วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

อัลกุรอ่านสอนให้สมานฉันท์การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง ไม่ใช่สมานฉันท์คำสอนศาสนา



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


อัลกุรอ่านสอนให้สมานฉันท์ศาสนาหรือการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง ?
(ชี้แจงความจริงแบบไม่เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนที่เห็นต่าง)
สืบเนื่องมาจากข้าพเจ้า เห็นมีการยกอายาตต่อไปนี้มาอ้างกันตามกระแสละคร กันในหลายเพจ เพื่อปกป้องการวิจารณ์บุพเพสันนิวาส ละครยอดฮิต ซึ่งเหลืออีกตอนเดียวจะจบแล้ว อย่างไรก็ Happy Ending อยู่แล้วครับพี่น้องสบายใจได้
อายะฮที่ว่าคือ
พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตาอาลา ตรัสว่า
وَلَا تَسُبُّوا الَّذِينَ يَدْعُونَ مِن دُونِ اللَّهِ فَيَسُبُّوا اللَّهَ عَدْوًا بِغَيْرِ عِلْمٍ كَذَٰلِكَ زَيَّنَّا لِكُلِّ أُمَّةٍ عَمَلَهُمْ ثُمَّ إِلَىٰ رَبِّهِم مَّرْجِعُهُمْ فَيُنَبِّئُهُم بِمَا كَانُوا يَعْمَلُونَ ( 108 )
"และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขอ อื่นจากอัลลอฮ์ แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการละเมิด โดยปราศจากความรู้ ในทำนองนั้นแหละ เราได้ให้สวยงามแก่ทุกชาติ ซึ่งการงานของพวกเขา และยังพระเจ้าของพวกเขานั้น คือการกลับไปของพวกเขา แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-อันอาม 6:108)
..............
จะเห็นได้ว่าอายะฮข้างต้น คือ คำสอนอิสลามที่ห้าม ด่าทอ สิ่งที่ศาสนาอื่นบูชา เพราะผลที่ตามมาคือ จะสงผลเสียย้อนกลับมายังศาสนาอิสลาม คือ การตอบโต้ด้วยการด่าทออัลลอฮ และศาสนาอิสลามเช่นกัน
อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ)อรรถาธิบายว่า
نهى سبحانه المؤمنين أَنْ يَسُبُّوا أَوْثَانَهُمْ ، لِأَنَّهُ عَلِمَ إِذَا سَبُّوهَا نَفَرَ الْكُفَّارُ وَازْدَادُوا كُفْرًا. وقَالَ الْعُلَمَاءُ: حُكْمُهَا بَاقٍ فِي هَذِهِ الْأُمَّةِ عَلَى كُلِّ حَالٍ ، فَمَتَى كَانَ الْكَافِرُ فِي مَنَعَةٍ ، وَخِيفَ أَنْ يَسُبَّ الْإِسْلَامَ ، أَوِ النَّبِيَّ عَلَيْهِ السَّلَامُ ، أَوِ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ فَلَا يَحِلُّ لِمُسْلِمٍ أَنْ يَسُبَّ صُلْبَانَهُمْ وَلَا دِينَهُمْ وَلَا كَنَائِسَهُمُ ، وَلَا يَتَعَرَّضُ إِلَى مَا يُؤَدِّي إِلَى ذَلِكَ ، لِأَنَّهُ بِمَنْزِلَةِ الْبَعْثِ عَلَى الْمَعْصِيَةِ
อัลลอฮ ซ.บ ทรงห้ามบรรดาผู้ศรัทธา ไม่ให้ด่าทอบรรดารูปปั้นของพวกเขา เพราะว่า พระองค์รู้ว่า เมื่อพวกเขา(ผู้ศรัทธา) ด่าทอมัน บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จะหนี้ห่างและพวกเขาเพิ่มการปฏิเสธศรัทธาเพิ่มขึ้น และบรรดานักปราชญ์ได้กล่าวว่า "หุกุมของมัน(ข้อบังคับของการห้ามด่าต่อสิ่งที่ต่างศาสนิกบูชา) นั้น ยังคงดำรงอยู่ ในประชาชาตินี้ บน ทุกๆสภาพการณ์ ดังนั้นเมื่อ กาเฟร อยู่ในสภาพที่เข้มแข็ง และเกรงว่าเขาจะด่าทอศาสนาอิสลาม หรือท่านนบี อะลัยฮิสสลาม หรือ(ด่าทอ)อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ก็ไม่อนุญาตดังกล่าวแก่มุสลิม ด่าทอบรรดารูปปั้นของพวกเขา ,ศาสนาของพวกเขาและบรรดาโบสถ์(ศาสนสถาน)ของพวกเขา และเขาจะไม่ แสดงออก สิ่งที่นำไปสู่ดังกล่าว เพราะแท้จริง เขาก็จะอยู่ในฐานะ ของการส่งเสริมบนสิ่งที่เป็นมะฮศียะฮ (สิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของศาสนา) - ดู ตัฟสีรอัลญาเมียะ ลิอะหกามอัลกุรอ่าน เล่ม 7 หน้า 61
.....................
ข้างต้นคือ ข้อห้ามการด่าทอ สิ่งเคารพบูชาหรือศาสนาอื่น ด้วยเหตุผลว่า ผลเสียจะย้อนกลับมาสู่มุสลิมและศาสนาอิสลาม
คำว่า "ดาทอ (سب ) ความหมายคือ
السَّبّ : الشَّتْمُ ، القَذْفُ بِكَلماتٍ نَابِيَةٍ
อัสสับ คือ การกล่าวให้ร้าย ,การด่าว่า ด้วยบรรดาถ้อยคำที่หยาบคาย -ดูมุอญัมอัลมาอานีย์อัลญาเมียะ คำว่า สับ(سب )
การชี้แจงให้มุสลิมเข้าใจและแยกแยะระหว่างคำสอนอิสลามกับคำสอนศาสนาอื่น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อหลักความเชื่อ และหลักการปฏิบัติ ที่ก่อให้เขาตกศาสนาได้ เป็นหน้าที่ของมุสลิมที่เป็นผู้รู้ ไม่ได้เรียกว่าการกระทำแบบนี้คือการ ดูแคลน และด่าทอศาสนาอื่น อย่างที่มุสลิมบางกลุ่มที่วังผลให้เกิดการเข้าใจผิดแก่พี่น้องต่างศาสนาร่วมชาติ เพื่อจะได้เป็นเครื่องมือในการกำจัดบรรดามุสลิมที่เห็นต่าง
ขอยกตัวอย่างข้อห้ามคำสอนในศาสนาอิสลามเช่น
1.ห้ามกราบไหว้บูชาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รูปปั้น รูปภาพ ต้นไม้ ก้อนหิน จอปลวก แม่น้ำ ภูเขา ผีสางนางไม้ ตลอดจนวิญญาณต่างๆเช่น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ศาลพระภูมิ หรือเจ้าไม่มีศาล
2.ห้ามเชื่อเรื่องดวงชะตา ราศี ผูกดวง หมอดู ห้ามถือโชคลางของขลัง ฤกษ์ยามและไสยศาสตร์ ทั้งหลาย การทำเสน่ห์ เวทมนย์ ตะกรุด ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลัง เชื่อการทำนายโชคชะตา ฯลฯ
.........
ข้อห้ามศาสนาอิสลามข้างต้น ขัดกับคำสอนศาสนาอื่น ก็จริง แต่ การชี้แจงให้มุสลิมเข้าใจ และแยกแยะว่าอะไรคืออิสลามและอะไรไม่ใช่อิสลาม ไม่ได้อยู่ในคำว่า ด่าทอ ต่างศาสนา ผมเข้าใจว่าคนต่างศาสนาเข้าใจ แต่ที่แกล้งไม่เข้าใจคือมุสลิมบางกลุ่ม ที่ต้องการเอาประเด็นนี้ไปทำลายมุสลิมที่เห็นต่างมากกว่า
..............
การอยู่ร่วมกันในสังคมพาหุวัฒนธรรมนั้น คือ การสมานฉันการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ การสมานฉันท์คำสอนศาสนา อย่างที่คนบางกลุ่มโง่เขลาเบาปัญญาพยายามสร้างความสับสน และเพื่อเอาใจประจบสอพลอคนต่างศาสนาโดยไม่คำนึงข้อเท็จจริง และผมเชื่อว่า หากชี้แจงข้อเท็จจริงโดยปราศจากอคติและมีนัยแอบแฝง พวกเขาชาวต่างศาสนิกก็เข้าใจ เพราะพวกเขามีหัวใจที่รักสงบและรักความเป็นธรรมเช่นกัน
............
ในสมัยนบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ท่านเคยถูกบรรดาคนต่างศาสนา มุชริกีน ชาวกุเรช ยื่นข้อเสนอให้ท่านนบี ศ็อลฯ มาสมานฉันท์ในทางศาสนา คือ ให้ท่านนบี ศอ็ลฯกราบไหว้สิ่งที่เขากราบไหว้ แล้วพวกเขาจะกราบไหว้อัลลอฮ เป็นการสมานฉันท์ โดยเสนอผลประโยชน์ให้กับท่านนบีมากมาย แต่ท่านไม่เอา เพราะคำสอนศาสนาเปลี่ยนไม่ได้ จะเอาตามใจคนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ไม่ได้ อัลลอฮจึงประทานซูเราะฮ(บท)อัลกาฟิรูน และโองการสุดท้ายของบทนี้คือ
لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِينِ
สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน - อัล-กาฟิรูน
..........
จากข้อเขียนและหลักฐานข้อเท็จจริง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หวังว่า พี่น้องร่วมชาติที่เป็นต่างศาสนิก คงเข้าใจ และข้าพเจ้าเชื่อว่า พวกท่านเข้าใจบริบทของคำว่า การอยู่ร่วมกันบนพาหุวัฒนธรรมอย่างแน่นอน -อินชาอัลลอฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
5/4/61

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น