วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
การวางก้านอินทผลัมบนหลุมศพเป็นหลักฐานอัลกุรอ่านโอนบุญให้ผู้ตายจริงหรือ
การวางก้านอินทผลัมบนหลุมศพเป็นหลักฐานอัลกุรอ่านโอนบุญให้ผู้ตายจริงหรือ
การีม สุไลมาน แม้แต่ก้นอินทผลัมยังให้ประโยชน์กับคนตายอะไรอีกเล่ากับการอ่านกุรอ่านให้คนตาย
و
عنهما مادامتا رطبتين
ท่านนบีได้วาง(ปัก)2ก้านอินผลัมบน2กุโบร และท่านนบีก็ได้บอกว่า แท้จริงมันจะช่วยให้อาซายเบาลงตราบใดที่มันยังสดอยู่ หะดีสรายงานโดยอิหม่ามบุคอรีและมุสลิม
........
ชี้แจง
หะดิษข้างต้นเป็นอีกหะดิษหนึ่งที่โต๊ะละแบนำมาอ้างเป็นหลักฐานโอนบุญหรืออุทิศบุญให้คนตาย เท็จจริงอย่างไร โปรดติดตามต่อไปนี้
หะดิษเต็มๆคือ
หะดิษเศาะเฮียะฮ์บุคอรีและมุสลิม ว่าด้วยโทษการไม่ชำระปัสสาวะและนินทาผู้อื่นในหลุมฝังศพ
عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ مَرَّ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم بِقَبْرَيْنِ فَقَالَ " إِنَّهُمَا لَيُعَذَّبَانِ، وَمَا يُعَذَّبَانِ فِي كَبِيرٍ أَمَّا أَحَدُهُمَا فَكَانَ لاَ يَسْتَتِرُ مِنَ الْبَوْلِ، وَأَمَّا الآخَرُ فَكَانَ يَمْشِي بِالنَّمِيمَةِ ". ثُمَّ أَخَذَ جَرِيدَةً رَطْبَةً، فَشَقَّهَا نِصْفَيْنِ، فَغَرَزَ فِي كُلِّ قَبْرٍ وَاحِدَةً. قَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ، لِمَ فَعَلْتَ هَذَا قَالَ " لَعَلَّهُ يُخَفَّفُ عَنْهُمَا مَا لَمْ يَيْبَسَا ". قَالَ ابْنُ الْمُثَنَّى وَحَدَّثَنَا وَكِيعٌ قَالَ حَدَّثَنَا الأَعْمَشُ قَالَ سَمِعْتُ مُجَاهِدًا مِثْلَهُ " يَسْتَتِرُ مِنْ بَوْلِهِ "
อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ผ่านไประหว่างสองหลุมศพ ท่านกล่าวว่า “แท้จริงทั้งสองนี้กำลังถูกทรมาน และสาเหตุของการถูกทรมานนั้นมิใช่เรื่องใหญ่โต (ในความรู้สึกของผู้คน) หนึ่งในนี้เขาไม่รอบคอบในการปัสสาวะและการชำระล้างปัสสาวะ ส่วนอีกหนึ่งรายนั้น เขาเที่ยวนินทาผู้อื่น” หลังจากนั้นท่านก็เอาก้านอินทผลัมสดมาฉีกเป็นสองส่วนแล้วปักลงไปในแต่ละหลุมศพ พวกเขากล่าวว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไร ? ท่านตอบว่า “เพื่อว่าทั้งสองจะได้รับการผ่อนเบา (จากการทรมาน) ตราบใดที่ก้านอินผลัมยังไม่แห้ง”
บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่57/ฮะดีษเลขที่ 218
........
หะดิษข้างต้น ชัยค์ อะหมัด มุหัมหมัดชากีร กล่าวว่า
والصحيح أن وضع الجريدة كان خاصاً بالنبي صلى الله عليه وسلم وخاصاً بهذين القبرين بدليل أنه لم يفعلها إلا هذه المرة ولم يفعلها أصحابه لا في حياته ولا بعده وهم أفهم للدين وأحرص على الخير
และที่ถูกต้อง(อัศเศาะเฮียะ) การวางก้านอินทผลัมสดนั้น เป็นสิ่งที่เฉพาะกับท่านนบี ศอ็ลฯ และเฉพาะ(คอศ)กับหลุมศพสองหลุมนี้เท่านั้น ด้วยหลักฐานว่า ท่านนบีไม่ได้ปฏิบัติมัน ยกเว้นครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น และบรรดาเศาะหาบะฮของท่านนบี ไม่ได้ปฏิบัติมัน ไม่ว่าในตอนที่ท่านนบีมีชีวิตอยู่ และหลังจากท่านนบีเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ทั้งๆที่พวกเขา(เหล่าเศาะหาบะฮ คือผู้ที่เข้าใจเรื่องศาสนาเป็นอย่างยิ่งและมีความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งต่อความดีงาม - เกาะวาอีดวะอะสัส ฟิสสุนนะฮวัลบิดอะฮ 1/125
อิหม่ามอัลคิฏอบีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وأما غرسه أو شق العسيب على القبر وقوله ( ولعله يخفف عنهما ما لم ييبسا ) فإنه من ناحية التبرك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم ودعائه بالتخفيف عنهما ، وكأنه جعل مدة بقاء النداوة فيهما حدا لما وقعت به المسألة من تخفيف العذاب عنهما ، وليس ذلك من أجل أن في الجريد الرطب معنى ليس في اليابس
สำหรับการปลูกต้นอินทผลัมหรือผ่าเป็นซีกๆ วางบนหลุมศพ และกล่าวว่า (“เพื่อว่าทั้งสองจะได้รับการผ่อนเบา (จากการทรมาน) ตราบใดที่ก้านอินผลัมยังไม่แห้ง”) แท้จริงเป็นส่วนหนึ่งจาก การเอาบะเราะกัต ด้วยร่องรอยของท่านนบี สอ็ลฯ และดุอาของท่านนบี ให้ผ่อนเบาจากเขาทั้งสอง และเหมือนท่านนบี กำหนดให้ช่วงเวลาที่ ตราบใด(ก้านอินทผลัม)ยังเปียกอยู่ ในมันทั้งสอง เป็นขอบเขต สำหรับ การขอให้ผ่อนเบาการลงโทษจากทั้งสองคนนั้น และดังกล่าวนั้น ไม่ใช่เนื่องจาก ว่า อยู่ในก้านอินทผลัมสด คือความหมายว่าไม่ได้อยู่ในก้านอินทผลัมแห้ง - มาอาลิมอัสสุนัน 1/27
...
คือ ไม่ได้หมายความว่า ความบะกัตอยู่ในก้านอินทผลัมสด ไม่ได้อยู่ในก้านอินทผลัมแห้ง
สัยยิดสาบีก (ร.ฮ) กล่าวว่า
وما قاله الخطابي صحيح ، وهذا هو الذي فهمه أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم، إذ لم ينقل عن أحد منهم أنه وضع جريدا ولا أزهارا على قبر سوى بريدة الأسلمي ، فإنه أوصى أن يجعل في قبره جريدتان. ".ويبعد أن يكون وضع الجريد مشروعا ويخفى على جميع الصحابة ما عدا بريدة ."
และสิ่งที่ อัลคอฏฏอบีย์ ได้กล่าวมันไว้นั้นถูกต้อง และนี้คือ ที่บรรดาเศาะหาบะฮรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯเข้าใจ เพราะไม่มีคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา (เศาะหาบะฮ) วางก้านอินทผลังหรือดอกไม้ บนหลุมศพ นอกจาก บุรัยดะฮอัลอัสละมีย์ เพราะแท้จริงเขาได้สั่งเสียให้ ให้ทำก้านอินทผลัมสองซีก ไว้ในหลุมศพของเขา -และ การที่การวางก้านอินทผลัม คือสิ่งที่ถูกบัญญัติ นั้นย่อมห่างใกล(คือเป็นไปไม่ได้ และมันซ่อนเร้นต่อบรรดาเศาะหะบะฮนบีทั้งหมด อื่นจากบุรัยดะฮ- ดูฟิกฮอัสสุนนะฮ 1/556
....
กล่าวคือ การวางก้านอินทผลัมบนหลุมศพนั้น เป็นไปไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติ และเป็นไปไม่ได้ว่า สิ่งที่ถูกบัญญัตินั้นซ่อนเร้นแก่บรรดาเศาะหะบะฮทั้งหมด(คือเศาะหาบะฮทั้งหมดไม่มีใครรู้เลย) แต่มีคนรู้อยู่คนเดียวคือ บุรัยดะฮ
...
แม้จะเห็นต่างในประเด็นว่า เป็นสิ่งที่กล่าวโดยรวม(อุมูม)หรือ เฉพาะสำหรับกรณีนั้นกรณีเดียว แต่ ก็ไม่มีเศาะหาบะฮคนใหนเอามาเป็นหลักฐานอ่านอัลกุรอ่านอุทิศบุญให้คนตายเลย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/7/59
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
เขาถามหาหะดิษที่นบีห้ามนำหะดิษเฎาะอีฟมาปฏิบัติ
เขาถามหาหะดิษที่นบีห้ามนำหะดิษเฎาะอีฟมาปฏิบัติ
Idrees Sofeeyah
27 กรกฎาคม เวลา 15:21 น. · กรุงเทพมหานคร, Bangkok Metropolis
เห็นว่าต้องมีหลักฐานจากนบีเท่านั้น เอาซ๊ะหน่อย
ขอหลักฐานจากท่านนบี(ซล)ที่ว่า ต้องปฎิบัติตามฮะดิษซอเฮียะเท่านั้น ดออีฟ ห้ามนำมาปฏิบัติ เชิญครับ
Anso Davy และพักพวก
27 กรกฎาคม เวลา 15:21 น. · กรุงเทพมหานคร, Bangkok Metropolis
เห็นว่าต้องมีหลักฐานจากนบีเท่านั้น เอาซ๊ะหน่อย
ขอหลักฐานจากท่านนบี(ซล)ที่ว่า ต้องปฎิบัติตามฮะดิษซอเฮียะเท่านั้น ดออีฟ ห้ามนำมาปฏิบัติ เชิญครับ
Anso Davy และพักพวก
...............
ชี้แจง
เห็นคำถามรู้สึกสงสารคนถาม ว่า คิดได้อย่างไรจึงถามหาหะดิษที่นบีห้ามนำหะดิษเฎาะอีฟมาปฏิบัติ คนถามหา ไม่เคยมีพื้นฐานวิชาหะดิษสักนิดเลยหรือ
คุณ Idrees Sofeeyah ขอหลักฐานที่นบี ศอ็ลฯห้ามนำหะดิษเฎาะอีฟมาปฏิบัติ .........ผมชี้แจงนี้ไม่ได้เจตนาดูถูก แต่ดูออกว่า เพราะพื้นฐานเรื่องหะดิษเขามีแค่นี้จริง สังเกตจากคำถาม
ขอเรียน Idrees Sofeeyah ว่า การรวบรวมหะดิษอย่างเป็นทางการ เริ่มขึ้นในสมัย เคาะลิฟะฮอุมัร บินอับดุลอะซิซ เคาะลิฟะฮราชวงศ์อุมัยยะฮ (ฮ.ศ 99 - 101)
อิหม่ามบุคอรี รายงานว่า
อิหม่ามบุคอรี รายงานว่า
وَكَتَبَ عُمَرُ بْنُ عَبْدِ الْعَزِيزِ إِلَى أَبِي بَكْرِ بْنِ حَزْمٍ انْظُرْ مَا كَانَ مِنْ حَدِيثِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَاكْتُبْهُ فَإِنِّي خِفْتُ دُرُوسَ الْعِلْمِ وَذَهَابَ الْعُلَمَاءِ وَلَا تَقْبَلْ إِلَّا حَدِيثَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلْتُفْشُوا الْعِلْمَ وَلْتَجْلِسُوا حَتَّى يُعَلَّمَ مَنْ لَا يَعْلَمُ فَإِنَّ الْعِلْمَ لَا يَهْلِكُ حَتَّى يَكُونَ سِرًّ
อุมัร บิน อับดุลอะซีซ ได้เขียนจดหมายไปยัง อบีบักร บิน ฮัซมินว่า "ท่านจงพิจารณาดู สิ่งใด ที่ปรากฏมาจากหะดิษรซูลุลลอฮ (ศอ็ลฯ) ก็จง บันทึกมัน เพราะแท้จริง ข้าพเจ้าเกรงว่า การเรียนวิชาความรู้ (จะถูกละเลย))และบรรดาผู้รู้ได้ตายลง และท่านอย่ารับสิ่งใด นอกจากหะดิษนบี ศอ็ลฯ เท่านั้น และพวกท่านจงเผยแพร่วิชาความรู้ให้กระจายออกไปและจงสอน จนกว่า ผู้ที่ไม่รู้ได้รู้ เพราะแท้จริงความรู้นั้นจะไม่สูญหาย จนกว่า(เว้นแต่) มันถูกปล่อยให้ซ่อนเร้น(ในหมู่ผู้คน) - รายงานโดบบุคอรี กิตาบุลอิลมิ เรื่อง باب كيف يقبض العلم
............
ต่อมาบรรดานักวิชาการหะดิษ ได้กำหนดกฏเกณในการตรวจสอบหะดิษขึ้นมา เพื่อกลั่นกรอง ให้ได้หะดิษที่เป็นหะดิษที่ถูกต้องจากนบี สอ็ลฯจริง ๆ เงื่อนไขของหะดิษเศาะเฮียะเช่น
ต่อมาบรรดานักวิชาการหะดิษ ได้กำหนดกฏเกณในการตรวจสอบหะดิษขึ้นมา เพื่อกลั่นกรอง ให้ได้หะดิษที่เป็นหะดิษที่ถูกต้องจากนบี สอ็ลฯจริง ๆ เงื่อนไขของหะดิษเศาะเฮียะเช่น
1. มีสายรายงานติดต่อกันไม่ขาดตอน
2. ผู้รายงานทุกคนมีคุณธรรม
3. ผู้รายงานทุกคน มีความจำดีเลิศ
4. ไม่ขัดแย้งกับหะดีษที่แข็งแรงกว่า
5. ไม่มีความบกพร่องอันซ่อนเร้นใดๆในหะดีษ
เหตุผลที่กำหนดกฏเกณในการตรวจสอบหะดิษ ก็เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าเป็นหะดิษนบี ศอ็ล จริงๆ เพราะ ท่านเราะสูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«مَنْ كَذَبَ عَلَيَّ مُتَعَمِّدًا فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ»
ความว่า “บุคคลใดเจตนาโกหกต่อฉัน เขาจงเตรียมที่พำนักของเขาในนรกเถิด” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ)
.....
เพราะฉะนั้น ที่คุณ Idrees Sofeeyah ให้หาหลักฐานที่นบี สอ็ลฯห้ามปฏิบัติตามหะดิษเฎาะอีฟ นั้น หะดิษข้างต้นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับคุณ IdreesSofeeyah และหวังว่าคำตอบจากบทความนี้คงไม่มีใครถามหาหะดิษแบบนี้อีก
.....
เพราะฉะนั้น ที่คุณ Idrees Sofeeyah ให้หาหลักฐานที่นบี สอ็ลฯห้ามปฏิบัติตามหะดิษเฎาะอีฟ นั้น หะดิษข้างต้นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับคุณ IdreesSofeeyah และหวังว่าคำตอบจากบทความนี้คงไม่มีใครถามหาหะดิษแบบนี้อีก
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/7/59
29/7/59
จะตายทีถูกปฏิบัติด้วยสุนนะฮ หรือว่าตายที่ถูกปฏิบัติด้วยบิดอะฮ
จะตายทีถูกปฏิบัติด้วยสุนนะฮ หรือว่าตายที่ถูกปฏิบัติด้วยบิดอะฮ
อับดุลฮากีม ตีกาสม
13 ชม. • Tha Phae, Satun
ตกลงวาฮาบีตามใคร แล้วฮาดิษที่นบีบอกว่าคนตายจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนสุดท้ายเดินกลับ ฮาดิษนั้นวาฮาบีเอาไปหมกไว้ไหน
หรือวาฮาบีคิดจริง ๆ ว่าคนตายก้อไม่ได้ต่างอะไรกับท่อนไม้พวกท่านจึงทำมักง่ายกันแบบนี้
...............
13 ชม. • Tha Phae, Satun
ตกลงวาฮาบีตามใคร แล้วฮาดิษที่นบีบอกว่าคนตายจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนสุดท้ายเดินกลับ ฮาดิษนั้นวาฮาบีเอาไปหมกไว้ไหน
หรือวาฮาบีคิดจริง ๆ ว่าคนตายก้อไม่ได้ต่างอะไรกับท่อนไม้พวกท่านจึงทำมักง่ายกันแบบนี้
...............
ชี้แจง
หะดีษที่รายงานโดยท่าน อะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านนบี กล่าวว่า
«الْعَبْدُ إِذَا وُضِعَ فِي قَبْرِهِ وَتُوُلِّيَ وَذَهَبَ أَصْحَابُهُ، حَتَّى إِنَّهُ لَيَسْمَعُ قَرْعَ نِعَالِهِمْ، أَتَاهُ مَلَكَانِ فَأَقْعَدَاهُ فَيَقُولَانِ لَهُ : مَا كُنْتَ تَقُولُ فِي هَذَا الرَّجُلِ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ؟ فَيَقُولُ أَشْهَدُ أَنَّهُ عَبْدُ اللَّهِ وَرَسُولُهُ، فَيُقَالُ انْظُرْ إِلَى مَقْعَدِكَ مِنْ النَّارِ أَبْدَلَكَ اللَّهُ بِهِ مَقْعَدًا مِنْ الْجَنَّةِ، قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : فَيَرَاهُمَا جَمِيعًا، وَأَمَّا الْكَافِرُ أَوْ الْمُنَافِقُ فَيَقُولُ : لَا أَدْرِي، كُنْتُ أَقُولُ مَا يَقُولُ النَّاسُ، فَيُقَالُ : لَا دَرَيْتَ وَلَا تَلَيْتَ، ثُمَّ يُضْرَبُ بِمِطْرَقَةٍ مِنْ حَدِيدٍ ضَرْبَةً بَيْنَ أُذُنَيْهِ، فَيَصِيحُ صَيْحَةً يَسْمَعُهَا مَنْ يَلِيهِ إِلَّا الثَّقَلَيْنِ» [البخاري برقم 1338، ومسلم برقم 2870]
“มนุษย์คนหนึ่งเมื่อถูกวางลงในสุสานของเขา แล้วบรรดาสหายของเขาก็หันหลังกลับและแยกย้ายกันไป จนกระทั่ง แท้จริงเขา(คนตายที่ถูกฝัง)ยังได้ยินเสียงย่ำเท้าของพวกเขา ก็จะมีมะลาอิกะฮฺสองท่านมาหาเขา แล้วทั้งสองก็ยกเขาให้นั่ง แล้วถามเขาว่า ท่านเคยกล่าวถึงชายที่ชื่อมุหัมมัดว่าอย่างไร(ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลก)?เขาก็จะตอบว่า ฉันได้กล่าวปฏิญาณว่าเขาเป็นบ่าวและศาสนฑูตของอัลลอฮฺเขาจะถูกกล่าวว่า จงดูที่อยู่เดิมของท่านในนรกที่อัลลอฮฺได้แทนที่ให้กับท่านด้วยคำปฏิญาณที่ได้กล่าวไว้นั้นด้วยที่อยู่ใหม่ในสวรรค์ท่านนบี ได้กล่าวว่า แล้วเขาก็ได้เห็นที่อยู่ทั้งสองที่นั้นพร้อมกัน(คือทั้งนรกและสวรรค์)ส่วนคนกาฟิรฺหรือมุนาฟิก เขาจะกล่าวว่า ฉันไม่รู้ ฉันพูดตามสิ่งที่คนอื่นๆ พูด แล้วเขาจะถูกกล่าวว่า เจ้าไม่รู้ และเจ้าก็ไม่อ่าน แล้วเขาก็ถูกทุบด้วยค้อนเหล็กหนึ่งครั้งตรงกลางระหว่างหูทั้งสอง(กลางหน้า) แล้วเขาก็ส่งเสียงร้องดังลั่นโดยที่สิ่งอยู่ใกล้เคียงจะได้ยินทั้งหมดยกเว้นมนุษย์และญินเท่านั้นที่ไม่ได้ยิน” (อัล-บุคอรีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 410 หะดีษหมายเลข 1338 และมุสลิม เล่มที่ 4 หน้าที่ 2201 หะดีษหมายเลข 2870)
...........
...........
คุณ อับดุลฮากีม ตีกาสม ครับ ด้วยความเคารพ ไม่ทราบว่าหะดิษข้างต้น บรรดาเคาะลิฟะฮทังสี่ ,ปราชญ์ยุคสลัฟ หรือปราชญมุจญะตะฮิดคนให้เอามาเป็นหลักฐานทำอีซีกุโบร อุทิศผลบุญให้คนตาย และด้วยการตะฮลีล เจ็ดหมื่นสีฟันครั้ง อุทิศให้ผู้ตายที่อยู่ในหลุมศพ
.............
ขอเรียน ว่า เมื่อคนตายได้ยิน ก็เป็นเพียงการรับรู้ แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะตักเตือน หรือสอน หรือบอกคำตอบสำหรับตอบคำถามของมลาอิกะฮได้ เพราะการตอบคำถามของมลาอิกะฮ มันขึ้นอยู่กับการศรัทธาและการประกอบความดีที่เขาทำไว้ก่อนตาย ดังที่อัลลอฮ ซุบหานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
.............
ขอเรียน ว่า เมื่อคนตายได้ยิน ก็เป็นเพียงการรับรู้ แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะตักเตือน หรือสอน หรือบอกคำตอบสำหรับตอบคำถามของมลาอิกะฮได้ เพราะการตอบคำถามของมลาอิกะฮ มันขึ้นอยู่กับการศรัทธาและการประกอบความดีที่เขาทำไว้ก่อนตาย ดังที่อัลลอฮ ซุบหานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
يُثَبِّتُ اللَّهُ الَّذِينَ آمَنُوا بِالْقَوْلِ الثَّابِتِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الْآخِرَةِ وَيُضِلُّ اللَّهُ الظَّالِمِينَ وَيَفْعَلُ اللَّهُ مَا يَشَاءُ
อัลลอฮทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยุ่ทั้งในโลกนี้และในปรโลกและอัลลอฮทรงให้บรรดาผู้อธรรมหลงทาง และอัลลอฮทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ – อิบรอฮีม/27
อิบนุ อะบิลอิซ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَمَنْ قَالَ : إِنَّ الْمَيِّتَ يَنْتَفِعُ بِقِرَاءَةِ الْقُرْآنِ عِنْدَهُ ، بِاعْتِبَارِ سَمَاعِهِ كَلَامَ اللَّهِ - فَهَذَا لَمْ يَصِحَّ عَنْ أَحَدٍ مِنَ الْأَئِمَّةِ الْمَشْهُورِينَ . وَلَا شَكَّ فِي سَمَاعِهِ ، وَلَكِنَّ انْتِفَاعَهُ بِالسَّمَاعِ لَا يَصِحُّ ، فَإِنَّ ثَوَابَ الِاسْتِمَاعِ مَشْرُوطٌ بِالْحَيَاةِ ، فَإِنَّهُ عَمَلٌ اخْتِيَارِيٌّ ، وَقَدِ انْقَطَعَ بِمَوْتِهِ ، بَلْ رُبَّمَا يَتَضَرَّرُ وَيَتَأَلَّمُ ، لِكَوْنِهِ لَمْ يَمْتَثِلْ أَوَامِرَ اللَّهِ وَنَوَاهِيهِ ،
.
และผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงผู้ตายได้รับประโยชน์ ด้วยการอ่านอัลกุอ่าน ณ ที่เขาผู้นั้น(หมายถึง ณ มัยยิต) โดยการพิจารณา ว่าเขาได้ยินคำพูดของอัลลอฮ กรณีนี้ ไม่มีรายงานที่เศาะเฮียะจากคนหนึงคนใด จากบรรดาอิหม่ามที่มีชื่อเสียง และไม่มีการสงสัย ในกรณีการได้ยินของเขา(หมายถึงของมัยยิต) แต่..การได้รับประโยชน์ของเขาด้วยการได้ยินนั้น ไม่ถูกต้อง (ไม่เศาะเฮียะ) เพราะแท้จริง ผลบุญของการฟังนั้น ถูกให้มีเงือนไข ด้วยการมีชีวิตอยู่ เพราะมันคือการกระทำทีเกี่ยวกับการเลือกเฟ้น (หมายถึงเกี่ยวกับการตัดสินใจปฏิบัติ) และแท้จริง มันได้ขาดลง ด้วยการตายของเขา ยิ่งไปกว่านั้น บางทีเขาได้รับอันตราย และได้รับความเจ็บปวด เพราะเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของอัลลอฮ –ชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/675
......
สรุปจากคำอธิบายของ อิบนุอะบิลอิซคือ
1.ผู้ที่อ้างว่าผู้ตายได้รับประโยชน์จากการอ่านอัลกุรอ่านที่หลุมศพมัยยิต โดยพิจารณาจากการได้ยินคำพูดอัลลอฮนั้น ไม่มีรายงานเศาะเฮียะจากบรรดาอิหม่ามที่มีชื่อเสียงท่านได้กล่าวไว้
2. การได้ยินของมัยยิตนั้น ไม่เป็นที่สงสัย แต่การอ้างว่า ได้ประโยชน์จากการได้ยินนั้น ไม่ถูกต้อง
3. การได้ยินที่ได้รับประโยชน์คือการได้ยินตอนที่มีชีวิตอยู่ เพราะคือ การกระทำที่เกียวกับการเลือกเฟ้นของเขา เมื่อตายการงานของเขาก็ยุติลง
4. การอ่านอัลกุรอ่าน ณ ที่ผู้ตายบางที่อาจจะทำให้เขาได้รับโทษเพิ่มขึ้น เพราะการที่เขาไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่านที่เป็นคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของอัลลอฮที่ถูกอ่านให้เขาได้ยิน
........
ขอเรียน อับดุลฮากีม ตีกาสม ว่า คนที่ถูกพวกท่านอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์นั้น เขาจะปฏิบัติโดยดูคำสังจากเจ้าศาสนาและแบบอย่างของศาสนทูตของพระองค์ เขาไม่งี้เง้าให้คนหากินกับคนตายหลอกเอาประโยชน์ โดยอ้างว่าให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย หวังว่าคงเข้าใจ ตายแบบถูกปฏิบัติด้วยสุนนะฮ หรือว่าจะตายที่ถูกปฏิบัติด้วยงานบิดอะฮครับ
.
และผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงผู้ตายได้รับประโยชน์ ด้วยการอ่านอัลกุอ่าน ณ ที่เขาผู้นั้น(หมายถึง ณ มัยยิต) โดยการพิจารณา ว่าเขาได้ยินคำพูดของอัลลอฮ กรณีนี้ ไม่มีรายงานที่เศาะเฮียะจากคนหนึงคนใด จากบรรดาอิหม่ามที่มีชื่อเสียง และไม่มีการสงสัย ในกรณีการได้ยินของเขา(หมายถึงของมัยยิต) แต่..การได้รับประโยชน์ของเขาด้วยการได้ยินนั้น ไม่ถูกต้อง (ไม่เศาะเฮียะ) เพราะแท้จริง ผลบุญของการฟังนั้น ถูกให้มีเงือนไข ด้วยการมีชีวิตอยู่ เพราะมันคือการกระทำทีเกี่ยวกับการเลือกเฟ้น (หมายถึงเกี่ยวกับการตัดสินใจปฏิบัติ) และแท้จริง มันได้ขาดลง ด้วยการตายของเขา ยิ่งไปกว่านั้น บางทีเขาได้รับอันตราย และได้รับความเจ็บปวด เพราะเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของอัลลอฮ –ชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/675
......
สรุปจากคำอธิบายของ อิบนุอะบิลอิซคือ
1.ผู้ที่อ้างว่าผู้ตายได้รับประโยชน์จากการอ่านอัลกุรอ่านที่หลุมศพมัยยิต โดยพิจารณาจากการได้ยินคำพูดอัลลอฮนั้น ไม่มีรายงานเศาะเฮียะจากบรรดาอิหม่ามที่มีชื่อเสียงท่านได้กล่าวไว้
2. การได้ยินของมัยยิตนั้น ไม่เป็นที่สงสัย แต่การอ้างว่า ได้ประโยชน์จากการได้ยินนั้น ไม่ถูกต้อง
3. การได้ยินที่ได้รับประโยชน์คือการได้ยินตอนที่มีชีวิตอยู่ เพราะคือ การกระทำที่เกียวกับการเลือกเฟ้นของเขา เมื่อตายการงานของเขาก็ยุติลง
4. การอ่านอัลกุรอ่าน ณ ที่ผู้ตายบางที่อาจจะทำให้เขาได้รับโทษเพิ่มขึ้น เพราะการที่เขาไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่านที่เป็นคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของอัลลอฮที่ถูกอ่านให้เขาได้ยิน
........
ขอเรียน อับดุลฮากีม ตีกาสม ว่า คนที่ถูกพวกท่านอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์นั้น เขาจะปฏิบัติโดยดูคำสังจากเจ้าศาสนาและแบบอย่างของศาสนทูตของพระองค์ เขาไม่งี้เง้าให้คนหากินกับคนตายหลอกเอาประโยชน์ โดยอ้างว่าให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย หวังว่าคงเข้าใจ ตายแบบถูกปฏิบัติด้วยสุนนะฮ หรือว่าจะตายที่ถูกปฏิบัติด้วยงานบิดอะฮครับ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/7/59
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
วิภาษการอ้างเท็จของคนดันทุรังจะจูบกุโบร์
วิภาษการอ้างเท็จของคนดันทุรังจะจูบกุโบร์
Nazaie Al-baihagi
9 ชม.
9 ชม.
ต่อไปนี้คือบทวิภาษบทความของเวาะสัน สะเดา
การลูบ และจูบกุโบร์นั้น เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล ปราชญ์ใหญ่แห่งสะลัฟว่า
“ ท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุฮัมบัล(ปราชญ์หัวหน้ามัษฮับฮัมบะลีย์แห่งยุคสะลัฟศอลิห์)ถูกถามเรื่องชายผู้หนึ่งที่ทำการลูบสัมผัสมิมบัรของท่านนะบีย์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ชายผู้นั้นได้ทำการเอาบะรอกัตด้วยการสัมผัส และก็ได้ทำการจูบมิมบัรนั้น และเขาก็กระทำการดังกล่าวที่สุสาน เพื่อหวังความใกล้ชิดไปยังอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียไกร ท่านอิหม่ามอะหมัดตอบว่า : ไม่เป็นไร : ”
อัลอิลัล เล่ม 2, หน้าที่ 492.
การลูบ และจูบกุโบร์นั้น เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล ปราชญ์ใหญ่แห่งสะลัฟว่า
“ ท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุฮัมบัล(ปราชญ์หัวหน้ามัษฮับฮัมบะลีย์แห่งยุคสะลัฟศอลิห์)ถูกถามเรื่องชายผู้หนึ่งที่ทำการลูบสัมผัสมิมบัรของท่านนะบีย์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ชายผู้นั้นได้ทำการเอาบะรอกัตด้วยการสัมผัส และก็ได้ทำการจูบมิมบัรนั้น และเขาก็กระทำการดังกล่าวที่สุสาน เพื่อหวังความใกล้ชิดไปยังอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียไกร ท่านอิหม่ามอะหมัดตอบว่า : ไม่เป็นไร : ”
อัลอิลัล เล่ม 2, หน้าที่ 492.
ท่านอัซซะฮะบีย์ ปราชญ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (ปี 673-748 ฮิจเราะฮ์) ก็ได้กล่าวว่า
قُلْتُ: أَيْنَ الْمُتَنَطِّعُ الْمُنْكِرُ عَلَى أَحْمَدَ، وَقَدَ ثَبَتَ أَنَّ عَبْدَ اللهِ سَأَلَ أَبَاهُ عَمَّنْ يَلْمَسُ رَمَانَةَ مِنْبَرِ النَّبِيِّ، صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَيَمُسُّ الْحُجْرَةَ النَّبَوِيَّةَ، فَقَالَ: لاَ أَرَى بِذَلِكَ بَأْساً. أَعَاذَنَا اللهُ وَإِيَّاكُمْ مِنْ رَأْيِ الْخَوَارِجِ وَمِنَ الْبِدَعِ
“ ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า คนไหนกันที่คิดลึกเลยเถิดที่จะมาตำหนิท่านอะหมัด แท้จริงได้ยืนยันว่า ท่านอับดุลลอฮฺ(บุตรของอิหม่ามอะหมัด)ได้ถามบิดาของเขาจากผู้ที่ลูบขอบมิมบัรของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม และสัมผัสห้องของท่านนะบีย์ ท่านบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า ฉันเห็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร. (ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) ขออัลลอฮฺทรงให้เราและพวกท่านพ้นจากความเห็นของพวกค่อวาริจญฺและบิดอะฮ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
……..
ส่วนกรณีที่เวาะสัน สะเดา อ้างว่า.ท่านอิหม่ามอะหมัด(รฮ)ไม่ได้ส่งเสริมให้จูบกุโบร์ โดยเวาะสันอ้างว่า สายรายงานดังกล่าวปราชญมัซฮับหัมบะลี(รฮ)บางคน บอกว่า ไม่ศอเหียะ(ถูกต้อง)..
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง..
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
……..
ส่วนกรณีที่เวาะสัน สะเดา อ้างว่า.ท่านอิหม่ามอะหมัด(รฮ)ไม่ได้ส่งเสริมให้จูบกุโบร์ โดยเวาะสันอ้างว่า สายรายงานดังกล่าวปราชญมัซฮับหัมบะลี(รฮ)บางคน บอกว่า ไม่ศอเหียะ(ถูกต้อง)..
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง..
.............
@@@@@@@@@@@@
ขี้แจง
@@@@@@@@@@@@
ขี้แจง
การสัมผัส ลูบ และจูบกุโบร เพื่อเอาบะเราะกัต เป็นอุตริกรรม หรือบิดอะฮ ที่ไม่ปรากฏในคำสอนศาสนาอิสลาม ไม่ว่าในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และไม่ปรากฏรายงานที่เศาะเฮียะว่าบรรดาเคาะลิฟะฮทั้งสี่ ได้ปฏิบัติ และไม่ปรากฏเป็นอิจญมาอฺ ที่ใช้เป็นหลักฐานได้ แต่คุณ
Nazaie Al-baihagi บอกว่า เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล
Nazaie Al-baihagi บอกว่า เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล
...........
คำว่า "อนุญาต "ในเรื่องเกี่ยวกับอิบาดะฮ นั้น ถือเป็นหุกุมชัรอีย์ แล้วใครหรือมีสิทธิ์อนุญาตกำหนดรูปแบบอิบาดะฮขึ้นมาใหม่ คือ "จูบกุโบร์ของคนศอลิหเพื่อเอาบะเราะกัต"
ในเรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ
الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف
บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ(ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้แล้ว เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ) กล่าวว่า
قَالَ ابْنُ عَبْدِ الْبَرِّ وَغَيْرُهُ : الْحُجَّةُ عِنْدَ التَّنَازُعِ السُّنَّةُ ، فَمَنْ أَدْلَى بِهَا فَقَدْ أَفْلَحَ
อิบนุอับดิลบัรและคนอื่นจากเขา กล่าวว่า "หลักฐาน ในขณะที่มีการเห็นขัดแย้งกันนั้น คือ อัสสุนนะฮ ดังนั้น ผู้ใดอ้างเหตุผล/ชี้แจงด้วยมัน แน่นอนเขาประสบความสำเร็จ
- ดูฟัตหุลบารีย์ เรื่อง بَاب إِذَا أُقِيمَتْ الصَّلَاةُ فَلَا صَلَاةَ إِلَّا الْمَكْتُوبَةَ อธิบายหะดิษหมายเลข 632
...........
ใหนหรือหลักฐานจากอัสสุนนะฮ ให้ตะบัรรุกด้วยการจูบกุโบร์ ไม่มีเลย มันแค่ความเห็น จะเป็นศาสนบัญญัติในอิสลามได้อย่างไร
...........
ใหนหรือหลักฐานจากอัสสุนนะฮ ให้ตะบัรรุกด้วยการจูบกุโบร์ ไม่มีเลย มันแค่ความเห็น จะเป็นศาสนบัญญัติในอิสลามได้อย่างไร
การอ้างรายงานจากอิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) ว่าท่านส่งเสริมให้ทำนั้น เป็นการแอบอ้างท่านอิหม่ามอะหมัดนั้น ท่านอัลหาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ) ได้อธิบายว่า
فَنُقِلَ عَنِ الْإِمَامِ أَحْمَدَ أَنَّهُ سُئِلَ عَنْ تَقْبِيلِ مِنْبَرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَقْبِيلِ قَبْرِهِ فَلَمْ يَرَ بِهِ بَأْسًا ، وَاسْتَبْعَدَ بَعْضُ أَتْبَاعِهِ صِحَّةَ ذَلِكَ ،
ได้ถูกรายงานจาก อิหม่ามอะหมัด ว่าเขาถูกถามเกี่ยวกับ การจูบมินบัร นบี ศอ็ลฯ และการจูบหลุมศพของท่าน แล้วเขาเห็นว่า “ไม่เป็นไร” (อิบนุหะญัรกล่าวว่า) ส่วนหนึ่งของผู้ที่เจริญรอยตามเขา (หมายถึงบรรดาปราชญ์มัซฮับอิหม่ามอะหมัด) เห็นว่า รายงานดังกล่าวห่างใกลความถูกต้อง(คือเป็นไปไม่ได้) - ฟัตหุลบารีย 3/475
มาดูคำยืนยันจากอิบนุกุดะฮมะฮ (ร.ฮ) ปราชญมัซฮับ หัมบะลีย์ ดังนี้
อิบนุกุดามะฮ (ฮ.ศ 541 – 620) ปราชญ์อวุโส แห่งมัซฮับหัมบะลีย์กล่าวว่า
อิบนุกุดามะฮ (ฮ.ศ 541 – 620) ปราชญ์อวุโส แห่งมัซฮับหัมบะลีย์กล่าวว่า
وَلَا يُسْتَحَبُّ التَّمَسُّحُ بِحَائِطِ قَبْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَا تَقْبِيلُهُ ، قَالَ أَحْمَدُ : مَا أَعْرِفُ هَذَا . قَالَ الْأَثْرَمُ : رَأَيْت أَهْلَ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ الْمَدِينَةِ لَا يَمَسُّونَ قَبْرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُومُونَ مِنْ نَاحِيَةٍ فَيُسَلِّمُونَ . قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ : وَهَكَذَا كَانَ ابْنُ عُمَرَ يَفْعَلُ
และไม่ชอบ(ไม่ส่งเสริม)ให้ลูบกำแพงหลุมศพนบี ศอ็ลฯ และไม่ส่งเสริมให้จูบมัน ,อะหมัดกล่าวว่า “ฉันไม่รู้จักสิ่งนี้ ,อิบนุ อัลอัษรอม กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็น นักวิชาการชาวมะฮดีนะฮ พวกเขาไม่ได้สัมผัส หลุมศพนบี ศอ็ลฯ พวกเขายืนข้างๆ แล้วกล่าวสล่าม อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า เช่นนั้นแหละ อิบนุอุมัร ได้ปฏิบัติ – อัลมุฆนีย 3/559
.............
ขนาดอิบนุอุมัร (ร.ฏ) เป็นผู้ที่เคร่งในการปฏิบัติตามสุนนะฮ และรักท่านนบีมาก ท่านยังไม่จูบกุโบร์นบี ศอ็ลฯ แล้วคนอื่นเป็นใคร เขาดีกว่านบีหรือ
คุณ Nazaie Al-baihagi นำคำพูด อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ มาอ้างว่า
.............
ขนาดอิบนุอุมัร (ร.ฏ) เป็นผู้ที่เคร่งในการปฏิบัติตามสุนนะฮ และรักท่านนบีมาก ท่านยังไม่จูบกุโบร์นบี ศอ็ลฯ แล้วคนอื่นเป็นใคร เขาดีกว่านบีหรือ
คุณ Nazaie Al-baihagi นำคำพูด อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ มาอ้างว่า
قُلْتُ : أَيْنَ الْمُتَنَطِّعُ الْمُنْكِرُ عَلَى أَحْمَدَ ، وَقَدْ ثَبَتَ أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ سَأَلَ أَبَاهُ عَمَّنْ يَلْمِسُ رُمَّانَةَ مِنْبَرِ النَّبِيِّ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَيَمَسُّ الْحُجْرَةَ النَّبَوِيَّةَ ، فَقَالَ : لَا أَرَى بِذَلِكَ بَأْسًا . أَعَاذَنَا اللَّهُ وَإِيَّاكُمْ مِنْ رَأْيِ الْخَوَارِجِ وَمِنَ الْبِدَعِ
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า คนไหนกันที่คิดลึกเลยเถิดที่จะมาตำหนิท่านอะหมัด แท้จริงได้ยืนยันว่า ท่านอับดุลลอฮฺ(บุตรของอิหม่ามอะหมัด)ได้ถามบิดาของเขาจากผู้ที่ลูบขอบมิมบัรของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม และสัมผัสห้องของท่านนะบีย์ ท่านบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า ฉันเห็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร. (ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) ขออัลลอฮฺทรงให้เราและพวกท่านพ้นจากความเห็นของพวกค่อวาริจญฺและบิดอะฮ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
....
วิภาษณ์
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
....
วิภาษณ์
ใหนหรือครับคุณ Nazaie Al-baihagi ที่อ้างว่าอนุญาตให้จูบกุโบรฺเพื่อตะบัรรุก ในคำพูดที่อิหม่ามอัซซะฮะบีย์อ้างถึง ไม่ได้ระบุ เกี่ยวกับอนุญาตให้จูบกุโบร์ แม้แต่อักษรเดียว แต่กลับมาเป็นหลักฐานอนุญาตให้จูบกุโบร์ -นะอูซุบิลละฮ
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
فقد رخص أحمد وغيره في التمسح بالمنبر والرمانة التي هي موضع مقعد النبي صلى الله عليه وسلم ويده ولم يرخصوا في التمسح بقبره .
แท้จริง อะหมัด และคนอื่นจากเขา ผ่อนปรน ในกรณี ลูบมินบัร และ อัรรุมานะฮ ซึ่ง มันคือที่นั่งของท่านนบี ศอ็ลฯ และ(ที่วาง)มือของท่านและพวกเขาไม่ผ่อนปรน ในกรณีลูบกุโบร์ของท่านนบี - อิกติฎออฺอัสสิรอฏิลมุสตะกีม 1/367
...........
...........
อัลมัรดะวีย์ (ร.ฮ) ปราชญมัซฮับหัมบะลีย์ กล่าวว่า
لَا يُسْتَحَبُّ تَمَسُّحُهُ بِقَبْرِهِ عَلَيْهِ أَفْضَلُ الصَّلَاةِ وَالسَّلَامِ عَلَى الصَّحِيحِ مِنْ الْمَذْهَبِ قَالَ فِي الْمُسْتَوْعِبِ : بَلْ يُكْرَهُ قَالَ الْإِمَامُ أَحْمَدُ : أَهْلُ الْعِلْمِ كَانُوا لَا يَمَسُّونَهُ نَقَلَ أَبُو الْحَارِثِ : يَدْنُو مِنْهُ وَلَا يَتَمَسَّحُ بِهِ ،
ไม่ชอบ(ไม่สุนัต) ให้เขาลูบกุโบร์นบี (ศอ็ลฯ) ตามทัศนะที่เศาะเฮียะ จากบรรดามัซฮับ และเขา(มุหัมหมัด บิน อับดุลลอฮ อัสสามิรีย์ ปราชญ์ฮัมบะลี)ได้กล่าวใน อัลมุสเตาฮอิบ" ว่า "ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นมักรูฮ ,อิหม่ามอะหมัด กล่าวว่า "นักวิชาการพวกเขาจะไม่ลูบ มัน(กุบูรนบี) ,อบูอัลหารีษ กล่าวว่า ให้เขาอยู่ใกล้มัน และเขาจะไม่ลูบมัน ดู อันอินศอฟ 4/54
.....
หลักฐานคำยืนยันจากปราชญมัซฮับอิหม่ามอะหมัด เป็นการตอกย้ำว่า รายงานที่อิหม่ามอะฮหมัดอนุญาตให้จูบกุโบรนั้นเป็นรายงานที่แอบอ้าง
หลักฐานคำยืนยันจากปราชญมัซฮับอิหม่ามอะหมัด เป็นการตอกย้ำว่า รายงานที่อิหม่ามอะฮหมัดอนุญาตให้จูบกุโบรนั้นเป็นรายงานที่แอบอ้าง
ส่วนที่นาย Nazaie Al-baihagi อ้างว่า
ส่วนกรณีที่เวาะสัน สะเดา อ้างว่า.ท่านอิหม่ามอะหมัด(รฮ)ไม่ได้ส่งเสริมให้จูบกุโบร์ โดยเวาะสันอ้างว่า สายรายงานดังกล่าวปราชญมัซฮับหัมบะลี(รฮ)บางคน บอกว่า ไม่ศอเหียะ(ถูกต้อง)..
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง.
.......
ขอชี้แจงว่า
นาย Nazaie Al-baihagi นั่งเทียนอ้างเท็จโดยปราศจากหลักฐานทางวิชาการ นึกคิดเอง ที่อ้างคำว่า"บางที" แสดงให้เห็นการนั่งปิดตาเดาสุ่มของนาย Nazaie Al-baihagi -
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง.
.......
ขอชี้แจงว่า
นาย Nazaie Al-baihagi นั่งเทียนอ้างเท็จโดยปราศจากหลักฐานทางวิชาการ นึกคิดเอง ที่อ้างคำว่า"บางที" แสดงให้เห็นการนั่งปิดตาเดาสุ่มของนาย Nazaie Al-baihagi -
................
والله أعلم بالصواب
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/7/59
18/7/59
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
เขาแปลโกหกว่าชัยค์มุหัมหมัด สอนให้ด่าคนที่เป็นศัตรูกับเตาฮีด
เขาแปลโกหกว่าชัยค์มุหัมหมัด สอนให้ด่าคนที่เป็นศัตรูกับเตาฮีด
อิสลาม แนวทาง ซุนนีย์
20 ชม.
ทำไมวะฮาบีย์ถึงหยาบคายกับคนที่มีแนวคิดไม่เหมือนเค้า?
คำตอบ : มูฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ได้ออกคำสั่ง ให้ด่า ใครก็ตามที่ ต่อต้านแนวทางของพวกเขา ไม่เพียงแต่ให้ ด่าคนที่ต่อต้าน แต่ยังให้ด่า ครอบครัวของคนที่ต่อต้านด้วย
หลักฐานอยู่ใน หนังสือที่มีชื่อว่า อันวาน อัลมัจด์ ฟี ฏอรีค อัลนัจด์ เขียน โดยเชค อุษมาน บิน อับดุลลอฮ บิน บะชัร นัจดีย์ ฮัมบาลีย์ พิมพ์ครั้งที่สี่ เล่มที่หนึ่ง หน้า 45 ซึ่งในตัวหนังสือ มีใจความดังนี้
(ثم امر الشیخ بالجهاد لمن عادی اهل التوحید وسبه وسب اهله)
หลังจากนั้น เชคได้สั่งให้ ทำการญิฮาด ต่อผู้ใดก็ตาม ที่เป็นศัตรู กับ ชาวเตาฮีด(วะฮาบีย์) และสั่งให้ด่าทอเขา(ที่ตั้งตนเป็นศัตรู หรือ ปฏิเสธ แนวทางนี้) และครอบครัวของคนผู้นั้นด้วย
อ้างอิง
หนังสือเล่มนี้ เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด ที่แสดงถึงความเถื่อนของลัทธิวะฮาบี และแสดงถึง วิธีการเรียกร้องเชิญชวน ซึ่งแนวทางของลัทธิวิปลาศนี้ และยังเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดของวะฮาบีย์ ที่ใช้ในการอ้างอิงประวัติศาสตร์ ดังนั้น นี่คือ ความจริงที่ไม่มีใครปกปิดได้
.........................
ชี้แจง
ข้อความที่ว่า
(ثم امر الشیخ بالجهاد لمن عادی اهل التوحید وسبه وسب اهله
แล้วนายผู้ใช้นามแฝงว่า อิสลาม แนวทาง ซุนนีย์ แปลโกหกบิดเบือนว่า
หลังจากนั้น เชคได้สั่งให้ ทำการญิฮาด ต่อผู้ใดก็ตาม ที่เป็นศัตรู กับ ชาวเตาฮีด(วะฮาบีย์) และสั่งให้ด่าทอเขา(ที่ตั้งตนเป็นศัตรู หรือ ปฏิเสธ แนวทางนี้) และครอบครัวของคนผู้นั้นด้วย
....................
ข้างต้นเป็นการแปลบิดเบือน และโกหกใส่ร้าย ชัยคุ์มุหัมหัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ
ความหมายที่ถูกต้องคือ
ثم أمر الشيخ بالجهاد لمن عادى أهل التوحيد وسبه وسب أهله
หลังจากนั้นชัยค์ ได้สั่งให้ทำการญิฮาด กับผู้ที่เป็นศัตรู กับอะฮลุดเตาฮีด ,ด่าทอเขาและด่าทอครอบครัวของเขา -
عنوان المجد في تاريخ نجد، ج 1، ص 45.
ผู้ที่ทำการตะหกีก คือ ชัยค์อับดุรเราะหมาน อับดุลละฏีฟ ได้อธิบายเชิงอรรถว่า
ثم أمر الشيخ بالجهاد ( إمتثالا لقول الله جل وعلى : وقاتلوهم حتى لا تكون فتنة ويكون الدين كله لله ) لمن عادى أهل التوحيد وسبه وسب أهله ،
หลังจากนั้นชัยค์ได้สั่งให้ทำการญิฮาด(เพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำตรัสของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่งที่ว่า "และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าการอิบาดะฮ์ ทั้งหลายจะเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น) กับผู้ที่เป็นศัตรู กับอะฮลุดเตาฮีด ,ด่าทอเขาและด่าทอครอบครัวของเขา
.........................
กล่าวคือ ชัยค์มุหัมหมัด สั่งให้ทำการญิฮาด กับผู้ที่เป็นศัตรูกับอะฮลุตเตาฮีด(ผู้ศรัทธาในอัลลอฮองค์เดียว) และเขาได้ด่าทออะฮลุตเตาฮีดและครอบครัว ของอะฮลุตเตาฮีด
แต่คุณ ผู้ใช้นามแฝงว่า อิสลาม แนวทาง ซุนนีย์ กลับแปลบิดเบือนว่า ชัยค์มุหัมหมัด สั่งให้ด่าทอใครก็ตามที่ ต่อต้านแนวทางของของชัยค์ หรือวะฮบีย์ แถมใส่วงเล็บอย่างไม่ละอายว่า (เตาฮีวะฮบีย) -วัลอิยาซุบิลละฮ นี่หรือ ผู้ที่อ้างว่าเป็นอะฮลุสสุนนะฮไม่แอบอ้าง แต่กลับแปลบิดเบือนใส่ร้ายอุลามาอฺ ถามแกนนำอาชาอิเราะฮว่า ท่านยืมมือคนประเภทนี้เพื่อทำลายคนที่เห็นต่างด้วยการโกหกใส่ร้ายอย่างนั้นหรื ไม่ละอายต่ออัลลอฮบ้างหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/7/59
20 ชม.
ทำไมวะฮาบีย์ถึงหยาบคายกับคนที่มีแนวคิดไม่เหมือนเค้า?
คำตอบ : มูฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ได้ออกคำสั่ง ให้ด่า ใครก็ตามที่ ต่อต้านแนวทางของพวกเขา ไม่เพียงแต่ให้ ด่าคนที่ต่อต้าน แต่ยังให้ด่า ครอบครัวของคนที่ต่อต้านด้วย
หลักฐานอยู่ใน หนังสือที่มีชื่อว่า อันวาน อัลมัจด์ ฟี ฏอรีค อัลนัจด์ เขียน โดยเชค อุษมาน บิน อับดุลลอฮ บิน บะชัร นัจดีย์ ฮัมบาลีย์ พิมพ์ครั้งที่สี่ เล่มที่หนึ่ง หน้า 45 ซึ่งในตัวหนังสือ มีใจความดังนี้
(ثم امر الشیخ بالجهاد لمن عادی اهل التوحید وسبه وسب اهله)
หลังจากนั้น เชคได้สั่งให้ ทำการญิฮาด ต่อผู้ใดก็ตาม ที่เป็นศัตรู กับ ชาวเตาฮีด(วะฮาบีย์) และสั่งให้ด่าทอเขา(ที่ตั้งตนเป็นศัตรู หรือ ปฏิเสธ แนวทางนี้) และครอบครัวของคนผู้นั้นด้วย
อ้างอิง
หนังสือเล่มนี้ เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด ที่แสดงถึงความเถื่อนของลัทธิวะฮาบี และแสดงถึง วิธีการเรียกร้องเชิญชวน ซึ่งแนวทางของลัทธิวิปลาศนี้ และยังเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดของวะฮาบีย์ ที่ใช้ในการอ้างอิงประวัติศาสตร์ ดังนั้น นี่คือ ความจริงที่ไม่มีใครปกปิดได้
.........................
ชี้แจง
ข้อความที่ว่า
(ثم امر الشیخ بالجهاد لمن عادی اهل التوحید وسبه وسب اهله
แล้วนายผู้ใช้นามแฝงว่า อิสลาม แนวทาง ซุนนีย์ แปลโกหกบิดเบือนว่า
หลังจากนั้น เชคได้สั่งให้ ทำการญิฮาด ต่อผู้ใดก็ตาม ที่เป็นศัตรู กับ ชาวเตาฮีด(วะฮาบีย์) และสั่งให้ด่าทอเขา(ที่ตั้งตนเป็นศัตรู หรือ ปฏิเสธ แนวทางนี้) และครอบครัวของคนผู้นั้นด้วย
....................
ข้างต้นเป็นการแปลบิดเบือน และโกหกใส่ร้าย ชัยคุ์มุหัมหัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ
ความหมายที่ถูกต้องคือ
ثم أمر الشيخ بالجهاد لمن عادى أهل التوحيد وسبه وسب أهله
หลังจากนั้นชัยค์ ได้สั่งให้ทำการญิฮาด กับผู้ที่เป็นศัตรู กับอะฮลุดเตาฮีด ,ด่าทอเขาและด่าทอครอบครัวของเขา -
عنوان المجد في تاريخ نجد، ج 1، ص 45.
ผู้ที่ทำการตะหกีก คือ ชัยค์อับดุรเราะหมาน อับดุลละฏีฟ ได้อธิบายเชิงอรรถว่า
ثم أمر الشيخ بالجهاد ( إمتثالا لقول الله جل وعلى : وقاتلوهم حتى لا تكون فتنة ويكون الدين كله لله ) لمن عادى أهل التوحيد وسبه وسب أهله ،
หลังจากนั้นชัยค์ได้สั่งให้ทำการญิฮาด(เพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำตรัสของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่งที่ว่า "และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าการอิบาดะฮ์ ทั้งหลายจะเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น) กับผู้ที่เป็นศัตรู กับอะฮลุดเตาฮีด ,ด่าทอเขาและด่าทอครอบครัวของเขา
.........................
กล่าวคือ ชัยค์มุหัมหมัด สั่งให้ทำการญิฮาด กับผู้ที่เป็นศัตรูกับอะฮลุตเตาฮีด(ผู้ศรัทธาในอัลลอฮองค์เดียว) และเขาได้ด่าทออะฮลุตเตาฮีดและครอบครัว ของอะฮลุตเตาฮีด
แต่คุณ ผู้ใช้นามแฝงว่า อิสลาม แนวทาง ซุนนีย์ กลับแปลบิดเบือนว่า ชัยค์มุหัมหมัด สั่งให้ด่าทอใครก็ตามที่ ต่อต้านแนวทางของของชัยค์ หรือวะฮบีย์ แถมใส่วงเล็บอย่างไม่ละอายว่า (เตาฮีวะฮบีย) -วัลอิยาซุบิลละฮ นี่หรือ ผู้ที่อ้างว่าเป็นอะฮลุสสุนนะฮไม่แอบอ้าง แต่กลับแปลบิดเบือนใส่ร้ายอุลามาอฺ ถามแกนนำอาชาอิเราะฮว่า ท่านยืมมือคนประเภทนี้เพื่อทำลายคนที่เห็นต่างด้วยการโกหกใส่ร้ายอย่างนั้นหรื ไม่ละอายต่ออัลลอฮบ้างหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/7/59
รายงานที่แอบอ้างอิหม่ามอะหมัดเพื่อโจมตีวะฮบีย์
รายงานที่แอบอ้างอิหม่ามอะหมัดเพื่อโจมตีวะฮบีย์
อิสลาม แนวทาง ซุนนีย์ รู้สึกน่ากลัว กับ สหาย เปาะลงมัย และอีก 7 คน
23 ชม. ·
หลักศรัทธา..วาญิบต้องบริสุทธิ์
ท่านอิหม่ามอะหฺมัด อิบนุหัมดาน ปราชญ์มัซฮับฮัมบาลีย์ กล่าวว่า
وَمَنْ شَبَّهَهُ بَخَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ . نَصَّ عَلَيْهِ أَحْمَدُ وَكَذَا مَنْ جَسَّمَ أَوْ قَالَ : إِنَّهُ جِسْمٌ لاَ كَالأَجْسَامِ
“ผู้ใดที่เทียบคล้ายคลึงอัลลอฮฺกับสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ ถือว่าเขากุฟุร ซึ่งอิหม่ามอะห์มัดระบุทัศนะนี้เอาไว้ และเป็นกุฟุรเช่นเดียวกันผู้ที่เชื่อว่าอัลลอฮฺเป็นเรือนร่างหรือเขากล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นเรือนร่างแต่ไม่เหมือนกับบรรดาเรือนร่างทั้งหลาย”
อิบนุหัมดาน, นิฮายะฮ์ อัลมุบตะดิอีน ฟี อุศูลิดดีน, หน้า 31
วัลลอหุอะลัม.
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>..
ชี้แจง
ข้างต้น แอบอ้างจาก ข้อความ ที่ว่า
من قال الله جسم لا كالأجسام كفر
ผู้ใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นรูปร่าง ไม่ใช่เหมือนบรรดารูปร่างทั้งหลาย เขาเป็นกุฟูร -
رواه الحافظ بدر الدين الزركشي في كتابه تشنيف المسامع
................................
ใหนล่ะ อาชาอีเราะฮบางกลุ่มคุยอวดตลอดไม่ใช่หรือว่า อาชาอีเราะฮมีสะนัดจากสะลัฟ แต่วะฮบีย์ ชนกลุ่มน้อย ไม่มีสะนัด เพิ่งเกิดใหม่
การแอบอ้างว่าอิหม่ามอะหมัดพูดว่า
من قال الله جسم لا كالأجسام كفر
ผู้ใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นรูปร่าง ไม่ใช่เหมือนบรรดารูปร่างทั้งหลาย เขาเป็นกุฟูร
....................
เป็นการรายงานของอัซซัรกะชีย์ (ร.ฮ) เสียชีวิตปี ฮ.ศ ๗๗๑ ใน หนังสือของเขาชื่อ ตัชนีฟุลมาสาเมียะ เล่ม ๔ หน้า ๖๔๘ โดยไม่มีสายรายงาน(สะนัด) โดยกล่าวว่า
نقل صاحب الخصال من الحنابلة عن أحمد أنه قال: من قال: جسم لا كالأجسام كفر
และเจ้าของ อัลคิศอล"จากปราชญ์มัซฮับอัลหะนาบะละฮ จากอะหมัดว่า เขากล่าวว่า "ผู้ใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นรูปร่าง ไม่ใช่เหมือนบรรดารูปร่างทั้งหลาย เขาเป็นกุฟูร"
>>>>>>>>>>>>>
ใหนหรือ สายรายงาน(สะนัด)สืบไปยังอิหม่ามอะหมัด เพราะ อัซซัรกะชีย์ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ ๗๙๔ ในขณะที่เจ้าของหนังสือ อัลคิศอล หากหมายถึง กอฎี อบูยะอลา (ฮ.ศ ๓๘๐ -๔๕๘) ส่วนอิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล เสียชีวิตปี ฮ.ศ ๑๖๔ - ๒๔๑ แล้วใหนหรือสายรายงานสืบไปยังอิหม่ามอะหมัด มีใครบ้าง ในเมื่อไม่มี ก็เป็นหลักฐานไม่มีน้ำหนัก แต่กลุ่มซูฟีย์เที่ยวเอามาเป็นหลักฐานเด็ดโจมตีคนที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย -นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๒/๗/๕๙
23 ชม. ·
หลักศรัทธา..วาญิบต้องบริสุทธิ์
ท่านอิหม่ามอะหฺมัด อิบนุหัมดาน ปราชญ์มัซฮับฮัมบาลีย์ กล่าวว่า
وَمَنْ شَبَّهَهُ بَخَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ . نَصَّ عَلَيْهِ أَحْمَدُ وَكَذَا مَنْ جَسَّمَ أَوْ قَالَ : إِنَّهُ جِسْمٌ لاَ كَالأَجْسَامِ
“ผู้ใดที่เทียบคล้ายคลึงอัลลอฮฺกับสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ ถือว่าเขากุฟุร ซึ่งอิหม่ามอะห์มัดระบุทัศนะนี้เอาไว้ และเป็นกุฟุรเช่นเดียวกันผู้ที่เชื่อว่าอัลลอฮฺเป็นเรือนร่างหรือเขากล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นเรือนร่างแต่ไม่เหมือนกับบรรดาเรือนร่างทั้งหลาย”
อิบนุหัมดาน, นิฮายะฮ์ อัลมุบตะดิอีน ฟี อุศูลิดดีน, หน้า 31
วัลลอหุอะลัม.
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>..
ชี้แจง
ข้างต้น แอบอ้างจาก ข้อความ ที่ว่า
من قال الله جسم لا كالأجسام كفر
ผู้ใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นรูปร่าง ไม่ใช่เหมือนบรรดารูปร่างทั้งหลาย เขาเป็นกุฟูร -
رواه الحافظ بدر الدين الزركشي في كتابه تشنيف المسامع
................................
ใหนล่ะ อาชาอีเราะฮบางกลุ่มคุยอวดตลอดไม่ใช่หรือว่า อาชาอีเราะฮมีสะนัดจากสะลัฟ แต่วะฮบีย์ ชนกลุ่มน้อย ไม่มีสะนัด เพิ่งเกิดใหม่
การแอบอ้างว่าอิหม่ามอะหมัดพูดว่า
من قال الله جسم لا كالأجسام كفر
ผู้ใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นรูปร่าง ไม่ใช่เหมือนบรรดารูปร่างทั้งหลาย เขาเป็นกุฟูร
....................
เป็นการรายงานของอัซซัรกะชีย์ (ร.ฮ) เสียชีวิตปี ฮ.ศ ๗๗๑ ใน หนังสือของเขาชื่อ ตัชนีฟุลมาสาเมียะ เล่ม ๔ หน้า ๖๔๘ โดยไม่มีสายรายงาน(สะนัด) โดยกล่าวว่า
نقل صاحب الخصال من الحنابلة عن أحمد أنه قال: من قال: جسم لا كالأجسام كفر
และเจ้าของ อัลคิศอล"จากปราชญ์มัซฮับอัลหะนาบะละฮ จากอะหมัดว่า เขากล่าวว่า "ผู้ใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นรูปร่าง ไม่ใช่เหมือนบรรดารูปร่างทั้งหลาย เขาเป็นกุฟูร"
>>>>>>>>>>>>>
ใหนหรือ สายรายงาน(สะนัด)สืบไปยังอิหม่ามอะหมัด เพราะ อัซซัรกะชีย์ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ ๗๙๔ ในขณะที่เจ้าของหนังสือ อัลคิศอล หากหมายถึง กอฎี อบูยะอลา (ฮ.ศ ๓๘๐ -๔๕๘) ส่วนอิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล เสียชีวิตปี ฮ.ศ ๑๖๔ - ๒๔๑ แล้วใหนหรือสายรายงานสืบไปยังอิหม่ามอะหมัด มีใครบ้าง ในเมื่อไม่มี ก็เป็นหลักฐานไม่มีน้ำหนัก แต่กลุ่มซูฟีย์เที่ยวเอามาเป็นหลักฐานเด็ดโจมตีคนที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย -นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๒/๗/๕๙
วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
เมื่อต่อต้านบิดอะฮและชิริกกลับกลายเป็นพวกสร้างฟิตนะฮ แล้วศาสนาจะเหลืออะไร
เมื่อต่อต้านบิดอะฮและชิริกกลับกลายเป็นพวกสร้างฟิตนะฮ แล้วศาสนาจะเหลืออะไร
มนุษย์ที่ยึดเอาอารมณ์เป็นพระเจ้านี่แปลก ใครพูดความจริงกระทบกับความเชื่อ ,การกระทำและผลประโยชน์ของตัวเอง ก็จะโฆษณาชวนเชื่อว่า "พวกสร้างฟิตนะฮ" -วัลอิยาซุบิลละฮ
คำว่า "ฟิตนะฮ" คืออะไร
ฟิตนะฮในอัลกุรอ่าน มีหลายความหมาย แต่ไม่มีสักความหมายเดียวที่บอกว่า คนที่นำอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮมาเผยแพร่ตามความความจริง ไม่บิดเบือน ไม่ปิดบัง คือ การสร้างฟิตนะฮ
แต่ ในทางกลับกัน การกุฟุรและการทำชิริก นั้นคือ ฟิตนะฮดังอายะฮที่ว่า
وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لاَ تَكُونَ فِتْنَةٌ وَيَكُونَ الدِّينُ لِلّهِ فَإِنِ انتَهَواْ فَلاَ عُدْوَانَ إِلاَّ عَلَى الظَّالِمِينَ
และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าการอิบาดะฮ์ ทั้งหลายจะเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น แต่ถ้าพวกเขายุติ ก็ย่อมไม่มีการเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ นอกจากแก่บรรดาผู้อธรรมเท่านั้น
وَقَالَ الضَّحَّاكُ ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ : ( وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لَا تَكُونَ فِتْنَةٌ ) يَعْنِي : [ حَتَّى ] لَا يَكُونَ شِرْكٌ ، وَكَذَا قَالَ أَبُو الْعَالِيَةِ ، وَمُجَاهِدٌ ، وَالْحَسَنُ ، وقَتَادَةُ ، وَالرَّبِيعُ عَنْ أَنَسٍ ، وَالسُّدِّيِّ ، وَمُقَاتِلِ بْنِ حَيَّانَ ، وَزَيْدِ بْنِ أَسْلَمَ
อัฎเฎาะหาก ได้กล่าวรายงานจาก อิบนุอับบาสว่า (และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น) หมายถึงจนกว่า “ชิริก” จะไม่ปรากฏขึ้น และ ในทำนองเดียวกันนั้น อบูอัลอาลิยะฮ, มุญาฮิด,อัลหะซัน,เกาะตาดะฮ ,อัรเราะเบียะ รายงานจากอะนัส ,อัสสุดดีย์ , มุกอติล บิน หัยยาน และเซด บินอัสลัม ได้กล่าวไว้ - ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 4 หน้า 56
.................
ดังนั้น การกระทำที่เป็นการชิริก เป็นส่วนหนึ่ง จากฟิตนะฮ และคนที่ต่อต้านชิริก ไม่ใช่คนสร้างฟิตนะฮแต่ เป็นคนที่ต่อต้านการสร้างฟิตนะ
.................
ดังนั้น การกระทำที่เป็นการชิริก เป็นส่วนหนึ่ง จากฟิตนะฮ และคนที่ต่อต้านชิริก ไม่ใช่คนสร้างฟิตนะฮแต่ เป็นคนที่ต่อต้านการสร้างฟิตนะ
การอุตริบิดอะฮ คือ การตั้งตนเป็นผู้บัญญัติคำสอนศาสนาแข่งกับอัลลอฮและรอซูล
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ
หรือว่าพวกเขามีภาคีต่าง ๆ ที่ได้บัญญัติศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ-
อิบนุญะรีร อธิบายว่า
อิบนุญะรีร อธิบายว่า
يَقُولُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - : أَمْ لِهَؤُلَاءِ الْمُشْرِكِينَ بِاللَّهِ شُرَكَاءُ فِي شِرْكِهِمْ وَضَلَالَتِهِمْ ( شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ ) يَقُولُ : ابْتَدَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يُبِحِ اللَّهُ لَهُمُ ابْتِدَاعَهُ
พระองค์ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า "หรือบรรดาผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮเหล่านี้ มีบรรดาภาคี ในการชิริกและการหลงผิดของพวกเขา (พวกนั้นได้บัญญัติศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ) กล่าวคือ พวกเขาอุตริศาสนาขึ้นใหม่ให้แก่พวกเขา สิ่งซึ่ง อัลลอฮไม่ทรงอนุญาตให้แก่พวกเขาอุตริมันขึ้นใหม่- ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายอายะฮที่ ๒๑ ซูเราะฮอัชชูรอ
.............
ข้างต้นคือ พฤติกรรมของมุชริกีน ที่เชื่อตามบรรดาคำสอนศาสนาที่บรรดาผู้นำอุตริขึ้นมาใหม่
.............
ข้างต้นคือ พฤติกรรมของมุชริกีน ที่เชื่อตามบรรดาคำสอนศาสนาที่บรรดาผู้นำอุตริขึ้นมาใหม่
แล้ว บรรดามุสลิม ศาสนาอนุญาตให้อุตริบิดอะฮโดยอ้างว่าเป็นคำสอนศาสนาอย่างนั้นหรือ แล้วการต่อต้านสิ่งที่เป็นบิดอะฮ คือ การสร้างฟิตนะฮอย่างนั้นหรือ
ข้อความตอนหนึ่งของอิหม่ามชาฏิบีย์ (ร,ฮ) ให้เป็นข้อคิด
أَنّ السُّنَنَ تَمُوتُ إِذَا أُحْيِيَتِ الْبِدَعُ ، وَإِذَا مَاتَتْ [ السُّنَنُ ] ; انْهَدَمَ الْإِسْلَامُ .
แท้จริง บรรดาสุนนะฮ ตาย เมื่อบรรดาบิดอะฮถูกฟื้นฟูขึ้นมา และเมื่อบรรดาสุนนะฮตาย อัสลามก็พังทลาย -อัลเอียะติศอม ๑/๑๕๓
แท้จริง บรรดาสุนนะฮ ตาย เมื่อบรรดาบิดอะฮถูกฟื้นฟูขึ้นมา และเมื่อบรรดาสุนนะฮตาย อัสลามก็พังทลาย -อัลเอียะติศอม ๑/๑๕๓
>>>>>>>>>>>
มันน่าเสียใจ ที่คนฟื้นฟูสุนนะฮ ต่อต้านบิดอะฮ กลายเป็นผู้ก่อฟิตนะฮ ในขณะที่ผู้สนับสนุนฟื้นฟูบิดอะฮ กลับกลายเป็นผู้สร้างสรรค์สังคม -วัลอิยาซุบิลละฮ แล้วศาสนาจะเหลืออะไรหรือ
มันน่าเสียใจ ที่คนฟื้นฟูสุนนะฮ ต่อต้านบิดอะฮ กลายเป็นผู้ก่อฟิตนะฮ ในขณะที่ผู้สนับสนุนฟื้นฟูบิดอะฮ กลับกลายเป็นผู้สร้างสรรค์สังคม -วัลอิยาซุบิลละฮ แล้วศาสนาจะเหลืออะไรหรือ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๔/๗/๕๙
อะสัน หมัดอะดั้ม
๔/๗/๕๙
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)