วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

หลงในที่แจ้งอันตรายกว่าหลงในที่มืด







หลงในที่แจ้งอันตรายกว่าหลงในที่มืด
1.หลงในที่แจ้ง หมายถึง คนที่เรียน อ่านออก เขียนได้ บางที่ก็สอนผู้อื่น แต่ ไม่เข้าใจศาสนา โดยที่เขาเข้าใจว่าเขารู้และเข้าใจเรื่องศาสนาแล้ว ในภาษาอาหรับ ตรงกับคำว่า "ญะเฮลมร็อกกับ"
ซึ่งมีนิยามว่า
وهو عدم العلم بالشيء مع اعتقاد العلم به
คือ การไม่รู้สิ่งใด พร้อมกับเชื่อว่า มีความรู้ด้วยสิ่งนั้น กล่าวคือ ไม่มีความรู้ แต่เข้าใจว่าตนเองมีความรู้ - ดู อุมดะตุลกอรีย์ 2/132
2. หลงในที่มืด หมายคนที่ไม่รู้อะไรเลย และเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าตัวเองไม่มีความรู้ ภาษาอาหรับเรียกว่า "ญะฮลุลบะสีฏ " หมายถึง 
وهو عدم العلم بالشيء لا مع اعتقاد العلم به
คือ ความไม่รู้สิ่งใดเลย พร้อมกับไม่ได้เชื่อว่ามีความรู้ด้วยสิงนั้น กล่าวคือ ผู้ที่ไม่มีความรู้ และเขาไม่ปฏิเสธว่าเขาไม่มีความรู้ -ที่มาอ้างแล้ว
คนที่ยอมรับว่า ตัวเองไม่รู้ คนประเภทนี้ง่ายต่อการชี้แนะ ง่ายต่อการสอน หากเขาอยากรู้ เพราะเขาเองก็ยอมรับว่า เขาไม่มีความรู้
ส่วนคนที่ไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง แต่อวดรู้ เขาใจว่าตนเองรู้แล้ว ทั้งๆที่รู้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง คนประเภทนี้ ถ้าจะชี้แนะ หรือสอนเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับเข็นครกขึ้นภูเขา คนประเภทนี้ ต้องลดตัวยอมเป็นคนโง่แล้วยอมตามเขา เขาจึงจะยอมเป็นมิตร
คนที่โง่แล้วไม่รู้จักว่าตัวเองโง่ มีมาทุกยุคทุกสมัย ดังที่อัลกุรอ่านระบุว่า
أَلَا إِنَّهُمْ هُمُ السُّفَهَاءُ وَلَٰكِن لَّا يَعْلَمُونَ
พึงรู้เถิดว่าพวกเขาเองนั่นแหละเป็นผู้ที่โฉดเขลาแต่พวกเขาหารู้ไม่ -อะเกาะเราะฮ/13
อัลเคาฏีบ อัชชิรบินีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
فإنّ الجاهل بجهله الجازم على خلاف ما هو الواقع، أعظم ضلالةً وأتمُّ جهالةً من المتوقف المعترف بجهله، فإنّه ربما يُعذر وتنفعه الآيات والنُّذر
เพราะแท้จริง ผู้ที่ญาเฮล(ผู้ทีไม่รู้) กับความโง่เขาของเขา ที่เป็นผู้แน่วแน่ อยู่บนการขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง(รู้ไม่ตรงกับความจริง) ย่อมลุ่มหลงมากกว่า และโงเขลาสมบูรณ์แบบกว่า ผู้ที่หยุด ที่ยอมรับความโง่เขลาของเขา เพราะบางที่เขาจะได้รับการอภัย และ บรรดายาตอัลกุรอ่านและการตักเตือนมีประโยชน์ต่อเขา - ตัฟสีรสิรอญุลมุนีร 1/34
...........
สรุปคือ
1.คนญาเฮลที่ไม่รู้ว่าตัวเองญาเฮล ที่ยืนหยัดแนวแน่บนสิ่งที่ขัดแย้งกับเป็นจริง หลงและโง่สมบูรณ์แบบกว่า คนที่ยอมรับว่าตัวเองญาเฮล
2.คนที่ยอมรับว่าตัวเองญาเฮลนั้น บางที่อัลลอฮยกโทษให้และคำตักเตือน และอายะฮอัลกุรอ่านมีประโยชน์ต่อเขา
...
ตัวเบียนและเป็นอุปสรรค์ในการเผยแพร่ศาสนาทุกวันนี้ คือ พวกญาเฮลมุร็อกกับ" หรือพวกหลงในที่แจ้ง ที่ทำตนเป็นผู้รู้ ซึ่งปัจจุบัน มีเยอะในสังคมออนไลน์
อะสัน หมัดอะด้ม
27/9/61

เอกสารอ้างอิง
 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
 

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

อะไรคือสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในศาสนา




อะไรคือสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในศาสนา
ท่านนบี ศอ็ลฯ เตือนให้ระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ในศาสนา โดยกล่าวว่า
وإياكم ومحدثات الأمور فإن كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة
ความว่า : “และพวกเจ้าจงระวังสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ ,ทุกๆสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่นั้น คือ บิดอะฮ และ ทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”(รางานโดย อะบูดาวุด: 4607 และติรมีซีย์ : 2676
ความหมายคำว่า "บรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ "
وَمُحْدَثَاتُ الْأُمُورِ : مَا ابْتَدَعَهُ أَهْلُ الْأَهْوَاءِ مِنَ الْأَشْيَاءِ الَّتِي كَانَ السَّلَفُ الصَّالِحُ عَلَى غَيْرِهَا . وَفِي الْحَدِيثِ : ( إِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ) جَمْعُ مُحْدَثَةٍ بِالْفَتْحِ ، وَهِيَ مَا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوفًا فِي كِتَابٍ ، وَلَا سُنَّةٍ ، وَلَا إِجْمَاعٍ
และคำว่า "บรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ คือ สิ่งที่อะฮลุลอะฮวาอฺ (อะฮลุลบิดอะฮ) ได้อุตริมันขึ้นมาใหม่ จากบรรดาสิ่งต่างๆ ที่บรรดาบรรพชนยุคสะลัฟ ผู้ทรงธรรม อยู่บนแนวทางอื่นจากมัน และในหะดิษที่ว่า(พวกท่านจงระวังบรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ ) เป็นพหุพจน์ของคำว่า "มุหดะษะอ" ด้วยการอ่านฟัตหะฮ และมันคือ สิ่งที่ไม่เป็นท่ีรู้จัก ในอัลกุรอ่าน,ไม่เป็นทีรู้จักในสุนนะฮ และไม่เเป็นที่รู้จักในอิจญมาอฺ(มติของปวงปราชญ์) - อัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮ เล่ม 8 หน้า 24 ความหมายคำว่า "อัลมุหดะษาต"และลิซานุลอัรบฺ เล่ม 4 หน้า 53 และฟัยฎุลเกาะดีร ชัรหอัล ญามิอิศเศาะฆีร ยุซ 2 หน้า 175
ในฟัตวาอัลลุจญนะฮ ให้ความหมายคำว่า
إِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ
พวกท่านพึงระวัง บรรดากิจการต่างๆที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่
ซึ่งหมายถึง
كل ما أحدثه الناس في دين الإسلام من البدع في العقائد والعبادات ونحوها مما لم يأت به كتاب ولا سنة ثابتة عن رسول الله صلى الله عليه وسلم، واتخذوه دينًا يعتقدونه، ويتعبدون الله به
ทุกสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ ขึ้นมาใหม่ในศาสนาอิสลาม ในเรื่อง อะกีดะฮ ,เรื่องอิบาดะฮ เป็นต้น จากสิ่งที่
อัลกุรอ่านไม่ได้นำมาและไม่ปรากฏ สุนนะฮที่แน่นอนจากรซูลุลลอฮ และพวกเขาเอามันมาทำเป็นศาสนา พวกเขาเชื่อมั่นและนำมันมาอิบาดะฮกับอัลลอฮ
- มัจญมัวะฟะตาวา อัลลุจญนะฮ เล่ม ๒๔ เรื่อง อะกีดะฮ
...........
สรุปคือ
1. สิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ คือ สิ่งที่ไม่เป็นท่ีรู้จัก ในอัลกุรอ่าน,ไม่เป็นทีรู้จักในสุนนะฮ และไม่เเป็นที่รู้จักในอิจญมาอฺ(มติของปวงปราชญ์)
2.ทุกสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ ขึ้นมาใหม่ในศาสนาอิสลาม ในเรื่อง อะกีดะฮ ,เรื่องอิบาดะฮ เป็นต้น จากสิ่งที่ อัลกุรอ่านไม่ได้นำมาและไม่ปรากฏ สุนนะฮที่แน่นอนจากรซูลุลลอฮ และพวกเขาเอามันมาทำเป็นศาสนา

อะสัน หมัดอะดั้ม
25/9/61

 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

ทำไมจึงทิ้งสิ่งที่เป็นสุนนะฮนบีไปตามผู้ที่มีฐานะต่ำกว่าหรือ




ทำไมจึงทิ้งสิ่งที่เป็นสุนนะฮนบีไปตามผู้ที่มีฐานะต่ำกว่าหรือ
มีคนหนึ่งอ้างว่า
อุมมุล-มุอฺมินีน อาอิชะฮฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า:
قَالَتِ الصَّلاَةُ أَوَّلُ مَا فُرِضَتْ رَكْعَتَيْنِ فَأُقِرَّتْ صَلاَةُ السَّفَرِ، وَأُتِمَّتْ صَلاَةُ الْحَضَرِ‏.‏
"พอเมื่อละหมาดถูกรวมครั้งแรก โดยแต่ละละหมาดมี 2 รอกอะฮฺ จากนั้น การละหมาดในขณะเดินทางก็ถูกรักษาไว้แบบนั้น แต่การละหมาดสำหรับคนไม่เดินทางคือละหมาดเต็ม"
(มุหัมมัด)อัซ-ซุฮฺรียฺ ได้กล่าวว่า:
فَقُلْتُ لِعُرْوَةَ مَا بَالُ عَائِشَةَ تُتِمُّ
"ฉันเคยถามอุรวะฮฺ(อิบนุ สุบัยรฺ)ว่าทำไมอาอิชะฮฺถึงละหมาดเต็ม(ในขณะเดินทาง)"
อุรวะฮฺ(อิบนุ สุบัยรฺ หลานของท่านหญิงอาอิชะฮฺ) ตอบว่า:
تَأَوَّلَتْ مَا تَأَوَّلَ عُثْمَانُ
"นางทำตามอุษมาน(อิบนุ อัฟฟาน)"
บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ
คำถาม:
1.อุมมุล-มุอฺมินีน อาอิชะฮฺ ร.ฎ. เป็นคนรายงานหะดีษเอง แต่นางก็ละหมาดเต็ม แสดงว่านางไม่ตามซุนนะฮฺ ไม่ยืนหยัดในซุนนะฮฺใช่หรือไม่?
2.การที่ให้เหตุผลว่าทำตามท่านอุษมาน ร.ฎ. หมายความว่า ไม่เอาซุนนะฮฺนะบียฺ แต่กลับมายึดทัศนะของอุษมาน ร.ฎ. แบบนี้ผิดใช่หรือไม่?
@@@@
ชี้แจง
มีความพยายามกันเหลือเกินที่จะหาข้ออ้างในการละหมาดเต็ม ในขณะเดินทาง เพื่อเอาใจคนส่วนใหญ่ ที่ชอบละหมาดเต็มในเวลาเดินทาง
เขาถามว่า
1.อุมมุล-มุอฺมินีน อาอิชะฮฺ ร.ฎ. เป็นคนรายงานหะดีษเอง แต่นางก็ละหมาดเต็ม แสดงว่านางไม่ตามซุนนะฮฺ ไม่ยืนหยัดในซุนนะฮฺใช่หรือไม่?
ตอบ
รายงานที่ระบุว่าท่านหญิงอาอีฉะฮละหมาดเต็ม เป็นรายงานที่เฎาะอีฟ และท่านอิบนุตัยมียะฮระบุว่าเป็นการอ้างเท็จใส่ท่านหญิงอาอีฉะฮ โดยที่ อิบนุก็อยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
قال شيخنا ابن تيمية : وهذا باطل ، ما كانت أم المؤمنين لتخالف رسول الله صلى الله عليه وسلم وجميع أصحابه ، فتصلي خلاف صلاتهم
อาจารย์ของเรา ,อิบนุตัยมียะฮ ได้กล่าวว่า หะดิษนี้ เป็นเท็จ ,อุมมุลมุมินีน จะไม่ขัดแย้ง กับท่านรซูลลุฮ ศ็อลฯ และบรรดาเศาะหาบะฮของท่าน แล้วนางละหมาด ขัดแย้ง กับการละหมาดของพวกเขา - ดูซาดุลมาอาด 1/464
.......
อิบนุตัยมียะฮ ตัดสินหะดิษที่อ้างว่า ท่านอาอีฉะฮ ละหมาดเต็มในการเดินทางว่า เป็นหะดิษที่เป็นโมฆะ หรือเป็นเท็จ เพราะเป็นไปไม่ได้ว่า ท่านอาอีฉะฮ จะละหมาดขัดแย้งกับท่านนบี ศ็อลฯและบรรดาเศาะหาบะฮ
อนึ่ง นักวิชาการมีการเห็นขัดแย้งในเรื่องน้ำหนักของหะดิษ เพราะ ผู้รายงานชื่อ อับดุรเราะหมาน บิลอัลอัสวัด เคยเข้าพบท่านอาอีฉะฮก็จริง แต่ตอนนั้นเขายังเล็กและไม่ได้ยินหะดิษนี้จากท่านหญิงอาอีฉะฮ(ร.ฎ)
وَقَالَ أَبُو حَاتِمٍ : أُدْخِلَ عَلَيْهَا وَهُوَ صَغِيرٌ وَلَمْ يَسْمَعْ مِنْهَا
และอบูหาติม กล่าวว่า เขาได้เคยเข้าไปพบนาง โดยที่เขายังเล็กอยู่ และเขาไม่ได้ยินจากนาง -นัยลุลเอาฏอ็ร 3/245
..............
เมื่อหะดิษการกระทำของท่านนบี ศ็อลฯชัดเจนว่าท่านไม่เคยละหมาดเต็ม แล้วเอาหะดิษเฎาะอีฟ หรือหะดิษที่มีปัญหามาอ้างทำไม่หรือ เพียงแค่เอาใจคน พยายามกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เขาถามว่า
2.การที่ให้เหตุผลว่าทำตามท่านอุษมาน ร.ฎ. หมายความว่า ไม่เอาซุนนะฮฺนะบียฺ แต่กลับมายึดทัศนะของอุษมาน ร.ฎ. แบบนี้ผิดใช่หรือไม่?
ตอบ
ท่านนบี ศ็อลฯ ,อบูบักร์ และท่านอุมัร ไม่เคยละหมาดเต็มในการเดินทาง ส่วนท่านอุษมาน เคยละหมาดย่อ แต่มาช่วงหลัง ท่านละหมาดเต็ม เพราะท่านเข้าใจว่า คำว่าการเดินทาง หมายถึง อยู่ระหว่างกำลังเคลือนไหวในการเดินทาง โดยยังไม่ถึงที่พัก นี่ความความเห็นของท่าน และมีรายงานเช่นกันว่าการกระทำของท่านอุษมาน มีเหตุความจำเป็นดังรายงานว่า
حَدَّثَنَا مُوسَى بْنُ إِسْمَعِيلَ حَدَّثَنَا حَمَّادٌ عَنْ أَيُّوبَ عَنْ الزُّهْرِيِّ أَنَّ عُثْمَانَ بْنَ عَفَّانَ أَتَمَّ الصَّلَاةَ بِمِنًى مِنْ أَجْلِ الْأَعْرَابِ لِأَنَّهُمْ كَثُرُوا عَامَئِذٍ فَصَلَّى بِالنَّاسِ أَرْبَعًا لِيُعَلِّمَهُمْ أَنَّ الصَّلَاةَ أَرْبَعٌ
คำแปลตัวบท
รายงานจากอัซซุฮรีย์ แท้จริง ท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน ละหมาดเต็มที่ตำบลมีนา เนื่องชาวอาหรับชนบท มีจำนวนมากขึ้นในปีนั้น แล้วท่านได้ละหมาดนำประชาชน 4 ร็อกอัต เพื่อสอนพวกเขา ว่า ละหมาดนั้น มี 4 ร็อกอัต - ดุ มาอาลิมอัสสุนัน ยุซ 2 หน้า 338
..........
แปลก...กับคนอาลิมยุคใหม่จริง มีหลักฐานชัดเจนว่า ท่านนบี ศอ็ลฯและเคาะลิฟะฮท่านอื่นไม่เคยละหมาดเต็มในเวลาเดินทาง แต่กลับเอาการกระทำของท่านอุษมาน ที่บรรดาเศาะหาบะฮหลายท่านไม่เห็นด้วย ประกอบกับที่ท่านอุษมานปฏิบัตินั้น อันเนื่องมาจากท่านเข้าใจว่า แค่เป็นข้อผ่อนปรน และอีกประการหนึ่ง อันเนื่องมาจากเหตุจำเป็น ดังที่ระบุหะดิษข้างต้น
จะทิ้งสุนนะฮนบี แล้วไปเอาใจชาวบ้าน โดยอ้างคนนั้นคนนี้ละหมาดเต็ม ไม่รู้ว่า ต้องการเอาใจใครหนักหนา แบบอย่างนบีไม่พอหรือ ทำไมไม่สอนชาวบ้านให้ให้ความสำคัญกับแบบอย่างนบี ศ้อลฯ
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/9/61

ปล. ที่คุณแปลคำว่า تأولت ما تأول عثمان. โดยแปลว่า อาอีฉะฮตามอุษมาน แปลถูกแล้วหรือ 








เอกสารอ้างอิง





 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

เมื่อมีหะดิษบอกไว้แล้วจะอ้างความคิดเห็นอีกหรือ




เมื่อมีหะดิษบอกไว้แล้วจะอ้างความคิดเห็นอีกหรือ
เรื่องศาสนา นั้นเมื่อมีหะดิษท่านบี ศ็อลฯได้ปรากฏแล้ว ก็จะไม่อนุญาตทิ้งหะดิษ เพื่อเอาความคิดเห็นของคนใดมายึดเป็นหลักฐาน
พระองค์ทรงตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لا تُقَدِّمُوا بَيْنَ يَدَيِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ وَاتَّقُوا اللَّهَ إِنَّ اللَّهَ سَمِيعٌ عَلِيمٌ
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย ! พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า (ในการกระทำใด ๆ) เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้-อัลหุญะรอต/1
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
أَيْ لَا تَقُولُوا حَتَّى يَقُولَ ، وَلَا تَأْمُرُوا حَتَّى يَأْمُرَ ، وَلَا تُفْتُوا حَتَّى يُفْتِيَ ، وَلَا تَقْطَعُوا أَمْرًا حَتَّى يَكُونَ هُوَ الَّذِي يَحْكُمُ فِيهِ وَيَمْضِيهِ ، رَوَى عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَلْحَةَ عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا : لَا تَقُولُوا خِلَافَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ.
หมายถึง พวกท่านอย่าพูด จนกว่า เขา(อัลลอฮหรือรอซูล) พูด ,พวกท่านอย่างสั่ง จนกว่าเขาสั่ง ,พวกท่านอย่าฟัตวา จนกว่าเขาฟัตวา (ตัดสินชี้ขาด) และพวกท่าน อย่า ตัดสินสิ่งใดอย่างเด็ดขาด จนกว่า เขา(อัลลอฮหรือรอซูล)จะชี้ขาด ในมันและตัดสินมัน ,อาลี บิน อบีฏอ็ลหะฮ รายงานจาก อิบนุอับบาส (ร.ฎ) ว่า พวกเจ้าอย่าพูดขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนะฮ- เอียะลามอัลมุวักกิอีน 1/51
.................
หมายความว่า อย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใด ก่อนทีอัลลอฮหรือรอซูลกล่าวไว้ ,อย่าสั่งสิ่งใด ก่อนที่ อัลลอฮหรือรอซูล สั่ง ,อย่าฟัตวาหรือชี้ขาดเกี่ยวกับประเด็นใดก่อนที่อัลลอฮหรือรอซูล ตัดสินชี้ขาด และอย่ากล่าวตัดสินสิ่งเป็นการเด็ดขาด ก่อนที่อัลลอฮหรือรอซูล ตัดสิน
حَدَّثَنِي ابْنُ الْقَهْزَاذِ ، قَالَ : ثنا حَاتِمٌ الْجَلابُ ابْنُ الْعَلاءِ ، قَالَ : ثنا إِسْمَاعِيلُ بْنُ عَيَّاشٍ ، ثنا بِشْرُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ يَسَارٍ السُّلَمِيِّ ، وَسَوَادَةُ بْنُ زِيَادٍ ، وَعَمْرُو بْنُ مُهَاجِرٍ ، أَنَّ عُمَرَ بْنَ عَبْدِ الْعَزِيزِ ، كَتَبَ إِلَى النَّاسِ " أَنَّهُ لا رَأْيَ لأَحَدٍ مَعَ سُنَّةٍ سَنَّهَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
คำแปลตัวบท
แท้จริงท่านอุมัร บิน อับดุลอะซีซ ได้เขียนคำสั่งไปยังประชาชนว่า "ไม่มีความคิดเห็นสำหรับคนหนึ่งคนใด พร้อมกับสุนนะฮที่รซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ได้กำหนดมันให้เป็นแบบอย่างเอาไว้ - อัสสุนนะฮ ของอัลมัรวะซีย์ หะดิษหมายเลข 81
.............
หมายถึง ไม่มีสิทธิ์แก่คนใดแสดงความคิดเห็นในเรื่องใด โดยที่มีสุนนะฮของท่านนบี ศ็อลฯที่ได้กำหนดเป็นแบบอย่างไว้แล้ว
قَالَ الْبُخَارِيُّ : سَمِعْتُ الْحُمَيْدِيَّ يَقُولُ : كُنَّا عِنْدَ الشَّافِعِيِّ فَأَتَاهُ رَجُلٌ فَسَأَلَهُ عَنْ مَسْأَلَةٍ فَقَالَ : قَضَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَذَا وَكَذَا ، فَقَالَ الرَّجُلُ لِلشَّافِعِيِّ : مَا تَقُولُ أَنْتَ ؟ فَقَالَ : سُبْحَانَ اللَّهِ تَرَانِي فِي كَنِيسَةٍ ، تَرَانِي فِي بَيْعَةٍ ، تَرَى عَلَى وَسَطِي زُنَّارًا ، أَقُولُ قَضَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَذَا وَكَذَا ، وَأَنْتَ تَقُولُ لِي مَا تَقُولُ أَنْتَ ؟ .
อัลบุคอรี ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน อัลหุมัยดี กล่าวว่า "เราอยู่กับอัชชาฟิอีย์ แล้วมีชายคนหนึ่งมาหาท่านอัชชาฟิอีย์ แล้วเขาผู้นั้น ถามอัชชาฟิอีย์ เกี่ยวกับประเด็นหนึ่ง แล้วท่านชาฟิอีย์ ได้กล่าวว่า รซูลุลลอฮ ศ็อลฯได้ตัดสิน อย่างนั้น อย่างนี้ แล้วชายคนนั้น กล่าวแก่อัชชาฟิอีย์ว่า " ท่านเองเองมีความเห็นอย่างไร ? แล้วเขา(อิหม่ามชาฟิอีย์)กล่าวว่า "ซุบฮานัลลอฮ ! ท่านเห็นฉันอยู่ในโบสถ์คริสต์หรือ ,ท่านเห็นฉันฉันอยู่ใน โบสถชาวยิว และท่านเห็นฉันใช้เครื่องแต่งกายชาวยิว หรือ ?ฉันพูดว่า รซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ตัดสิน อย่างนั้น อย่างนี้ โดยที่ท่านกล่าวกับฉันว่า ท่านเอง(กล่าว(มีความเห็น)อย่างไร ? - ดู มุคตะศ็อรอัศเศาะวาอิก หน้า 1441
......
สรุป
ท่านอิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)แสดงความไม่พอใจชายคนหนึ่ง ที่ถามเกี่ยวกับประเด็นเรื่องศาสนา แล้วท่านได้ตอบว่าท่านนบี ศ็อลฯได้ตัดสินด้วยหุกุมอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขากลับถามความคิดเห็นอีก 
เพราะฉะนั้นผู้รู้ หรือครูบาอาจารย์ อย่าได้ฟัตวาเรี่ยราด สุ่มสีสุ่มห้า ควรจะรอบคอบ ไม่ใช่ใครถามอะไรก็ตอบทุกเรื่อง ถ้าไม่ตอบกลัวเสียหน้า

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/9/61


เอกสารอ้างอิง





 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


 

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

อัสสุนนะฮที่แท้จริง

อัสสุนนะฮที่แท้จริง
อิบนุเราะญับ(ร.ฮ) กล่าวว่า
و«السُّنة» هي الطريق المسلوك؛ فيشمل ذلك التمسُّك بما كان عليه صلَّى الله عليه وسلَّم هو وخلفاؤه الراشدون من الاعتقادات والأعمال والأقوال، وهذه هي السُّنة الكاملة، ولهذا كان السلف قديمًا لا يُطلقون اسم السُّنة إلا على ما يشمل ذلك كلَّه.
ورُوي معنى ذلك عن الحسن والأوزاعي والفضيل بن عياض
อัสสุนนะฮ คือ แนวทางที่ถูกดำเนินตาม ดังกล่าวนั้น ครอบคลุมถึง การยึด ด้วยสิ่งที่นบี ศ็อลฯ ได้ดำเนินอยู่บนมัน ท่านนบีเองและบรรดาเคาะลิฟะฮอัรรอชิดูนของท่าน เกี่ยวกับ บรรดาอะกีดะฮ(หลักศรัทธา) บรรดาการปฏิบัติและการพูด และนี้คืออัสสุนนะฮที่สมบูรณ์ และเพราะเหตนี้ ชาวสะลัฟยุคก่อน พวกเขาจะไม่กล่าวชื่อของอัสสุนนะฮ นอกจาก สิ่งที่ครอบคลุมดังกล่าวทั้งหมด และ ความหมายดังกล่าวนั้น ถูกรายงานมาจากอัลหะซัน ,อัลเอาซาอีย์ และ อัลฟุฎัยฎ์ บิน อิยาฎ - ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม เล่ม 2 หน้า 120 อธิบายหะดิษหมายเลข 28
.........
อัสสุนนะฮที่สมบูรณ์คือ การยึด แนวทางที่ท่านนบี ศ็อลฯ และบรรดาเคาะลิฟะฮผู้ที่ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ได้ดำเนินอยู่บนแนวทางนั้น เกี่ยวกับเรื่อง บรรดาอะกีดะฮ ,บรรดาการปฏิบัติ (การปฏิบัติด้วยกาย)และบรรดาคำพูด(การปฏิบัติด้วยวาจา)
......
จะเป็นชาวสุนนะฮ ก็ต้องศึกษาว่า อัสสุนนะฮคืออะไร และอะไรที่ทำลายสุนนะฮ เพื่อจะได้แยกให้ถูก จะปฏิบัติตามสุนนะฮ เมื่อกลัวความแตกแยก แล้วจะยึดสุนนะฮได้อย่างไร เพราะอัสสุนนะฮ ย่อมแยกจากบิดอะฮอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจาก คนที่ต้องการยึดทั้งสองอย่างหลอมรวมกันเพื่อสมานฉันท์และที่ยืนในสังคม คนเรียกร้องสู่อัสสุนนะฮ กลายเป็นแกะขาวในฝูงแกะดำ คงไม่มีใครต้องการ เพราะมีพื้นที่แคบในสังคม
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/8/61

เอกสารอ้างอิง

 

ความหมายคำว่าชาวซุนนะฮ



ความหมายคำว่าชาวซุนนะฮ
อบูลกอซิม อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 535 )กล่าวว่า
قال أهل اللغة: «السُّنة» السيرة والطريقة، قولهم «فلان على السُّنة»، و«من أهل السُّنة»، أي هو موافق للتنـزيل والأثر في الفعل والقول، ولأنَّ السُّنة لا تكون مع مخالفة الله ومخالفة رسوله
นักภาษาศาสตร์ ได้กล่าวว่า "อัสสุนนะฮ หมายถึง แนวทาง ,วิถีทาง ,คำพูดพวกเขาที่ว่า (คนนั้น คนนี้ อยู่บน อัสสุนนะฮ )และ (เป็นส่วนหนึ่งจากชาวสุนนะฮ) หมายถึง เขาเป็นผู้ที่ สอดคล้องกับอัตตันซีล(อัลกุรอ่าน)และอัลอะษัร(อัสสุนนะฮ) ใน การปฏิบัติ และการพูด และเพราะแท้จริงอัสสุนนะฮ มันจะไม่อยู่พร้อมกับการขัดแย้งกับอัลลอฮ และการขัดแย้งกับรอซูลของพระองค์ - อัลหุจญะฮ ฟี บะยานิลอัลมะหัจญะฮ วะชัรหอะกีดะฮอะฮลิสสุนนะฮ หน้า 456
......
สรุปคือ คำว่าชาวสุนนะฮ คือ ผู้ที่ สอดคล้องกับอัตตันซีล(อัลกุรอ่าน)และอัลอะษัร(อัสสุนนะฮ) ใน การปฏิบัติ และการพูด
คงไม่มีใครสมบูรณ์ มีความครับถ้วนในการปฏิบัติตามอัสสุนนะฮ แต่หน้าที่ของเขาจะต้องแยกแยะได้ว่า อะไรคืออัสสุนนะฮ อะไรไม่ใช่อัสสุนนะฮ เพราะฉะนั้นการทำหน้าที่หนึ่งซึ่งแยกแยะให้เห็นว่าอะไรคือสุนนะฮนบี และอะไรไม่ใช่ มันคือการสร้างความแตกแยกและสร้างฟิตนะฮอย่างนั้นหรือ?
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/9/61

เอกสารอ้างอิง 

 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ชี้แจงกรณีการอ้างว่าทิ้งสุนนะฮนบีได้เพื่อรักษาผลประโยชน์

ชี้แจงกรณีการอ้างว่าทิ้งสุนนะฮนบีได้เพื่อรักษาผลประโยชน์
มีการอ้างว่า
การละหมาดเต็มยามเดินทางไม่บาป ส่วนการละหมาดย่อได้ซุนนะฮ์ครับ กรณีที่ละทิ้งการทำสิ่งที่เป็นซุนนะฮ์ เพื่อรักษามัศละฮะฮ์ ค่อนข้างจะเป็นเคสที่ชัดเจน
........
ตอบ
การอ้างว่าอนุญาตให้ทิ่งสิ่งที่เป็นสุนนะฮของท่านนบี ศ็อลฯ เพื่อรักษาผลประโยชน์ (المصلحة ) นั้น ต้องถามก่อนว่ามัสละหะฮ(ผลประโยชน์)อะไร ของใคร ของโต๊ะครู หรือของมุสลิมส่วนรวม
เพราะผู้ที่เป็นมุสลิมนั้น ถูกสอนให้รักสุนนะฮนบีและเตือนคนที่รังเกียจสุนนะฮนบี ศ็อลฯ ดังหะดิษ
فَمَنْ رَغِبَ عن سُنَّتِي فَلَيْسَ مِنِّي
"ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่ชอบ(รังเกียจ)แบบฉบับของฉัน เขาไม่ใช่พวกของฉัน” (รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
أَخْبَرَنَا أَخْبَرَنَا أَبُو الْمُغِيرَةِ ، حَدَّثَنَا الْأَوْزَاعِيُّ ، عَنْ يُونُسَ بْنِ يَزِيدَ ، عَنْ الزُّهْرِيِّ ، قَالَ : كَانَ مَنْ مَضَى مِنْ عُلَمَائِنَا يَقُولُونَ : " الِاعْتِصَامُ بِالسُّنَّةِ نَجَاةٌ ، وَالْعِلْمُ يُقْبَضُ قَبْضًا سَرِيعًا ، فَنَعْشُ الْعِلْمِ ثَبَاتُ الدِّينِ وَالدُّنْيَا ، وَفِي ذَهَابِ الْعِلْمِ ذَهَابُ ذَلِكَ كُلِّهِ
คำแปลตัวบท
รายงานจากอัซซุฮรีย์ว่า ผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดานักปราชญ์ของเราที่ผ่านมา พวกเขากล่าวว่า "การยึดอัสสุนนะฮ คือทางรอด ,ความรู้จะถูกถอดเอาไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การฟื้นชีวิตขึ้นมาของความรู้(วิชาการ) คือ ความมั่นคงของศาสนาและดุนยา และในการสูญหายของวิชาความรู้ นั้น ตือการสูญเสียของดังกล่าวทั้งหมดนั้น -อัดดาริมีย์, สุนัน อัดดาริมีย์, หน้า 96
.........
เพราะฉะนั้น การผ่อนปรนให้ชาวบ้านทิ้งสิ่งที่เป็นสุนนะฮนบีปฏิบัติชัดเจน เพื่อผ่อนปรนตามใจคน โดยอ้างว่าไม่บาป ต่อไปใครจะทำอะไรก็ได้โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญของอัสสุนนะฮ ทั้งๆที่อัสสุนนะฮคือสิ่งที่เป็นหลักประกันทางรอดของชีวิต
ส่วนการอ้างว่า ยอมให้ทิ้งสิ่งที่เป็นสุนนะฮเพื่อรักษาประโยชน์ ซึ่งเกี่ยวกับการป้องกันความเเสียหายที่ตามมา นั้น ผลโยชน์ และการป้องกันผลร้ายที่ตามมา ที่โต๊ะครูซุนนะฮบ้านเราอ้างกันนั้น มันอยู่ในความหมายของสิ่งที่นักวิชาการอ้างจริงหรือ
คำว่า "มุศลิหะฮ "ในทางศาสนา ในมุมมองของอิหม่ามเฆาะซาลีย์(ร.ฮ)คือ
لَكِنَّا نَعْنِي بِالْمَصْلَحَةِ الْمُحَافَظَةَ عَلَى مَقْصُودِ الشَّرْعِ وَمَقْصُودُ الشَّرْعِ مِنْ الْخَلْقِ خَمْسَةٌ : وَهُوَ أَنْ يَحْفَظَ عَلَيْهِمْ دِينَهُمْ وَنَفْسَهُمْ وَعَقْلَهُمْ وَنَسْلَهُمْ وَمَالَهُمْ ، فَكُلُّ مَا يَتَضَمَّنُ حِفْظَ هَذِهِ الْأُصُولِ الْخَمْسَةِ فَهُوَ مَصْلَحَةٌ ، وَكُلُّ مَا يُفَوِّتُ هَذِهِ الْأُصُولَ فَهُوَ مَفْسَدَةٌ وَدَفْعُهَا مَصْلَحَةٌ .
แต่เรา หมายถึง มุศลิหะฮ(ผลประโยชน์)ที่ถูกรักษานั้น บน จุดมุ่งหมายของศาสนบัญญัติ และจุดมุ่งหมายของศาสนบัญญัติ ที่เกี่ยวกับมนุษย์นั้น มี 5 ประการ คือ
1.รักษาศาสนาของพวกเขา แก่พวกเขา
2.รักษาชีวิตของพวกเขา
3.รักษาสติปัญญาของพวกเขา
4.รักษาวงศ์ตระกูลของพวกเขา
5. รักษาทรัพย์สินของพวกเขา
ดังนั้น ทุกสิ่งที่มันรวม การรักษาบรรดารากฐาน 5 ประการนี้มันคือ "มัศละหะฮ " (ผลประโยชน์ ของมนุษย์)- อัลมุสตัศฟาอฺ 2/129 และอุศูลุลฟิฮ อัลอิสลามมีย์ของ วะฮบะฮอัซซุฮัยลีย์ หน้า 756
......
คำว่า มัศละฮะฮ (مصلحة )ในทางศาสนา คือ ชักนำผลประโยชน์ และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ผมจึงถามว่า "ข้ออ้างให้ทิ้งสุนนะฮ ที่ไม่ถือว่าบาป โดยชี้นำให้ลูกทัวร์ ละหมาดเต็ม เมื่อเดินทางนั้น เราอาศัยข้ออนุโลมข้อใหน?
อนึ่ง การอ้างทัศนะสะลัฟให้รักษามัศละฮะ นั้นตามบริบทของสังคมมุสลิมในสังคมเมื่องไทยเรานั้น มันอยู่ในความหมายของเหตุผลของสะลัฟไหม? ถ้าไม่ใช่ จะตอบกับอัลลอฮว่าอย่างไร

อะสัน หมัดอะดั้ม
18/9/61





เอกสารอ้างอิง








 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

อันตรายของการพูดเกี่ยวกับศาสนาด้วยความคิดเห็น




อันตรายของการพูดเกี่ยวกับศาสนาด้วยความคิดเห็นแล้วชี้นำคนอื่นให้ปฏิบัติ
ท่าน อะหมัด มุสเฏาะฟา อัลมะรอฆีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟสีรของท่านว่า
إنه لا ينبغى لأحد أن يحرّم شيئا تحريما دينيا على عباد الله أو يوجب عليهم شيئا إلا بنص صريح عن الله ورسوله، ومن تهجم على ذلك فقد جعل نفسه شريكا لله، ومن تبعه فى ذلك فقد جعله رباله، ومن ثم كان فقهاء الصحابة والتابعين يتحامون القول فى الدين بالرأى
แท้จริงไม่สมควรแก่บุคคลใด กำหนดสิ่งใด เป็นข้อห้ามที่เกี่ยวกับศาสนา แก่บรรดาบ่าวของอัลลอฮ หรือ กำหนดสิ่งใดเป็นวาญิบ เหนือพวกเขา ยกเว้น ด้วยตัวบทที่ชัดเจน จากอัลลอฮ และรอซูลของพระองค์ และผู้ใดเลยเถิดบนดังกล่าวนั้น แน่นอน เขาได้กำหนดตัวเขาเองให้เป็นภาคีต่ออัลลอฮและผู้ใดปฏิบัติตามเขาผู้นั้น ในดังกล่าวนั้น แน่นอนเขาได้กำหนดเขาผู้นั้นให้เป็นพระเจ้าของเขา และเพราะเหตนี้ บรรดานักกฏหมายอิสลาม(ฟะเกาะฮาอฺ) ที่เป็นเศาะหาบะฮและตาบีนอีน พวกเขา หลีกเหลี่ยงการกล่าวในเรื่องศาสนาด้วยความคิดเห็น - ดูตัฟสีรอัลมะรอฆีย์ เล่ม 8 หน้า 140
............
สรุปคือ
1.ไม่ควรกล่าวว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นหะรอม หรือเป็นวาญิบในทางศาสนา ยกเว้นมีตัวบทหลักฐานที่ชัดเจนจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
2.ใครก็ตามที่ได้กระทำการละเมิดดังกล่าว โดยอ้างว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้หะรอม หรือเป็นข้อบังคับ โดยไม่มีหลักฐาน เท่ากับว่า เขาได้กำหนัดตัวเองให้เป็นภาคีต่ออัลลอฮ
3. ใครก็ตามปฏิบัติตามผู้ใดที่อ้างเรื่องศาสนาที่ไม่มีตัวบทหลักฐาน ก็เท่ากับว่าเขายึดผู้นั้นเป็นพระเจ้า
4. บรรดาปราชญ์ฟุเกาะฮาอฺ ที่เป็นเศาะหาะฮและตาบิอีน พวกเขาหลีกเลี่ยงการกล่าวเรื่องศาสนาด้วยความคิดเห็น
...............
เพราะฉะนั้น การอ้างสิ่งใดว่าเป็นเป็นศาสนา เป็นวาญิบ เป็นสุนัต เป็นสุนนะฮ แล้วชี้นำคนอาวาม โดยไม่มีหลักฐานชัดเจนมารองรับ ระวังเข้าข่ายทำตนเทียบเคียง (ชิริก)ต่ออัลลอฮ และการตามความคิดเห็นแบบหูหนวกตาบอดของผู้รู้โดยปราศจากหลักฐานระวังจะเข้าข่ายยึดโต๊ะครูหรืออาจารย์เป็นพระเจ้านะครับ โดยเฉพาะการหลงผูรู้ เหมือนพวกแฟสคลับหลงดาราทีวี
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/9/61
เอกสารอ้างอิง
 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ
 

อัลอิจญติฮาดคืออะไร




อัลอิจญติฮาดคืออะไร
คำว่า “อัลอิจญติฮาด” (الإجتهاد) มีรากศัพท์มาจากคำว่า جهد แปลว่า พยายาม อุตสาหะ เพียรพยามยาม บากบั่น อัลอิจญติฮาด แปลว่า “ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความบากบั่น ส่วนความหมายในทางศาสนา หมายถึง การที่นักกฎหมายอิสลาม ได้ทุ่มเทความพยายามจนเต็มความสามารถ ในการวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ที่ยาก ที่ขัดแย้งกัน ซึ่งไม่พบหลักฐานจากอัลกุรอ่าน หรือ อัลหะดิษ ผู้ที่ทำการอิจญติฮาด เรียกว่า “มุจญตะฮิด”
การอิจญติฮาดนั้น เป็นเรื่อง ของสังคม(المعاملات ) หรือ การพิพากษาคดี(القضاء) เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่อง หลักศรัทธา(العقيدة )และไม่เกี่ยวกับเรื่อง การประกอบศาสนกิจ(العبادات ) เพราะหลักการทั้งสองนี้ได้ถูกวางไว้อย่างสมบูรณ์แล้วในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
มุหัมหมัด เราะชีดริฎอ(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَمَا شُرِعَ مِنَ اجْتِهَادِ الرَّأْيِ فِي حَدِيثِ مُعَاذٍ وَغَيْرِهِ فَهُوَ خَاصٌّ بِالْقَضَاءِ لِأَنَّهُ نَصٌّ فِيهِ وَيَتَوَقَّفُ عَلَيْهِ وَمِثْلُهُ سَائِرُ الْأَحْكَامِ الدُّنْيَوِيَّةِ ، مِنْ سِيَاسِيَّةٍ وَإِدَارِيَّةٍ ، لَا فِي أُصُولِ دِينِ اللَّهِ وَعِبَادَتِهِ وَمَا حُرِّمَ عَلَى عِبَادِهِ تَحْرِيمًا دِينِيًّا ، فَإِنَّ اللَّهَ أَكْمَلَ دِينَهُ فَلَمْ يَتْرُكْ فِيهِ نَقْصًا يُكْمِلُهُ غَيْرُهُ بِظَنِّهِ وَرَأْيِهِ بَعْدَ وَفَاةِ رَسُولِهِ ، وَلَيْسَ لِحَاكِمٍ وَلَا مُفْتٍ أَنْ يُسْنِدَ رَأْيَهُ الِاجْتِهَادِيَّ إِلَى اللَّهِ تَعَالَى فَيَقُولُ : هَذَا حُكْمُ اللَّهِ وَهَذَا دِينُهُ ، بَلْ يَقُولُ : هَذَا مَبْلَغُ اجْتِهَادِي فَإِنْ كَانَ صَوَابًا فَمِنْ تَوْفِيقِ اللَّهِ تَعَالَى وَإِلْهَامِهِ وَإِنْ كَانَ خَطَأً فَمِنِّي وَمِنَ الشَّيْطَانِ ، كَمَا رُوِيَ عَنْ بَعْضِ أَئِمَّةِ سَلَفِنَا الصَّالِحِينَ .
และสิ่งที่ถูกบัญญัติขึ้นมาจากการอิจญติฮาด โดยความเห็น ในหะดิษมุอาซ และอื่นจากเขานั้น มันก็เฉพาะสำหรับการตัดสินคดีเท่านั้น เพราะแท้จริงมันคือ ตัวบท เกี่ยวกับมัน .หยุดอยู่บนมัน และบรรดาหุกุมที่ที่เกียวกับทางดุนยาเหมือนกับมัน เช่น เรื่องการเมือง และการบริหารจัดการ ไม่ไ้ด้อยู่ในเรื่อง รากฐานศาสนา(อะกีดะฮ)และเรื่องอิบาดะฮของศาสนา และไม่ใช่สิ่งที่ต้องห้ามแก่บ่าวของพระองค์ ที่เป็นการห้ามในทางศาสนา เพราะแท้จริง อัลลอฮได้ทรงให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว ดังนั้น พระองค์จะไม่ทรงทิ้งความบกพร่องให้ผู้อื่นจากพระองค์ มาทำให้มันสมบูรณ์ ด้วยการคาดเดาและด้วยความเห็นของเขา หลังจากที่รอซูลของพระองค์ได้เสียชีวิต...ตัฟสีรอัลมะนาร ๘/๓๕๕ อะิบายซูเราะฮอัลอะรอฟ อายะฮที่ อายะฮที่ ๓๓
ท่าน อะหมัด มุสเฏาะฟา อัลมะรอฆีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟสีรของท่านว่า
وما شرع من اجتهاد الرأى فى حديث معاذ وغيره فهو خاص بالقضاء لا بأصول الدين وعباداته، فقد أكمل الله دينه فلم يترك فيه نقصا يكمله غيره بظنه ورأيه بعد وفاة رسوله، وليس لقاض ولا مفت أن يسند رأيه الاجتهادى إلى الله فيقول هذا حكم الله وهذا دينه، بل يقول هذا مبلغ اجتهادي، فإن كان صوابا فمن توفيق الله وإلهامه، وإن كان خطأ فمنى ومن الشيطان
และสิ่งที่ถูกบัญญัติขึ้นมาจากการอิจญติฮาด โดยความเห็น ในหะดิษมุอาซ และอื่นจากเขานั้น มันก็เฉพาะสำหรับการตัดสินคดีเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ รากฐานศาสนา(อะกีดะฮ)และ ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนากิจ(อิบาดาต) เพราะแท้จริงอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์แล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งความบกพร่องใดๆในนั้น แล้วให้ผู้อื่น อื่นจากพระองค์ มาทำให้มันสมบูรณ์ด้วยการคาดเดาและความคิดเห็นของเขา หลังจากที่ศาสนทูตของพระองค์ได้เสียชีวิต และไม่อนุญาตให้ผู้พิพากษาและมุฟตีคนใด นำความเห็นของเขาที่ได้จากการอิจญติฮาด นำไปอ้างอิงกับอัลลอฮ โดยกล่าวว่า นี่คือ หุกุมอัลลอฮ นี่คือศาสนาของพระองค์ แต่ให้เขากล่าวว่า “นี่ เป็นเพียงการอิจญติฮาดของฉัน แล้วหากมันถูกต้อง มันก็มาจากการเตาฟิก(การช่วยเหลือ)ของอัลลอฮและการดลใจของพระองค์ และถ้าหากมันผิดพลาด มันก็มาจากตัวฉันเอง และมาจากชัยฏอน” – ดู ตัฟสีรอัลมะรอฆีย์ เล่ม 8 หน้า 140 อธิบายอายะฮที่ 32 ซูเราะฮอัลอะรอฟ
............
สรุป
ท่านมุหัมหมัด รอชีดริฎอ และ อะหมัด มุสฏอฟาอัลมะรอซีย์ ได้อธิบายสรุปดังนี้
1. การอิจญติฮาดด้วยความคิดเห็นนั้น มันเป็นกรณีเฉพาะ สำหรับเรื่องการตัดสินคดีความ ,เรื่องที่เกี่ยวกับบรรดาหุกุมทางดุนยา ไม่เกี่ยวกับเรื่อง อุศูลุลลดีน (อะกีดะฮ)และเรื่องอิบาดะฮ
2. ในเรื่องเกี่ยวกับอะกีดะฮและเรื่องอิบาดะฮนั้น อัลลอฮทำให้ศาสนาสมบูรณ์แล้ว
3. หลังจากที่ท่านนบี ศ็อลฯได้เสียชีวิต อัลลอฮตาอาลาไม่ทรงทิ้งความบกพร่องของศาสนาเอาไว้ แล้วให้ผู้อื่นมาทำให้สมบูรณ์ด้วยการคาดเดาและการใช้ความคิดเห็น
เพราะฉะนั้น การอ้างนั้น อ้างนี่ ที่เกียวกับเรื่องอิบาดะฮ ว่าให้เปิดกว้างยอมรับทัศนะที่เห็นต่าง ยอมผ่อนปรน เพื่อเอาใจคนที่เห็นต่างนั้น ก็เป็นการเปิดช่องให้นำความคิดเห็นมาเป็นบทบัญญัติศาสนา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/9/61

เอกสารอ้างอิง 

 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ
 

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

เขาเรียกร้องให้ตามเรื่องศาสนาแบบดูทิศทางลม




เขาเรียกร้องให้ตามเรื่องศาสนาแบบดูทิศทางลม
มีแนวคิดโลกสวย "แบบการปฏิบัติเรื่องศาสนาต้องดูทิศทางลม "เช่นตนเองยึดทัศนะที่เชื่อว่ามีน้ำหนักและเป็นสุนนะฮ แต่เมื่อไปปฏิบัติกิจทางศาสนา ตามคนที่มีทัศนะตรงกันข้าม ก็ให้ใจกว้าง ยอมรับและปฏิบัติตามเขา เพื่อเอาใจไม่ให้เขารู้สึกแปลกแยก แล้วจุดยืนอยู่ตรงใหน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับการแสวงหาสัจธรรม เพื่อยึดสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
มาดูหลักฐานที่ให้ยึดทัศนะที่มีน้ำหนัก(ไม่ใช่แต่ไม่ใช่ยึดแค่ปลายลิ้น แต่ไม่มีจุดยืนของตัวเอง)
อิหม่ามอัชเชากานีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَمَنْ نَظَرَ فِي أَحْوَالِ الصَّحَابَةِ، وَالتَّابِعِينَ، وَتَابِعِيهِمْ، وَمَنْ بَعْدَهُمْ، وَجَدَهُمْ مُتَّفِقِينَ عَلَى الْعَمَلِ بِالرَّاجِحِ، وَتَرْكِ الْمَرْجُوحِ ... اهـ.
และผู้ใดได้พิจารณา ในบรรดาสภาพการณ์ของเศาะหาบะฮ,บรรดาตาบิอีน ,ผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขาและผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา เขาจะพบว่า พวกเขาเห็นฟ้องกัน บนการให้ปฏิบัติด้วยทัศนะที่มีน้ำหนัก และละทิ้งทัศนะที่อ่อน - อิรชาดุลฟุหูล 2/785
อับดุลอะซีซ อัลบุคอรี ฮ.ศ 730 (ร.ฮ)กล่าวว่า
وذهب الجمهور إلى صحة الترجيح ووجوب العمل بالراجح متمسكين في ذلك بإجماع الصحابة والسلف
บรรดาปราชญส่วนใหญ่(ญุมฮูร) มีทัศนะ ว่าการตัรเญียะนั้นใช้ได้ และวาญิบ(จำเป็น)ต้องปฏิบัติ ด้วยทัศนะที่มีน้ำหนัก โดยยึด มติ(อิจญมาอ)ของเศาะหาบะฮและสะลัฟ ในเรื่องดังกล่าวนั้น - ดู กัชฟุลอัสรอร 4/110 และอัสสะบีล ฟี อุศูลุลฟิกฮ 2/242
อัลเการอฟีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
أما الحكم أو الفتيا بما هو مرجوح فخلاف الإجماع
สำหรับการตัดสินและฟัตวา ด้วยสิ่งที่ มันคือทัศนะอ่อน นั้น ขัดแย้งกับอัลอิจญมาอฺ -อัลอะหกาม ฟี ตัมยิซ อัลฟัตวา อะนิลอะหกาม หน้า 93
อัรรอซีย์ ฮ.ศ 606(ร.ฮ)กล่าวว่า
فإن كان أحدهما راجحا على الآخر وجب العمل بالراجح؛ لأن الأمة مجمعة على أنه لا يجوز العمل بالأضعف عند وجود الأقوى فيكون مخالفه مخطئا .
หาก คนหนึ่งคนใดจากทั้งสอง นั้น เป็นผู้ที่มีน้ำหนัก เหนืออีกคนหนึ่ง เขาจำเป็นจะต้อง ปฏิบัติตาม ทัศนะที่มีน้ำหนัก เพราะแท้จริง อุมมะฮนี้ มีมติร่วมกันว่า ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติ ด้วยบรรดาทัศนะที่เฎาะอีฟ(อ่อน) เมื่อมีทัศนะที่แข็งที่สุด เพราะผู้ที่ขัดแย้งมัน เป็นผู้ที่ผิดพลาด - ดู อัลมะหศูล ฟี อิลมิลอุศูล 6/56
และอิหม่ามอบูหะนีฟะฮ (ร.ฮ)พูดไว้น่าคิดมากคือ ท่านกล่าวว่า
هذا رأيي، و هذا أحسن ما رأيت، فمن جاء برأي خير منه قبلناه
นี่คือความคิดเห็นของฉัน และนี่คือ ทีสวยงามยิ่ง ของสิ่งที่ฉันได้มีความเห็น ดังนั้น ผู้ใด นำความคิดเห็น ที่ดีกว่ามัน (หมายถึงดีกว่าความคิดเห็นของฉัน) เราก็จะยอมรับมัน - มะอาลิม อุศูลิลฟิกฮ อินดะอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ของอัลญิซานีย์ หน้า 506
........
คำกล่าวข้างต้น อิหม่ามอบูหะนีฟะฮ มีทัศนะให้รับทัศนะที่มีน้ำหนักกว่า
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น คือทัศนะที่มีน้ำหนักที่สุดตามที่ได้ศึกษามา คือให้ยึดทัศนะที่มีน้ำหนัก(الراجيح )และให้ทิ้งทัศนะที่อ่อน(المرجوحْ
แต่แปลก...ทั้งที่รู้ว่า สิ่งที่ตนยึดเป็นทัศนะที่มีน้ำหนัก เพราะคนปัญญาอ่อนเท่านั้นที่เลือกทัศนะที่อ่อน แปลกตรงที่ ยอมปฏิบัติตามทัศนะที่อ่อนเพื่อเอาใจและไม่ให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก ของอีกฝ่าย คือ แคร์ความรู้สึกคนอื่นจนยอมทิ้งทัศนะที่มีน้ำหนักกว่า ...ผู้อ่านลองพิจารณาก็แล้วกันว่า คนที่เรียกร้องให้ยอมรับทัศนะเห็นต่าง และยอมตามทัศนะอ่อน เมื่อปฏิบัติร่วมกับเขานั้น "เขามีนัยยะอะไรแฝงอยู่"
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
14/9/61

สำเนาเอกสารอ้างอิง
 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ความหมายคำว่า “เข้าใจศาสนา




ในภาพอาจจะมี ข้อความ




ความหมายคำว่า “เข้าใจศาสนา
عن مُعَاوِيَةَ بن أبي سفيان رضي الله عنهما قال: سَمِعْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ : (مَنْ يُرِدِ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا يُفَقِّهْهُ فِي الدِّينِ).
รายงานจากมุอาวียะฮ บิน อบีซูฟยาน (ร.ฎ) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสดา ศ็อลฯกล่าวว่า (ผู้ใดอัลลอฮประสงค์ให้เขาได้รับความดีงาน พระองค์จะทรงให้เขาเข้าใจในศาสนา “-รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
قال العيني رحمه الله :
" قَوْله : (يفقهه) أَي : يفهمهُ ، إِذْ الْفِقْه فِي اللُّغَة الْفَهم . قَالَ تَعَالَى : ( يفقهوا قولي ) طه/ 28 ، أَي : يفهموا قولي ، من فقه يفقه ، ثمَّ خُص بِهِ علم الشَّرِيعَة ، والعالم بِهِ يُسمى فَقِيها)
อัลอัยนีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
คำพูดของท่านนบีที่ว่า(ยุฟักกิฮฮู) หมายถึง ทรงทำให้เขาเข้าใจ เพราะคำว่า “ฟิกฮ” ในทางศาสนา หมายถึง ความเข้าใจ ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า(เพื่อให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของข้าพระองค์”-ฏอฮา/28) หมายถึง พวกเขาเข้าใจ คำพูดของข้าพระองค์ มาจากคำว่า ฟะกิฮะ ยัฟเกาะฮู ต่อมา วิชาชะรีอะฮ ถูกเจาะเจาะด้วยคำนี้ และผู้ที่มีความรู้ วิชาชะรีอะฮ จะ ถูกเรียกว่า “ฟะกีฮ” – ดู อุมดะฮอัลกอรี 2/42 และฟัตหุลบารีย์ 1/161
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
" كُلُّ مَنْ أَرَادَ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا لَا بُدَّ أَنْ يُفَقِّهَهُ فِي الدِّينِ ، فَمَنْ لَمْ يُفَقِّهْهُ فِي الدِّين ِ، لَمْ يُرِدْ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا ، وَالدِّينُ : مَا بَعَثَ اللَّهُ بِهِ رَسُولَهُ ؛ وَهُوَ مَا يَجِبُ عَلَى الْمَرْءِ التَّصْدِيقُ بِهِ وَالْعَمَلُ بِهِ ، وَعَلَى كُلِّ أَحَدٍ أَنْ يُصَدِّقَ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِيمَا أَخْبَرَ بِهِ ، وَيُطِيعَهُ فِيمَا أَمَرَ ، تَصْدِيقًا عَامًّا ، وَطَاعَةً عَامَّةً ".
ทุกๆผู้ที่อัลลอฮประสงค์ให้ได้รับความดีงาม นั้น ย่อมหนีไม่พ้น การที่ทรงให้เขาเข้าใจในศาสนา ดังนั้นผู้ใดไม่เข้าใจในศาสนา อัลลอฮก็ไม่ประสงค์ให้เขาได้รับความดีงาม คำว่า ศาสนา (อัดดีน) คือสิ่งที่อัลลอฮ ได้แต่งตั้งรอซูลของพระองค์มาด้วยมัน และมันคือ สิ่งที่ จำเป็นเหนือ บุคคล จะต้องเชื่อและปฏิบัติด้วยมัน และจำเป็นเหนือทุกคน จะต้องเชื่อ มุหัมหมัด ศ็อลฯ ในสิ่งที่เขาบอก ,จะต้องเชื่อฟังในสิ่งที่เขาสั่ง เป็นการเชื่อโดยทั่วไป และเชื่อฟัง โดยทั่วไป(ในลักษณะคนอาวามทั่วไป)- ดู มัจญมัวะอัลฟะตาวา ยุซ 28 หน้า 80
.........................
โปรดจำไว้ว่า
คนที่อ่านอาหรับ แปลอาหรับได้ หรือมีใบปริญญาการันตี จบเมืองนอก เมืองนา ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเข้าใจศาสนาเสมอไป เพราะถ้าเข้าใจศาสนา เขาจะไม่ทำชิริกและบิดอะฮแน่นอน ในขณะที่คนอาวามจำนวนไม่น้อยยังเข้าใจศาสนา จะเห็นได้จากเขาต่อต้านชิริกและบิดอะฮ พยายามปฏิบัติสิ่งที่เป็นสุนนะฮ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆหากไม่มีหลักฐาน
อะสัน หมัดอะดั้ม
13/9/61