วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

การห้ามขบถต่อผู้นำ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่มติของนักปราชญ์จริงหรือ




ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ






การห้ามขบถต่อผู้นำ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่มติของนักปราชญ์จริงหรือ
มาดูข้อเท็จจริงต่อไปนี้
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
وَمَعْنَى الْحَدِيثِ : لَا تُنَازِعُوا وُلَاةَ الْأُمُورَ فِي وِلَايَتِهِمْ ، وَلَا تَعْتَرِضُوا عَلَيْهِمْ إِلَّا أَنْ تَرَوْا مِنْهُمْ مُنْكَرًا مُحَقَّقًا تَعْلَمُونَهُ مِنْ قَوَاعِدِ الْإِسْلَامِ ، فَإِذَا رَأَيْتُمْ ذَلِكَ فَأَنْكِرُوهُ عَلَيْهِمْ ، وَقُولُوا بِالْحَقِّ حَيْثُ مَا كُنْتُمْ ، وَأَمَّا الْخُرُوجُ عَلَيْهِمْ وَقِتَالُهُمْ فَحَرَامٌ بِإِجْمَاعِ الْمُسْلِمِينَ ، وَإِنْ كَانُوا فَسَقَةً ظَالِمِينَ
และความหมายหะดิษ คือ พวกท่านอย่าขัดแย้งกับผู้ปกครอง ในการปกครองของเขา และพวกท่านอย่าต่อต้านพวกเขา ยกเว้น
พวกท่านเห็นสิ่งที่ไม่ดี ที่ชัดเจน(พิสูจน์ได้) จากพวกเขา ซึ่งพวกท่านรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งจาก จากรากฐานของอิสลาม ดังนั้นเมื่อพวกท่านเห็นดังกล่าวนั้น พวกท่านก็จงคัดค้านพวกเขา และพวกท่านจงพูดความจริง ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ที่ใหนก็ตามสำหรับ การเป็นขบถต่อพวกเขา(บรรดาผู้ปกครอง) และการต่อสู้กับพวกเขา นั้น เป็นข้อห้าม(หะรอม) โดยมติของบรรดามุสลิม และแม้ว่าพวกเขาเป็นคนทำชั่วที่เป็นผู้อธรรมก็ตาม- ชัรหมุสลิม เล่ม 12 หน้า 229
อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
قَالَ ابْنُ بَطَّالٍ : فِي الْحَدِيثِ حُجَّةٌ فِي تَرْكِ الْخُرُوجِ عَلَى السُّلْطَانِ وَلَوْ جَارَ ، وَقَدْ أَجْمَعَ الْفُقَهَاءُ عَلَى وُجُوبِ طَاعَةِ السُّلْطَانِ الْمُتَغَلِّبِ وَالْجِهَادِ مَعَهُ وَأَنَّ طَاعَتَهُ خَيْرٌ مِنَ الْخُرُوجِ عَلَيْهِ لِمَا فِي ذَلِكَ مِنْ حَقْنِ الدِّمَاءِ وَتَسْكِينِ الدَّهْمَاءِ ، وَحُجَّتُهُمْ هَذَا الْخَبَرُ وَغَيْرُهُ مِمَّا يُسَاعِدُهُ ، وَلَمْ يَسْتَثْنُوا مِنْ ذَلِكَ إِلَّا إِذَا وَقَعَ مِنَ السُّلْطَانِ الْكُفْرُ الصَّرِيحُ فَلَا تَجُوزُ طَاعَتُهُ فِي ذَلِكَ بَلْ تَجِبُ مُجَاهَدَتُهُ لِمَنْ قَدَرَ عَلَيْهَا كَمَا فِي الْحَدِيثِ الَّذِي بَعْدَهُ .
อิบนุบัฏฏ็อล ได้กล่าวว่า " ในหะดิษนี้คือหลักฐาน ในการละทิ้งการขบถต่อ ผู้มีอำนาจปกครอง และแม้ว่าเขาได้ ทำการกดขี่(อธรรม)ก็ตาม และแท้จริง บรรดาฟุเกาะฮาอฺ(นักนิติศาสตร์อิสลาม)ได้มีมติ ว่าจำเป็นต้องเชื่อฟังสุลต่าน(ผู้ปกครอง) ที่มีอำนาจปกครอง และทำการญิฮาดพร้อมกับเขา และการเชื่อฟังเขา ดีกว่า การทำการขบถต่อเขา เพราะในดังกล่าวนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากการรักษาบรรดาเลือดเนื้อและการบรรเทาจากความหายนะ และหลักฐานของพวกเขาคือ หะดิษนี้ และอื่นจากหะดิษนี้ ที่สนับสนุนมัน และพวกเขาไม่ได้กำหนดข้อยกเว้น จากดังกล่าว นอกจาก การกุฟุรอันชัดเจนได้เกิดขึ้นจากสุลต่าน(ผู้ปกครอง) ก็จะไม่อนุญาตให้เชื่อฟังเขา ในดังกล่าวนั้น ในทางกลับกัน วาญิบจะต้องต่อสู้กับเขา แก่ผู้ที่มีความสามารถบนมัน ดังสิ่งที่ระบุในหะดิษหลังจากมัน - ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 9
............
สรุป
ตราบใดที่ผู้มีอำนาจปกครอง ยังเป็นมุสลิม แม้จะเป็นผู้ที่อธรรม ก็ไม่อนุญาตให้ทำการก่อขบถหรือล้มล้างอำนาจการปกครอง เพื่อรักษาไว้ซึ่งการนองเลือดและไม่ให้เกิดความหายนะ ยกเว้นกรณีผู้ปกครองที่อธรรมนั้นตกเป็นกาเฟร(ผู้ปฏิเสธศรัทธา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/6/61

ห้ามเชื่อฟังผู้นำในสิ่งที่ผิดก็จริง แต่ห้ามขบถต่อผู้นำ



ห้ามเชื่อฟังผู้นำในสิ่งที่ผิดก็จริง แต่ห้ามขบถต่อผู้นำ
ท่านนบี ศ็อลฯกล่าวว่า
عَلَى الْمَرْءِ الْمُسْلِمِ السَّمْعُ وَالطَّاعَةُ فِيْمَا أَحَبَّ وَكرَهَ إِلا أَنْ يُؤْمَرَ بِمَعْصِيَّةٍ فَإِنْ أَمَرَ بِمَعْصِيَّةٍ فَلا سَمْعَ وَلا طَاعَةَ
หน้าที่เหนื่อบุคคลที่เป็นมุสลิม คือ การรับฟังและเชื่อฟัง ในสิ่งที่เขาชอบและไม่ชอบ ยกเว้น เขาถูกใช้ให้ทำการฝ่าฝืน ดังนั้น ไม่มีการรับฟังและเชื่อฟัง – มุสลิม หะดิษหมายเลข 3423 และอัตติมีซีย์ หะดิษหมายเลข 1629
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ กล่าวว่า
وَفِيهِ أَنَّ الْإِمَامَ إِذَا أَمَرَ بِمَنْدُوبٍ أَوْ مُبَاحٍ وَجَبَ . قَالَ الْمُظْهِرُ : يَعْنِي سَمَاعُ كَلَامِ الْحَاكِمِ وَطَاعَتُهُ وَاجِبٌ عَلَى كُلِّ مُسْلِمٍ سَوَاءٌ أَمَرَهُ بِمَا يُوَافِقُ طَبْعَهُ أَوْ لَمْ يُوَافِقْهُ بِشَرْطِ أَنْ لَا يَأْمُرَهُ بِمَعْصِيَةٍ ، فَإِنْ أَمَرَهُ بِهَا فَلَا تَجُوزُ طَاعَتُهُ ، وَلَكِنْ لَا يَجُوزُ لَهُ مُحَارَبَةُ الْإِمَامِ .
ในหะดิษนี้ แท้จริง ผู้นำ เมื่อเขาสั่งใน ด้วยสิ่งที่เป็นสุนัต(มันดูบ)และสิ่งที่อนุญาต(มุบาห) ก็วาญิบจะต้องเชื่อฟัง ,อัลมุซอฮัร ได้กล่าวถึงหะดิษนี้ว่า (หมายถึง การรับฟังคำพูดของหากิม(ผู้ปกครอง) และการเชื่อฟังเขานั้น เป็นวาญิบ เหนือมุสลิมทุกคน ไม่ว่าคำสั่งของเขา จะสอดคล้องกับอารมณ์ของมุสลิมหรือไม่ก็ตาม ด้วยเงื่อนไขที่ว่า เขา(ผู้ปกครอง)ไม่สั่งเขาให้ทำการฝ่าฝืน(บทบัญญัติศาสนา) เพราะถ้าเขา(ผู้ปกครอง)สั่งเขาให้ทำการฝ่าฝืน ก็ไม่อนุญาตให้เชื่อฟังเขา แต่ไม่อนุญาตให้เขาทำการต่อสู้กับผู้นำ – ตุหฟะตุลอะหฺวะซีย์ ชัรหสุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม ๕ หน้า 365
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์กล่าวอีกว่า
وَقَالَ النَّوَوِيُّ فِي شَرْحِ مُسْلِمٍ : قَالَ جَمَاهِيرُ أَهْلِ السُّنَّةِ مِنْ الْفُقَهَاءِ وَالْمُحَدِّثِينَ وَالْمُتَكَلِّمِينَ : لَا يَنْعَزِلُ الْإِمَامُ بِالْفِسْقِ وَالظُّلْمِ وَتَعْطِيلِ الْحُقُوقِ وَلَا يُخْلَعُ وَلَا يَجُوزُ الْخُرُوجُ عَلَيْهِ لِذَلِكَ ، بَلْ يَجِبُ وَعْظُهُ وَتَخْوِيفُهُ ، لِلْأَحَادِيثِ الْوَارِدَةِ فِي ذَلِكَ
และอันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน ชัรหมุสลิมว่า อะฮลุสสุนนะฮส่วนมาก(ญุมฮูรอะฮลิสสุนนะฮ) จากบรรดาฟุเกาะฮาฮฺ (นักปราชญ์ทางฟิกฮ) บรรดานักหะดิษ และ บรรดาปราชญ์กาลาม ได้กล่าวว่า อิหม่าม(ผู้นำ)จะลาออกไม่ได้ ด้วยเหตุที่ทำผิด ,การฉ้อฉล ,การทำให้เสียบรรดาสิทธิต่างๆ และเขาจะไม่ถูกถอดถอน และไม่อนุญาตให้เป็นขบถต่อเขา เพราะเหตุดังกล่าวนั้น แต่ จำเป็นจะต้องตักเตือนเขา และ เตือนให้เขาเกรงกลัว เพราะมีบรรดาหะดิษ ได้ปรากฏในเรื่องดังกล่าวนั้น – จากตำราที่ระบุแล้ว และเอียะลาอุสสุนัน เล่ม 12 หน้า 658 (ดูสำเนา )
....................
สรุปคือ
ให้ตามผู้นำหรือผู้มีอำนาจปกครองในสิ่งที่ดี ไม่อนุญาตให้เชื่อฟัง หรือปฏิบัติตามในสิ่งที่ผิด แต่....ไม่อนุญาตให้ขบถ หรือล้มผู้นำ .... ใครเห็นต่างจากนี้ วิจารณ์ด้วยหลักฐานได้ แต่ขอร้อง แปลมาด้วยผู้อ่านจะได้ศึกษา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/6/61

ในภาพอาจจะมี ข้อความ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คำสอนอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


คำสอนอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)



قَالَ الإِمامُ أَبُو عَبْدِ اللهِ مُحمَّدُ بْنُ إِدْريسَ الشَّافِعيُّ ِرَضِيَ اللهُ عَنْهُ: (آمَنْتُ بِاللهِ وَبِمَا جَاءَ عَنِ اللهِ، عَلَى مُرَادِ اللهِ، وَآمَنْتُ بِرَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وبِما جَاءَ عَنْ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، عَلَى مُرَادِ رَسُول اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ).
อิหม่ามอบูอับดิลละฮ มุหัมหมัด บิด อิดริส อัชชาฟิอีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า " ฉันศรัทธาต่ออัลลอฮ และต่อสิ่งที่มาจากอัลลอฮ บน ความมุ่งหมายของอัลลอฮ และฉันศรัทธาต่อรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ และต่อสิ่งที่มาจากรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ บนความมุ่งหมายของของรอซูลุลลอฮ ศ็อลฯ
อิบนุอุษัยมีน(ร.ฮ) ได้สรุปจากคำพูดอิหม่ามชาฟิอีว่า
1- الإِيمانُ بما جاءَ عن اللهِ تعالَى في كتابِهِ المُبينِ على ما أرادَهُ اللهُ مِنْ غيرِ زِيادَةٍ ، وَلا نَقْصٍ ، ولا تَحْرِيفٍ
1.ศรัทธาด้วยสิ่งที่มาจากอัลลอฮตาอาลา ในคัมภีร์ของพระองค์ อันชัดแจ้ง บน สิ่งที่อัลลอฮทรงมุ่งหมายต่อมัน โดยไม่เพิ่มเติม ,ไม่มีการทำให้บกพร่อง และไม่มีการเปลี่ยนแปลง
2- الإِيمانُ بما جاءَ عنْ رسولِ اللهِ صلَّى اللهُ عليهِ وسلَّمَ في سُنَّةِ رسولِ اللهِ صلَّى اللهُ عليهِ وسلَّمَ على ما أرادَهُ رسولُ اللهِ صلَّى اللهُ عليهِ وسلَّمَ مِنْ غيرِ زيادةٍ ، ولا نَقْصٍ ، ولا تحريفٍ .
2.ศรัทธาด้วยสิ่งที่มาจากรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ในสุนนะฮของรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ บน สิ่งที่รซูลุลลอฮ ศ็อลฯ มุ่งหมายต่อมัน โดยไม่เพิ่มเติม ,ไม่ทำไห้บกพร่อง และไม่มีการเปลี่ยนแปลง
................
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) สอนไว้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่คนที่อ้างว่าตามชาฟิอีเท่านั้น เข้าใจคำสอนและปฏิบัติตามอิหม่ามชาฟิอีจริงหรือเปล่า
ศึกษากันเถอะครับ ใส่ความอิคลาศเข้าไปในหัวใจ แล้วอัลลอฮตาอาลาจะทรงนำทาง การทะเลาะและปะทะอารมณ์ต่อกัน เพื่อเอาชนะ ไม่ไม่เกิดประโยชน์หรอก
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/6/61

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ไม่มีบิดอะฮที่ดีในเรื่องศาสนา (ที่เกี่ยวกับอิบาดะฮ)


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีบิดอะฮที่ดีในเรื่องศาสนา (ที่เกี่ยวกับอิบาดะฮ)
ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
الاستحسان باطل
การอิสเตียะซาน(การกำหนดหุกุมขึ้นมาตามที่เห็นว่าดี)นั้น ใช้ไม่ได้(เป็นเท็จ) - อัลอุม เล่ม 7 หน้า 373
และท่านอิหม่ามชาฟิอีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวอีกว่า
وإنّما الاستحسان تلذذ، ولو جاز لأحد الاستحسان في الدين لجاز ذلك لأهل العقول من غير أهل العلم، ولجاز أن يشرع في الدين في كلّ باب، وأن يخرج كلّ أحد لنفسه شرعاً
ความจริงการอิสเตียะซาน(การกำหนดหุกุมขึ้นมาตามที่เห็นว่าดี)นั้น คือ การตามอารมณ์ชอบ และหากอนุญาตให้คนหนึ่งคนใด ทำการอิสเตียะซาน(การกำหนดหุกุมขึ้นมาตามที่เห็นว่าดี)ในเรื่อง ศาสนา แน่นอนย่อมอนุญาตเรื่องดังกล่าวแก่ผู้ที่มีสติปัญญาดี(ฉลาด) โดยไม่ใช่ผู้มีความรู้ และแน่นอน ย่อมอนุญาต ให้กำหนดบทบัญญัติในศาสนา ในทุกๆเรื่อง และทุกคน สามารถออกบัญญัติศาสนาให้แก่ตัวเขาเอง" - อัรริสาละฮ หน้า 507 และ อัลอิบดาอฺ หน้า 121
..............
ข้างต้น ชีให้เห็นว่า ท่านอิหม่ามชาฟิอี เข้าใจดีว่า การคิดสิ่งใหม่โดยเห็นว่าดีในเรื่องศาสนา นั้น ใช้ไม่ได้(เป็นโมฆะ)
ท่านอิบนุหัซมิน(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
الحق حق وإن استقبحه الناس، والباطل باطل وإن استحسنه الناس، فصح أن الاستحسان شهوة واتباع للهوى وضلال، وبالله تعالى نعوذ من الخذلان
ความจริง ย่อมเป็นความจริง แม้บรรดาผู้คนรังเกียจมันก็ตาม และความเท็จ ก็คือ ความเท็จ แม้ว่าบรรดาผู้คนเห็นว่ามันดีก็ตาม ดังนั้น ที่ถูกต้องนั้น การอิสเตียะซาน(การกำหนดหุกุมหรือการคิดสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนาตามที่เห็นว่าดีนั้น) เป็นความใคร่,เป็นการตามอารมณ์และเป็นการหลงผิด ,ด้วยอัลลอฮผู้ทรงสูงส่ง เราขอความคุ้มครอง ให้พ้นจากความผิดหวังด้วยเถิด" -อัลอะหกามฟีอุซูลลุลอะหกาม ของ อิบนิหัซมิน เล่ม 2 หน้า 759 (الأحكام في أصول الأحكام لابن حزم 6: 759
และท่านอิบนิหัซมินได้กล่าวอีกว่า
من المحال أن يكون الحق فيما استحسنا دون برهان؛ لأنه لو كان ذلك لكان الله تعالى يكلفنا مالا نطيق، ولبطلت الحقائق
ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้คือ ความจริง ที่ปรากฏในสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเองว่าดี โดยปราศจากหลักฐาน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่า อัลลอฮบังคับเราในสิ่งที่เราไม่มีความสามารถ และบรรดาความจริงกลับกลายเป็นโมฆะ" (เพราะของไม่จริง กลับกลายเป็นดี) -อัลอะหกามฟีอุซูลลุลอะหกาม ของ อิบนิหัซมิน เล่ม 2 หน้า 759
.........
เพราะฉะนั้น บิดอะฮที่ ที่ดี มันไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องของอิบาดะฮในศาสนา แต่มันเกี่ยวกับเรื่อง ทางโลก หรือ ทางภาษาเท่านั้น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/6/61

บิดอะฮ 5 ประเภทคือบิดอะฮในเรื่องศาสนบัญญัติจริงหรือ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ




บิดอะฮ 5 ประเภทคือบิดอะฮในเรื่องศาสนบัญญัติจริงหรือ
การแบ่งบิดอะฮ 5 ประเภทของท่านอิซซุดดีน บิน อับดิสสลาม เป็นการแบ่งบิดอะฮในทางภาษา ไม่ได้หมายถึง บิดอะฮในทางศาสนา ซึ่งหมายถึง ประดิษฐความเชื่อ หรือ รูปแบบอิบาดะฮขึ้นมาใหม่
อิบนุหะญัร อัลหัยตะมีย์ กล่าวไว้ในอัลฟาตาวีย์ อ้างอิงโดยหนังสือ อัลอิบดาอ์ว่า
فإن البدعة الشرعية ضلالة كماقال رسول الله صلى الله عليه وسلم ومن قسمهامن العلماء الى حسن وغيرحسن فإنماقسم البدعة اللغوية ومن قال كل بدعة ضلالة فمعناه البدعة الشرعية
แน่นอน บิดอะฮ ที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัตินั้น เป็นการหลงผิด ดังที่รซูลุ้ลลอฮได้กล่าวไว้ และนักวิชาท่านใดที่แบ่งมัน เป็นบิดอะฮที่ดีและบิดอะฮที่ไม่ดีนั้น ความจริง เขาแบ่งบิดอะฮในทางภาษา และผู้ใดกล่าวว่า "ทุกบิดอะฮ เป็นการหลงผิด" ความหมายของเขาก็คือ บิดอะฮที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ
- อัลอิบดาอ์ หน้า 39
1. อิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
والبدعة على قسمين تارة تكون بدعة شرعية كقوله فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة وتارة تكون بدعة لغوية كقول أمير المؤمنين عمر بن الخطاب عن كم إياهم على صلاة التراويح واستمرارهم نعمت البدعة . اهـ
และบิดอะฮนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท บางที่เป็นบิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัติ เช่น ท่านนบีกล่าวว่า "แท้จริงทุกสิ่งที่ถูกประดิษขึ้นใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ และทุกบิดอะฮนั้น เป็นการหลงผิด" และบางที่เป็นบิดอะฮที่เกี่ยวกับภาษา เช่น ผู้นำแห่งบรรดาศรัทธาชน ,อุมัร บุตร อัลคอฏฏอ็บ ได้รวบรวมพวกเขาให้ละหมาดตะรอเวียะ(ภายใต้การนำของอิหม่ามคนเดียว)และ ท่านได้ให้พวกเขาดำเนินต่อไป โดยกล่าวว่า"เป็นบิดอะฮที่ดี" - ตัฟสีรอิบนิกะษีร 1/162
2. อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
أكثر ما في هذا تسمية عمر تلك بدعة مع حسنها وهذه تسمية لغوية لا تسمية شرعية وذلك أن البدعة في اللغة تعم كل فعل ابتداء من غير مثال سابق وأما البدعة الشرعية فكل ما لم يدل عليه دليل شرعي
ส่วนมาก สิ่งที่อยู่ในการเรียกของอุมัร ดังกล่าวว่าเป็นบิดอะฮที่ดี และนี้คือ การเรียกชื่อตามหลักภาษา ไม่ใช่เรียกชื่อตามหลักศาสนบัญญัติ และดังกล่าวนั้น แท้จริง บิดอะฮในทางภาษานั้น ครอบคลุมถึงทุกการกระทำ ที่เริ่มต้นโดยไม่มีตัวอย่างมาก่อน และสำหรับ บิดอะฮที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัตินั้น คือ ทุกสิ่งที่ไม่มีหลักฐานทางศาสนบัญญัติแสดงบอกมันเอาไว้ - อิกติเฎาะอฺ อัศศิรอฏุลมุสตะกีม หน้า 276
.........
สรุปบิดอะฮ ที่มีการอ้างคำพูดของท่านอุมัร (ร.ฎ) นั้นคือ บิดอะฮในทางภาษา ซึ่งมีความหมายกว้างๆว่า ริเริ่มขึ้นใหม่ ไม่ใช่ความหมายว่าประดิษฐ์รูปแบบอิบาดะฮขึ้นใหม่โดยไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี ศ็อลฯ เพราะละหมาดตะรอเวียะ ท่านนบี ศอ็ลฯได้สนับสนุนและเคยปฏิบัติในรูปแบบญะมาอะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/6/61

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

บิดอะฮคือพยาธิทำลายสุนนะฮ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ‫الشرائع أغذية القلوب، فمتى اغتذت القلوب‬‎


บิดอะฮคือพยาธิทำลายสุนนะฮ
บิดอะฮคือ
التعبُّد لله بما لم يشرعه الله
การอิบาดะฮต่ออัลลอฮ ด้วยสิ่งที่อัลลอฮมิได้ทรงบัญญัติมันไว้
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ ﴾ [الشورى: 21]
หรือพวกเขามีบรรดาภาคี พวกมันบัญญัติศาสนาให้แก่พวกเขา สิ่งซึ่ง อัลลอฮมิทรงอนุญาตด้วยมัน- อัชชูรอ/21
หรือ บิดอะฮคือ
التعبُّد لله تعالى بما ليس عليه النَّبي صلى الله عليه وسلَّم، ولا خلفاؤه الراشدون
การอิบาดะฮต่ออัลลอฮ ตาอาลา ด้วยสิ่งที่ นบี ศอ็ลฯ และบรรดาเคาะลิฟะฮของท่านที่เป็นบรรดาผู้แนะนำสิ่งที่ถูกต้อม ไม่ได้ดำเนินอยู่บนมัน - มัจญมัวะฟะตาวา อิบนุอุษัยมีน 2/292
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
الشرائع أغذية القلوب، فمتى اغتذت القلوب بالبدع لم يبقَ فيها فضلٌ للسنن، فتكون بمنزلة مَن اغتذى بالطعام الخبيث".
บรรดาศาสนบัญญัติ คืออาหารของบรรดาหัวใจ ดังนั้นเมื่อหัวใจบริโภคอาหาร ด้วยบรรดาบิดอะฮ บรรดาคุณค่าของอัสสุนนะฮ ก็ไม่เหลืออยู่ เพราะมันอยู่ในฐานะ ผู้ที่บริโภคอาหาร ด้วยสิ่งที่เลว -อิกติฏออฺอัศศิรอติลมุสตะกีม 1/281
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/6/61

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

อุมมะตุลวาฮิดะฮกับคำว่า แสวงหาจุดรวมสงวนจุดต่าง



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


อุมมะตุลวาฮิดะฮกับคำว่า แสวงหาจุดรวมสงวนจุดต่าง
คำว่า "แสวงหาจุดรวมสงวนจุดต่าง" เป็นหลักการอยู่ร่วมกันในสังคมพาหุวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดสันติภาพและสันติสุข ซึ่งหมายถึง ประเทศที่มีหลากหลายเชื้อชาติศาสนา ซึ่งแต่ละศาสนา นั้น ย่อมมีความเชื่อและหลักการปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างกัน หลักการอยู่ร่วมกันให้เกิดความสงบสุขนั้น เช่น
1. การยอมรับความแตกต่าง
2. ไม่ดูหมินดูแคลน กันและกัน
3. ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา
4. ความมีน้าใจและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
5. การให้ความยุติธรรม
6. ฯลฯ
หลักการข้างต้นไม่ใช่เอาความเชื่อและหลักปฏิบัติของศาสนาแต่ละศาสนามาหลอมรวมกัน และไม่ใช่หลักการอุมมะฮวาฮิดะฮตามเจตนารมณ์ของอิสลาม ที่เกี่ยวกับหมู่ประชาชาติที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่เป็นหลักการทางสังคมที่ให้เกิดสันติภาพ ในสังคมพาหุวัฒนธรรม ที่มีหลากหลายศาสนา
ส่วน "คำว่าอุมมะฮวาฮิดะฮ" หมายถึง ความเป็นเอกภาพของอุมมะฮอิสลาม " การแสวงหาเอกภาพ ของอุมมะฮ ให้เป็นหนึ่งเดียว อิสลามสอนให้มุสลิมเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยกกัน โดยให้ยึดสายเชือกแห่งอัลลอฮ
สายเชื่อกอัลลอฮคืออะไร โปรดดูต่อไปนี้
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
وقوله : ( واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ) قيل ( بحبل الله ) أي : بعهد الله ، كما قال في الآية بعدها : ( ضربت عليهم الذلة أينما ثقفوا إلا بحبل من الله وحبل من الناس ) [ آل عمران : 112 ] أي بعهد وذمة وقيل : ( بحبل من الله ) يعني : القرآن ، كما في حديث الحارث الأعور ، عن علي مرفوعا في صفة القرآن : " هو حبل الله المتين ، وصراطه المستقيم " .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ) มีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกอัลลอฮ)หมายถึง ด้วยพันธสัญญาแห่งอัลลอฮ ดังที่พระองค์ตรัส ในอายะฮหลังจากนั้นว่า
ضُرِبَتْ عَلَيْهِمُ الذِّلَّةُ أَيْنَ مَا ثُقِفُوا إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์ -อาลิอิมรอน/12 หมายถึง พันธสัญญา และความรับผิดชอบ และมีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกของอัลลอฮ) หมายถึง อัลกุรอ่าน ดังระบุในหะดิษอัลหาริษอัลอะวัร รายงานจากอาลี เป็นหะดิษมัรฟัวะ ในคุณลักษณะของอัลกุรอ่านว่า มันคือ สายเชือกของอัลลอฮที่มั่นคง และเป็นหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร
....
อายะฮนี้ สอนให้มีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน บน การยึดมั่นในศาสนาหรือ อัลกุรอ่าน ไม่ใช่สามัคคีกัน บนอุตริกรรมหรือบิดอะฮ ถ้ายึดสายเชือกแบบตามอารมณ์ สายเชือกก็จะรัดคอเอานะครับพี่น้อง
อุมมะตุลวาฮิดะฮ หรือความเป็นประชาติที่เป็นเอกภาพนั้น จะต้อง มีอะกีดะฮและหลักปฏิบัติ โดยยึด กิตาลุลลอฮและสุนนะฮรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ เป็นบรรดาทัดฐาน จะต้องมีจิตสำนึกในความเป็นภราดรภาพหรือความเป็นพี่น้องกันในอิสลาม การยืนหยัดอยู่บนหนทางนี้ จะถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง เป็นเป็นหนทางที่ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ แต่ปลายทางนี้คือ สวรรค์ของอัลลอฮ คนที่อยู่บนหนทางนี้ จะต้องกล้าพูดความจริงแม้จะขมขื่นก็ตาม
عن عبادة بن الصامت رضي الله عنه قال: بَايَـعْنَا رَسُولَ الله ﷺ عَلَى السَّمْعِ وَالطَّاعَةِ فِي العُسْرِ وَاليُسْرِ، وَالمَنْشَطِ وَالمَكْرَهِ، وَعَلَى أَثَرَةٍ عَلَيْنَا، وَعَلَى أَنْ لا نُنَازِعَ الأَمْرَ أَهْلَـهُ، وَعَلَى أَنْ نَقُولَ بِالحَقِّ أَيْنَمَا كُنَّا، لا نَخَافُ فِي الله لَومَةَ لائِمٍ -وفي رواية بعد أَنْ لا نُنَازِعَ الأَمْرَ أَهْلَـهُ- قَالَ: إلَّا أَنْ تَرَوْا كُفْراً بَوَاحاً عِنْدَكُم مِنَ الله فِيهِ بُرْهَانٌ. متفق عليه
จากอุบาดะฮฺ บิน อัศศอมิต เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า
" พวกเราได้ทำสัตยาบันต่อท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามทั้งในเรื่องที่ยากและเรื่องที่ง่าย ในสิ่งที่รักและสิ่งที่ไม่พอใจ ในเรื่องที่เราต้องเสียสละให้แก่ผู้อื่น เราไม่แข่งแย่งกิจการ (ตำแหน่ง) กับผู้ที่เป็นเจ้าของอยู่ เราจะพูดในเรื่องสัจธรรมไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน เราจะไม่กลัวการตำหนิในกิจการของอัลลอฮฺ – อีกสายรายงาน หลังจาก เราไม่แก่งแย่งกิจการ (ตำแหน่ง) กับผู้ที่เป็นเจ้าของอยู่ เขากล่าวว่า ยกเว้นในกรณีที่พวกท่านมีหลักฐานอย่างชัดแจ้งถึงการปฏิเสธต่ออัลลอฮฺของพวกเขา”
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 7056
อบูซัร (ร.ฎ)ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
وأمرني أن أقول بالحق وإن كان مرا
และเขา(หมายถึงนบี ศอ็ลฯ) สั่งให้ข้าพเจ้าพูดความจริง แม้มันจะขมขื่นก็ตาม -รายงานโดยอะหมัดและอัลบัยฮะกีย์ – ดู อัสสิลสิละฮ อัศเศาะฮีหะฮ เล่ม 5 หน้า 199
................
เพราะฉะนั้น อุมมะตุลวาฮาดะฮ ทางสายนี้ ใครยืนหยัดอยู่ได้ นั้นแหละคือ คนที่ประสบความสำเร็จ
ในท่ามกลางยุคสมัยวัตถุนิมยม เหล่าอุลามาอฺดุนยา(علماء الدنيا )เต็มไปหมด ที่พร้อมที่จะชงศาสนา ตามความต้องการของอารมณ์แห่งตน เราคนอาวามทั้งหลายที่เสพข้อมูล ต้องใช้สติและมีความรอบคอบ อย่าได้ตะอัศศุบจนหูหนวกตาบอด ารอุมมะฮตุลวาฮิดะฮจอมปลอม เป็นหลักการรวมมวลชนเพื่อผลประโยชน์ทางดุนยาและผลประโยชน์ที่เป็นบันใดสู่อำนาจทางดุนยาเท่านั้น
ส่วนในคำสอนศาสนา อิสลามคือแนวทางเดียว คือแนวทางของอัลลอฮ ที่นำโดยนบีมุหัมหมัด ศ็อลฯ นี่คือแนวทางที่จะให้เกิดอุมมะฮวาฮิดะฮอย่างแท้จริง
อัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيماً فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُم بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง -อัลอันอาม/153
อิบนุมัสอูด (ร.ฎ) กล่าวว่า
الجماعة ما وافق الحق؛ ولو كنت وحدك
อัลญะมาอะฮ คือ สิ่งที่สอดคล้องกับความจริง แม้ท่านจะอยู่โดดเดี่ยวก็ตาม (1)
................................................................
(1) رواه اللالكائي في شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة (1/122 - رقم160)، وصحح سنده الشيخ الألباني كما في تعليقه على مشكاة المصابيح (1/61)، ورواه الترمذي في سننه (4/467)،
.........
ในท่ามกลางยุคสมัยที่อุลามาอฺดุนยา(علماء الدنيا )เต็มไปหมด ที่พร้อมที่จะชงศาสนา ตามความต้องการของอารมณ์แห่งตน เราคนอาวามทั้งหลายที่เสพข้อมูล ต้องใช้สติและมีความรอบคอบ อย่าได้ตะอัศศุบจนหูหนวกตาบอด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
13/6/61

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

อุมมะฮวาฮิดะฮ เพื่อดุนยา หรือเพื่ออาคีเราะฮ




ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



อุมมะฮวาฮิดะฮ เพื่อดุนยา หรือเพื่ออาคีเราะฮ
การที่จะให้มนุษย์มีความคิดเห็น เหมือนกัน นั้นเป็นเรื่องผิดธรรมธรรมชาติ เพราะมนุษย์ ต่างก็มีหัวใจคนละดวง นาๆจิตตัง ประกอบกับมีความรู้ และอีหม่านต่างระดับกัน มีมุมมอง ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจจะแตกต่างกันไป จะให้มาเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่มีกติกาจากคำสอนศาสนา นั้น หนึ่งเดียวในทางใด ทางดุนยา หรือทางอาคีเราะฮ
การให้ความคิด ความเข้าใจ และทัศนะที่หลากหลาย มาหลอมรวมกัน โดยไม่เอาเอากติกาของศาสนามาเป็นบรรทัดฐานนั้น ก็จะอยู่ในข่ายข้อห้ามที่ว่า
وَلاَ تَلْبِسُواْ الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ وَتَكْتُمُواْ الْحَقَّ وَأَنتُمْ تَعْلَمُونَ
และพวกเจ้าจงอย่าปะปน สิ่งจริงด้วยสิ่งเท็จ และจงอย่าปกปิดสิ่งที่เป็นจริง ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่ -อัลบะเกาะเราะฮ/42
1.อัลกุรอ่าน สอนให้สร้างเอกภาพ โดยการนำอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮมาเป็นกติกา คือ
โองการในซูเราะฮฺอันนิสาอฺ อายะฮ 59 กล่าวว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง
สรุปจากเนื้อหาข้างต้น อุมมะฮตุลวาฮิดะฮ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ
หนึ่ง – ต้องมีอะกีดะฮเดียวกัน
สอง – มีชะรีอะฮเดียวกัน
สาม – มีกติกาเดียวกัน เมื่อมีประเด็นขัดแย้ง คือ การกลับไปสู่กิตาบุลลอฮ และ สุนนะฮของรอซูล (ศอลฯ)
เมื่อมีประเด็นขัดแย้งในเรื่องศาสนา คนหนึ่ง อ้างอุลามาอฺหะนะฟีย์ ,คนหนึ่งอ้างอุลามาอฺมาลิกีย์ , คนหนึ่งอ้าง อ้างอุลามาอฺชาฟิอี และอีกคนหนึ่ง อ้างอุลามาอฺหัมบะลีย์ ต่างฝ่ายยืนยันกระตายขาเดียวว่า "ของข้าถูก" แบบนี้ อุมมะตุลวาฮิดะฮ ฮืดขึ้นคอ ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเป็นแน่
2.ท่านนบี ศอ็ลฯ สอนว่า ในภาวะที่สังคมขัดแย้ง นั้น ทางออกคือ ให้ยึดอัสสุนนะฮ
فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلَافاً كَثِيراً ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِيْ وَسُنَّةِ الخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ المَهْدِّيِّيْنَ عَضُّوْاعَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأمُوْرِ فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ "
رَوَاهُ أَبُوْ دَاودَ وَالتِّرْمِذِيُّ وَقَالَ : حَدِيْثٌ حَسَنٌ صَحِيْحٌ.
และหากผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านมีชีวิตยืนยาวต่อไป เขาก็จะได้พบกับความขัดแย้งอันมากมาย ดังนั้นพวกท่านจงยึดไว้ซึ่งสุนนะฮฺ(แนวทาง)ของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมที่ได้รับทางนำ จงกัดมันด้วยฟันกราม และพวกท่านจงพึงระวังต่ออุตริกรรมทั้งหลายในศาสนา เพราะทุกๆ อุตริกรรม(บิดอะฮฺ) นั้นคือความหลงผิด และทุกๆ ของความหลงผิดนั้นอยู่ในไฟนรก” หะดีษบันทึกโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมิซีย์ และท่านกล่าวว่า หะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ
ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในสภาพสังคมที่ขัดแย้งกันโดย
หนึ่ง- ปฏิบัติตามสุนนะฮของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
สอง- ปฏิบัติตามสุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน
สาม -ห่างใกลจากบิดอะฮและเตือนกันให้ระวังเรื่องบิดอะฮในศาสนา
...............
เพราะฉะนั้น หากการระดมมวลชนทุกแนวคิดและทุกความเชื่อที่แตกต่างในสังคมมุสลิม โดยใช้สโลแกน "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" มันคืออุดมการและเป้าหมายเพื่อการอยู่รอดในดุนยาเท่านั้นเอง
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/6/61

อุลามาอฺขี้ข้าผู้มีอำนาจ






ในภาพอาจจะมี 1 คน

อุลามาอฺขี้ข้าผู้มีอำนาจ
อุลามาอฺขี้ข้าบรรดาผู้มีอำนาจ ภาษาอาหรับเรียกว่า علماء السلاطين (อุลามาอฺอัสสะลาฏีน) คือ บรรดาผู้รู้ที่ทำตนเป็นขี้ข้าหรือเป็นผู้ใกล้ชิดบรรดาผู้มีอำนาจ ฟัตวาเรื่องศาสนา ตามความต้องการ และเอาใจประจบสอพลอ ผู้มีอำนาจ
وَقَالَ أَبُو الْفَرَجِ بْنُ الْجَوْزِيِّ : وَمِنْ صِفَاتِ عُلَمَاءِ الْآخِرَةِ أَنْ يَكُونُوا مُنْقَبِضِينَ عَنْ السَّلَاطِينِ ، مُحْتَرِزِينَ عَنْ مُخَالَطَتِهِمْ قَالَ حُذَيْفَةُ : رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ إيَّاكُمْ وَمَوَاقِفَ الْفِتَنِ قِيلَ : وَمَا هِيَ ؟ قَالَ : أَبْوَابُ الْأُمَرَاءِ يَدْخُلُ أَحَدُكُمْ عَلَى الْأَمِيرِ فَيُصَدِّقُهُ بِالْكَذِبِ وَيَقُولُ : مَا لَيْسَ فِيهِ
และอบุลฟัรญฺ บิน อัลเญาซีย์ ได้กล่าวว่า " และส่วนหนึ่ง จากบรรดาคุณลักษระของบรรดาผู้รู้(อุลามาอฺ)อาคีเราะฮนั้น พวกเขา เป็นบรรดาผู้ที่หลบหลีกจากบรรดาผู้มีอำนาจ และเป็นผู้ทีระมัดระวังจากการปะปน(การมีส่วนร่วม)กับบรรดาผู้มีอำนาจ
หุซัยฟะฮ (ร.ฎ)ได้กล่าวว่า พวกท่านพึงระวัง บรรดาสถานที่ฟิตนะฮ มีผู้ถามว่า และมันคืออะไรหรือ? เขาตอบว่า บรรดาประตูของบรรดาผู้นำ ที่คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านเข้าไปหาผู้นำแล้วเขารับรองผู้นำด้วยการโกหก และเขากล่าวสิ่งที่ไม่ได้มีในเขา(สิ่งที่ไม่มีในตัวผู้นำ แต่เขาโกหกเพื่อเอาใจผู้นำ)
- อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของ อิบนุมุฟลิห เล่ม 3 หน้า 477
.......
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตักลิดผู้รู้ประเภทนี้ต้องระวัง โดยเฉพาะผู้รู้ใส่สูตบางจำพวก ที่เดินต้ามก้นผู้มีอำนาจและนักการเมือง เพราะบางที่เขาเอาความเท็จมาชงให้สังคมเข้าใจว่า มันคือความจริง เขาอุปโลกน์วาทกรรมเท็จเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ดุนยา และตำแหน่งทางสังคม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/6/61

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ใครคือผู้นำที่ทำให้คนหลง



ใครคือผู้นำที่ทำให้คนหลง
ท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า
إِنَّمَا أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي الْأَئِمَّةَ الْمُضِلِّينَ
แท้จริง ฉันกลัวที่จะเป็นอันตรายแก่อุมมะฮของฉัน คือ บรรดาผู้นำที่ทำให้หลงผิด
أبو داود (4252) ، والترمذي (2229
อัสสินดีย์(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า
" ( أئمة مضلين ) أي : داعين الخلق إلى البدع
(บรรดาผู้นำที่ทำให้หลงผิด) หมายถึง บรรดาดาอีย์ (นักเผยแพร่ศาสนา ที่เรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่บรรดาบิดอะฮ - หาชียะฮ อิบนิมาญะฮ 2/465 และ ชัรหสุนันอิบนิมายะฮ ของอัสสินดีย์ เล่ม 4 หน้า 329
............
เพราะฉะนั้น ปัจจุบันมีดาอีย์ไลฟ์สดมากมายเป็นดอกเห็ด ถ้าเรียกร้องและส่งเสริมให้ทำบิดอะฮ อย่าได้รับฟัง ไร้สาระและเสียเวลา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/6/61

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ