอฮอยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ และแท้จริง พระองค์ทรงเสด็จลงมายังชั้นฟาดุนยา และหลักฐานของพวกเขา บนดังกล่าวนั้นคือ บรรดาตัวบท และบรรดาอะษัร-ดูอัลอุลูว์ ลิลอะลียิลฆอ็ฟฟาร ของ อิหม่ามอัซซะฮะบีย หน้า 143 อธิบายอะษัร หมายเลข 388
@@@
ความเจ้าเล่ห์ของกลุ่มแนวคิดญะฮมียะฮ ในการใช้ตรรกทางปัญญา บิดเบือนอะกีดะฮให้สอดรับกับความคิดเห็นของตน พร้อมกับการใส่ร้ายคนที่เห็นต่าง จะมีให้เห็นตลอดตราบจนถึงวันกิยามะฮ- วัลอิยาซุบิลละฮ
........


ขอถามนายอานัส ชูชื่น ว่า "มติของใครหรือ ที่ปฏิเสธการอยู่บนฟ้าของอัลลอฮ และปราชญสะลัฟท่านใดหรือ ที่บอกว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าอะกีดะฮกาเฟร? หากสิ่งที่ท่านพูดคือความจริง จงนำหลักฐานมา แต่ถ้าไม่มี ท่านคือ จอมมุสา โกหกบิดเบือนอะกีดะฮอิสลาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/4/61








เอกสารอ้างอิง





 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

ต้องมีความรู้ระดับใหนหรือจึงเรียกอุลามาอฺสอนคนได้ ?

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ต้องมีความรู้ระดับใหนหรือจึงเรียกอุลามาอฺสอนคนได้ ?
น่ากลัว ตอนนี้มีการกำหนดมาตรฐานว่า คนที่สอนคนได้ต้องมีอุลามาอฺรับรอง ต้องผ่านครู แปลก...มีด้วยหรือ อ่านอาหรับได้แปลได้ มีคนบอกว่าไม่ผ่านครู หรือว่า มีด้วยคนที่เกิดมาจากท้องแม่แล้วอ่านอาหรับและแปลอาหรับได้ เองมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ มีด้วยหรือแบบนี้
คำว่าอุลามาอฺ คืออะไร
คำว่า "อุลามาอฺ(علماء ) เป็นพหูพจน์ของคำว่า อาลิม (عالم ) แปลว่า "ผู้มีความรู้"
วิชาความรู้มีหลายแขนง ผู้ที่มีความรู้และเชียวชาญด้านใด เขาก็เป็นอุลามาอฺแขนงนั้น ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญ ในด้านวิชาศาสนา เช่น หะดิษ ,ฟิกฮ ตัฟสีร ฯลฯ เขาก็ได้ชื่อว่า อุลามาอฺในด้านวิชานั้น และการมีความรู้ของมนุษย์นั้น ย่อมไม่เท่าเทียมกัน
แล้วเอามาตรฐานอะไรว่า คนที่จะทำหน้าที่สอนศาสนา เผยแพร่ศาสนา ในประเทศเรา ต้องคนนั้นรับรอง คนนี้รับรอง ต้องผ่านสถาบันนั้น สถาบันนี้
ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า
بَلِّغُوا عَنِّي وَلَوْ آيَةً 
พวกท่านจงเผยแพร่จากฉัน และแม้สักหนึ่งอายะฮก็ตาม..รายงานโดยอัลบุคอรี
อัลมะนาวีย์ (ร.ฮ)อธิบายว่า
بَلِّغُوا عَنِّى وَلَوْ آيَةً. (بلغوا عني) أي انقلوا عني ما أمكنكم ليتصل بالأمة نقل ما جئت به (ولو) أي ولو كان الإنسان إنما يبلغه مني أو عني (آية) واحدة من القرآن
พวกท่านจงเผยแพร่จากฉัน และแม้สักหนึ่งอายะฮ ก็ตาม (จงเผยแพร่จากฉัน) หมายถึง พวกท่าน จงถ่ายทอดจากฉัน ตราบเท่าที่พวกท่านมีความสามารถ เพื่อให้มันได้ติดต่อ/สัมผัส กับอุมมะฮ เป็นการถ่ายทอด สิ่งที่ฉันนำมาด้วยมัน (และแม้ว่า) หมายถึง แม้ว่า มนุษย์คนนั้น ความจริงเขาได้เผยแพร่มันจากฉัน (เพียงอายะฮ)เดียว จากอัลกุรอ่านก็ตาม - ดูฟัยฎุลเกาะดีร ชัรหญามิอิศเศาะฆีร เล่ม 2 หน้า 369
อาลี บิน สุลต่าน มุหัมหมัดอัลกอรีย์ อธิบายว่า
انْقُلُوا إِلَى النَّاسِ، وَأَفِيدُوهُمْ مَا أَمْكَنَكُمْ، أَوْ مَا اسْتَطَعْتُمْ مِمَّا سَمِعْتُمُوهُ مِنِّي، وَمَا أَخَذْتُمُوهُ عَنِّي مِنْ قَوْلٍ أَوْ فِعْلٍ، أَوْ تَقْرِيرٍ بِوَاسِطَةٍ أَوْ بِغَيْرِ وَاسِطَةٍ
พวกจงนำไปยังมนุษย์และให้ประโยชน์กับพวกเขา ตราบที่ท่านมีความสามารถ จากสิ่งที่พวกท่านได้ยิน จากฉัน และสิ่งที่พวกท่านเอามันมันมาจากฉัน จากคำพูด,การกระทำและการยอมรับ ด้วยสื่อกลางหรือไม่ใช่ด้วยสื่อกลางก็ตาม -มิรกอตุลมะฟาติห ชัรหมิชกาตอัลมะศอบิห เล่ม 4 หน้า 212
หัมซะฮ มุหัมหมัด กอซิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
هذا أمر صريح لكل من وصل إلى مسامعه شيء من حديث رسول الله أن يبلغه، وينقله لغيره، سواء كان قليلاً أو كثيراً، ولو آية واحدة من القرآن
และนี่คือคำสั่งอันชัดเจน แก่ทุกๆผู้ที่ ได้ยิน สิ่งใดจาก หะดิษรซูลลอฮ ให้เขาเผยแพร่มัน และถ่ายทอดมันไปถึงพวกเขา ไม่ว่ามันจะน้อยหรือมาก และแม้สักอายะฮเดียวจากอัลกุรอ่านก็ตาม -มะนารุลกอรีย์ ชัรหมุคตะศ็อรเศาะเฮียะ บุคอรี เล่ม 4 หน้า 212
.............
ถ้าอายะฮใด หะดิษใด เราจำ เรารู้ความหมาย เราจะนำไปสอน นำไปไปเผยแพร่ เราต้องได้รับขนานนามว่า "อุลามาอฺ"ก่อนหรือ จึงจะเผยแพร่ได้ เราต้องนำใบปริญญามาแสดงก่อนหรือ เราต้องมีใบรับรองจากอุลามาอฺก่อนหรือจึงจะเผยแพร่ต่อสาธารณะได้?
แปลก...สังคมบ้านเราได้มีการเผยแพร่ศาสนากันมาเป็นร้อยๆปี มาวันนี้คนเรียกหาใบรับรอง เรียกหาตรารับรองจากอุลามาอฺ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/4/61

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

อัลกุรอ่านสอนให้สมานฉันท์การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง ไม่ใช่สมานฉันท์คำสอนศาสนา



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


อัลกุรอ่านสอนให้สมานฉันท์ศาสนาหรือการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง ?
(ชี้แจงความจริงแบบไม่เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนที่เห็นต่าง)
สืบเนื่องมาจากข้าพเจ้า เห็นมีการยกอายาตต่อไปนี้มาอ้างกันตามกระแสละคร กันในหลายเพจ เพื่อปกป้องการวิจารณ์บุพเพสันนิวาส ละครยอดฮิต ซึ่งเหลืออีกตอนเดียวจะจบแล้ว อย่างไรก็ Happy Ending อยู่แล้วครับพี่น้องสบายใจได้
อายะฮที่ว่าคือ
พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตาอาลา ตรัสว่า
وَلَا تَسُبُّوا الَّذِينَ يَدْعُونَ مِن دُونِ اللَّهِ فَيَسُبُّوا اللَّهَ عَدْوًا بِغَيْرِ عِلْمٍ كَذَٰلِكَ زَيَّنَّا لِكُلِّ أُمَّةٍ عَمَلَهُمْ ثُمَّ إِلَىٰ رَبِّهِم مَّرْجِعُهُمْ فَيُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُوا يَعْمَلُونَ ( 108 )
"และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขอ อื่นจากอัลลอฮ์ แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการละเมิด โดยปราศจากความรู้ ในทำนองนั้นแหละ เราได้ให้สวยงามแก่ทุกชาติ ซึ่งการงานของพวกเขา และยังพระเจ้าของพวกเขานั้น คือการกลับไปของพวกเขา แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-อันอาม 6:108)
..............
จะเห็นได้ว่าอายะฮข้างต้น คือ คำสอนอิสลามที่ห้าม ด่าทอ สิ่งที่ศาสนาอื่นบูชา เพราะผลที่ตามมาคือ จะสงผลเสียย้อนกลับมายังศาสนาอิสลาม คือ การตอบโต้ด้วยการด่าทออัลลอฮ และศาสนาอิสลามเช่นกัน
อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ)อรรถาธิบายว่า
نهى سبحانه المؤمنين أَنْ يَسُبُّوا أَوْثَانَهُمْ ، لِأَنَّهُ عَلِمَ إِذَا سَبُّوهَا نَفَرَ الْكُفَّارُ وَازْدَادُوا كُفْرًا. وقَالَ الْعُلَمَاءُ: حُكْمُهَا بَاقٍ فِي هَذِهِ الْأُمَّةِ عَلَى كُلِّ حَالٍ ، فَمَتَى كَانَ الْكَافِرُ فِي مَنَعَةٍ ، وَخِيفَ أَنْ يَسُبَّ الْإِسْلَامَ ، أَوِ النَّبِيَّ عَلَيْهِ السَّلَامُ ، أَوِ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ فَلَا يَحِلُّ لِمُسْلِمٍ أَنْ يَسُبَّ صُلْبَانَهُمْ وَلَا دِينَهُمْ وَلَا كَنَائِسَهُمُ ، وَلَا يَتَعَرَّضُ إِلَى مَا يُؤَدِّي إِلَى ذَلِكَ ، لِأَنَّهُ بِمَنْزِلَةِ الْبَعْثِ عَلَى الْمَعْصِيَةِ
อัลลอฮ ซ.บ ทรงห้ามบรรดาผู้ศรัทธา ไม่ให้ด่าทอบรรดารูปปั้นของพวกเขา เพราะว่า พระองค์รู้ว่า เมื่อพวกเขา(ผู้ศรัทธา) ด่าทอมัน บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จะหนี้ห่างและพวกเขาเพิ่มการปฏิเสธศรัทธาเพิ่มขึ้น และบรรดานักปราชญ์ได้กล่าวว่า "หุกุมของมัน(ข้อบังคับของการห้ามด่าต่อสิ่งที่ต่างศาสนิกบูชา) นั้น ยังคงดำรงอยู่ ในประชาชาตินี้ บน ทุกๆสภาพการณ์ ดังนั้นเมื่อ กาเฟร อยู่ในสภาพที่เข้มแข็ง และเกรงว่าเขาจะด่าทอศาสนาอิสลาม หรือท่านนบี อะลัยฮิสสลาม หรือ(ด่าทอ)อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ก็ไม่อนุญาตดังกล่าวแก่มุสลิม ด่าทอบรรดารูปปั้นของพวกเขา ,ศาสนาของพวกเขาและบรรดาโบสถ์(ศาสนสถาน)ของพวกเขา และเขาจะไม่ แสดงออก สิ่งที่นำไปสู่ดังกล่าว เพราะแท้จริง เขาก็จะอยู่ในฐานะ ของการส่งเสริมบนสิ่งที่เป็นมะฮศียะฮ (สิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของศาสนา) - ดู ตัฟสีรอัลญาเมียะ ลิอะหกามอัลกุรอ่าน เล่ม 7 หน้า 61
.....................
ข้างต้นคือ ข้อห้ามการด่าทอ สิ่งเคารพบูชาหรือศาสนาอื่น ด้วยเหตุผลว่า ผลเสียจะย้อนกลับมาสู่มุสลิมและศาสนาอิสลาม
คำว่า "ดาทอ (سب ) ความหมายคือ
السَّبّ : الشَّتْمُ ، القَذْفُ بِكَلماتٍ نَابِيَةٍ
อัสสับ คือ การกล่าวให้ร้าย ,การด่าว่า ด้วยบรรดาถ้อยคำที่หยาบคาย -ดูมุอญัมอัลมาอานีย์อัลญาเมียะ คำว่า สับ(سب )
การชี้แจงให้มุสลิมเข้าใจและแยกแยะระหว่างคำสอนอิสลามกับคำสอนศาสนาอื่น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อหลักความเชื่อ และหลักการปฏิบัติ ที่ก่อให้เขาตกศาสนาได้ เป็นหน้าที่ของมุสลิมที่เป็นผู้รู้ ไม่ได้เรียกว่าการกระทำแบบนี้คือการ ดูแคลน และด่าทอศาสนาอื่น อย่างที่มุสลิมบางกลุ่มที่วังผลให้เกิดการเข้าใจผิดแก่พี่น้องต่างศาสนาร่วมชาติ เพื่อจะได้เป็นเครื่องมือในการกำจัดบรรดามุสลิมที่เห็นต่าง
ขอยกตัวอย่างข้อห้ามคำสอนในศาสนาอิสลามเช่น
1.ห้ามกราบไหว้บูชาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รูปปั้น รูปภาพ ต้นไม้ ก้อนหิน จอปลวก แม่น้ำ ภูเขา ผีสางนางไม้ ตลอดจนวิญญาณต่างๆเช่น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ศาลพระภูมิ หรือเจ้าไม่มีศาล
2.ห้ามเชื่อเรื่องดวงชะตา ราศี ผูกดวง หมอดู ห้ามถือโชคลางของขลัง ฤกษ์ยามและไสยศาสตร์ ทั้งหลาย การทำเสน่ห์ เวทมนย์ ตะกรุด ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลัง เชื่อการทำนายโชคชะตา ฯลฯ
.........
ข้อห้ามศาสนาอิสลามข้างต้น ขัดกับคำสอนศาสนาอื่น ก็จริง แต่ การชี้แจงให้มุสลิมเข้าใจ และแยกแยะว่าอะไรคืออิสลามและอะไรไม่ใช่อิสลาม ไม่ได้อยู่ในคำว่า ด่าทอ ต่างศาสนา ผมเข้าใจว่าคนต่างศาสนาเข้าใจ แต่ที่แกล้งไม่เข้าใจคือมุสลิมบางกลุ่ม ที่ต้องการเอาประเด็นนี้ไปทำลายมุสลิมที่เห็นต่างมากกว่า
..............
การอยู่ร่วมกันในสังคมพาหุวัฒนธรรมนั้น คือ การสมานฉันการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ การสมานฉันท์คำสอนศาสนา อย่างที่คนบางกลุ่มโง่เขลาเบาปัญญาพยายามสร้างความสับสน และเพื่อเอาใจประจบสอพลอคนต่างศาสนาโดยไม่คำนึงข้อเท็จจริง และผมเชื่อว่า หากชี้แจงข้อเท็จจริงโดยปราศจากอคติและมีนัยแอบแฝง พวกเขาชาวต่างศาสนิกก็เข้าใจ เพราะพวกเขามีหัวใจที่รักสงบและรักความเป็นธรรมเช่นกัน
............
ในสมัยนบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ท่านเคยถูกบรรดาคนต่างศาสนา มุชริกีน ชาวกุเรช ยื่นข้อเสนอให้ท่านนบี ศ็อลฯ มาสมานฉันท์ในทางศาสนา คือ ให้ท่านนบี ศอ็ลฯกราบไหว้สิ่งที่เขากราบไหว้ แล้วพวกเขาจะกราบไหว้อัลลอฮ เป็นการสมานฉันท์ โดยเสนอผลประโยชน์ให้กับท่านนบีมากมาย แต่ท่านไม่เอา เพราะคำสอนศาสนาเปลี่ยนไม่ได้ จะเอาตามใจคนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ไม่ได้ อัลลอฮจึงประทานซูเราะฮ(บท)อัลกาฟิรูน และโองการสุดท้ายของบทนี้คือ
لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِينِ
สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน - อัล-กาฟิรูน
..........
จากข้อเขียนและหลักฐานข้อเท็จจริง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หวังว่า พี่น้องร่วมชาติที่เป็นต่างศาสนิก คงเข้าใจ และข้าพเจ้าเชื่อว่า พวกท่านเข้าใจบริบทของคำว่า การอยู่ร่วมกันบนพาหุวัฒนธรรมอย่างแน่นอน -อินชาอัลลอฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/4/61

เขาหาว่า วะฮบีย์ปลอมหนังสือ

เขาหาว่า วะฮบีย์ปลอมหนังสือ
Matty Ibnufatim Hamady
27 มีนาคม เวลา 10:53 น. ·
...
ตำรา " جزء فيه ذكر اعتقاد السلف فى الحروف والأصوات " ไม่ใช่ตำราของท่าน อีหม่าม อันนะวาวีย์ ร.ฮ. เเต่งขึ้นมา ที่พวกวาฮะบีย์ ทั้งหลาย ชอบอ้างอิงว่า ท่าน อีหม่าม อันนาวาวีย์ กลับใจ กลับตัว ไปยึดตามอากีดะหฺ สะลัฟ เเละยึดว่า กะลามของอัลลลอฮ์นัน มีพยัญชนะ อักษร เเละเสียง ซึ่งเป็นการอ้างตำราปลอม เพื่อให่คนอาวามตายใจ เเละยึดตาม พร้อมทั้งใส่ร้ายท่าน อีหม่าม ตำรานี้ ไม่รู้ใครเเต่ง เเต่ไปใส่ชื่อท่าน อีหม่าม อันนาวาวีย์ เเต่ง เเละ ในตำรา อัซวียาร อะลาม อัลมุสลีมีน สำหรับท่าน อีหม่าม อันนาวาวีย์ เเละอื่น ไม่มีระบุ ชื่อตำรานี้ ใต้ مؤلفات ของท่าน อีหม่ามเลย
ตำรานี้ มีคนเเต่งขึ้นมา โดยเอาสำนวนผสม ลอกสำนวนมาจากตำรา ต่อไปนี้
1. ตำรา เมาซูม บิฆอยาตุล อัลมุรอม ฟิ มัสอะลาติกะลาม ของ ท่าน อะบุ อับบาส อัลอัรมาวีย์ อัชชาฟีอีย์ 
2. ตำรา อัตติบยาน ฟิ อาดาบิ ฮะมาลาติล อัลกุรอ่าน ของท่าน อีหม่าม อันนาวาวีย์
ดูภาพสำนวน เปรียบเทียบ ระดับการเเต่งตำราของท่าน อีหม่าม อันนาวาวีย์ คง ไม่ลอกจากตำราอื่นของท่าน มาเเปะ ผสมกับตำราของคนอื่น หากใครอ่านตำราของท่าน อีหม่าม อันนาวาวีย์ หลายเล่ม เเละสังเกต การเเต่งตำรา การใช้ภาษา นั้น จะไม่ใช่ ท่าน เเน่นอน เเละ ในตำรา ประวัติต่างๆ ของบรรดาอุลามะ ไม่มี ใคร ระบุ ตำราเล่มนี้ ว่า เป็นของท่าน เเต่งขี้นมา
@@@@
ชี้แจง
พอดีตำราชื่อ "جزء فيه ذكر ما يجب اعتقاده عند علماء السلف في الحروف والأصوات " (ยุซ ฟีฮี ซิกรุ มา ยะญิบุ เอียะติกอดุฮู อินดาอุลามาอฺอัสสะลัฟ ฟีลหุรูฟวัลอัศวาต) เป็นตำราที่ยืนยัน ว่า อัลลอฮตรัสด้วยเสียงและอักษร กลายเป็นหนามยอกอก นาย Matty Ibnufatim Hamady และหมู่คณะอาชาอิเราะฮ ที่ปฏิเสธว่า อัลลอฮไม่ได้ตรัสด้วยเสียงและอักษร จึงออกมาโฆษณาชวนเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นของปลอมและวะฮบีย์เป็นผู้ปลอม
فصل: في إثبات الحرف لله تعالى]
دليله آيات من الكتاب العزيز
الأول: {فَتَلَقَّى آدَمُ مِنْ رَبِّهِ كَلِمَاتٍ} [البقرة:37] .
وكذلك قوله تعالى: {قُلْ لَوْ كَانَ الْبَحْرُ مِدَاداً لِكَلِمَاتِ رَبِّي لَنَفِدَ الْبَحْرُ قَبْلَ أَنْ تَنْفَدَ كَلِمَاتُ رَبِّي} [الكهف:109]
บท เกี่ยวกับการยืนยันอักษรแก่อัลลอฮตาอาลา 
หลักฐานของมันคือ บรรดายาต จากคัมภีร์ อันทรงเกียรติ 
1.คือ (แล้วอาดัมได้เรียนรู้บรรดาคำวิงวอนจากพระเจ้าของเขา -อัลบะเกาะเราะฮ /37)
และในทำนองเดียวกันนั้น คือคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “หากว่าทะเลเป็นน้ำหมึกสำหรับบันทึกพจนารถของพระผู้เป็นเจ้าของฉัน แน่นอน ทะเลจะเหือดแห้งก่อนที่คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าของฉันหมดสิ้นไป ) - อัลกะฮฟี/109 - หน้า 54
فصل: في اثبات الصوت لله تعالى
ينطق الكتاب العزيز بذلك في مواضع:
منها في سورة القصص {فَلَمَّا أَتَاهَا نُودِيَ} [القصص: 30]
وفي سورة النمل {فَلَمَّا جَاءَهَا نُودِيَ} [النمل: 8] وفي طه {فَلَمَّا جَاءَهَانُودِيَ} [طه:11] .
والنداء لايكون إلا بصوت عند جميع أهل اللغة. وكذلك قوله تعالى: {فَاسْتَمِعْ لِمَا يُوحَى} [طه13] .
والاستماع لايكون إلا لصوت مسموع
บท เกี่ยวกับการยืนยันเสียง ให้แก่อัลลอฮตาอาลา
คัมภีร์อันทรงเกียรติ ได้พูดด้วยดังกล่าว ในหลายที่ด้วยกัน
ส่วนหนึ่งจากมัน อยู่ในซูเราะฮ อัลเกาศอศ คือ(เมื่อเขาได้มาที่มัน (ไฟ) ได้มีเสียงเรียก -อัลเกาะศอ็ศ/30)
และในซูเราะฮอัลนัมลิ ( ครั้นเมื่อเขามาถึงที่นั่น ได้มีเสียงเรียก -อัลนัมลุ/8) และในซูเราะฮฏอฮา (ครั้นเมื่อเขามาถึงที่นั่น ได้มีเสียงเรียก -ฏอฮา/11)
และการเรียก มันจะไม่เกิดขึ้น นอกจากด้วยเสียง ในทัศนะของนักภาษาศาสตร์ และในทำนองเดียวกัน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (ฉะนั้น จงตั้งใจฟังสิ่งที่ถูกวะฮี- ฏอฮา/13)
และการฟังนั้น มันจะไม่เกิดขึ้น นอกจาก สำหรับเสียงที่ถูกได้ยิน ดู - ยุซ ฟีฮี ซิกรุ มา ยะญิบุ เอียะติกอดุฮู อินดาอุลามาอฺอัสสะลัฟ ฟีลหุรูฟวัลอัศวาตหน้า 56
.........
จากตำราข้างต้นยืนยัน อักษรและเสียง เกี่ยวกับคำพูดของอัลลอฮ(كلام الله ) ซึ่งขัดกับแนวคิดของอาชาอิเราะฮสายตรรกนิยม จึงกล่าวหาว่า วะฮบีย์เป็นคนปลอม วะฮบียคนใหนปลอมหรือครับ นาย Matty Ibnufatim Hamady แล้ว อายาตอัลกุรอ่านปลอมด้วยไหมครับท่าน

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
4/4/61