วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

น้ำซอฟัร คืออุตริกรรมที่ไม่มีในอิสลาม








น้ำซอฟัร คืออุตริกรรมที่ไม่มีในอิสลาม
เดือนซอฟัรเป็นเดือนแห่งอัปมงคล ซึ่งเป็นความเชื่อที่ยังมีให้เห็นกันอยู่ดังนั้นเพื่อขจัดมันให้พ้นไปและเพื่อชีวิตที่ปลอดภัยจึงมีการกระทำสิ่งต่อไปนี้คือ ทำน้ำซอฟัรในวันพุธสุดท้ายของเดือน โดยรวบรวมโองการอัลกุรอานที่เรียกว่า “อายาตสลาม
เช็ค มุหัมหมัด อับดุสสลาม อัชชะกีรีย์กล่าวว่า
قد اعتاد
الجهلاء أن يكتبوا آيات السلام كـ (( سلام على نوح في العالمين )) إلخ في آخر
أربعاء من شهر صفر ثم يضعونها في الأواني و يشربون و يتبركون بها و يتهادونها
لاعتقادهم أن هذا يُذهب الشرور ، وهذا اعتقاد فاسد ، وتشاؤم مذموم ، وابتداع قبيح
يجب أن يُنكره كل من يراه على فاعله .
แท้จริงบรรดาคนโง่เขลา (ญาฮิล) ได้เคยชิน (หมายถึงปฏิบัติจนเป็นประเพณี -ผู้แปล)ต่อการที่พวกเขาเขียน อายาตสาลาม เช่น (สะลาม อะลานุหฺ ฟิลอาละมีน) จนจบ ในวันพุธสุดท้ายของเดือนเซาฟัร หลังจากนั้น พวกเขาวางมันในภาชนะ และพวกเขาดื่ม, เอาบะเราะกัต ด้วยมัน และ พวกเขาได้ทำการฮะดียะฮมันแก่กันและกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่า กรณีนี้ ขจัดความชั่วร้ายต่างๆได้ และนี้คือความเชื่อที่ผิด ,เป็นการเชื่อลางร้าย ที่ถูกตำหนิ และ
เป็นการอุตริบิดอะฮที่น่าเกลียด ,ทุกคนที่เห็นมัน จำเป็นจะต้อง ห้ามปรามผู้ที่กระทำมัน - อัสสุนัน วัลมุบตะดะอาต หน้า 111-112
การกระทำข้างต้น อยู่ในข่ายการเชื่อโชคลาง หรือลางร้าย
ท่านเราะซูล ได้กล่าวว่า
وعن أبي هريرة
أ: "لا عدوى ولا طيرة ولا هامة ولا صفر
(رواه البخاري ومسلم) (3). وفي رواية: "ولا نوء ولا غُول" (رواه مسلم)
(4).
จากอบีฮุร็อยเราะห์ แท้จริงท่านนบี กล่าวว่า "ไม่มีโรคระบาด ไม่มีลางร้าย ไม่มีนกฮูก และไม่มีเดือนซอฟัร"
ในบางรายงาน "และไม่มีดวงดาว(เชื่อดวงดาว) และไม่มีภูติผีปีศาจ" (บันทึกโดยบุครีย์และมุสลิม)
ท่านนบี ได้กล่าวเตือนไว้ว่า
: الطِّيَرَةُ شِرْكٌ الطِّيَرَةُ شِرْكٌ وَلَكِنَّ
اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ يُذْهِبُهُ بِالتَّوَكُّلِ
“ลางร้ายเป็นการตั้งภาคี ลางร้ายเป็นการตั้งภาคี แต่ว่าพระองค์อัลลอฮฺทรงทำให้มันหายไปด้วยกับ
การมอบหมาย” (บันทึกโดยอะหฺมัด : 4183 อบูดาวุด : 3910 ติรมีซียฺ : 1614
มีการอ้างหะดิษที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา กล่าวเท็จแก่นบี ศอ็ลฯ เพื่อจะบอกว่า เดือนซอฟัรเป็นเดือนอัปมงคล คือ อ้างว่ารายงานจากอิบนุอับบาส (ร.ฎ) ว่านบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า
آخر أربعاء من شهر صفر
يوم نحس مستمر
วันพุธสุดท้ายของเดือนซอฟัร คือวันที่โชคร้าย ตลอด
أورده السيوطي في
اللآلئ المصنوعة في الأحاديث الموضوعة 2/458
อิบนุเราะญับ อัลหัมบะลี กล่าวว่า
و كثير من الجهال يتشاءم بصفر و ربما ينهى عن السفر فيه و التشاؤم بصفر هو من جنس الطيرة المنهى عنها و كذلك التشاؤم بالأيام كيوم الأربعاء و قد روي أنه : [ يوم نحس مستمر ] في حديث لا يصح
และ ส่วนมากจาก บรรดาผู้ที่โง่เขลา เชื่อลางร้ายเดือนซอฟัร ,บางครั้ง เขาห้ามเดินทางในเดือนนั้น และการเชื่อลางร้ายในเดือนซอฟัรนั้น มันคือ ประเภทหนึ่งของ อัฏฏิยะเราะฮ(การเชื่อโชคลาง)ที่ถูกห้าม และในทำนองเดียวกันนั้น การเชื่อลางร้ายในบรรดาวันต่างๆ เช่นวันพุธ และแท้จริงได้มีรายงาน ว่า แท้จริงมัน(วันพุธ) คือวันที่โชคร้ายตลอด ในหะดิษหนึ่ง ซึ่ง ไม่เศาะเฮียะ – ดู ละฏออิฟ อัลมะอาริฟ หน้า 148
>>>>>>>>>>>>>
จากรายละเอียดข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การเชื่อว่า เดือนซอฟัรเป็นเดือนอัปมงคล และ การทำน้ำซอฟัรเพื่อขจัดความชั่วร้ายนั้น ไม่มีในคำสอนอิสลาม แต่เป็นบิดอะฮ
والله أعلم بالصواب
.อะสัน หมัดอะดั้ม
30/11/59

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เขาเอาหลักฐานเกี่ยวกับอบูละฮับมำอ้างเพื่อทำเมาลิด






เขาเอาหลักฐานเกี่ยวกับอบูละฮับมำอ้างเพื่อทำเมาลิด
อบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์ 
ถึงวันจัดแล้วหรือ เห็น้วะฮาบีตัยแลน ดิ้นกันใหญ่แล้วมาชาอัลลอฮ รับนบีแต่ต้านเมาลิดนบี กลับไปศึกษาประวัฒแรกๆนบีเกิดก่อนไหมวะฮาบีอบูลาฮับโทษหนักยังเป็นเบาอยู่เลย มาชาอัลลอฮ ญะฮูดีฉีดวัดซิมยาราคาดีมากๆเลย ซุบาฮานั้ลลอฮ
@@@@
ขอชี้แจงดังนี้
การอ้างหลักฐานข้างต้น เอามาเป็นหลักฐานไม่ได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1.ขัดแย้งกับอัลกุรอ่าน เพราะอัลกุรอ่านระบุว่าผู้ที่ตายในสภาพกาเฟรจะไม่ถูกลดย่อนโทษ
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَالَّذِينَ كَفَرُوا لَهُمْ نَارُ جَهَنَّمَ لَا يُقْضَى عَلَيْهِمْ فَيَمُوتُوا وَلَا يُخَفَّفُ عَنْهُمْ مِنْ عَذَابِهَا كَذَلِكَ نَجْزِي كُلَّ كَفُورٍ
ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะได้รับไฟนรกญะฮันนัม (เป็นการตอบแทน) จะไม่ถูกตัดสินลงโทษให้พวกเขาตายเพื่อที่พวกเขาจะได้ตาย และการลงโทษของมันก็จะไม่ถูกลดหย่อนแก่พวกเขา เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนแก่ทุกผู้เนรคุณ (ปฏิเสธศรัทธา)- ฟาฏีร/36
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَعَلَى تَقْدِيرِ أَنْ يَكُونَ مَوْصُولًا فَالَّذِي فِي الْخَبَرِ رُؤْيَا مَنَامٍ فَلَا حُجَّةَ فِيهِ ، وَلَعَلَّ الَّذِي رَآهَا لَمْ يَكُنْ إِذْ ذَاكَ أَسْلَمَ بَعْدُ فَلَا يُحْتَجُّ بِهِ 
และสมมุติว่า มัน(หะดิษนี้)สายรายงานต่อเนื่อง แล้วในหะดิษ คือความฝัน ดังนั้นไม่ใช่หลักฐานใดๆในมัน (คือเอามาเป็นหลักฐานไม่ได้) และบางที ผู้ที่ฝันเห็น เขายังไม่ได้รับอิสลามขณะนั้น แต่รับอิสลามภายหลังก็ได้ ดังนั้นจะไม่ถูกนำมาเป็นหลักฐานด้วยมัน 
นี้ - ดูฟัตหุลบารีย์ 9/48
คือ จะเอาความฝันมาเป็นหลักฐานไม่ได้
ทั้งนี้ เพราะในรายงานหะดิษอ้างว่ามีคนฝันเห็นว่า อบูละฮับถูกลดย่อนโทษ ด้วยเหตุแสดงความปิติยินดีกับการกำเนิดนบีมุหัมหมัดโดยการปลดปล่อยทาสชื่อว่า ษุวัยบะฮ
ในตัวบทหะดิษระบุว่า
قَالَ عُرْوَةُ وثُوَيْبَةُ مَوْلَاةٌ لِأَبِي لَهَبٍ كَانَ أَبُو لَهَبٍ أَعْتَقَهَا فَأَرْضَعَتْ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَلَمَّا مَاتَ أَبُو لَهَبٍ أُرِيَهُ بَعْضُ أَهْلِهِ بِشَرِّ حِيبَةٍ قَالَ لَهُ مَاذَا لَقِيتَ قَالَ أَبُو لَهَبٍ لَمْ أَلْقَ بَعْدَكُمْ غَيْرَ أَنِّي سُقِيتُ فِي هَذِهِ بِعَتَاقَتِي ثُوَيْبَةَ
และอุรวะฮ กล่าวว่า "และษุวัยบะฮ คือทาสหญิงของอบีละฮับ ปรากฏว่าอบูละฮับได้ปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระ แล้วท่านนบี ศอ็ลฯก็ได้ถูกกำเนิดมา แล้วเมื่ออบูละฮับเสียชีวิต ,ส่วนหนึ่งของครอบครัวเขาได้ถูกให้ฝันเห็นเขา อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ,แล้วเขาผู้นั้นได้กล่าวแก่เขา(อบูละฮับ)ว่า" ท่านได้พบกับอะไรบ้าง(หลังจากได้เสียชีวิต)? อบูละฮับกล่าวตอบว่า "ฉันไม่ได้พบกับ(ความโปรดปราน)อะไรเลยหลังจากที่จากพวกท่านมา อื่นจาก ฉันได้รับน้ำดื่ม ในที่นี้ ด้วยสาเหตุได้ทำการปลดปล่อยษุวัยบะฮให้เป็นอิสระ - รายงานโดยบุคอรี
นี่คือความฝัน ของคนๆหนึ่งไม่ได้ระบุชื่อว่าใคร คนใด และการที่คนๆหนึ่งฝัน ไม่มีผลที่จะเอามาเป็นหลักฐานทางศาสนา
อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า
لَوْ كَانَتْ لَيْلَةُ الثَّلَاثِينَ مِنْ شَعْبَانَ ، وَلَمْ يَرَ النَّاسُ الْهِلَالَ ، فَرَأَى إنْسَانٌ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي الْمَنَامِ فَقَالَ لَهُ : اللَّيْلَةُ أَوَّلُ رَمَضَانَ لَمْ يَصِحَّ الصَّوْمُ بِهَذَا الْمَنَامِ لَا لِصَاحِبِ الْمَنَامِ وَلَا لِغَيْرِهِ
ถ้าหากว่า ปรากฏคืน 30 ของเดือนชะอฺบาน และบรรดาผู้คน ไม่เห็นจันทร์เสี้ยว แล้ว มีคนๆหนึ่งฝันเห็นท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วนบี ได้กล่าวแก่เขาว่า "คือคืนแรกของเดือนเราะมะฎอน" (อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า) การถือศีลอดด้วยความฝันนี้ ใช้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ฝัน หรือคนอื่นจากเขา (ก็ใช้ไม่ได้) - ดูอัลมัจญมัวะ 6/292
2.ความฝันของบุคคลเอามาเป็นหลักฐานทางศาสนาไม่ได้
อัลหาฟีซ อิบนหะญัร กล่าวว่า
أن النائم لو رأى النبي صلى الله عليه وسلم يأمره بشيء هل يجب عليه امتثاله ولا بد ؟ أو لا بد أن يعرضه على الشرع الظاهر فالثاني هو المعتمد كما تقدم
แท้จริงหากเขาฝันเห็นนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สั่งให้เขาทำสิ่งใด จำเป็นเขาจะต้องปฏิบัติตามมันหรือไม่และจำเป็นหรือไม่ ? หรือ จำเป็นจะต้องนำมันมาเสนอบนศาสนาบัญญัติที่ปรากฏอยู่ ดังนั้น ทัศนะที่สอง คือ ทัศนะที่ได้รับการยอมรับดังที่ได้ถูกนำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้ว – ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 12 หน้า 486 
.....
กล่าวคือ จะต้องนำคำสั่งที่เป็นความฝันนั้นว่าตรงตามที่มีบัญญัติไว้หรือไม่
3. เหตุการณ์ที่อบีละฮับปล่อยทาสษุวัยบะฮให้เป็นอิสระนั้น ไม่ใช่เนื่องจากปลื้มปิติยินดีกับการเกิดนบี แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากนั้นหลายปี และนักวิชาการมีความเห็นต่างกันในกรณีของเวลาที่อบูละฮับ ปล่อยนางให้เป็นอิสระ
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
وأعتقها أبو لهب بعدما هاجر النبيُّ صلى الله عليه وسلم إلى المدينة
อบูละฮับ ได้ปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระ หลังจากที่ท่านนบี ศอ็ลฯ อพยพไปยังนครมะดีนะฮ -อัลอิสตีอาบ ฟี มะอริฟะฮอัลอัศหาบ 1/55
เพราะฉะนั้น การเอาข้ออ้างที่กาเฟรคนหนึ่ง จากครอบครัวของอบูละฮับ ฝันเห็นอบูละฮับได้รับการลดย่อนโทษในนรกมาเป็นหลักฐานทำเมาลิดนั้นย่อมไม่มีน้ำหนักแม้ต่น้อย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/11/59

อะกีดะฮชัยค์อับดุลกอเดร อัลญีลานีย์





อะกีดะฮชัยค์อับดุลกอเดร อัลญีลานีย์
ชัยคฺอับดุลกอดีร อัลญีลานีย์ เกิดในปี ฮิจเราะห์ที่ ๔๗๐ – ๕๖๑ ปราชญ์มัซฮับหัมบะลีย์ และ มีการอ้างว่าท่านเป็นผู้นำซูฟีย์สายฏอริเกาะฮอัลกอดิรียะฮอัศศูฟียะฮ แต่คนกลุ่มนี้มีอะกีดะฮต่างจากชัยค์อับดุลกอเดรฯ เหมือนหน้ามือกับหลังตีน มาดูอะกีดะฮของชัยค์ดังนี้

وهو بجهة العلو مستو على العرش، محتو على الملك، محيط علمه بالأشياء، {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه})

และพระองค์อยู่ทิศเบื้องสูง ทรงเป็นผู้สถิตเหนือบัลลังค์ ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือการปกครอง ความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมบรรดาสรรพสิ่ง (คำกล่าวที่ดีย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญมัน(ฟาฏิร/10) – ดู อัลฆุนยะฮ ลิฏอลีบีย์เฏาะรีกิลหัก 1/,123
และเขาได้กล่าวอีกว่า
وينبغي إطلاق صفة الاستواء من غير تأويل ، وأنه استواء الذات على العرش لا على معنى القعود والمماسة كما قالت المجسمة والكرامية ، ولا على معنى العلو والرفعة كما قالت الأشعرية ، ولا معنى الاستيلاء والغلبة كما قالت المعتزلة ، لأن الشرع لم يرد بذلك ولا نقل عن أحد من الصحابة والتابعين من السلف الصالح من أصحاب الحديث ذلك ، بل المنقول عنهم حمله على الإطلاق

และสมควรกล่าวคุณลักษณะของการอิสติวาอฺ ไว้กว้าง โดยไม่ตีความ และแท้จริงมันคือ การอิสติวาอฺ ของซาต(ตัวตนของอัลลออ เหนืออะรัช ไม่ได้อยู่บนความหมายว่า นั่ง หรือ การสัมผัส อย่างเช่นที่กลุ่มมุญัสสิมะฮและอัลกะรอมียะฮได้กล่าวไว้ และไม่ใช่ความหมาย ว่า สู่งส่งและสูงศักดิ์ ดังที่กลุ่มอัชอะรียะฮกล่าวไว้ และไม่ใช่ ความหมายว่า การยึดครองและการพิชิต ดังที่ กลุ่มมุอตะซิละอ ได้กล่าวไว้ เพราะว่า ตัวบททางศาสนาบัญญัติไม่ได้บอกกล่าวถึงความหมายดังกล่าวนั้นๆไว้ แล้วก็ไม่ปรากฏการรายงานจากบรรดาซอฮาบะฮฺหรือจากบรรดาตะบีอีนจากยุคสลัฟหรือจากบรรดานักวิชาการหะดีษถึงการตีความในแบบเหล่านี้เลย” ในทางกลับกัน สิ่งที่ถูกรายงานจากพวกเขา (ความหมายของอิสติวาอฺนั้น)คือ การถือมันตามที่ถูกกล่าวไว้กว้างๆ(ในตัวบท) -ดูเชคอับดุลกอดีรญีลานี หนังสือ ฆุนยะตุตตอลิบีน เล่ม 1 หน้า 124
และเช็คอับดุลกอเดร อัลญีลานีย์ ได้กล่าวอีกว่า

وأنه تعالى ينزل في كل ليلة إلى سماء الدنيا كيف شاء وكما شاء ، فيغفر لمن أذنب وأخطأ وأجرم وعصى لمن يختار من عباده ويشاء 
تبارك العلي الأعلى ، لا إله إلا هو له الأسماء الحسنى ، لا بمعنى نزول الرحمة وثوابه على ما ادعته المعتزلة والأشعرية
และแท้จริง อัลลอฮตาอาลา ทรงเสด็จลงมา ยังฟากฟ้าดุนยาในทุกๆคืน ตามรูปแบบที่ทรงประสงค์ ดังสิ่งที่ทรงประสงค์ แล้วทางอภัยแก่ผู้ที่ทำบาป ,ทำความผิด ,ก่ออาชญกรรมและทำการฝ่าฝืน แก่ผู้ที่ทรงเลือก จากบรรดาบ่าวของพระองค์ และผู้ทรงบริสุทธิ์ ทรงสูงส่งยิ่ง ทรงประสงค์ ,ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ ผู้ทรงมี บรรดาพระนามที่สวยงาม ,การเสด็จลงมา (นูซูล) นั้น ไม่ใช่ ความหมายว่า ความเมตตาและผลบุญของพระองค์ ตามที่ กลุ่มมุอตะซิละฮและ อัชอะรียะฮ อ้าง
-จากหนังสือที่อ้างแล้ว หน้า 125
>>>>>>>>>>>>
ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า อะกีดะฮของ ชัยคฺอับดุลกอดีร อัลญีลานีย์ คือ อะกีดะฮสะลัฟ ไม่ใช่แบบอาชาอิเราะฮกาลามียะฮยุคหลัง ที่ปฏิเสธการอยู่ทิศเบื้องสูงของอัลลอฮ 
และขอเรียนให้เข้าใจตรงกันว่าคำว่า อยู่บนอะรัช ไม่ได้หมายถึงนั่งและสัมผัสกับอะรัช แต่หมายถึง อยู่เหนืออะรัช เหนือมัคลูคแยกจากมัคลูคทั้งหลาย และบรรดามุสลิมส่วนหนึ่งที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ ก็ไม่ได้เชื่อว่า อัลลอฮอาศัยอะรัชเป็นที่อยู่อาศัย หรือใช้อารัชเป็นที่นั่ง ดังที่พวกอคติได้ใส่ใคล้และปรักปรำ –วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/11/59
ติดตามภาค 2 เรื่อง อะกีดะฮชัยค์อับดุลกอเดร กับสิฟาตกาลาม(อินชาอัลลอฮ)

คำว่าอัลลอฮอยู่ในเมฆหมายความว่าอย่างไร





คำว่าอัลลอฮอยู่ในเมฆหมายความว่าอย่างไร
อบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์
2 ชม.
ผมขอนั่งรอหลักฐานจากชารีฟทีนี้ดีกว่าน้อ
เรืองมีอยู่ว่า wahabi. charif. jema ได้โพสคลีป วะฮาบีคาน ณ ก้อนเมฆก้อนหมอก คำถามทีบาบอมะ ถามบีบีคาน ว่าก่อนสร้างอารัชอัลลอฮอยู่ใน บีบีคานเลยตอบว่า อยู่ ณ ก้อนเมฆก้อนหมอก #หลักฐานทีผมต้องรอ ก็คือวะฮาบีชารีฟ ว่าคำถามที บาบอมะถามนั้น (ก่อนสร้างอารัชอัลลอฮอยู่ใน) คำถามนี้วะฮาบีชารีฟว่า ญะฮูดีเค่ยถามนบีมา ผมก็เลยต้องตั้งกระทู้รอ พร้อมๆหลักฐานทีวะฮาบีชารีฟว่ามา จะรอในกระทู้เห็นมันเม้นกันยาวๆ แล้ว ผมก็เลยดับรอทีนี้ดีกว่าน้อ
#วะฮาบีชารีฟเชิญหาทีก็อปหรือขอจากเวาะซาบีเดาะก็ได้นะผมจะรอ...........
@@@@
ชี้แจง
นายอบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์ คนนี้ถามหาหลักฐาน เพื่อเอาไปชง เพราะหาเองไม่ได้ ความจริงหะดิษที่ อ้างว่า
ท่านอิหม่ามอัตติรมิซีย์ หะดีษที่ 3109 เรื่อง بَاب وَمِنْ سُورَةِ هُودٍ
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ مَنِيعٍ حَدَّثَنَا يَزِيدُ بْنُ هَارُونَ أَخْبَرَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ عَنْ يَعْلَى بْنِ عَطَاءٍ عَنْ وَكِيعِ بْنِ حُدُسٍ عَنْ عَمِّهِ أَبِي رَزِينٍ قَالَ قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ أَيْنَ كَانَ رَبُّنَا قَبْلَ أَنْ يَخْلُقَ خَلْقَهُ قَالَ كَانَ فِي عَمَاءٍ مَا تَحْتَهُ هَوَاءٌ وَمَا فَوْقَهُ هَوَاءٌ وَخَلَقَ عَرْشَهُ عَلَى الْمَاءِ قَالَ أَحْمَدُ بْنُ مَنِيعٍ قَالَ يَزِيدُ بْنُ هَارُونَ الْعَمَاءُ أَيْ لَيْسَ مَعَهُ شَيْءٌ قَالَ أَبُو عِيسَى هَكَذَا رَوَى حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ وَكِيعُ بْنُ حُدُسٍ وَيَقُولُ شُعْبَةُ وَأَبُو عَوَانَةَ وَهُشَيْمٌ وَكِيعُ بْنُ عُدُسٍ وَهُوَ أَصَحُّ وَأَبُو رَزِينٍ اسْمُهُ لَقِيطُ بْنُ عَامِرٍ قَالَ وَهَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ 
คำแปลตัวบท
จากวะเกี๊ยะอ์บินอุดุส จากลุงของเขาคืออะบีร่อซีนเล่าว่า ฉันกล่าวว่า
โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ เดิมนั้นพระเจ้าของพวกเรา อยู่ที่ไหนครับ ก่อนที่พระองค์จะสร้างมัคลู๊ก ?
ท่านนบี(ศอ็ลฯ)ตอบ ว่า : เดิมนั้นพระองค์ทรงอยู่ ในเมฆหมอกอันหนาทึบ สิ่งที่อยู่ใต้หมอกควันนี้คือฮะวา(อากาศ)และสิ่งที่อยู่เหนือหมอกควันนี้คือ ฮะวา ต่อมาพระองค์จึงสร้างอารัชของพระองค์ไว้บนน้ำ..........อิหม่ามอัตติรมีซีย์ กล่าวว่า นี้คือ หะดิษหะซัน (อยู่ในระดับดี)
............
หะดิษข้างต้นนักวิชาการส่วนหนึ่งว่า เป็นหะดิษเฎาะอีฟ แต่ก็มีนักวิชาการหะดิษที่ระบุว่าเป็นหะดิษที่อยู่ในระดับ หะซัน(ดี) เช่น อิหม่ามอัตติรมิซีย์ ที่ นายอบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์ และพันธมิตรของเขาคือกลุ่มชีอะฮ นำมาเยาะเย้ยกล่าวหาวะฮบีย์ตลอด
ความจริง ถ้าไม่มีอคติ และรู้จักหาตำรามาอ่าน ด้วยใจบริสุทธิก็ไม่มีปัญหาเลย
อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ (ร.ฮ) อธิบายว่า
وَيُرِيدُ بِقَوْلِهِ " فِي عَمَاءٍ " . أَيْ : فَوْقَ سَحَابٍ مُدْبِرًا لَهُ وَعَالِيًا عَلَيْهِ ، كَمَا قَالَ تَعَالَى : أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ سورة الملك آية 16 , يَعْنِي : مَنْ فَوْقَ السَّمَاءِ
และ ท่านนบีต้องการด้วยคำพูดของท่านที่ว่า "ในเมฆหมอก" หมายถึง อยู่เหนือเมฆ ทรงเป็นผู้บริหารมัน และทรงสูงเหนือมัน ดังที่ อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า (พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือจากผู้ที่อยู่ในฟ้า -อัลมุลกุ/16 หมายถึง ผู้ที่อยู่เหนือฟากฟ้า - ดูอัลอัสมาอวัสสิฟาต หะดิษหมายเลข 797 เรือง بَابُ : بَدْءِ الْخَلْقِ
...............
เพราะฉะนั้น คำว่าอยู่ในเมฆหมอก ก็คือ อยู่เหนือเมฆหมอก ไม่ใช่อยู่ในหมอก
อัลมุบาเราะกาฟูรีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
قُلْتُ : إِنْ صَحَّتِ الرِّوَايَةُ " عَمًى " بِالْقَصْرِ فَلَا إِشْكَالَ فِي هَذَا الْحَدِيثِ ، وَهُوَ حِينَئِذٍ فِي مَعْنَى حَدِيثِ : كَانَ اللَّهُ وَلَمْ يَكُنْ شَيْءٌ غَيْرُهُ وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ رَوَاهُ الْبُخَارِيُّ وَغَيْرُهُ عَنْ عِمْرَانَ بْنِ حُصَيْنٍ ، وَإِنْ صَحَّتِ الرِّوَايَةُ " عَمَاءً " بِالْمَدِّ ، فَلَا حَاجَةَ إِلَى تَأْوِيلٍ بَلْ يُقَالُ نَحْنُ نُؤْمِنُ بِهِ وَلَا نُكَيِّفُهُ بِصِفَةٍ ، أَيْ نُجْرِي اللَّفْظَ عَلَى مَا جَاءَ عَلَيْهِ مِنْ غَيْرِ تَأْوِيلٍ كَمَا قَالَ الْأَزْهَرِيُّ
ข้าพเจ้ากล่าวว่า " หากรายงานนี้เศาะเฮียะ คำว่า " عَمًى ً(อะมัน) อ่านสั้น ก็ไม่เป็นการคลุมเครือใดๆในหะดิษนี้ และ ในขณะนั้น มันก็อยู่ในความหมายหะดิษ ที่ว่า "อัลลอฮทรงมีอยู่แล้ว และไม่มีสิ่งใดอื่นจากพระองค์ และ อะรัชของพระองค์ อยู่บนน้ำ-รายงานโดยบุคอรี ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตีความ แต่ทว่า จะถูกกล่าวว่า "เราศรัทธา ด้วยมัน,เราจะไม่พรรณารูปแบบด้วยคุณลักษณะใดๆ หมายถึง เราจะปล่อยให้คำนี้ ดำเนินไปตามสิ่งที่มันได้มีมาบนมัน โดยปราศจากการตีความ ดังที่อัลอัซฮะรีย์ ได้กล่าวเอาไว้ - ดูตุวหฟะตัลอะหวะซีย์ อธิบายหะดิษหมายเลข 3109 บทว่าด้วยตัฟสีรอัลกุรอ่าน ซูเราะฮฮูด
....................
คำพูดของอัลอัซฮะรีย์ที่อัลมุบาเราะฟูรียกล่าวถึงคือ
قَالَ الْأَزْهَرِيُّ : فَنَحْنُ نُؤْمِنُ بِهِ وَلَا نُكَيِّفُ صِفَتَهُ
อัลอัซฮะรีย์กล่าวว่า " "เราศรัทธา ด้วยมัน,เราจะไม่พรรณารูปแบบด้วยคุณลักษณะใดๆของมัน
จากหลักฐานที่กล่าวทั้งหมด จะเห็นได้ว่า นักวิชาการ ไม่ได้เข้าใจอย่างที่นาย อบูฮาซัน บิน ซาฟีอีย์ที่มีแนวคิดญะมียะฮและชีอะฮพันธมิตรของเขาเข้าใจว่า อัลลอฮอยู่ในเมฆ แต่เขาหมายถึงอัลลอฮอยู่เบื้องสูง และทรงมีมาก่อนแล้วไม่มีสิ่งใดมีมาก่อนอัลลอฮ ถือว่าหะดิษอบีเราะซีน มีความสอดคล้องกับความหมาย หะดิษที่รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี
كَانَ اللَّهُ وَلَمْ يَكُنْ شَيْءٌ قَبْلَهُ وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ ثُمَّ خَلَقَ السَّمَوَاتِ وَالْأَرْضَ
อัลลอฮทรงมีอยู่แล้ว และไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนพระองค์ และ อะรัชของพระองค์นั้น อยู่บน น้ำ หลังจากนั้น พระองค์ทรงสร้างบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดิน - หะดิษบุคอรี หมายเลข 6982 
อิหม่ามบุคอรีจัดหะดิษข้างต้น ในหัวข้อเรื่อง
بَاب وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ وَهُوَ رَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ قَالَ أَبُو الْعَالِيَةِ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ ارْتَفَعَ فَسَوَّاهُنَّ خَلَقَهُنَّ وَقَالَ مُجَاهِدٌ اسْتَوَى عَلَا عَلَى الْعَرْشِ
บทว่าด้วยคำตรัสของอัลลอฮ (และอะรัชนั้นอยู่บนน้ำ) (และพระเจ้าแห่งอะรัชอันยิ่งใหญ่) อบูอัลอาลียะฮ กล่าวว่า (ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า) หมายถึง ทรงขึ้นไป (และได้ทำให้มันสมบูรณ์) หมายถึง ทรงสร้างมัน และมุญฮิด กล่าวว่า คำว่า(อิสตะวา) หมายถึง ทรงอยู่สูงเหนือบัลลังค์ ( อะรัช) - ดูเศาะเฮียะบุคอรี เล่ม 6 หน้า 2699 หะดิษหมายเลข 6982
...............
การนั่งเทียนมโน โดยใช้นัฟซูและอคติชักนำแล้วโจมตีคนอื่น โดยไม่แยแสว่าความจริงเป็นอย่างไร แค่จะเอาชนะ นั้นคือ วิธีการของคนที่ชัยฏอน ครอบงำ และคุมบังเหงียน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/11/59

วาทกรรมบิดเบือนคำพูดอิหม่ามมาลิก






วาทกรรมบิดเบือนคำพูดอิหม่ามมาลิก
อิจมาอีย์ บินกิยะซีย์ ส่วนอะกีดะฮ์ของอีม่ามมาลิกี(รฮ)ของแท้เป็นแบบนี้คบ..
มีรายงานจากท่าน ญะอ์ฟัร บิน อับดิลลาฮ์ กล่าวว่า:
كنا عند مالك بن أنس فجاءه رجل فقال: يا أبا عبد الله، {الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى} [سورة طه: الآية 5] كيف استوى؟....... وقال: الكيف منه غير معقول، والاستواء منه غير مجهول، والإيمان به واجب، والسؤال عنه بدعة، وأظنك صاحب بدعة وأمر به فأخرج.( التمهيد لابن عبد البر ج ٧ ص ١٥١)
ในขณะที่พวกเราได้อยู่พร้อมกับ ท่าน อิหม่ามาลิก(รฮ)นั้น ได้มีชายคนหนึ่งได้มาถามท่านอิหม่ามมาลิก(รฮ)ว่า : โอ้ท่าน อะบูอับดิลลาฮ์เอ๋ย..
ที่พระองค์ตรัสว่า 
الرَّحْمَنُ اسْتَوَ عَلَى الْعَرْشِ
(ซูเราะห์ ตอฮา อายะห์ที่ 5)
แล้วพระองค์ اسْتَوَى อย่างไรกันหรือ 
ท่านอีม่ามมาลิก(รฮ)กล่าวตอบว่า : วิธีการของมันนั้นไม่เป็นที่รู้กัน และการ اسْتَوَىไม่เป็นที่รู้จัก แต่ การศรัทธาสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องจำเป็น และการถามถึงมันนั้น เป็นบิดอะห์ และฉัน(อีมามมาลิก(รฮ)คิดว่า ท่านกำลังจะกลายเป็นพวกบิดอะห์ไปแล้ว.. และเขาก็ถูกสั่งใ ห้ออกไป... อัตตัมฮีด ของอิหม่าม อิบนิ อับดิ้ลบัร เล่ม 7 หน้า 151
..............................
@@@@
ชี้แจง
มาดูการแปลบิดเบือนคำพูดของอิหม่ามมาลิก ของ นาย อิจมาอีย์ บินกิยะซีย์ ดังนี้
والاستواء منه غير مجهول،
คำนี้ นาย อิจมาอีย์ บินกิยะซีย์ แปลว่า
และการ اسْتَوَىไม่เป็นที่รู้จัก
..........
เป็นการแปลแบบโกหกมดเท็จ บิดเบือนคำพูดของอิหม่ามมาลิก
เพราะความหมายที่แท้จริงคือ..
และอิสติวาอฺนั้น ไม่ได้ถูกไม่รู้ 
หมายถึง ความหมายของมันเป็นที่รู้กันนั้นเอง เพราะมีอีกสำนวนคือ
لاستواء معلومٌ ، والكيف مجهولٌ ، والإيمان بـــه واجبٌ ، والسؤال عنه بدعةٌ
อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ถูกไม่รู้(ไม่เป็นที่รู้กัน) และกาศรัทธาด้วยมันนั้น วาญิบ และการถามจากมัน คือบิดอะฮ
..........
ดูที่มา
رواه اللالكائي في " شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة " (3/441) والبيهقي في "الأسماء والصفات " (ص 408) وصححه الذهبي وشيخ الإسلام والحافظ ابن حجر .
....................
คำว่า غير مجهول ความหมายเดียวกับคำว่า معلوم คือ เป็นที่รู้กัน หมายความว่า ความหมายของอัลอิสติวาอฺเป็นที่รู้กันในทางภาษา
ดังที่อิหม่ามอัลกุรฎุบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
قال مالك رحمه الله : الاستواء معلوم - يعني في اللغة - والكيف مجهول ، والسؤال عن هذا بدعة
มาลิก(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า อิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน หมายถึง ในภาษา และรูปแบบวิธีการนั้น ถูกไม่รู้(ไม่เป็นที่รู้กัน) และการถามเกี่ยวจากนี้ คือ บิดอะฮ - ดูตัฟสีรอัลกุรฏุบีย์ 7/219
อบูบักร์ อิบนุอัลอะเราะบีย์ อัลมะลิกีย์ (ฮ.ศ 543)
ท่านได้อธิบายหะดิษสิฟัตในสุนันติรมิซีย์ว่า
ومذهب مالك رحمه الله أن كل حديث منها معلوم المعنى، ولذلك قال للذي سأله: "الاستواء معلوم، والكيفية مجهولة
และแนวทางของมาลิก (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) แท้จริงทุกหะดิษจากมัน(จากหะดิษที่ระบุเกี่ยวกับสิฟาต) ความหมาย เป็นที่รู้กัน และเพราะดังกล่าว เขาได้กล่าวแก่ผู้ที่ถามเขาว่า " อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน - อาริเฎาะตุลอะหวะซีย์ 3/166
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า ความหมายอัลอิสติวาอฺ ไม่มีใครรู้ เป็นการโกหก กล่าวเท็จให้แก่อิหม่ามมาลิกและบรรดาปราชญสะลัฟ
มาดูคำอธิบายของปราชญสะลัฟอีกท่านคือ
อบูอุบัยดะฮ มุอฺมัร บิน อันมุษันนา (ฮ.ศ 210) ได้อธิบายอายะฮที่ว่า 
ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ [يونس:3 
หลังจากนั้นทรงสถิตบนบัลลังค์- ยูนูส/3 
คือ 
ظهر على العرش وعلا عليه" 
ทรงปรากฏอยู่บนอะรัชและอยู่สูงเหนือมัน – มะญาซอัลกุรอ่านของ อบูอุบัยดะฮ 1/273 
.................
ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าสะลัฟรู้ความหมายคำว่า “ استوى على เขาจึงอธิบายว่า อยู่สูงเหนืออะรัช 
والله أعلم بالصواب
อะสันหมัดอะดั้ม
29/11/59

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วาทะกรรมบิดเบือนคำพูดชัยค์อัฏเฏาะหาวีย์.







วาทะกรรมบิดเบือนคำพูดชัยค์อัฏเฏาะหาวีย์.
‎อัลจูนัยดี อัชซาฟีอี‎ ถึง อากีดะห ์อะห์ลิ้ลซุนนะห์ วัลญามาอะห์
17 พฤศจิกายน เวลา 7:53 น. · 
1⃣ ไม่มีคนใดเลย จากซาลาฟ ที่บอกว่า พระเจ้า มีสถานที่ นอกจาก ซาลาฟ (วะบี) เท่านั้น...
👉👉แล้ว อายะ นี้ละเราจะว่ากันอย่างไร
قال الله تعالى :
◇ثم استوى على العرش◇
...แล้ว พระองค์ ก็ อิสตีวะ เนือ อารัส.
👬👬👬👬👬👬👬👬
👉👉 สะลัฟศอลิห์ อิตีกอด ว่า อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์ จากความหมาย เปลือกนอก (เช่น นั่งบนบัลลังก์)
สวนความหมาย (อิสตีวะ) นั้น สาลัฟ มอบหมาย ต่อ พระองค์.
﹏﹏﹏﹏﹏﹏﹏﹏﹏﹏
👉👉 แล้วไหนล่ะ หลักฐาน ที (สาลัฟ) บอกว่า อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์ จากความหมาย เปลือกนอก.
👌 ข้างล่าง ครับผม..
👉1. อธิบาย โดย ท่าน อิหม่ามอัตอฮาวีย์ (ฮศ. 239-321 . สะลัฟศอลิห์ )ได้ยืนยันในหนังสือ 
อัฏเฏาะหาวีย์... ว่า :
... لاَ تَحْوِيهِ الـجِهَاتِ الستُّ كَسَائِرِ الـمُبْتَدَعَاتِ
“ อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์ และ ปราศจาก การห้อมล้อมพระองค์ โดยทิศทั้งหก ที่เสมือนกับบรรดา สิ่งที่ถูกสร้าง ทั้งหลาย ”
@@@@
ชี้แจง
คุณ ‎อัลจูนัยดี อัชซาฟีอี กล่าวเท็จแก่สะลัฟว่า ‎"(สาลัฟ) บอกว่า อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์ จากความหมาย เปลือกนอก."
ช่างน่า หดหู่ยิ่งนัก พยายามที่จะอุตริคำศัพท์แปลกๆขึ้นมา เพื่อที่จะตีความอายาตและหะดิษสิฟาต เช่น ของ อัลจูนัยดี อัชซาฟีอี คือ "ความหมาย เปลือกนอก". ส่วน ของอาจารย์แกนนำอาชาอิเราะฮเมืองไทย คือ "ความหมายผิวเผิน"... นะอูซูบิลละฮ
ความจริง หมายถึงความหมายของคุณลักษณะของอัลลอฮที่ปรากฏตามตัวบท ซึ่งปราชญยุคสะลัฟ เขายืนยืนคุณลักษณะของอัลลอฮ ตามความหมายของคำที่มีมาตามตัวบทหรือที่ปรากฏตามตัวบท
ดังที่ท่านอิบนุอับดิลบัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
أهل السنة مجمعون على الإقرار بالصفات الواردة كلها في القرآن والسنة والإيمان بها وحملها على الحقيقة لا على المجاز إلا أنهم لا يكيفون شيئا من ذلك
อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ มีมติเห็นพ้องกัน ในการยอมรับบรรดาคุณลักษณะ(ซิฟาต) ทั้งหมดที่ปรากฏในอัลกุรอ่านและซุนนะฮ์ และศรัทธาต่อมัน และถือมันตามความหมายจริง(ฮะกีกัต) ไม่ใช่ตามความหมายในเชิงอุปมาอุปมัย นอกจากว่า แท้จริงพวกเขา ไม่ได้อธิบายวิธีการว่าเป็นอย่างไรจากซิฟัตดังกล่าวนั้น - อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 145
เพื่อให้ชัดเจนขึ้น มาดูคำอธิบาย ของอิหม่ามอัลคิฏอบีย์ ใน อัลอะอฺลาม โดยอิบนุเราะญับ ได้ถ่ายทอดว่า
مذهب السلف في أحاديث الصفات: الإيمان، وإجراؤها على ظاهرها، ونفي الكيفية عنها ، ومن قال: الظاهر منها غير مراد، قيل له: الظاهر ظاهران: ظاهر يليق بالمخلوقين ويختص بهم، فهو غير مراد، وظاهر يليق بذي الجلال والإكرام، فهو مراد، ونفيه تعطيل.
และอัลคิฏอบีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลอะอลาม ว่า “มัซฮับ สะลัฟ ใน บรรดาหะดิษสิฟาตนั้น คือ การศรัทธา และปล่อยมันให้ดำเนินไปบนความหมายที่ปรากฏของมัน และ ปฏิเสธรูปแบบวิธีการจากมัน และ ผู้ใดที่กล่าวว่า ความหมายที่ปรากฏ จากมันนั้น ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ ก็จะถูกกล่าวแก่เขาว่า “ ความหมายที่ปรากฏนั้น มี 2 ประเภท คือ ความหมายที่ปรากฏที่คู่ควรกับบรรดามัคลูค และมันถูกเจาะด้วยพวกเขา มันคือ ความหมายที่ไม่ต้องการ และ (ความหมายที่ 2) คือ ความหมายที่ปรากฏ ที่คู่ควร กับพระผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงเกียรติยิ่ง และมันคือ ความหมายที่ต้องการ และการปฏิเสธมัน ก็คือ การตะอฺฏีล(การปฏิเสธสิฟัตอัลลฮ) – ดูฟัตหุลบารีย ของอิบนุเราะญับ 6/41
คำว่า
وإجراؤها على ظاهرها
ความหมายก็คือ 
และให้มัน(ให้คุณลักษณะของอัลลอฮ)ดำเนินไปบนความหมายที่ปรากฏตามตัวบทของมัน
แปลก....คุณ อัลจูนัยดี อัชซาฟีอี‎ คิดคำศัพย์ใหม่ขึ้นมาคือ "ความหมายเปลือกนอก" ชาวบ้านไม่รู้อิโน่อิเหน่ ก็เสพเข้าไป
มาดูความหมายคำว่า
نفي الكيفية عنها 
ความหมายคือ ปฏิเสธการอธิบายรูปแบบคุณลักษณะของอัลลอฮ ว่าเป็นอย่างไร
มาดูคำพูดอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์และคำแปลที่ถูกต้องดังนี้
... لاَ تَحْوِيهِ الـجِهَاتِ الستُّ كَسَائِرِ الـمُبْتَدَعَاتِ
และ บรรดาทิศทั้งหกไม่ได้ห้อมล้อมพระองค์ เหมือนกับ บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง ทั้งหลาย ”
..
ขอชี้แจงต่อว่า
คุณ ‎อัลจูนัยดี อัชซาฟีอี อ้างข้างต้นแบบ เดาสุ่ม มันคนละเรื่องกับการตัฟวีฎ สิฟาต เพราะข้างต้น อิหม่ามอัเฎาะฮาวีย์ กล่าวถึง บรรดาทิศทั้งหกซึ่งเป็นมัคลูค ไม่ได้ห้อมล้อมอัลลอฮตาอาลา ซึ่ง ตรงนี้ ไม่มีใครมีอะกีดะฮเชื่อว่า อัลลอฮอยู่ในทิศทั้งหกเลย
อิบนุอะบิลอิซ (ร.ฮ) ปราชญมัซฮับหะนะฟีย์ เช่นเดียวกับอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ อธิบายว่า
وَقَوْلُ الشَّيْخِ رَحِمَهُ اللَّهُ: (( لَا تَحْوِيهِ الْجِهَاتُ السِّتُّ كَسَائِرِ الْمُبْتَدَعَاتِ )) هُوَ حَقٌّ، بِاعْتِبَارِ أَنَّهُ لَا يُحِيطُ بِهِ شَيْءٌ مِنْ مَخْلُوقَاتِهِ، بَلْ هُوَ مُحِيطٌ بِكُلِّ شَيْءٍ وَفَوْقَهُ. وَهَذَا الْمَعْنَى هُوَ الَّذِي أَرَادَهُ 
الشَّيْخُ رَحِمَهُ اللَّهُ،
และคำพูดของชัยค์(หมายถึงชัยค์อัฏเฏาะหาวีย ร.ฮ) ที่ว่า(
และ บรรดาทิศทั้งหกไม่ได้ห้อมล้อมพระองค์ เหมือนกับ บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง ทั้งหลาย ”) มันคือ ความจริง โดยพิจารณาว่า ไม่มีสิ่งใดจากบรรดามัคลูคของพระองค์ ห้อมล้อมพระองค์ แต่ในทางกลับกัน พระองค์คือ ผุ้ทรงห้อมล้อมทุกๆสิ่ง และทรงอยู่เหนื่อมัน และนี้คือ ความหมายที่ชัยค์(ร.ฮ)ต้องการ
قَوْلُهُ : ( ( لَا تَحْوِيهِ الْجِهَاتُ السِّتُّ كَسَائِرِ الْمُبْتَدَعَاتِ ) ) وَقَوْلُهُ : ( ( مُحِيطٌ بِكُلِّ شَيْءٍ وَفَوْقَهُ ) ) عُلِمَ أَنَّ مُرَادَهُ أَنَّ اللَّهَ تَعَالَى لَا يَحْوِيهِ شَيْءٌ ، وَلَا يُحِيطُ بِهِ شَيْءٌ ، كَمَا يَكُونُ لِغَيْرِهِ مِنَ الْمَخْلُوقَاتِ ، وَأَنَّهُ تَعَالَى هُوَ الْمُحِيطُ بِكُلِّ شَيْءٍ ، الْعَالِي عَنْ كُلِّ شَيْءٍ .
และคำพูดของเขา(ของอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย)ที่ว่า (. และ บรรดาทิศทั้งหกไม่ได้ห้อมล้อมพระองค์ เหมือนกับ บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง ทั้งหลาย )และคำพูดของเขาที่ว่า(ทรงห้อมล้อมทุกๆสิ่ง และทรงอยู่เหนือมัน) ก็ถูกให้รู้ว่า แท้จริงความต้องการของเขา(ของชัยค์อัฏเฏาะหาวีย์) คือ แท้จริง อัลลอฮตาอาลา ไม่มีสิ่งใดล้อม/บรรจุพระองค์ ดังเช่น สิ่งอื่นๆจากพระองค์ จากบรรดามัคลูคทั้งหลาย และแท้จริงพระองค์ผู้ทรงสูงส่ง คือ ผู้ทรงห้อมล้อมทุกสิ่ง ,ทรงสูง จากทุกๆสิ่ง - ดูชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 193 -ตะหกีกมุหัมหมัดชากิร
............
จากคำอธิบายข้างต้นคือ
1.อัลลอฮตาอาลาทรงไม่ได้ถูกล้อมด้วยทิศทั้งหกเหมือนบรรดามัคลูค
2.ทรงห้อมล้อมทุกๆสิ่ง (หมายถึงด้วยความรู้ของพระองค์)
3. ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งและสูงจากทุกๆสิ่ง
...
จะเห็นได้ว่า อิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ยืนยันการอยู่เหนือและสูงจากทุกสิ่ง แต่ อาชาอิเราะฮบางคนไม่เข้าใจและนำมาอ้างแบบผิดๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า คนอาวามเอาคนญาเฮลเป็นผู้นำ ก็เท่ากับคนตาบอดจูงคนตาบอด ระดับหัวหน้าอาศัยคนญาฮีลทำหน้าที่แทนเพื่อเป็นนั่งร้านเพื่อยกและค้ำยันตัวเองให้อยู่รอด -วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/11/59