วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วาทกรรม อย่าข้ามหัวอุลามาอฺ




ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



วาทกรรม อย่าข้ามหัวอุลามาอฺ
ข้างต้น น่าจะเป็นวาทกรรมใหม่ ที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา เป็นระเบิดปิงปอง โยนใส่ คนที่ไม่เล่นด้วยกับการเรียกร้องให้รอมชอมทัศนะที่เห็นต่าง และไม่ยอมรับทัศนะที่ไม่มหลักฐานรองรับ
แบบใหนคือการข้ามหัวอุลามาอฺ
บรรดาครูบาอาจารย์ ที่ร่ำเรียนศาสนามา ไม่ว่าจากต่างประเทศ หรือในประเทศ ไม่มีใครตรัสรู้ หรือ รู้เอาเองว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ พวกเขาก็เรียนจากคำอธิบายจากอุลามาอฺทั้งนั้น และในตำรา อุลามาอฺแต่ละท่าน มีทั้งอธิบายตัวบท และการสอดใส่ความคิดเห็นส่วนตัว
ในขณะเดียวกัน อุลามาอฺมีหลายสาขา มีอุลามาอฺ หะดิษ,อุลามาอฺฟิกฮ,อุลามาอฺตัฟสีร อุลามาอฺ อุศูลุดดีน ,อุลามาอฺกาลาม ,อุลามาอฺซูฟีย์ ฯลฯ จะให้เอาทุกคำพูดหรือทัศนะอุลามาอฺโดยปิดตาไม่พิจารณา อย่างนั้นหรือ จึงจะได้ไม่ถูกโจมตีว่า "ข้ามหัวอุลามาอฺ
บรรดาคนอาวาม ที่เรียนจากครู ครูก็เลือกสิ่งที่ถือว่าถูกต้องที่สุดมาบอกมาสอนศิษย์ ถ้าครูไร้อามานะฮ ไม่มีความซื่อสัตย์ บิดเบือนศาสนาเพื่อรักษาผลประโยชน์ ก็ถือเป็นความโชคร้ายของศิษย์ เพราะเหตุนี้ ไม่ควรผูกขาดกับครูคนใดคนหนึ่งไปการเฉพาะ
อบูอับดุลลอฮ บุตร คุวัยซฺ มันดาด อัลบะเศาะรี อัล-มาลิกีย์ กล่าวว่า
كُلُّ مَنْ اتَّبَعْت قَوْلَهُ مِنْ غَيْرِ أَنْ يَجِبَ عَلَيْك قَبُولُهُ بِدَلِيلٍ يُوجِبُ ذَلِكَ فَأَنْتَ مُقَلِّدُهُ ، وَالتَّقْلِيدُ فِي دِينِ اللَّهِ غَيْرُ صَحِيحٍ ، وَكُلُّ مَنْ أَوْجَبَ الدَّلِيلَ عَلَيْك اتِّبَاعُ قَوْلِهِ فَأَنْتَ مُتَّبِعُهُ ، وَالِاتِّبَاعُ فِي الدِّينِ مُسَوَّغٌ ، وَالتَّقْلِيدُ مَمْنُوعٌ .
ทุกๆผู้ที่ คำพูดของเขาถูกปฏิบัติตาม โดยที่ ไม่วาญิบแก่ท่านให้ยอมรับคำพูดของเขา ด้วยหลักฐานใดๆ ที่ดังกล่าวนั้นถูกกำหนดให้เป็นว่าญิบ ท่านก็คือ ผูตักลิดเขาผู้นั้น และการตักลิด เกี่ยวกับ ศาสนาอัลลอฮนั้น ไม่ถูกต้อง และทุกๆผู้ที่หลักฐานกำหนดให้เป็นวาญิบแก่ท่าน ปฏิบัติตามคำพูดของเขา ท่านก็คือ ผู้เจริญรอยตามเขา และการเจริญรอยตาม(อัลอิตบาอฺนั้น เป็นสิ่งอนุญาต และการเชื่อตามโดยไม่มีหลักฐาน(ตักลิด) นั้นเป็นสิ่งที่ถูกห้าม - เอียะลามอัลมุวักกิอีน 1/138
......
สรุปคือ
1.ทุกผู้ที่ไม่มีหลักฐานวายิบให้ปฏิบัติตามคำพูดของเขานั้น ผู้ที่ตามเรียกว่า "มุก็อลลิด"(ผู้เชื่อตาม)เขาผู้นั้น
2.ทุกผู้ที่มีหลักฐานว่าวาญิบจะต้องปฏิบัติตามคำพูดของเขา ผู้ที่ปฏิบัติตาม เรียกว่า "มุตตะเบียะ"(ผู้เจริญรอยตาม) ของเขา
3. การเจริญรอยตาม (หมายถึงตามคำพูดที่มีหลักฐาน)นั้นเป็นที่อนุญาต
4. การเชื่อตาม(หมายถึงเชื่อตามคำพูดโดยไม่มีหลักฐานรองรับ)นั้น เป็นสิ่งที่ถูกห้าม
.......
เพราะฉะนั้น การไม่เชื่อตามทัศนะที่ไม่มีหลักฐานรองรับ เรียกว่า "ข้ามหัวอุลามาอฺ" หรือ? ใครอุปโลกน์วาทกรรมนี้มา อุลามาอฺคนใหนหรือ หรือมาจากอคติ
อะสัน หมัดอะดั้ม
31/10/61

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561

หลงในที่แจ้ง หมายความว่าอย่างไร




ในภาพอาจจะมี พื้นหญ้า, ดอกไม้, ต้นพืช, สถานที่กลางแจ้ง, ธรรมชาติ และข้อความ






หลงในที่แจ้ง หมายความว่าอย่างไร
สำนวนข้างต้น เคยได้ยินจากครูซูนนะฮในอดีต ซึงหมายถึง คนที่มีความรู้ อ่านออก แปลได้ แต่กลับไม่พบสัจธรรม ยังคงหลงอยู่ในดงชิริกและบิดอะฮ ยังคงส่งเสริม และปฏิบัติที่เป็นบิดอะฮอยู่ ซึ่ง ผู้รู้แบบนี้ เรียกว่าหลงในที่แจ้ง (หลงในที่สว่าง)
การเรียนมาเยอะ มีตำราใส่ตู้เต็มตู้หลายตู้ บ้างก็ ทำเป็น 
วอลเพเปอร์(wallpaper) หน้าห้องรับแขก ไว้อวดแขกมาเยือนว่า "ตนเป็นผู้คงแก่เรียน" บ้างก็แขวนปริญญาเป็นเครื่องการันตีความรู้ สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเครื่องการัตตีว่า เขาผู้นี้ จะเข้าใจศาสนา และยืนหยัดบนความถูกต้องเสมอไป
คำว่ารู้คือ"
العِلْمُ : إِدراك الشيء بحقيقته
อัลอิลมุ(ความรู้) หมายถึง การรับรู้สิ่งใดๆ ด้วยข้อเท็จจริงของมัน -ตายุลอุรูส 16/127 คำว่า علم
เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เรียกว่า "โง่เขลา หรือ ญะฮลุ ส่วนคนที่เข้าใจว่าตนเองรู้ทั้งๆที่สิ่งที่รู้นั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เรียกว่า "ญะฮิลมุร็อกกับ"
เพราะฉะนั้น มีความรู้ภาษาอาหรับ แปลได้ พูดได้ ยังไม่พอ ต้องเขาใจศาสนา ด้วยจึงจะ ใช้ได้ เพราะท่านนบี ศ็อลฯกล่าวว่า
مَنْ يُرِدِ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا يُفَقِّهْهُ فِي الدِّينِ
ผู้ใดที่อัลลอฮทรงต้องการให้เขาได้รับความดี พระองค์จะทรงให้เขาเข้าใจในศาสนา -รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
" كُلُّ مَنْ أَرَادَ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا لَا بُدَّ أَنْ يُفَقِّهَهُ فِي الدِّينِ ، فَمَنْ لَمْ يُفَقِّهْهُ فِي الدِّين ِ، لَمْ يُرِدْ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا ، وَالدِّينُ : مَا بَعَثَ اللَّهُ بِهِ رَسُولَهُ ؛ وَهُوَ مَا يَجِبُ عَلَى الْمَرْءِ التَّصْدِيقُ بِهِ وَالْعَمَلُ بِهِ
ทุกๆผู้ที่อัลลอฮประสงค์ให้เขาได้รับความดีงามนั้น จำเป็นที่เขาจะต้องทำความเข้าใจในศาสนา ดังนั้นผู้ใดพระองค์ไม่ทำให้เขาเข้าใจใน ศาสนา อัลลอฮฺก้ไม่ประสงค์ให้เขาได้รับความดีงาม และ อัดดีน(ศาสนา)นั้นคือ สิ่งที่อัลลอฮทรงแต่งตั้งรอซูลของพระองค์ด้วยมัน และมันคือ สิ่งที่จำเป็นเหนือบุคคลจะต้องเชื่อและปฏิบัติด้วยมัน - มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 28 หน้า 80
...........
อัดดีน(ศาสนา)นั้นคือ สิ่งที่อัลลอฮทรงแต่งตั้งรอซูลของพระองค์ด้วยมัน เพราะฉะนั้น คนที่อ้างว่าเป็นผู้รู้ อ่านแปลภาษาอาหรับได้ เก่งวิชานาฮู แต่ยัง ทำชิริก ทำบิดอะฮ ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า คำสอนศาสนาอิสลาม คืออะไร ก็เท่ากับ "หลงอยู่ในที่แจ้ง" เพราะยังคงหลงอยู่ในดงชิริกและบิดอะฮ -ขอต่ออัลลอฮตาอาลา ให้เราปลอดภายจากความลุ่มหลงทุกประการด้วยเถิด -อามีน
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/10/61

ใครคืออุลามาอฺ และอุลามาอฺแบบใหนที่ควรเลือกตาม



ใครคืออุลามาอฺ และอุลามาอฺแบบใหนที่ควรเลือกตาม
คำว่า “อุลามาอฺ” เป็นนามพหุพจน์ มาจากคำนามเอกพจน์ คือ “อาลิม” แปลว่าผู้มีความรู้ ในด้านศาสนา ในปทานุกรม มุอญัมอัลมะอานีย์อัลญาเมียะ ให้ความหมายว่า
عَالِمٌ بِأُمُورِ الدِّينِ وَالْعِلْمِ : عَارِفٌ بِهِما
คือผู้มีความรู้ เกี่ยวกับกิจการศาสนาและวิชาการ หมายถึง ผู้รู้รอบรู้/เชี่ยวชาญ ด้วยมันทั้งสอง 
ชัยค์อัลอุษัยมีน (ร.ฮ)ได้กล่าวถึงประเภทอุลามาอฺ(บรรดาผู้มีความรู้)ว่า
العلماء ثلاثة أقسام: عالم مِلَّةْ، وعالم دولة، وعالم أمة
บรรดาอุลามาอฺนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.อาลิมมิลละฮ 2. อาลิมเดาละฮ 3. อาลิมอุมมะฮ
أما عالم الْمِلَّة: فهو الذي ينشر دين الإسلام، ويفتي بدين الإسلام عن علم، ولا يبالي بما دل عليه الشرع أوافق أهواء الناس أم لم يوافق.
สำหรับอาลิมอัลมิลละฮ คือผู้ที่ เผยแพร่ศาสนาอิสลาม และฟัตวา(ตอบปัญหาศาสนา) ด้วยศาสนาอิสลาม จากความรู้ และ ด้วยสิ่งที่ศาสนบัญญัติได้แสดงบอกไว้ เขาไม่สนใจว่า มันจะสอดคล้องกับบรรดาอารมณ์ของมนุษย์ หรือไม่สอดคล้องก็ตาม
وأما عالم الدولة: فهو الذي ينظر ماذا تريد الدولة فيفتي بما تريد الدولة، ولو كان في ذلك تحريف كتاب الله وسنة رسوله-صلى الله عليه وسلم-.
และสำหรับ อาลิมอัดเดาละฮ คือ ผู้ที่ พิจารณาดู ว่า สิ่งที่รัฐต้องการนั้นคืออะไร แล้วเขาก็ฟัตวาตามสิ่งที่รัฐต้องการ และแม้ปรากฏว่าในดังกล่าวนั้น เป็นการบิดเบือน กิตาบุลลอฮ และสุนนะฮของรอซูล ของพระองค์(ศอ็ลฯก็ตาม
وأما عالم الأمة: فهو الذي ينظر ماذا يرضي الناس، إذا رأى الناس على شيء أفتى بما يرضيهم، ثم يحاول أن يحرف نصوص الكتاب والسنة من
أجل موافقة أهواء الناس. نسأل الله أن يجعلنا من علماء الملة العاملين بها
และสำหรับ อาลิมอุมมะฮ คือ ผู้ที่เขาพิจารณาดูว่า อะไรที่มนุษย์พอใจ เมื่อเขาเห็นมนุษย์ อยู่บนสิ่งใด (หมายถึงพอใจสิ่งใด) เขาก็ฟัตวาด้วยสิ่งที่ทำให้มนุษย์พอใจ หลังจากนั้น เขาจะพยายามบิดเบือนบรรดาตัวบท อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดาอารมณ์ของมนุษย์
เราขอต่ออัลลอฮ ทรงบันดาลให้เราเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาอุลามาอฺมิลละฮ(ศาสนา)ที่เป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยมัน เถิด –ชัรหริยาฎอัศศอลิฮีน หน้า 4/307-308
.................
จากคำพูดของเช็คมุหัหมัด อัลอุษัยมีน สรุปสั้นๆได้ดังนี้
ผู้รู้มี 3 ประเภท
1. ผู้รู้ศาสนา คือผู้รู้ที่สอนหรือตอบปัญหาศาสนา ตามความรู้ ตามหลักฐานที่ศาสนาสอนไว้ ไม่สนใจว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ
2. ผู้รู้ขี้ข้ารัฐ คือ ผู้รู้ที่สอนศาสนา หรือฟัตวาเรื่องศาสนาเอาใจผู้มีอำนาจ แม้จะบิดเบือนอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮก็ตาม
3. ผู้รู้มวลชน คือ ผู้รู้ที่สอนศาสนาหรือตอบปัญหาศาสนาตามที่บรรดาผู้คนพอใจ หรือเพื่อเอาใจคน ยอมบิดเบือนตัวบทอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เพื่อให้ตรงกับสิ่งที่ชาวบ้านหรือผู้คนต้องการ
.........
พี่น้องทั้งหลาย พิจารณาดูก็แล้วกันว่า จะเลือกตามผู้รู้แบบใหน
والله أعلم بالصواب "
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/10/61

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ระวังอ้างความเห็น อ้างอิจญติฮาดแบบมั่วนิ่มจะพาชาวบ้านลงเหว





ระวังอ้างความเห็น อ้างอิจญติฮาดแบบมั่วนิ่มจะพาชาวบ้านลงเหว
อิสลามคือศาสนาของอัลลอฮ ผู้มีสิทธิ์บัญญัติคำสอนศาสนาก็คือเจ้าของศาสนา และพระองค์ทรงเลือกมุหัมหมัด ให้ทำหน้าที่ ศาสนาทูต เพื่อนำคำสอนมาเผยแพร่แก่อุมมะฮ และเป็นแบบอย่างแก่พวกเขา
......
อิหม่ามอัลบุคอรีกล่าวว่า
وَقَالَ الزُّهْرِيُّ مِنْ اللَّهِ الرِّسَالَةُ وَعَلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْبَلَاغُ وَعَلَيْنَا التَّسْلِيمُ
และอัซซุฮรีย์ ได้กล่าวว่า สารแห่งอิสลาม มาจากอัลลอฮ ,หน้าที่เหนือรอซูลคือ การเผยแพร่ และหน้าที่ของพวกเราคือการยอมรับ(มาปฏิบัติ) - เศาะเฮียะบุคอรี
............
หน้าที่ของทุกคนคือ รับวะหยูจากอัลลอฮตาอาลาผ่านรอซูลมาปฏิบัติ ไม่มีสิทธิ์บัญญัติหุกุมศาสนาด้วยความเห็น
الكتاب والسنة فيهما ما يكفي لإصلاح أمر الدين دون الحاجة إلى أي زيادة عليهما باجتهاد أو رأي أو قياس، و الدين قد اكتمل يوم أن نزل قوله تعالى (اليوم أكملت لكم دينكم) و في لغتنا الشيء الذي يكتمل لا يمكن الزيادة عليه أصلا. ولذا فكل من يحاول وضع أحكام جديدة في الدين عن طريق الاجتهاد فقد ناقض الآية السابقة، و كأنه يتهم الله بعدم إكمال الدين.
อัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ในทั้งสอง คือ สิ่งที่พอเพียงแล้วสำหรับ การทำให้กิจการศาสนา ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัย การเพิ่มเติมใดๆบนทั้งสอง ด้วยการอิจญติฮาด,หรือความคิดเห็น หรือการกิยาส และศาสนานั้นมันได้สมบูรณ์แล้ว ในวันที่คำตรัสของอัลลอฮตาอาลาได้ลงมา คือ(วันที่เราได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว) และในภาษาของเรา สิ่งที่ถูกทำให้สมบูรณ์นั้น ไม่สามารถ เพิ่มเติมบนมัน มาแต่เดิม เพราะเหตุนี้ ทุกๆผู้ที่ พยายามกำหนดบรรดาหุกุมใหม่ในศาสนา ที่มาจากแนวทางการอิจญติฮาด แน่นอนเขาได้ทำให้อายะฮที่ผ่านมาบกพร่อง และเหมือนกับว่าเขาตำหนิอัลลอฮ ด้วยการที่ไม่ให้ศาสนาสมบูรณ์
............
สรุป
1.อัลกุอ่านและอัสสุนนะฮพอเพียงแล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยการเพิ่มเติมใดๆด้วยการอิจญติฮาดและความคิดเห็น
2.ศาสนาสมบูรณ์แล้วในวันที่อัลลอฮตรัสว่า (วันที่เราทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว)
3. คำว่า "สมบูรณ์"หมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถที่จะเพิ่มเติมบนมันมาแต่เดิม
4. ใครก็ตามที่พยายามกำหนดบรรดาหุกุมขึ้นมาใหม่ ในศาสนา ที่มาจากแนวทางการอิจญติฮาด เขาผู้นั้น ได้ทำให้อายะฮดังกล่าวบกพร่อง เหมือนกับการตำหนิอัลลอฮว่าไม่ทำให้ศาสนาสมบูรณ์
فالاجتهاد لا يكون إلا أمور الدنيا و الحديث (إذا حكم الحاكم فاجتهد ثم أصاب فله أجران وإذا حكم فاجتهد ثم أخطأ فله أجر) فيه أن الحاكم المجتهد يخطئ ويصيب، و من تعلق بهذا الأثر فقد أحل الحكم في الدين بالخطأ، و هذا مذهب فاسد، فمراد الاجتهاد هو الحكم في نزاع حول أمر من أمور الدنيا، وهذا مراد الاجتهاد الشرعي، و هو الاجتهاد من القاضي في الحكم في موضع نزاع بين متنازعين في أمر من أمور الدنيا وليس الدين،.
เพราะการอิจญติฮาดนั้น มันจะไม่มี นอกจาก บรรดากิจการทางโลก(ดุนยา) และหะดิษที่ว่า (เมื่อผู้พิพากษา ได้ตัดสิน แล้วเขาได้ทำการวินิฉัยอย่างเติมความสามารถ ต่อมา ถูกต้อง(ตรงความเป็นจริง) เขาได้ผลตอบแทนสองเท่า และเมื่อเขาตัดสิน แล้วทำการวินิจฉัย ต่อมาผิดพลาด เขาได้ผลตอบแทนหนึ่งเท่า) ในหะดิษนี้ แสดงให้เห็นว่า แท้จริง ผู้พิพากษานั้น มีผิด มีถูก และผู้ใดโยง(อ้าง)หะดิษนี้ ว่า แท้จริง อนุญาตให้ตัดสินในศาสนาด้วยการผิดพลาดได้ และนี้คือ ทัศนะที่ผิด เพราะความมุ่งหมายของการอิจญติฮาด ในทางศาสนาบัญญัตินั้น มันคือ การตัดสิน ในประเด็นขัดแย้งที่เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด จากบรรดาเรื่องทางดุนยา และนี้คือจุดมุ่งหมาย การอิจญติฮาดในทางศาสนบัญญัติ คือการอิจญติฮาด(การวินิฉัย)จากกอฏีย์ (ผู้พิพากษา) ในการตัดสิน ในประเด็นการขัดแย้ง ระหว่างบรรดาผู้ขัดแย้งกันในเรื่องใดๆ จากบรรดาเรื่องที่เกี่ยวกับทางดุนยา(ทางโลก) ไม่ใช่ ทางศาสนา
.....
สรุป
1.การอิจญติฮาด นั้น สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับทางโลกเท่านนั้น
2.ใครอ้างหะดิษที่ว่า การอิจญติฮาด เมื่อผิดพลาดแล้วได้บุญหนึ่งเท่า มาอ้างว่า อนุญาตให้หุกุมด้วยสิ่งที่อิจญติฮาดผิดพลาดนั้น นี้คือ ทัศนะที่ผิด
3. จุดประสงค์ ในเรื่องการอิจญติฮาดในทางศาสนา นั้น หมายถึงการตัดสินในประเด็นขัดแย้งทางโลก
4. การอิจญติฮาด ใช้ในประเด็นขัดแย้งทางโลก ไม่ใช่ทางศาสนา
หมายเหตุ
คำว่าทางศาสนา หมายถึงเรื่องศาสนาที่เกี่ยวกับอะกีดะฮและอิบาดะฮ ส่วนเรื่องทางโลกหมายถึงเรื่องศาสนาที่เกี่ยวกับอาดะฮ หรือกิจการที่เกี่ยวกับธรรมเนียมการดำรงชีวิตของมนุษย์ในทางโลก
........
เพราะฉะนั้น อย่าเอาเรื่องความเห็น และการอิจญติฮาดด้วยความคิดเห็นมาสอนชาวบ้าน ให้เป็นหลักความเชื่อและหลักการอิบาดะฮ ไม่อย่างนั้น เป็นการพาชาวบ้านลงเหว
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/10/61

เอกสารอ้างอิง 

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

เรื่องปลีกย่อยในศาสนามีด้วยหรือที่ไม่ต้องตามสุนนะฮนบี



ในภาพอาจจะมี ข้อความ


เรื่องปลีกย่อยในศาสนามีด้วยหรือที่ไม่ต้องตามสุนนะฮนบี
ช่วงนี้วาทกรรมดราม่า ถูกผลิตออกมาให้เห็นบ่อย เช่น อย่าเอาเป็นเอาตายกับประเด็นปลีกย่อย อย่าทำลายญะมาอะฮด้วยเรื่องปลีกย่อย อยาเอาเรื่องปลีกย่อยมาทำลายความรัก ฯลฯ
อะไรหรือเรืองปลีกย่อยในศาสนา ที่ไม่ต้องตามสุนนะฮ อะไรหรือคือเรืองปลีกย่อยในศาสนา ที่โอนอ่อนตามอารมณ์ของคนได้ ?
ความจริงในศาสนา ไม่ว่าจะเรื่อง อุศูล (الأصول ) หรือเรื่อง ฟุรูอฺ (الفروع ) มันมีความสำคัญทั้งสองอย่าง อันหมายถึง เรื่องอะกีดะฮหรือหลักศรัทธา ( الاعتقادية ) และเรื่องหลักการปฏิบัติ(العملية )
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فَكُلُّ مَنْ أَحْدَثَ شَيْئًا ، وَنَسَبَهُ إِلَى الدِّينِ ، وَلَمْ يَكُنْ لَهُ أَصْلٌ مِنَ الدِّينِ يَرْجِعُ إِلَيْهِ ، فَهُوَ ضَلَالَةٌ ، وَالِدَيْنُ بَرِيءٌ مِنْهُ ، وَسَوَاءٌ فِي ذَلِكَ مَسَائِلُ الِاعْتِقَادَاتِ ، أَوِ الْأَعْمَالُ ، أَوِ الْأَقْوَالُ الظَّاهِرَةُ وَالْبَاطِنَةُ
ทุกๆผู้ที่ ประดิษฐสิ่งใดๆขึ้นใหม่ และเขาได้อิงมันกับศาสนา (คืออ้างว่าเป็นศาสนา) และมันไม่มีรากฐาน จากศาสนา ที่กลับไปหามัน มันคือ การหลงผิด และศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับมัน ในดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็นบรรดาประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อ(อะกีดะฮ),บรรดาการกระทำ หรือ บรรดาคำพูด ก็ตามที่เปิดเผย(การแสดงออกทางกายและวาจา)และไม่เปิดเผย(หมายถึงการแสดงออกทางใจ)- ญามิอุลอุลูมวัลฮิกัม 2/128
.........
ในเรื่องอะกีดะฮ และเรื่องหลักปฏิบัติ ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นบิดอะฮ ก็ไม่ถูกรับ แล้วจะหยวนๆได้อย่างไร
สำหรับการแบ่งศาสนาเป็น อุศูล (أصول)และฟุูรูอฺ(فروع)นั้น
อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
وَلَمْ يُفَرِّقْ أَحَدٌ مِنْ السَّلَفِ وَالْأَئِمَّةِ بَيْنَ أُصُولٍ وَفُرُوعٍ . بَلْ جَعْلُ الدِّينِ " قِسْمَيْنِ " أُصُولًا وَفُرُوعًا لَمْ يَكُنْ مَعْرُوفًا فِي الصَّحَابَةِ وَالتَّابِعِينَ وَلَمْ يَقُلْ أَحَدٌ مِنْ السَّلَفِ وَالصَّحَابَةِ وَالتَّابِعِينَ إنَّ الْمُجْتَهِدَ الَّذِي اسْتَفْرَغَ وُسْعَهُ فِي طَلَبِ الْحَقِّ يَأْثَمُ لَا فِي الْأُصُولِ وَلَا فِي الْفُرُوعِ وَلَكِنَّ هَذَا التَّفْرِيقَ ظَهَرَ مِنْ جِهَةِ الْمُعْتَزِلَةِ وَأَدْخَلَهُ فِي أُصُولِ الْفِقْهِ مَنْ نَقَلَ ذَلِكَ
และไม่มีคนใดจากสะลัฟ และบรรดาอิหม่าม แบ่งแยกระหว่างอุศูล และฟุรูอฺ ยิ่งไปกว่านั้น การแบ่งศาสนาเป็นสองประเภท ไม่เป็นที่รู้จัก ในบรรดาเศาะหาบะฮและตาบิอีน และไม่มีคนใดจากชาวสะลัฟ,เศาะหาบะฮและตาบิอีน กล่าวว่า แท้จริง มุจญตะฮิด ที่ทุ่มเทความสามารถ ของเขา ในการแสวงหาความจริง นั้นเป็นบาป ไม่ว่าในเรื่องอุศูลและไม่ว่าในเรื่องฟุรูอฺ (ก็ไม่ได้กล่าวไว้) แต่ การแบ่งนี้ มาจากด้านของพวกมุอฺตะซิละฮ และผู้ที่รายงานดังกล่าวเอามัน มาใส่ในอุศูลลุลฟิกฮ (วิชาหลักนิติศาสตร์อิสลาม) -มัจญมัวะฟะตาวา 13/125
อิบนุอัลอุษัยมีน(ร.ฮ)กล่าวไว้ตอนหนึ่งในฟัตวาของท่านว่า
تقسيم الدين إلى أصول وفروع بدعة، كما حقق ذلك شيخ الإسلام ابن تيمية رحمه الله وقال: إن هذا التقسيم حصل-أظنه- في القرن الثالث، فهو بدعة، ويدلك على بطلان هذا التقسيم أنهم جعلوا من الفروع الصلاة والزكاة والصيام والحج، مع أن النبي صلى الله عليه وسلم جعلها أركان الإسلام أصولاً،
การแบ่งศาสนา เป็น อุศูล และฟุรูอฺนั้น บิดอะ ดังเช่น ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) ได้ยืนยันดังกล่าวนั้น และ เขากล่าวว่า "แท้จริงการแบ่งนี้ ข้าเพเจ้าคาดคะเนว่า (มีขึ้น)ในศตวรรษที่สาม มันคือบิดอะฮ และ แสดงบอกแก่ท่าน ถึงความเป็นโมฆะของการแบ่งนี้คือ แท้จริงพวกเขา ให้การละหมาด,การจ่ายซะกาต,การถือศีลอด และการทำหัจญ เป็นส่วนหนึ่งจาก บรรดาฟุรูอฺ ทั้งๆที่ ท่านนบี ศ็อลฯ ให้มัน เป็นรุกุนอิสลาม เป็นอุศูล ...
شرح نظم الورقات (ص232
...........................
สรุป
1.การแบ่งศาสนาเป็นอุศูลและฟุรูอฺนั้นเป็นบิดอะฮ
2.การแบ่งศาสนาเป็นอุศูลและฟุรูอฺมีขึ้นในศตวรรษที่สาม มาจากการแบ่งของพวกมุอตะซิละฮ
3.สิ่งที่แสดงให้เห็นว่า การแบ่งศาสนาเป็นอุศูลและฟุรูอฺนั้นเป็นโมฆะคือ เรืองการละหมาด,การจ่ายซะกาต,การถือศีลอด และการทำหัจญ พวกเขา จัดอยู่ในเรื่อง ฟุรูอฺ ทั้งๆที่นบีศอ็ลฯ ให้มันเป็นเรื่อง อุศูล
......
เพราะฉะนั้น ในเรื่องศาสนา ไม่ว่าเรื่องความเชื่อและเรื่องการปฏิบัติอิบาดะฮ ต้องมีคำสอนมาจากศาสนา จะมาอ้างว่า บางเรื่องแค่ข้อปลีกย่อย อย่าทำให้แตกแยก อย่าเอาเป็นเอาตาย จึงอยากถามว่า การปฏิบัติอะมั้ลอิบาดะฮในเรื่องศาสนา อันใหนบ้างที่ไม่ต้องตามอัสสุนนะฮ สามารถหยวนๆกันได้
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/10/61

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ข้ออนุโลมสำหรับมุจญตะฮีด







ในภาพอาจจะมี มหาสมุทร, ท้องฟ้า, เมฆ, ข้อความ, สถานที่กลางแจ้ง และธรรมชาติ




ข้ออนุ[โลมสำหรับมุจญตะฮีด (ทีมักถูกนำมาเป็นข้ออ้างผิดๆ)
วาทกรรมของนักทำบิดอะฮและนักรอมชอมเอาใจ กับผู้ทำบิดอะฮมักจะสร้างวาทกรรม อ้างว่า อิหม่ามนะวาวีย์ อิหม่ามอิบนุหะญัร หรือปราชญ์คนอื่นๆทำบิดอะฮหรือ ? เขาตกนรกหรือ ?
คำถามข้างต้น มักจะพบบ่อยจากคำถามนักอนุรักบิดอะฮ แต่มาวันนี้ ผู้ที่เรียกว่าชาวสุนนะฮ ที่เอาใจคนทำบิดอะฮ ก็มีให้เห็น
ขอเรียนว่า
ประเด็นอิจญติฮาด ซึ่งปราชญ์เขาเจตนาบริสุทธิ์ ใจในการทุ่มเทความพยายามที่จะแสวงหาสิ่งที่ถูกต้อง ปราชญ์เหล่านี้ปรากฏว่าวินิจฉัย ผิดพลาด ขัดแย้งกับหุกุมอัลลอฮ และปรากฏว่าสิ่งนั้นเป็นบิดอะฮ แต่ผู้ที่วินิจฉัยและปฏิบัติในสิ่งที่เขาวินิจฉัยนั้น ก็ไม่ถือว่าเขาทำบิดอะฮ แม้สิ่งนั้นตัวของมันจะเป็นบิดอะฮก็ตาม
ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
إذا حكم الحاكم فاجتهد ثم أصاب فله أجران وإذا حكم واجتهد ثم أخطأ فله أجر واحد
เมื่อ ผู้พิพากษาได้ตัดสิน แล้วเขาได้ทำการวินิจฉัย (อย่างเต็มความสามารถ) แล้วเขาไ(ตัดสิน)ถูกต้อง เขาก็จะได้รับการตอบแทนผลบุญสองเท่า และเมื่อเขาได้ตัดสิน แล้วเขาได้ทำการวินิจฉัย (อย่างเต็มความสามารถ) แล้วผิดพลาด เขาก็ได้รับการตอบแทนผลบุญหนึ่งเท่า - รายงานโดย อัลบุคอรี บทที่ 97 กิตาบุลเอียะติศอม
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
وَهُوَ قَوْلُ عَامَّةِ السَّلَفِ وَالْفُقَهَاءِ - : أَنَّ حُكْمَ اللَّهِ وَاحِدٌ وَأَنَّ مَنْ خَالَفَهُ بِاجْتِهَادِ سَائِغٍ مُخْطِئٌ مَعْذُورٌ مَأْجُورٌ فَعَلَى هَذَا يَكُونُ ذَلِكَ الْفِعْلُ الَّذِي فَعَلَهُ الْمُتَأَوِّلُ بِعَيْنِهِ حَرَامًا لَكِنْ لَا يَتَرَتَّبُ أَثَرُ التَّحْرِيمِ عَلَيْهِ لِعَفْوِ اللَّهِ عَنْهُ فَإِنَّهُ لَا يُكَلِّفُ نَفْسًا إلَّا وُسْعَهَا .
ا
และมันคือ ทัศนะสะลัฟและบรรดาฟุเกาะฮาอฺทั่วไป :
แท้จริงหุกุม(การตัดสิน)ของอัลลอฮนั้น มีหนึ่งเดียว และแท้จริง ผู้ใดขัดแย้งกับมัน(ขัดแย้งกับหุกุมอัลลอฮ) ด้วยการอิจญติฮาด ที่อนุญาต เขาคือผู้ผิดพลาด,ผู้ที่ได้การอภัย ผู้ที่ได้รับผลตอบแทน ดังนั้น บนสิ่งนี้ การกระทำดังกล่าวนั้น ซึ่งผู้ตีความได้ปฏิบัติมัน ด้วยตัวของมันหะรอม แต่ แต่ผลของการหะรอม จะไม่มีผลตามมาบนเขา(มุจญตะฮิด) เพราะการอภัยของอัลลอฮแก่เขา เพราะแท้จริงไม่ทรงกำหนดบังคับผู้ใด นอกจากเท่าที่เขาจะมีความสามารถ - มัจญมัวะอัลฟะตาวา 20/268
....
สรุป
ทัศนะสะลัฟและบรรดาฟุเกาะฮาอฺ คือ
1. หุกุมหรือการตัดสินชี้ขาดของอัลลอฮนั้นมีหนึ่ง (หมายถึงที่ถูกนั้นมีหนึ่งเดียว)
2. ผู้ใดขัดแย้งกับหุกุมอัลลอฮ ด้วยการอิจญติฮาดที่อนุญาตให้อิจญติฮาดได้ เขาคือผู้ที่ผิดพลาดที่ได้รับการอภัย และได้ผลบุญ
3. การกระทำนั้น โดยตัวของการกระทำคือสิ่งที่ต้องห้าม แต่ผลของการทำสิ่งต้องห้ามนั้น เขาไม่ได้รับ เพราะอัลลอฮอภัย การกระทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถของเขา
กล่าวคือ มุจญตะฮิด เมื่อไม่พบหลักฐาน แล้วเขาทำการอิจญติฮาด แล้วขัดแย้งหรือไม่ตรงกับหุกุมอัลลอฮ เขาคือผู้ผิดพลาดที่ได้รับการอภัย เพราะเป็นเรื่องสุดวิสัย
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
وكثير من مجتهدي السلف والخلف قد قالوا وفعلوا ما هو بدعة ولم يعلموا أنه بدعة، إما لأحاديث ضعيفة ظنوها صحيحة، وإما لآيات فهموا منها ما لم يُرد منها، وإما لرأي رأوه، وفي المسألة نصوص لم تبلغهم، وإذا اتقى الرجل ربه ما استطاع دخل في قوله: {رَبَّنَا لاَ تُؤَاخِذْنَا إِن نَّسِينَا أَوْ أَخْطَأْنَا} [البقرة:286
และส่วนมากจากมุจญตะฮิด ยุคสะลัฟและเคาะลัฟ พวกเขาได้กล่าวและได้ทำ บางสิ่ง ที่มันเป็นบิดอะฮ โดยที่เขาไม่รู้ว่า มันเป็น บิดอะฮ อาจจะเป็นเพราะ บรรดาหะดิษเฎาะอีฟ ที่พวกเขาเข้าใจว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ , อาจจะเป็นเพราะ บรรดาอายะฮ ที่ พวกเขาเข้าใจ ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมายจากมัน ,อาจจะเป็นเพราะความเห็นที่พวกเขาได้แสดงความเห็น และอาจจะเป็นเพราะในบางประเด็นปัญหา หลักฐานที่เป็นตัวบท ไม่ได้ถึงไปยังพวกเขา และเมื่อ คนนั้น ยำเกรงต่อ พระเจ้าของเขา ตามขีดความสามารถของเขา เขาก็เข้าอยู่ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า (" โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดอย่าเอาผิดเราในสิ่งที่เราลืมหรือ ผิดพลาด ) อัลบะเกาะฮเราะฮ /286 - มัจญมัวะอัลฟะตาวา 19/191
.........
สรุป
ความผิดพลาดของมุจญตะฮิดยุคสะลัฟ ที่พวกเขาได้กล่าวและได้ทำ บางสิ่ง ที่มันเป็นบิดอะฮ โดยที่เขาไม่รู้ว่า มันเป็น บิดอะฮ อาจจะเป็นเพราะ
1. บรรดาหะดิษเฎาะอีฟ ที่พวกเขาเข้าใจว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
2. อาจจะเป็นเพราะ บรรดาอายะฮ ที่ พวกเขาเข้าใจ ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมายจากมัน
3. อาจจะเป็นเพราะความเห็นที่พวกเขาได้แสดงความเห็น
4. และอาจจะเป็นเพราะในบางประเด็นปัญหา หลักฐานที่เป็นตัวบท ไม่ได้ถึงไปยังพวกเขา
.............
เพราะฉะนั้น เราจะไม่กล่าวหาว่ามุจญตะฮฮิดเป็นผู้ทำบิดอะฮ เพราะพวกเขาได้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นข้อผอนปรนเป็นการเฉพาะแก่พวกเขา เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงห้ามตามในสิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ดังอิบนุก็อยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
وقد نهى الأئمة الأربعة عن تقليدهم , وذموا من أخذ أقوالهم بغير حجة ; فقال الشافعي : مثل الذي يطلب العلم بلا حجة كمثل حاطب ليل , يحمل حزمة حطب وفيه أفعى تلدغه وهو لا يدري , ذكره البيهقي
และความจริง อิหม่ามทั้งสี่ ได้ห้ามตักลีด(เชื่อตาม)พวกเขา และพวกเขาตำหนิผู้ที่ยึดเอาคำพูดของพวกเขาโดยปราศจากหลักฐาน แล้วท่านอิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า" อุปมาผู้ที่ศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน อุปมัยดังเช่น คนหาไม้ฟืนยามค่ำคืน ,เขาแบกมัดของไม้ฟืน และในนั้นมีงูจะกัดเขาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ ,อัลบัยฮะกีย์ได้ระบุเอาไว้
- อะอฺลามุลมุวักกิอีน เล่ม 1 หน้า 139
แต่...พวกที่ตักลิด เชื่อตามแบบหัวหนวกตาบอด ไม่ยอมรับฟัง เมื่อทำบิดอะฮ ก็เที่ยวยกข้ออ้างว่าตามอุลามาอฺ -นะอูซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/10/10

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ผลของการเอาความพอใจของมนุษย์



ผลของการเอาความพอใจของมนุษย์ มาก่อนความพอใจของอัลลอฮ
มีข้อความตอนหนึ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮ (ร.ฎ) ทำสัตยาบัน(บัยอะฮ)กับท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯคือ
وَأَنْ نَقُولَ الْحَقَّ أَوْ نَقُومَ بِالْحَقِّ حَيْثُمَا كُنَّا ، لا نَخَافُ فِي اللَّهِ لَوْمَةَ لائِمٍ "
เราจะพูดความจริงหรือเราจะยืนหยัดด้วยความจริง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใหนก็ตาม ,เราจะไมากลัวการตำหนิของผู้ตำหนิติเตียนในหนทางของอัลลอฮ -รายโดยอิหม่ามมาลิก ในอัลมุวัฏฏออฺ และ อัตตัมฮีด ของอิบนุอับดิลบัร 23/271
..........
ข้างต้นบ่งบอกถึงความแน่วแน่ของเหล่าเศาะหาบะฮในการยืนหยัดและการปกป้องศาสนาของอัลลอฮ
พระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า :
﴿ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا مَن يَرْتَدَّ مِنكُمْ عَن دِينِهِ فَسَوْفَ يَأْتِي اللَّهُ بِقَوْمٍ يُحِبُّهُمْ وَيُحِبُّونَهُ أَذِلَّةٍ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ أَعِزَّةٍ عَلَى الْكَافِرِينَ يُجَاهِدُونَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ وَلَا يَخَافُونَ لَوْمَةَ لَائِمٍ ﴾ [المائدة: 54]
ความว่า :
(( บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกจากศาสนาของพวกเขาไป อัลลอฮ์ก็จะทรงนำมาซึ่งพวกหนึ่งที่พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อบรรดามุอฺมิน ไว้เกียรติแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะเสียสละและต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ และไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิคนใด ))
(อัลมาอิดะฮฺ อายะห์ที่ 54)
อิหม่ามอัสสะฮดีย (ร.ฮ)อธิบายว่า
وَلا يَخَافُونَ لَوْمَةَ لائِمٍ بَلْ يُقَدِّمُونَ رِضَا رَبِّهِمْ وَالْخَوْفَ مِنْ لَوْمِهِ عَلَى لَوْمِ الْمَخْلُوقِينَ، وَهَذَا يَدُلُّ عَلَى قُوَّةِ هِمَمِهِمْ وَعَزَائِمِهِمْ، فَإِنَّ ضَعِيفَ الْقَلْبِ ضَعِيفُ الْهِمَّةِ، تَنْتَقِضُ عَزِيمَتُهُ عِنْدَ لَوْمِ اللَّائِمِينَ، وَتَفْتُرُ قُوَّتُهُ عِنْدَ عَذْلِ الْعَاذِلِينَ. وَفِي قُلُوبِهِمْ تَعَبُّدٌ لِغَيْرِ اللَّهِ، بِحَسْبِ مَا فِيهَا مِنْ مُرَاعَاةِ الْخَلْقِ وَتَقْدِيمِ رِضَاهُمْ وَلَوْمِهِمْ عَلَى أَمْرِ اللَّهِ، فَلَا يَسْلَمُ الْقَلْبُ مِنَ التَّعَبُّدِ لِغَيْرِ اللَّهِ، حَتَّى لَا يَخَافَ فِي اللَّهِ لَوْمَةَ لَائِمٍ.
(และพวกเขาไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิคนใด ) ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาให้การพอพระทัยของอัลลอฮ และ การกลัว การตำหนิของพระองค์ ก่อน การตำหนิของบรรดามัคลูค 
และนี่คือ แสดงให้เห็นถึง พลังอันเข้มแข็ง ของมุ่งมั่นและความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขา เพราะแท้จริง ความอ่อนแอของหัวใจ คือความอ่อนแอของความตั้งใจ ,ความตั้งใจแน่วแน่ของมัน(หัวใจ) บกพร่อง(ถดถอย) เมื่อเผชิญกับการตำหนิของบรรดาผู้ที่ตำหนิ และพลังของมัน(ของหัวใจ)ก็แตก (ลด) เมื่อเผชิญกับ การตำหนิของบรรดาผู้ที่ตำหนิ และในหัวใจของพวกเขา มันทำการอิบาดะฮอื่นจากอัลลอฮ ตามปริมาณของสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขาที่แคร์ต่อมัคลูค และเอาความพอใจของมัคลูค และการตำหนิของพวกเขา มาก่อนคำสั่งอัลลอฮ ดังนั้น หัวใจจะไม่ปลอดภัยจากการอิบาดะฮต่ออื่นจากอัลลอฮ จนกว่า "เขาจะไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิ ในหนทางของอัลลอฮ - ดูตัฟสีรอัสสะอดีย์ 2/423
...........
สรุปจากคำอธิบายของอิหม่ามอัสสะอดีย์คือ
1. ผู้ศรัทธาเขาจะเอาความใจของอัลลอฮ และการกลัวอัลลอฮ มาก่อนการตำหนิของมนุษย์
2. ข้างต้นบ่งบอกถึง พลังอันเข้มแข็ง ของมุ่งมั่นและความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขา 
3.ความอ่อนแอของหัวใจ คือความอ่อนแอของความตั้งใจ ,
4. ความตั้งใจแน่วแน่ จะบกพร่อง(ถดถอย) เมื่อเผชิญกับการตำหนิของบรรดาผู้ที่ตำหนิ และพลังของหัวใจ ก็แตก (ลด) เมื่อเผชิญกับ การตำหนิของบรรดาผู้ที่ตำหนิ
5. หัวใจที่แคร์ต่อความรู้สึกของมนุษย์และ ความพอใจของพวกเขาเหนือความพอพระทัยของอัลลอฮ ก็เท่ากับหัวใจนั้นอิบาดะฮต่อผู้อื่นๆจากอัลลลอฮ
6.หัวใจจะไม่ปลอดภัยจากการอิบาดะฮอื่นจากอัลลอฮ จนกว่าหัวใจนั้นจะไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิในหนทางของอัลลอฮ
........
ผู้ศรัทธาที่แท้จริง เขาจะต้องเอาความพอใจของอัลลอฮและความกลัวว่าอัลลอฮจะตำหนิ มาก่อนการกลัวการตำหนิของมนุษย์
การ กลัวมนุษย์ตำหนิจนยอมทิ้งสุนนะฮ บางประการเพื่อเอาใจคน กลัวคนจะขัดข้องหมองใจ -นะอูซุบิลละฮ นี่หรือ อะกีดะฮแข็งตามแนวสะลัฟ
ท่านอิหม่ามอัสสะอดีย์บอกว่า
หัวใจจะไม่ปลอดภัยจากการอิบาดะฮอื่นจากอัลลอฮ จนกว่าหัวใจนั้นจะไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิในหนทางของอัลลอฮ
......................
ขอให้ผู้อ่าน อ่านอย่างหัวใจเป็นธรรมไม่เลือกข้าง ความจริงก็จะปรากฏ

อะสัน หมัดอะดั้ม
12/10/61








เอกสารอ้างอิง





 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ

การงานที่ดีในทัศนะอิสลาม




 à¹„ม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


การงานที่ดีในทัศนะอิสลาม
การงานที่ดี (العمل الصالح ) เป็นอย่างไร อะไรคือมาตรฐานวัดว่า การงานนั้นดี มาดูข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
อัลลอฮ ตาอาลาตรัสว่า
الَّذِي خَلَقَ الْمَوْتَ وَالْحَيَاةَ لِيَبْلُوَكُمْ أَيُّكُمْ أَحْسَنُ عَمَلًا ۚ وَهُوَ الْعَزِيزُ الْغَفُورُ
พระผู้ทรงให้มีความตายและให้มีความเป็น เพื่อจะทดสอบพวกเจ้าว่า ผู้ใดบ้างในหมู่พวกเจ้าที่มีผลงานดียิ่ง และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงให้อภัยเสมอ – อัลมุลกุ/2
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ)กล่าวว่า
قَالَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ : هُوَ أَخْلُصُ الْعَمَلِ وَأَصْوَبُهُ ، فَسُئِلَ عَنْ مَعْنَى ذَلِكَ ، فَقَالَ : إنَّ الْعَمَلَ إذَا كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُقْبَلْ ، وَإِذَا كَانَ صَوَابًا وَلَمْ يَكُنْ خَالِصًا لَمْ يُقْبَلْ ، حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا صَوَابًا فَالْخَالِصُ أَنْ يَكُونَ لِلَّهِ ، وَالصَّوَابُ أَنْ يَكُونَ عَلَى السُّنَّةِ ، ثُمَّ قَرَأَ قَوْلَهُ : { فَمَنْ كَانَ يَرْجُو لِقَاءَ رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا
อัลฟุฎัยล์ บิน อิยาฎ กล่าวว่า คือ ความบริสุทธิ์ใจของการงานนั้นและความถุฏต้องของมัน แล้วเขาถูกถามเกี่ยวกับความหมายดังกล่าว แล้วเขากล่าวว่า “แท้จริงการงาน(อะมั้ล)นั้น เมื่อมันเป็นความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาศ) และ มันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกรับ และเมื่อมันถูกต้อง โดยที่มันไม่มีความบริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับ จนกว่า มัน เป็นความบริสุทธิ์ใจ และถูกต้อง แล้วความบริสุทธิ์ใจคือ มันเป็นความบริสทธิ์ใจแก่อัลลอฮ และความถูกต้องคือ มันเป็นไปตามสุนนะฮ หลังจากนั้นเขาอ่าน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า
فَمَن كَانَ يَرْجُو لِقَاء رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلاً صَالِحاً وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَداً
"ดังนั้น ผู้ใดที่หวังจะได้พบองค์ผู้อภิบาลของเขา เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา" อัลกะฮ์ฟิ 110 – เอียะลามอัลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 125
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่า
فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا ) ، مَا كَانَ مُوَافِقًا لِشَرْعِ اللَّهِ ) وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا ) وَهُوَ الَّذِي يُرَادُ بِهِ وَجْهُ اللَّهِ وَحْدَهُ لَا شَرِيكَ لَهُ ، وَهَذَانَ رُكْنَا الْعَمَلِ الْمُتَقَبَّلِ . لَا بُدَّ أَنْ يَكُونَ خَالِصًا لِلَّهِ ، صَوَابًا عَلَى شَرِيعَةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
(เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม ) หมายถึง สิ่งที่สอดคล้องกับ บทบัญญัติของอัลลอฮ (และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา) และ มันคือ ที่ถูกประสงค์ด้วยมัน เพื่อพระพักต์แห่งอัลลอฮ เพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆแก่พระองค์ และนี้คือหลักสำคัญสองประการของอะมัล(การงาน)ที่ถูกรับรอง ,จำเป็นจะต้องมีความบริสุทธิ์ใจแก่อัลลอฮ ,ถูกต้องตามชะรีอะฮ (บทบัญญัติ)ของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ – ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 5 หน้า 206
จากรายละเอียดข้างต้น สรุปได้ว่า การงานที่ดี(อะมั้ลศอลิห) ที่ถูกรับรองจากอัลลอฮนั้น ประกอบด้วย
1. ปฏิบัติด้วยความบริสุทธิใจเพื่ออัลลอฮเพียงพระองค์เดียว
2. ปฏิบัติตามสุนนะฮนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
....
เพราะฉะนั้นนโยบายอนุญาตทิ้งสิ่งที่เป็นสุนนะฮ ที่ไม่วาญิบ โดยตามทัศนะเห็นต่างเพื่อเอาใจคน เพื่อปรองดอง นั้น ใครจะโจมตีว่าผมญาเฮล อย่างไร ผมก็ไม่เห็นกับนโยบายนี้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/10/61

เรื่องสุนนะฮ เรื่องง่ายกลับมาทำให้เข้าใจยาก





ในภาพอาจจะมี ข้อความ, สถานที่กลางแจ้ง และธรรมชาติ






เรื่องสุนนะฮ เรื่องง่ายกลับมาทำให้เข้าใจยาก
ยิ่งนับวันยิ่งทำให้ศาสนาเข้าใจยากขึ้น อันเนื่องมาจากนโยบายรอมชอมและเอาใจคนที่เห็นต่างเพื่อสมานฉันท์
1. ความหมายอัสสุนนะฮในเชิงภาษา
หมายถึง แนวทาง (الطريقة) ดังหะดิษที่ว่า
وعَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيّ، قَالَ: قَالَ رَسُولُ اللّهِ صلى الله عليه وسلم "لَتَتّبِعُنّ سَنَنَ الّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ. شِبْراً بِشِبْرٍ، وَذِرَاعاً بِذِرَاعٍ. حَتّىَ لَوْ دَخَلُوا فِي جُحْرِ ضَبَ لاَتّبَعْتُمُوهُمْ" قُلْنَا: يَا رَسُولَ اللّهِ آلْيَهُودُ وَالنّصَارَىَ؟ قَالَ "فَمَنْ؟
ความว่า: รายงานจากอบีซะอีด อัลคุดรีย์กล่าวว่า รซูลุลลอฮ กล่าวว่าพวกท่านจะเดินตามสุนนะฮ(แนวทาง)คนยุคก่อนพวกท่าน ทีละคืบ ทีละศอก หากแม้นพวกนั้นจะเดินเข้าไปในรูแย้ พวกท่านก็จะเดินตามพวกนั้นเข้าไป สาวกก็ถามท่านว่า: พวกเหล่านั้นคือชาวยิวและชาวคริสต์ใช่ไหม? ท่านก็ตอบ: แล้วจะเป็นใครอีกล่ะ นอกเหนือพวกนั้น - อัลบุคอรี กิตาบุลเอียะติศอม
2. ความหมายอัสสุนนะฮในเชิงวิชาการ
2.1 ความหมายอัสสุนนะฮในทัศนะของนักวิชาการหะดิษ
ما أضيف إلى النبي - صلى الله عليه و سلم - من قول أو فعل أو تقرير أو وصف خَلْقي أو خُلُقي سواء كان قبل البعثة أو بعدها
“สิ่งที่ถูกนำไปเกี่ยวข้องกับท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จาก คำพูด , การกระทำ ,การยอมรับ , ลักษณะความเป็นมนุษย์(ของท่านนบี) หรือ เกี่ยวกับมารยาท(ของท่านนบี) ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนการเป็นนบี และหลังจากเป็นนบีก็ตาม - ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 259 และ อัสสุนนะฮ วะมะกานะตุฮา ฟีอัตตัชเรียะ อัลอิสลามีย์ ของ อัสสุบาอี หน้า 47
2.2 ความหมายอัสสุนนะฮในทัศนะของนักวิชาการหลักนิติศาสตร์อิสลาม
ما أضيف إلى النبي - صلى الله عليه و سلم - من قول أو فعل أو تقرير "
“สิ่งที่ถูกนำไปเกี่ยวข้องกับท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จาก คำพูด , การกระทำ หรือ การยอมรับ - อัลอะหฺกาม ฟีอุศูลิลอะหกาม ของ อัลอะมะดีย์ เล่ม 1 หน้า 156 และ อัรชาดุลฟุหูล ของ อัชเชากานีย์ หน้า 67
2.3 ความหมายอัสสุนนะฮในทัศนะของนักกฎหมายอิสลาม (ฟุเกาะฮาฮฺ)
ما يقابل الواجب " ، و تسمى المستحب و النفل و المندوب و المرغب فيه
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “วาญิบ” และ ได้ถูกเรียกว่า “มุสตะหับบะฮ” นัฟลุน , มันดูบ และ สิ่งที่ถูกส่งเสริมให้กระทำ – ดู อัลอิดดะฮ ฟีอุศูลิลฟิกฮ ของ อบียะอลา เล่ม 1 หน้า 66 และ ฟัตหุลบารีย์ ของ อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร เล่ม 13 หน้า 259
หน้าที่ของอัสสุนนะฮคือ อรรถาธิบายอัลกุรอ่าน
والسنة جاءت مبينة لمجمل القرآن ومكملة له، كما في قوله -صلى الله عليه وسلم ألا وإني أوتيت القرآن ومثله معه
และอัสสุนนะฮ ได้มา เพื่อทำหน้าที่อธิบายความหมายโดยสรุปของอัลกุรอ่านและเพื่อทำความสมบูรณ์ให้แก่อัลกุรอ่าน ดังสิ่งที่ปรากฏในคำพูดของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมที่ว่า “พึงทราบไว้เถิดว่า แท้จริง ฉันได้รับคัมภีร์(อัลกุรอ่าน)และ สิ่งที่เหมือนกับมัน(อัลกุรอ่าน) มาพร้อมๆกับมัน”-
ชัรหุอัลมะหัลลา อะลัลวะเราะกอต ของ الشيخ أحمد بن عبد الله بن حميد เรื่อง นิยามของอัสสุนนะฮ 
..........
ปัญหาที่เกิดในปัจจุบันคือ
คนรุ่นใหมดูถูกและสบประมาท ว่าโต๊ะครูซุนนะฮ รุ่นเก่าไม่เข้าใจการแยกคำว่าสุนนะฮกับสุนัต
ขอเรียนว่า
สิ่งที่เป็นสุนัต ที่ตรงกันข้ามกับคำว่าวาญิบ นั้น หากปฏิบัติก็ต้องตามสุนนะฮนบี ศ็อลฯ เพราะในเรื่องศาสนา ไม่ว่า สิ่งที่เป็นวาญิบ และไม่วาญิบ หรือที่เรียกกันว่า สุนัต หรือ ตะเฏาวุอฺ หรืออื่นๆ หากปฏิบัติ ก็ต้องปฏิบัติตามสุนนะฮ ถ้าไม่ปฏิบัติตามสุนนะฮ การปฏิบัติอิบาดะฮจะเป็น การงานที่ดีได้อย่างไร
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ)กล่าวว่า
قَالَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ : هُوَ أَخْلُصُ الْعَمَلِ وَأَصْوَبُهُ ، فَسُئِلَ عَنْ مَعْنَى ذَلِكَ ، فَقَالَ : إنَّ الْعَمَلَ إذَا كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُقْبَلْ ، وَإِذَا كَانَ صَوَابًا وَلَمْ يَكُنْ خَالِصًا لَمْ يُقْبَلْ ، حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا صَوَابًا فَالْخَالِصُ أَنْ يَكُونَ لِلَّهِ ، وَالصَّوَابُ أَنْ يَكُونَ عَلَى السُّنَّةِ ، ثُمَّ قَرَأَ قَوْلَهُ : { فَمَنْ كَانَ يَرْجُو لِقَاءَ رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا
อัลฟุฎัยล์ บิน อิยาฎ กล่าวว่า คือ ความบริสุทธิ์ใจของการงานนั้นและความถุฏต้องของมัน แล้วเขาถูกถามเกี่ยวกับความหมายดังกล่าว แล้วเขากล่าวว่า “แท้จริงการงาน(อะมั้ล)นั้น เมื่อมันเป็นความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาศ) และ มันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกรับ และเมื่อมันถูกต้อง โดยที่มันไม่มีความบริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับ จนกว่า มัน เป็นความบริสุทธิ์ใจ และถูกต้อง แล้วความบริสุทธิ์ใจคือ มันเป็นความบริสทธิ์ใจแก่อัลลอฮ และความถูกต้องคือ มันเป็นไปตามสุนนะฮ หลังจากนั้นเขาอ่าน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า
فَمَن كَانَ يَرْجُو لِقَاء رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلاً صَالِحاً وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَداً
"ดังนั้น ผู้ใดที่หวังจะได้พบองค์ผู้อภิบาลของเขา เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา" อัลกะฮ์ฟิ 110 – เอียะลามอัลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 125
.......
ปัญหาทุกวันนี้ ไม่ใช่ไม่รู้จักแยกคำว่าสุนนะฮ กับ สุนัต แต่ปัญหาคือ ทั้งๆทีรู้ว่าเป็นสุนนะฮ แต่อ้างว่า ในเรื่องที่ไม่วาญิบ อนุญาตให้ทิ้งได้เพื่อเอาใจคน เพื่อปรองดอง นี่คือปัญหา และมาดูถูกเหยียดหยามว่าครูรุ่นเก่าไม่เข้าใจศาสนา และสอนคนไม่พ้นเหว
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/9/61

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สิ่งที่เป็นสุนัตถ้าทำก็ต้องทำตามสุนนะฮนบี



สิ่งที่เป็นสุนัตถ้าทำก็ต้องทำตามสุนนะฮนบี ไม่ใช่ทำตามความถูกใจของมนุษย์
คำว่า "สุนัต"ตามนิยามฟุเกาะฮาอฺคือ
ما يقابل الواجب " ، و تسمى المستحب و النفل و المندوب و المرغب فيه
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “วาญิบ” และ ได้ถูกเรียกว่า “มุสตะหับบะฮ” นัฟลุน , มันดูบ และ สิ่งที่ถูกส่งเสริมให้กระทำ – ดู อัลอิดดะฮ ฟีอุศูลิลฟิกฮ ของ อบียะอลา เล่ม 1 หน้า 66 และ ฟัตหุลบารีย์ ของ อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร เล่ม 13 หน้า 259
สิ่งที่เป็นสุนัต เป็นสิ่งศาสนาส่งเสริมให้ทำ แต่ไม่บังคับ แต่ถ้าปฏิบัติก็ต้องทำตามสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของท่านนบี จะทิ้งแบบอย่างนบี ไปปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นความเห็นไม่ได้ เพราะความคิดเห็นไม่ใช่คำสอนศาสนา แต่อัสสุนนะฮคือคำสอนศาสนา เพราะอัสสุนนะฮ คือวะหยูจากอัลลอฮเช่นกัน
عن المقدام بن معد يكرب رضي الله عنه ، أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : ألا إني أوتيت الكتاب ومثله معه
รายงานจากอัลมิกดาม บิน มะอฺดุ ยักรอ็บ (ร.ฎ) ว่า แท้จริงรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า 
พึงทราบไว้เถิดว่า แท้จริง ฉันได้รับคัมภีร์(อัลกุรอ่าน)และ สิ่งที่เหมือนกับมัน(อัลกุรอ่าน) มาพร้อมๆกับมัน – รายงานโดยอะหมัดและอบูดาวูด
อิบนุกอ็ยยิม (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وهذا هو السنة بلا شك
“และนี้คือ อัสสุนนะฮ อย่างไม่ต้องสงสัย” - อัตติบยาน ฟีอักสามิลกุรอ่าน หน้า 156 
หมายความว่า คำว่า “สิ่งที่เหมือนกับมัน(อัลกุรอ่าน) มาพร้อมๆกับมัน” หมายถึง อัสสุนนะฮ”
หัซซาน บิน อะฏียะฮ กล่าวว่า
كان جبريل ينزل على النبي صلى الله عليه وسلم بالسنة كما ينزل عليه بالقرآن
ปรากฏว่าญิบรีล ลงมายังท่านนบี ศ็อลฯ ด้วยอัสสุนนะฮ ดังเช่น ทีได้ลงมายังนบี ด้วยอัลกุรอ่าน -ดู ฟัตหุลบารีย์ 13/305
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ คือ วะหยูจากอัลลอฮ และคำสอนของศาสนาอิสลาม มาจากวะหยู การปฏิบัติอิบาดะฮในอิสลาม ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นวะหยู ไม่ใช่ความคิดเห็น ไม่ใช่เอาความเห็นมาอ้างว่า สามารถทิ้งสิ่งที่เป็นสุนัต เพื่อตามความคิดเห็นได้เพื่อเอาใจคน
ขอย้ำว่า "สิ่งที่เป็นสุนัต ถ้าทิ้งไม่บาป แต่ถ้าทำต้องทำตามสุนนะฮ ไม่ใช่ทำตามอารมณ์ และไม่ใช่ทำตามความถูกใจของคน
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/10/61

เอกสารอ้างอิง

 à¹ƒà¸™à¸ à¸²à¸žà¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸¡à¸µ ข้อความ


วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ห้ามนำทัศนะของผู้ใดมาค้านหะดิษ และควรบอยคอตให้สำนึก




ห้ามนำทัศนะของผู้ใดมาค้านหะดิษ และควรบอยคอตให้สำนึก
حَدَّثَنِي حَرْمَلَةُ بْنُ يَحْيَى أَخْبَرَنَا ابْنُ وَهْبٍ أَخْبَرَنِي يُونُسُ عَنْ ابْنِ شِهَابٍ قَالَ أَخْبَرَنِي سَالِمُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عُمَرَ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ لَا تَمْنَعُوا نِسَاءَكُمْ الْمَسَاجِدَ إِذَا اسْتَأْذَنَّكُمْ إِلَيْهَا قَالَ فَقَالَ بِلَالُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ وَاللَّهِ لَنَمْنَعُهُنَّ قَالَ فَأَقْبَلَ عَلَيْهِ عَبْدُ اللَّهِ فَسَبَّهُ سَبًّا سَيِّئًا مَا سَمِعْتُهُ سَبَّهُ مِثْلَهُ قَطُّ وَقَالَ أُخْبِرُكَ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَقُولُ وَاللَّهِ لَنَمْنَعُهُنَّ
คำแปลตัวบท
อับดุลลอฮ บิน อุมัร ได้กล่าวว่า ฉันได้ยิน รซูลุลลอฮ ศ็อลฯ กล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮุ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า พวกท่านอย่าได้ห้ามภรรยาของพวกท่านในการไปมัสยิด เมื่อพวกนางขออนุญาติจากพวกท่านที่จะไปมัสยิด เขา(ท่าน สาลิม บิน อับดุลลอฮฺได้เล่าต่อไปว่า (ท่านบิลาลเมื่อได้ยินหะดีษดังกล่าว)ท่านบิลาล บินอับดุลลอฮฺก็กล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าพวกเรานั้นห้ามพวกนาง
เขา(สาลิม บิน อับดุลลอฮ)เล่าต่อไปว่า แล้วอับดุลลอฮฺก็หันหน้าไปทางเขา(บิลาล) แล้วทำการด่าทอ ด่าทอแบบเจ็บแสบ ด้วยคำด่าที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน 
และเขา(อับดุลลอฮ) กล่าวว่า ฉันได้บอกท่าน (ว่าได้ยิน)จาก รอซูลุลลอฮฺ ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่ท่านก็กล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าฉันห้ามนาง -รายงานโดยมุสลิม หะดิษหมายเลข 442
สำนวนรายงานโดยอบูดาวูด
حَدَّثَنَا عُثْمَانُ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ حَدَّثَنَا جَرِيرٌ وَأَبُو مُعَاوِيَةَ عَنْ الْأَعْمَشِ عَنْ مُجَاهِدٍ قَالَ قَالَ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عُمَرَ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ائْذَنُوا لِلنِّسَاءِ إِلَى الْمَسَاجِدِ بِاللَّيْلِ فَقَالَ ابْنٌ لَهُ وَاللَّهِ لَا نَأْذَنُ لَهُنَّ فَيَتَّخِذْنَهُ دَغَلًا وَاللَّهِ لَا نَأْذَنُ لَهُنَّ قَالَ فَسَبَّهُ وَغَضِبَ وَقَالَ أَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ائْذَنُوا لَهُنَّ وَتَقُولُ لَا نَأْذَنُ لَهُنَّ 
คำแปลตัวบท
อับดุลลอฮ บิน อุมัร กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า พวกท่านจงอนุญาต บรรดาภรรยา ให้ไปมัสยิด ในยามคำคืน แล้ว บุตรชายของอิบนุอุมัร ได้กล่าวว่า "ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮ เราจะไม่อนุญาตพวกนาง เพราะพวกนางจะเอามันให้เกิดความเสียหาย ,ขอสาบานด้วยนามอัลลอฮ เราจะไม่อนุญาตพวกนาง , (มุญาฮิดได้เล่าว่า) แล้วเขา(อิบนุอุมัร) ได้ด่าเขา (บุตรชาย) และโกรธ พร้อมกับกล่าวว่า "ฉันกล่าวว่า "ท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า "พวกท่านจงอนุญาตพวกนาง และท่านกล่าวว่า "เราจะไม่อนุญาตพวกนาง - สุนันอบูดาวูด หะดิษหมายเลข 568
...........
สรุป
ท่านอิบนุอุมัร(ร.ฎ) ได้บอกว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ห้ามไม่ให้ขัดขวางบรรดาภรรยา ไปมัสยิด เมื่อพวกนางขออนุญาต แต่ปรากฏว่า บิลลาล บิน อับดุลลอฮ (บุตรชายของท่าน)ค้าน โดยกล่าวว่า "พวกเราจะห้ามพวกนางนาง" เลยทำให้ท่านอิบนุอุมัร ไม่พอใจ ได้ด่าทอ เขาอย่างเจ็บแสบ 
นี้แสดงให้เห็นว่า การค้านสิ่งที่เป็นสุนนะฮรอซูล ศ็อลฯ เป็นสิ่งที่เศาะหาบะฮ ถือว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ท่านมุหัมหมัด ชัมสุลหัก อัลอะซีม อัลอะบาดีย์ อธิบายว่า
وَإِنَّمَا أَنْكَرَ عَلَيْهِ اِبْن عُمَر لِتَصْرِيحِهِ بِمُخَالَفَةِ الْحَدِيث . وَأُخِذَ مِنْ إِنْكَار عَبْد اللَّه عَلَى وَلَده تَأْدِيب الْمُعْتَرِض عَلَى السُّنَن بِرَأْيِهِ وَعَلَى الْعَالِم بِهَوَاهُ ، وَتَأْدِيب الرَّجُل وَلَده ، وَإِنْ كَانَ كَبِيرًا إِذَا تَكَلَّمَ بِمَا لَا يَنْبَغِي لَهُ ، وَجَوَاز التَّأْدِيب بِالْهِجْرَانِ
และความจริง อิบนุอุมัร ได้คัดค้านเขา(บิลาล ) เพราะ เขาได้ขัดแย้งกับหะดิษชัดเจน และบทเรียนที่ได้จากการคัดค้านของอับดุลลอฮ ต่อบุตรชายของเขา คือ การสั่งสอนมารยาท ผู้ที่คัดค้านบรรดาสุนนะฮด้วยความคิดเห็นของเขา และ(คัดค้าน)ผู้มีความรู้ ด้วยอารมณ์ของเขา และ เป็นการสั่งสอนมารยาทของคน แก่บุตรของเขา แม้ว่าเขา(บุตร)จะโตแล้วก็ตาม เมื่อเขาพูดในสิ่งที่ไม่บังควรสำหรับเขา และอนุญาต ให้สั่งสอนมารยาท ด้วยการฮิจญเราะฮ(ไม่คบค้าสมาคม) ได้ - ดูเอานุลมะอบูด 2/193
..............
สรุป
1.ท่านอิบนุอุมัร คัดค้านบุตรชาย เนื่อจากเขากล่าวขัดแย้งกับหะดิษชัดเจน
2.บทเรียนที่ได้จากการกระทำของท่านอิบนุอุมัร ที่คัดค้านบุตรชายคือ
2.1 เป็นการสั่งสอนผู้ที่ค้านบรรดาสุนนะฮด้วยความคิดเห็น
และค้านผู้รู้ด้วยอารมณ์
2.2 บุคคลสามารถอับรมสั่งสอนบุตรได้ แม้จะโตแล้วก็ตาม หากเขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด
2.3 อนุญาตให้อบรมสั่งสอน ด้วยวิธีการปลีกตัวไม่คบค้าสมาคมได้ (เพื่อให้เกิดสำนึก)
.........
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ใครก็ตามที่เอาทัศนะของผู้ใด หรือเอาความเห็นตัวเอง มาคัดค้าน หรือละทิ้งสุนนะฮ ควรจะได้รับการสั่งสอนจากสังคมและทำการบอยคอต ให้สำนึก
، فَقَدْ وَقَعَ فِي رِوَايَةِ ابْنِ أَبِي نَجِيحٍ عَنْ مُجَاهِدٍ عِنْدَ أَحْمَدَ " فَمَا كَلَّمَهُ عَبْدُ اللَّهِ حَتَّى مَاتَ
แท้จริงได้ปรากฏรายงานอิบนุอบีนะเญียะจากมุญาฮิด รายงานโดยอะหมัดว่า " อับดุลลอฮ ไม่พูดกับเขา(บุตรชาย) จนกระทั้งได้เสียชีวิต -ที่มาอ้างแล้ว
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/10/61

เอกสารอ้างอิง

 

สุนนะฮนบี ต้องมาก่อนสุนนะฮเคาะลิฟะฮ ภาค 2




สุนนะฮนบี ต้องมาก่อนสุนนะฮเคาะลิฟะฮ ภาค 2(ตอนเขาถามเพื่อตีรวนจะเอาชนะ)
Aman Chewae Thai Land
สุนนะฮรอซูลต้องมาก่อนสุนนะฮเคาลิฟะฮอัรรอชิดีน
มีคำพูดแบบนี้ ในยุคสลัฟด้วยหรอ
@@@@
ชี้แจง
เนื่องด้วยคุณ Aman Chewae Thai Land ได้ถามข้างต้น ซึ่งความจริงไม่ได้ถามเพื่อที่จะรู้แต่ถามเพื่อตีรวน ถามเพื่อที่จะต้อนให้ผมจนมุม
ความจริงผมได้สรุปจากฟัตวาของชัยค์ มุหัมหมัด บินศอลิห อัลอุษัยมีน ที่ท่านอธิบาย หะดิษอิบนุอับบาส ที่ตำหนิคนๆหนึ่งที่อ้างคำพูดของอบูบักร์และท่านอุมัร มาค้าน คำพูดของท่านนบี ศอ็ลฯ
ซึ่งหะดิษนี้ท่านอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ได้ อธิบายไว้เช่นกันว่า
" كَانَ بَعْضُ النَّاسِ يُنَاظِرُ ابْنَ عَبَّاسٍ فِي الْمُتْعَةِ فَقَالَ لَهُ: قَالَ أَبُو بَكْرٍ وَعُمَرُ فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ: " يُوشِكُ أَنْ تَنْزِلَ عَلَيْكُمْ حِجَارَةٌ مِنْ السَّمَاءِ! أَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَقُولُونَ قَالَ أَبُو بَكْرٍ وَعُمَرُ؟ "
ปรากฏว่าบางส่วนของมนุษย์ได้ โต้เถียงกับอิบนุอับบาส ในเรื่อง การทำฮัจญตะมัตตัวะ แล้วเขาผู้นั้นได้กล่าวแก่เขา(อิบนุอับบาส)ว่า "อบูบักรฺ และอุมัร ได้กล่าวว่า แล้วอิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า "ก้อนหินจากฟากฟ้าเกือบจะลงมาถล่มพวกท่าน ! ฉันกล่าวว่า รซูลุลลอฮ ศ็อลฯกล่าวว่า และพวกท่านกลับกล่าวว่า "อบูบักร์และอุมัร ได้กล่าวว่า - มัจญมัวะอัลฟะตาวา 20/215
สำสวนหะดิษที่รายงานโดยอิหม่ามอะหมัดคือ
عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ: " تَمَتَّعَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَقَالَ عُرْوَةُ بْنُ الزُّبَيْرِ: نَهَى أَبُو بَكْرٍ وَعُمَرُ عَنِ الْمُتْعَةِ ، فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ: مَا يَقُولُ عُرَيَّةُ؟ قَالَ: يَقُولُ: نَهَى أَبُو بَكْرٍ وَعُمَرُ عَنِ الْمُتْعَةِ ، فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ: أُرَاهُمْ سَيَهْلِكُونَ أَقُولُ: قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَيَقُولُ: نَهَى أَبُو بَكْرٍ وَعُمَرُ؟ "
รายงานจากอิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า "ท่านนบี ศ็อลฯ ได้ทำฮัจญตะมัตตัวะ แล้วอุรวะฮ บิน อัซซุเบร ได้กล่าวว่า "อบูบักร และอุมัร ได้ห้ามจากการทำฮัจญตะมัตตัวะ แล้ว อิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า "อะไรหรือ ที่อุรัยยะฮ ได้กล่าวไว้? เขา (อุรวะฮ)ได้กล่าวตอบว่า อบูบักรฺและอุมัรได้ห้ามจากหัจญฺตะมัตตัวะ ,แล้วอิบนุอับบาสได้กล่าวว่า "ฉันเห็นว่าพวกเขา จะประสบกับความวิบัติ ,ฉันกล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า และเขากล่าวว่า "อบูบักรฺและอุมัรได้ห้าม อย่างนั้นหรือ? -รายงานอิหม่ามอะหมัด หะดิษหมายเลข 3121
อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ)ได้อธิบายว่า
لا يجوز لأحد من الناس أن يعارض كلام الرسول صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بأي كلام، لا بكلام أبي بكر الذي هو أفضل الأمة بعد نبيها، ولا بكلام عمر الذي هو ثاني هذه الأمة بعد نبيها، ولا بكلام عثمان الذي هو ثالث هذه الأمة بعد نبيها، ولا بكلام علي الذي هو رابع هذه الأمة بعد نبيها، ولا بكلام أحد غيرهم؛ لأن الله تعالى يقول: ( فَلْيَحْذَرِ الَّذِينَ يُخَالِفُونَ عَنْ أَمْرِهِ أَنْ تُصِيبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ ) "
ไม่อนุญาตแก่คนหนึ่งคนใด จากมนุษย์ คัดค้าน(หักล้าง)คำพูดรอซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ด้วยคำพูดใหนก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยคำพูดของอบูบักรฺ ซึ่ง เป็นอุมมะฮที่ประเสริฐยิ่งรองจากนบีของพวกเขา 
, ไม่ว่าจะด้วยคำพูดของ ท่านอุมัร ซึ่งเขาเป็นลำดับสองแห่งอุมมะฮนี้รองจากนบีของพวกเขา , ไม่ว่าจะด้วยคำพูดของ ท่านอุษมาน ซึ่งเขาเป็นลำดับสามแห่งอุมมะฮนี้รองจากนบีของพวกเขา , ไม่ว่าจะด้วยคำพูดของ ท่านอาลี ซึ่งเขาเป็นลำดับที่สี่แห่งอุมมะฮนี้รองจากนบีของพวกเขา และไม่ว่าจะด้วยคำพูดคนใดอื่นจากพวกเขา เพราะอัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า (ดังนั้น บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดนั้นจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน (สูเราะฮฺอัน-นูร 24 : 63)- มัจญมัวะฟะตาวา วะรอสาอีล อัลอุษัยมีน 5/249
........
ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นทัศนะของใคร มีความสำคัญแค่ใหน ก็ไม่อนุญาตนำมาค้านหรือหักล้างคำพูดนบี ศ็อลฯ คำพูดนบี ก็คือสุนนะฮนบี นั้นเอง คุณ Aman Chewae Thai Land ถามตีรวนว่า ให้เอาคำพูดสะลัฟ แสดงถึงจะเอาชนะโดยไม่สนใจสาระที่ปราชญอธิบายไว้
อิหม่ามชาฟีอีย์ (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า
أَقُولُ مَا كَانَ الْكِتَابُ وَالسُّنَّةُ مَوْجُودَيْنِ فَالْعُذْرُ عَمَّنْ سَمِعَهُمَا مَقْطُوعٌ إلَّا بِاتِّبَاعِهِمَا فَإِذَا لَمْ يَكُنْ ذَلِكَ صِرْنَا إلَى أَقَاوِيلِ أَصْحَابِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَوْ وَاحِدٍ مِنْهُمْ ثُمَّ كَانَ قَوْلُ الْأَئِمَّةِ أَبِي بَكْرٍ أَوْ عُمَرَ أَوْ عُثْمَانَ
ข้าพเจ้ากล่าวว่า "ตราบใดที่อัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ มีอยู่ทั้งสอง ข้ออนุโลม จากผู้ที่ได้ยินมันทั้งสอง ถูกตัด นอกจากด้วยการปฏิบัติตามมันทั้งสองเท่านั้น แล้วเมื่อดังกล่าวนั้น ไม่มี เราก็เปลี่ยนไปเอาบรรดาคำพูด(ทัศนะ)ของบรรดาเศาะหาบะฮของรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ หรือคนใดคนหนึ่งจากพวกเขา หลังจากนั้น คำพูดของบรรดาอิหม่าม ,อบูบักร์ หรือ อุมัร หรือ อุษมาน - ดู อัลอุม 7/246
..........
ข้างต้นคือลำดับความสำคัญของหลักฐาน ในทัศนะอิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ)นำมาเป็นหลักฐาน โดยที่ เมื่อปรากฏหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ มีอยู่ ก็ไม่เปิดโอกาสให้อ้างเหตุผลในการละทิ้ง คือจะต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้
อัลเคาะฏิบอัลบัฆดาดีย์ ฮ.ศ 392 -463 (ร.ฮ)ปราชญ์มัซฮับชาฟิอีที่มีชื่อเสียง ได้กล่าวว่า
" قُلْتُ: قَدْ كَانَ أَبُو بَكْرٍ وَعُمَرُ عَلَى مَا وَصَفَهُمَا بِهِ عُرْوَةُ ، إِلَّا أَنَّهُ لَا يَنْبَغِي أَنْ يُقَلَّدَ أَحَدٌ فِي تَرْكِ مَا ثَبَتَتْ بِهِ سُنَّةُ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ "
ข้าพเจ้ากล่าวว่า "แท้จริง อบูบักร์ และอุมัร เป็นไปตามสิ่งที่ท่านอุรวะฮ ได้อธิบายคุณลักษณะเอาไว้ (คือเป็นผู้ที่มีความประเสริฐ) เว้นแต่ ไม่สมควร ทีบุคคลใดถูกเชื่อตาม(ตักลิด) ในการทิ้งสิ่งที่สุนนะฮรซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ปรากฏรายงานแน่นอน(เศาะเฮียะ) -อัลฟะกีฮวัลวัลมุตะฟักกีฮ 1/378
.......
อัลเคาะฏิบ อัลบัฆดาดีย์ กล่าวว่า แม้ท่านอบูบักร์และท่านอุมัร จะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะที่ประเสริฐตามที่ท่านอุรวะฮได้อธิบายไว้ แต่ไม่สมควรที่จะ ตักลิดตามคนใด ด้วยการทิ้งสุนนะฮที่ 
มีรายงานเศาะเฮียะจากท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ
จึงสรุปว่า ไม่ว่าจะไม่คำพูดของอบูบัก ท่านอุมัร หรือใครก็ตามที่มีความสำคัญ มีความประเสริฐ จะต้องให้สุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลฯ ไม่อนุญาตให้ตามทัศนะของผู้ใด ด้วยการทิ้งสุนนะฮนบี 
เพราะเหตุเหตุ ชัยค์อัลอุษัยมีน จึงกล่าวว่า "สุนนะฮรอซูล ต้องมาก่อนสุนนะฮเคาะลิฟะฮรอชิดีน"
ถ้าอ่านที่ผมเขียนโดยปราศจากอคติคงไม่มีคำถามตีรวนอย่างที่คุณ Aman Chewae Thai Land ถามผม

อะสัน หมัดอะดั้ม





 6/10/61





เอกสารอ้างอิง





ในภาพอาจจะมี ข้อความ