วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

ตรรกของละแบใส้แห้ง


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ตรรกของละแบใส้แห้ง
Ana Muhammad Ameen
เมื่อมีความเห็นต่างระหว่างปราชมัซฮับ เราไม่ได้ไปฮูกุมของไหนถูกของไหนผิดเพราะต่างปราชก็มีหลักฐานของแต่ละคน เมื่อที่มาของหลักฐานต่างกันหรือความเข้าใจของตัวบทไม่เหมื่อนกัน ฮูกุมก็จะออกต่างกัน อยู่ที่คนรุ่นหลังสืบหาว่าคนไหนหลักฐานหนักกว่ากัน
عن عمرو بن العاص رضي الله عنه أنه سمع رسول الله ﷺ يقول: «إذَا حَكَمَ الحَاكِمُ فَاجْتَـهَدَ ثُمَّ أَصَابَ، فَلَـهُ أَجْرَانِ، وَإذَا حَكَمَ فَاجْتَـهَدَ، ثُمَّ أَخْطَأَ، فَلَـهُ أَجْرٌ». متفق عليه
ความหมาย จากอัมรู บิน อัลอาศ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ เขาได้ยินท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “เมื่อผู้ปกครองต้องการจะตัดสิน ดังนั้นเขาได้วินิจฉัย ปรากฏว่าถูกต้องเขาจะได้รับผลบุญสองเท่า และเมื่อเขาต้องการจะตัดสินดังนั้นเขาได้วินิจฉัยปรากฏว่าผิดพลาดเขาจะได้รับหนึ่งผลบุญ” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 7352 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1716)
ถึงผมไม่ค่อยมีความรู้ทางศาสนาเท่าไร แต่คนอาเล็มและอูลามะ เขาไม่เอาเเละไม่ยอมรับหรอกถ้ามีอูลามะที่ออกฮูกุมโดยไม่มีหลักฐานจากกุรอานและฮาดิส ถ้าไม่มีในตัวบทที่เปะๆ ก็จะมีฮูกุมอิจมะและกียาสเข้ามา ทั้ง 4 มัซฮับก็ใช้หลักการนี้ทั้งนั้น
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นตรรกของคนดันทุรังที่จะทำสิ่งที่เป็นบิดอะฮ สวนทางกับอัสสุนนะฮ ที่มีตัวบทมาแล้วชัดเจน ว่า ในกรณีการตาย ให้เพื่อนบ้าน และญาติใกล้ชิด สงเคราะห์ครอบครัวผู้ตาย คือ ทำอาหารไปเลี้ยงคนในครอบครัวผูตาย ดังที่อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَأُحِبُّ لِجِيرَانِ الْمَيِّتِ أو ذِي قَرَابَتِهِ أَنْ يَعْمَلُوا لِأَهْلِ الْمَيِّتِ في يَوْمِ يَمُوتُ وَلَيْلَتِهِ طَعَامًا يُشْبِعُهُمْ فإن ذلك سُنَّةٌ وَذِكْرٌ كَرِيمٌ وهو من فِعْلِ أَهْلِ الْخَيْرِ قَبْلَنَا وَبَعْدَنَا لِأَنَّهُ لَمَّا جاء نَعْيُ جَعْفَرٍ قال رسول اللَّهِ صلى اللَّهُ عليه وسلم اجْعَلُوا لِآلِ جَعْفَرٍ طَعَامًا فإنه قد جَاءَهُمْ أَمْرٌ يَشْغَلُهُمْ
และข้าพเจ้า ชอบให้เพื่อนบ้านของผู้ตายหรือบรรดาญาติใกล้ชิดของเขา การที่พวกเขาทำอาหารให้แก่ครอบผู้ตาย ในวันที่เขาตายและในตอนกลางคืนของมัน(ของการตาย) เพราะแท้จริง ดังกล่าวนั้น คือ อัสสุนนะฮ และเป็นซิกิรที่มีเกียรติ และมันคือ ส่วนหนึ่ง จากการกระทำของ คนทำดี ก่อนและหลังจากพวกเรา เพราะแท้จริง เมื่อข่าวการตายของญะอฟัร ได้มาถึง ,ท่านรซูลุลลอฮ สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวของญะอฟัร เพราะแท้จริง สิ่ง(การตาย)ที่ทำให้พวกเขามีภาระยุ่ง – อัลอุม เล่ม 1 หน้า 278
…………..
จากคำพูดของอิหม่ามชาฟิอีข้างต้น สรุปได้ว่า
1.การที่เพื่อนบ้านและญาติๆผู้ตายทำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวผู้ตายคือสุนนะฮของท่านนบี
2. เมื่อท่านนบี ศอ็ลฯทราบข่าวการตายของท่านญะอฺฟัร บิน อบีฏอลิบ ท่านได้สั่งให้เหล่าเศาะหาบะฮทำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวญะอฟัร 
เมื่อปรากฏหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วว่า การนำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวผู้ตาย ย้ำ ครอบครัวผู้ตาย(ไม่ใช่ละแบที่ถูกเชิญมาหรือแขกที่มาเยี่ยม) 
เพราะฉะนั้นการอ้างหลักการอิจญติฮาด เป็นการอ้างบิดเบือนหลักการศาสนา เพราะตามหลักนิติศาสตร์อิสลามระบุว่า
لا مساغ للاجتهاد في مورد النص

ไม่อนุญาต (ไม่มีช่องทาง)สำหรับการ อิจญติฮาด ในสิ่งที่มีตัวบท –ดู ชัรหอัลเกาะวาอิดอัลฟิกฮียะฮ ของชัยค์มุหัมหมัด อัรซัรกอ หน้า 147
............
หลักฐานที่เป็นตัวบท มันมีชัดขนาดนี้ ยังแถ เพื่อที่จะให้มีการเลี้ยงอาหาร โดยครอบครัวผู้ตาย และไปเชิญละแบมาอ่านอัลกุรอ่าน ,การตะฮลีล อุทิศบุญให้ผู้ตาย ซึ่งเป็นการหาประโยชน์ กับการตาย ถ้าไม่เรียก “ละแบใส้แห้ง” จะเรียกอะไรดีให้สาสมกับคนที่ไม่แย่แสกับสุนนะฮนบี แต่กลับปกป้องบิดอะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/1/61





 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

ของจริงในกิตาบญาวี ที่ถูกซ่อนไว้


ในภาพอาจจะมี ข้อความ



ของจริงในกิตาบยาวีที่ถูกซ่อนไว้
(และมักรูฮ)อีกทั้งบิดอะฮ แก่ครอบครัวผู้ตาย ทำอาหาร เชิญบรรดาผู้คนมารับประทานมัน ก่อนและหลังจากฝังมัยยิต ดังเช่นประเพณีที่ได้ปฏิบัติกันมา (และอีกเช่นกัน)มักรูฮอีกทั้งบิดอะฮ แก่บรรดาผู้ที่ถูกเชิญรับเชิญมัน - ดู สะบีลุลมุฮตะดีน ของชัยค์มุหัมหมัด อัรชัด บิน อับดุลลอฮ อัลบันญารีย เล่ม 2 หน้า 87
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/1/61
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/1/61

วาทกรรม "แถสุดซอย"


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วาทกรรม "แถสุดซอย"
อะหมัดรอชีดี อุษมาน อิสมัญ อัลอัชอะรีย์
วะฮาบีย์กำลังเข้าใจผิด หรือแกล้งเข้าใจผิด เพราะความจริงเมื่อมีคนตายเกิดขึ้นครอบครัวผู้ตายจะไม่ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเลย จะยุ่งกับมัยยิดและรับแขกผู้มาเยี่ยมมัยยิดมากกว่า เพื่อนบ้านต่างๆหากที่ช่วยกันทำอาการกับข้าวกับปลาต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมมัยยิด
@@@@
ชี้แจง
อ่านข้อความข้างต้นแล้วแทบจะอาเจียร กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง เห็นๆกันอยู่ว่า การทำบุญเนื่องจากการตายตามประเพณีของมุสลิมไทย ในอดีตและปัจจุบัน 3 วัน 7 วัน 40 ของการตาย ทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากครอบครัวผู้ตาย แล้วยังจะอ้างข้างๆคูๆว่า แค่ครอบครัวผู้ตายแค่รับแขกที่มาเยี่ยม จึงถามว่า การมาเยี่ยมครอบครัวผู้ตาย มาเยี่ยม 3 วัน ครบรอบการตาย 7 วัน 40 วัน และ 100 วันหรือครับ ท่าน ? มีบัญญัติในศาสนหรือเปล่า
ขอเรียนผู้อ่านว่า
ถ้าอ้างการตะซียะฮ (การมาปลอบใจครอบครัวผู้ตาย)ในอิสลามนั้น การนัดชุมนุมเพื่อการตะฮซียะฮไม่มีแบบอย่างจากสุนะฮของท่านนบี
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَأَكْرَهُ الْمَأْتَمَ ، وَهِيَ الْجَمَاعَةُ ، وَإِنْ لَمْ يَكُنْ لَهُمْ بُكَاءٌ ، فَإِنَّ ذَلِكَ يُجَدِّدُ الْحُزْنَ ، وَيُكَلِّفُ الْمُؤْنَةَ مَعَ مَا مَضَى فِيهِ مِنْ الْأَثَرِ" .
وَأَكْرَهُ الْمَأْتَمَ ، وَهِيَ الْجَمَاعَةُ ، وَإِنْ لَمْ يَكُنْ لَهُمْ بُكَاءٌ ، فَإِنَّ ذَلِكَ يُجَدِّدُ الْحُزْنَ ، وَيُكَلِّفُ الْمُؤْنَةَ مَعَ مَا مَضَى فِيهِ مِنْ الْأَثَرِ" .
และข้าพเจ้า รังเกียจ การมะอฺตัม และมันคือ การรวมตัวกันเป็นหมู่คณะ และแม้ว่าจะไม่มีการร้องให้ก็ตาม เพราะแท้จริงดังกล่าวนั้น ทำให้เกิดความโศกเศร้าขึ้นมาใหม่ และมันทำให้แบกภาระการใช้จ่าย (แก่ครอบครัวผู้ตาย) ทั้งๆที่หะดิษได้อ้างเป็นหลักฐานผ่านมาแล้ว -อัลอุม 1/318
อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
أَمَّا الْجُلُوسُ لِلتَّعْزِيَةِ ، فَنَصَّ الشَّافِعِيُّ وَالْمُصَنِّفُ وَسَائِرُ الْأَصْحَابِ عَلَى كَرَاهَتِهِ ... قَالُوا : بَلْ يَنْبَغِي أَنْ يَنْصَرِفُوا فِي حَوَائِجِهِمْ ، فَمَنْ صَادَفَهُمْ عَزَّاهُمْ ، وَلَا فَرْقَ بَيْنَ الرِّجَالِ وَالنِّسَاءِ فِي كَرَاهَةِ الجلوس لها ..." .
ا
สำหรับการนั่ง(ของครับครัวผู้ตาย)เพื่อให้มีการตะอซียะฮ (ปลอบใจ) เพราะอัชชาฟิอี ,ผู้เรียบเรียงหนังสือ (หมายถึงอัชชีรอซีย์) และ บรรดาสหาย(ปราชญมัซฮับชาฟิอี) ที่เหลือ ได้บอกถึง การมักรูฮของมัน ยิ่งไปกว่านั้น สมควรพวกเขา(ครอบครัวผู้ตาย) แยกย้ายกันไป ในการทำธุระที่จำเป็นของพวกเขา ดังนั้นผู้ใดพบกับพวกเขา ก็ให้เขาทำการปลอบใจพวกเขา และไม่มีความแตกต่างระหว่างบรรดาผู้ชายและผู้หญิง ในการมักรูฮนั่งรอเพื่อมัน(เพื่อให้คนมาปลอบใจ) - มัจญมัวะชัรหอัลมุหัซซับ 5/306
ในหะวาชีย ตุหฟะตุลอัลมุหตาจญ ชัรห อัลมินฮาจญฺ ระบะว่า
وَمِنْ ثَمَّ كُرِهَ لِاجْتِمَاعِ أَهْلِ الْمَيِّتِ لِيُقْصَدُوا بِالْعَزَاءِ قَالَ الْأَئِمَّةُ بَلْ يَنْبَغِي أَنْ يَنْصَرِفُوا فِي حَوَائِجِهِمْ فَمَنْ صَادَفَهُمْ عَزَّاهُمْ
เพราะเห็นนี้ การร่วมชุมนุมของครอบครัวผู้ตาย เพื่อเจตนา ให้มีการตะอซียะฮ(ปลอบใจ)นั้น บรรดาอิหม่าม ได้กล่าวว่า "ยิ่งไปกว่านั้น สมควรพวกเขา(ครอบครัวผู้ตาย) แยกย้ายกันไป ในการทำธุระที่จำเป็นของพวกเขา ดังนั้นผู้ใดพบกับพวกเขา ก็ให้เขาทำการปลอบใจพวกเขา - ดู หะวาชีย์ ตุหฟะตุลอัลมุหตาจญ ชัรห อัลมินฮาจญฺ เล่ม 3 หน้า 207
.............
การตะอซียะฮ(ปลอบใจครอบครัวผู้ตาย) ทำที่ใหนก็ได้ คือ พบที่ใหนก็ปลอบใจที่นั้น แล้วการมาชุมนุมกันกินเพื่อปลอบใจ เอาแบบอย่างมาจากใครครับท่านบาบอ 
การไปเชิญละแบมาชุมนุม เพื่อรับประทานอาหารแล้วมีการ ซิกริลละฮ ตะฮลีล อ่านอัลกุรอ่านอุทิศบุญให้คนตาย แบบนี้หรือ คือการปลอบใจผู้ตาย แบบนี้หรือคือ การต้อนรับแขกที่นาย อะหมัดรอชีดี อุษมาน อิสมัญ อ้าง-นะอูซุบิลละฮ ทิ้งสุนนะฮนบีแล้วยังไม่พอ ยังที่จะให้คนอาวามทำสิ่งที่ขัดกับสุนนะฮนบี โดยอ้างเหตุผลนั้น นี่ โน้น ..มันน่าหดหูู่จริงๆ
والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ท
27/1/61





 ในภาพอาจจะมี ข้อความ



วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

วาทกรรมของผู้ที่หากินกับการตาย(ตอน บิดเบือนสุนนะฮนบี)





ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



วาทกรรมของผู้ที่หากินกับการตาย(ตอน บิดเบือนสุนนะฮนบี)
Fadli Yarang 
มีทัศนะว่า جواز مع الكراهة
และอีกทัศนะว่า หะรอม
ทั้งๆทีมัสฮัปซาฟีอีย์ม่หะรอมก็เราสะมารถทำใด้เพราะป้าวหมายคือฮะดียะห์ผลบุญการอ่านและการเลี้ยงก็ทำใด้ม่จำเป็นต้องใช้ทัศนะที่หะรอม.......
@@@@@@
ชี้แจง
ถ้าละแบ ไม่เห็นแก่กิน และไม่คิดหากินกับศพ ก็คงไม่ดันทุรัง หากินกับศพ ทำสิ่งที่รู้ว่าเป็นมักรูฮ หรอก ทั้งๆที่สิ่งที่เป็นสุนนะฮมีอยู่แล้วคือ การสงเคราะหครอบครัวผู้ตาย
ท่านนบี ศอ็ลฯ สั่งแก่เหล่าเศาะหาบะฮเมื่อได้รับข่าวการตายของ ญะอฟัร บิน อบีฏอลิบ ว่า
اِصْنَعُوْا لآلِ جَعْفَرِ طَعَامًا فَقَدْ اَتَاهُمْ مَايُشْغِلُهُمْ
“พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวยะฮฟัร ความจริง สิ่งที่ทำให้พวกเขามีภาระยุ่ง ได้มาประสบแก่พวกเขา – อัตติรมิซีย์ระบุว่า เป็นหะดิษ หะซัน และอัลหากิมระบุว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
ในอัลมุหัซซับ ของอัชชีรอซีย์ ปราชญมัซฮับชาฟิี เล่ม 2 หน้า 259 ระบุว่า
وَيُسْتَحَبُّ لِأَقْرِبَاءِ الْمَيِّتِ وَجِيرَانِهِ أَنْ يُصْلِحُوا لِأَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا لِمَا رُوِيَ أَنَّهُ : { لَمَّا قُتِلَ جَعْفَرُ بْنُ أَبِي طَالِبٍ كرم الله وجهه قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : اصْنَعُوا لِآلِ جَعْفَرٍ طَعَامًا ، فَإِنَّهُ قَدْ جَاءَهُمْ أَمْرٌ يَشْغَلُهُمْ عَنْهُ }
"ชอบ(สุนัต)ให้บรรดาญาติใกล้ชิดของผู้ตายและบรรดาเพีอนบ้าน ทำอาหารให้แก่ครอบครัวผู้ตาย เพราะมีรายงานว่า เมื่อ ญะฟัร บิน อบีฏอลิบ ถูกฆ่า ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า "พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวของยะอฟัร.เพราะแท้จริง สิ่ง(การตาย)ที่ทำให้พวกเขามีภาระยุ่ง ได้มาประสบกับพวกเขา – 
………
พยายามบิดเบือนอ้างเรื่องการทำเศาะดะเกาะฮ อย่าบิดเบือนเลยครับ การเศาะดะเกาะฮที่กล่าวถูก ไม่ได้จำกัดรูปแบบ แต่การตายท่านนบีสอนไว้แล้วว่า ให้เพื่อนบ้านและญาติใกล้ชิด ทำการสงเคราะหครอบครัวผู้ตาย โดยการนำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวคนตาย ไม่ใช่ครอบครัวผู้ตายส่งเคราะละแบอย่างท่าน โดยทำอาหารไปเชิญละแบใส้แห้ง มากินที่บ้านผู้ตาย อนึงประเพณีทำบุญเนื่องจากการตายเลียนแบบพุทธ ที่เรียกว่า “ทักษิณานุประทาน หรือ ทักษิณานุปทาน เป็นพิธีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งไม่มีแบบอย่างจากสุนนะฮ จะดันทุรังและบิดเบือนวิชาการไปถึงใหนครับ ละแบ ฟาฎีล ยะรัง
ท้ายนี้ขออัลลอฮ ตาอาลาโปรดชี้นำทางที่ถูกต้องแก่พีน้องมุสลิมทั้งหลายด้วยเถิด อย่าได้หลงเชื่อวาทกรรมของบรรดาละแบที่หาประโยชน์กับการตายของชาวบ้านเลย –อามีน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/1/61

เอกสารอ้างอิง
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

การกินบุญบ้านผู้ตายไม่อร่อยอย่างที่คิด


ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป


การกินบุญบ้านผู้ตายไม่อร่อยอย่างที่คิด
ตามหลักศาสนาอิสลาม นั้น เมื่อคนใดได้เสียชีวิตลง คนเป็น ก็จะต้องรีกจัดการศพคือ
1. อาบน้ำศพ
2. ห่อศพ
3. ละหมาดให้แก่ศพ
4. ฝังศพ
สิ่งเหล่านี้จะต้องรีบจัดการ ดังที่ท่านท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ00)ได้กล่าวว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม)ได้กล่าวว่า
«أسرعوا بالجنازة فإن تك صالحة فخير تقدمونها إليه، وإن تك سوى ذلك فشر تضعونه عن رقابكم
“พวกท่านจงรีบจัดการกับศพ(ญะนาซะฮฺ) เพราะหากเขาเป็นคนดี ก็เป็นสิ่งดีที่ท่านจะทำให้กับเขา แต่หากเขาเป็นอื่นจากนั้น ก็เป็นสิ่งเลวร้ายที่พวกท่านวางไว้บนต้นคอของเขา” บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ และมุสลิม
...........
แต่ในสังคมมุสลิมบ้านเรามีจำนวนไม่น้อยไม่ปฏิบัติตามสุนนะฮนี้ เพราะ รอลูกหลาน หรือญาติ ที่อยู่ห่างใกล บ้างก็มีนัยในการประวิงเวลาจัดการศพ เพราะรอซอง จากแขกที่มาเยี่ยม
ในการณี ทรัพย์สิน ของผู้ตายนั้น คนที่มีชีวิตอยู่จะต้องจัดการดังนี้คือ
1.ชดใช้หนี้สินผู้ตาย (หากมี)
2. จัดการเรื่องพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ตาย (หากผู้ตายทำไว้) ดังอัลกุรอ่านระบุว่า
مِن بَعْدِ وَصِيَّةٍ يُوصِي بِهَا أَوْ دَيْنٍ
ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียมันไว้หรือหลังจากหนี้สิน –อันนิสาอ/11
ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม)ได้กล่าวว่า
نفس المؤمن معلقة بدينه حتى يقضى عنه
“ชีวิต(วิญญาณ)ของผู้ศรัทธาจะถูกแขวนไว้เพราะหนี้สินที่เขามี จนกว่าจะมีการชดใช้แทนเขา” บันทึกโดยอัต-ติรมิซียฺ
3. จัดการแบ่งมรดกจากทรัพย์สินของผู้ตายให้แก่ทายาท
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) กล่าวว่า
حَدَّثَنَا بِشْرُ بْنُ مُعَاذٍ قَالَ : حَدَّثَنَا يَزِيدُ قَالَ : حَدَّثَنَا سَعِيدٌ ، عَنْ قَتَادَةَ : مِنْ بَعْدِ وَصِيَّةٍ يُوصِي بِهَا أَوْ دَيْنٍ ، وَالدَّيْنُ أَحَقُّ مَا بُدِئَ بِهِ مِنْ جَمِيعِ الْمَالِ ، فَيُؤَدَّى عَنْ أَمَانَةِ الْمَيِّتِ ، ثُمَّ الْوَصِيَّةُ ، ثُمَّ يُقَسِّمُ أَهْلُ الْمِيرَاثِ مِيرَاثَهُمْ
บิชรุน บิน มุอาซ ได้เล่าเรา โดยได้กล่าวว่า ยะซีดได้เล่าเรา โดยเขากล่าวว่า สะอีดได้เล่าเรา ว่ารายงานจากเกาะตาดะฮ เกี่ยวกับอายะฮที่ว่า(ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียมันไว้หรือหลังจากหนี้สิน) ว่า หนี้สิน สมควรที่จะถูกเริ่มจัดการด้วยมันเป็นอันดับแรก จากบรรดาทรัพย์สิน แล้วถูกชดใช้แทนอามานะฮของผู้ตาย ,อันดับหลังจากนั้นคือ พินัยกรรม ,อันดับหลังจากนั้น เจ้าของมรดก (หมายถึงทายาท) จัดการแบ่ง บรรดามรดกของพวกเขา – ดูตัฟสีร อัฏเฏาะบะรีย์ เล่ม 8 หน้า 65 หะดิษหมายเลข 8779
..................
แต่....ในสังคมบ้านเราส่วนมาก สิ่งที่เขาให้ความสำคัญและเริ่มก่อนคือ
1. จัดหุงหาอาหาร เพื่อต้อนรับแขก 
2. ไปเชิญบรรดาผู้นำศาสนาและโต๊ะละแบมา ละหมาดญะนาซะฮ
3. เตรียมข้าวสาร อาหารแห้งใส่ถุง และเตรียมซองไว้แจกผู้ที่มาละหมาดศพ และมาอ่านตัลกีน
ขอเตือนว่า
ในกรณีครอบครัวนั้นมีเด็กกำพร้าเล็กๆ หรือยังไม่บรรลุศาสนาภาวะ การนำทรัพย์สินในบ้านผู้ตาย มาจัดซื้อจัดทำอาหารเลี้ยงแขก เลื้ยงโต๊ะละแบบ 3 วัน 7 วันนั้น ถือเป็นการกินทรัพย์สินเด็กกำพร้า โดยอธรรม เพราะ เด็กกำพร้าเหล่านี้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นด้วย และ ละแบบางคนที่มากินบ้านผู้ตาย มักจะอ้างว่า เป็นทรัย์สินที่มีผู้บริจาคให้ครอบครัวผู้ตาย.....
จึงถามละแบนักกินบุญทั้งหลายว่า “ทรัยย์สินที่มีผู้บริจาคให้ เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของครอบครัวผู้ตายไม่ใช่หรือ แล้วท่านขอหะลาลจากเด็กกำพร้าที่มีส่วนในทรัย์สินนั้นหรือยัง และทำได้ไหม เมื่อเด็กกำพร้ายังไม่บรรลุศาสนภาวะ
ในหนังสือ “มัตนุ คอลีล” ของนักวิชาการมัษฮับมาลิกีย์ มีกล่าวเอาไว้ว่า …
وَأَمَّا اْلإجْتِمَاعُ عَلَى طَعَامِ بَيْتِ الْمَيِّتِ فَبِدْعَةٌ مَكْرُوْهَةٌ إِنْ لَمْ يَكُنْ فِى الْوَرَثَةِ صَغِيْرٌ، وَإِلاَّ فَهُوَ حَرَامٌ …..
“อนึ่ง การไปชุมนุมกินอาหารกันที่บ้านคนตาย ถือเป็นบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ หากว่าในทายาทผู้ตายไม่มีเด็กเล็ก (ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ), … แต่ถ้า (ผู้ตาย) มี (ทายาทที่ยังเล็กอยู่) ก็ถือว่า (การไปชุมนุมกินอาหารที่บ้านผู้ตาย) เป็นเรื่องต้องห้าม (หะรอม)” (จากหนังสือ “อัล-มันฮัลฯ” อันเป็นหนังสืออธิบายสุนันของท่านอบูดาวูด เล่มที่ 4 ส่วนที่ 8 หน้า 272) …
อัลลอฮตาอาลา ได้เตือนเรื่องการกินทรัพย์สิน เด็กกำพร้าว่า

إِنَّ الَّذِينَ يَأْكُلُونَ أَمْوَالَ الْيَتَامَى ظُلْمًا إِنَّمَا يَأْكُلُونَ فِي بُطُونِهِمْ نَارًا وَسَيَصْلَوْنَ سَعِيرًا

แท้จริงบรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของบรรดาเด็กกำพร้าด้วยความอธรรมนั้น แท้จริงพวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาต่างหากและพวกเขาก็จะเข้าไปสู่เปลวเพลิง – อันนิสาอิ/10
……………………………
เพราะฉะนั้น ขอเตือนพี่น้องมุสลิม ผู้ยำเกรงต่ออัลลอฮว่า “ การกินบุญบ้านผู้ตาย ไม่อร่อยอย่างที่คิด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/1/61

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

ตรรกมุนาฟิกบิดเบือนอะกีดะฮปราชญ์สะลัฟ (ภาค 3)


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ตรรกมุนาฟิกบิดเบือนอะกีดะฮปราชญ์สะลัฟ (ภาค 3)
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม
5.อีหม่ามบุคอรีก้อไม่เคยแปล อิสตาวา ว่า สถิตย์ ส่วนสิ่งที่อ้างนั้น เป็นแค่สำนวนฮาดิษมักเฏาะ และท่านก้อไม่ได้บันทึกในซอแฮหของท่านแต่อย่างใด อีกอย่างฮาดิษมักเฎาะเอามาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่ใช่ฮาดิษนบี และไม่ใช่คำพูดของซอฮาบัต.
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม
ถ้า Asan Binabdullah มาเยือนห้องนี้ ผมจะเชือดให้ลูกหาบแกดูแบบคาตาไปเลยว่า ลุงแกบิดเบือนยังไงบ้าง
.............
ชี้แจง
นายฮัมดี สุหลง หรือนายนามปลอม ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม อ้างว่า
.อีหม่ามบุคอรีก้อไม่เคยแปล อิสตาวา ว่า สถิตย์
ขอตอบว่า
คำว่า استوى على จะแปลว่า อยู่สูง บน อะรัช ก็ได้ อยู่บน อะรัช ก็ได้ สถิตบนอะรัช ก็ได้ เพราะความหมายคือ การยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮเหนืออะรัช
เช็คอับดุรเราะหมาน อิบนุสะอดีย์ กล่าวว่า
نثبت أنه استوى على عرشه استواء يليق بجلاله، سواء فُسِّر ذلك: بالارتفاع، أو بعلوه على عرشه، أو بالاستقرار، أو الجلوس، فهذه التفاسير واردة عن السلف، فنثبت لله على وجه لا يماثله ولا يشابهه فيها أحد، ولا محذور في ذلك إذا قرنَّا بهذا الإثبات نفي مماثلة المخلوقات
เรารับรอง ว่า พระองค์ อิสติวาอฺบนอะรัช เป็นอิสติวาอฺที่เหมาะสม กับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่ว่าคำดังกล่าวนั้นจะถูกอรรถาธิบาย ด้วยความหมายว่า ขึ้นสูง , พระองค์อยู่สูงเหนืออะรัช หรือ ด้วยความหมายว่าสถิต หรือด้วยความหมายว่า นั่ง เพราะบรรดาการอธิบายเหล่านี้ มีรายงานมาจากสะลัฟ ดังนั้น เรารับรองให้แก่อัลลอฮ บนแนวทางที่ไม่เปรียบเทียบคนหนึ่งคนใดว่าเหมือนพระองค์ และคล้ายคลึงพระองค์ ในมัน และไม่มีการเตือนให้ระวังใน(ความหมาย)ดังกล่าว ในเมื่อ การรับรองความหมายเหล่านี้ พร้อมกับปฏิเสธการเหมือนกับบรรดามัคลูค – ดู อัลอัจญวะบะฮอัสสะอดียะฮ อัน อัลมะสาอิลิล กูวัยตียะฮ หน้า 147 
................. 
เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามันจะมีความหมายใดก็ตาม แต่เราเชื่อว่า ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องไปตีความตามพวกมุอตะซิละฮ ว่าอำนาจปกครอง ที่อาชาอิเราะฮเอามายึดถือ
อิหม่ามบุคอรีย์ ได้เขียนหนังสือตอบโต้แนวคืดญะฮมียะฮชื่อ
خلق أفعال العباد والرد على الجهمية وأصحاب التعطيل 
คอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด วัรร็อด อะลัลญะฮมียะฮ วะอัศหาบิตตะอฏีล 
...........
พวกญะฮมียะฮ ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ในขณะที่อิหม่ามบุคอรี มีอะกีดะฮตรงกันข้ามกับญะฮมีญะฮ โดยอิหม่ามบุคอรีย์ได้รวบรวมหลักฐานที่แสดงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮเช่น 
อิหม่ามบุคอรี รายงานว่า
وَقَالَ ابْنُ الْمُبَارَكِ : " لا نَقُولُ كَمَا قَالَتِ الْجَهْمِيَّةُ : إِنَّهُ فِي الأَرْضِ هَهُنَا ، بَلْ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى " ، وَقِيلَ لَهُ : كَيْفَ تَعْرِفُ رَبَّنَا ؟ قَالَ : " فَوْقَ سَمَاوَاتِهِ عَلَى عَرْشِهِ
และอิบนุอัลมุบาร็อก ได้กล่าวว่า " ท่านอย่ากล่าวดังเช่น สิ่งที่ญะฮมียะฮกล่าว ว่า แท้จริงพระองค์อยู่ในแผ่นดิน ณ ที่นี้ แต่ในทางกลับกัน ทรงอยู่สูงเหนืออะรัช และถูกกล่าวแก่เขาว่า " เราจะรู้จักพระเจ้าของเราได้อย่างไร ? เขา (อิบนุอัลมุบาร็อก)กล่าวว่า "ทรงอยู่เหนือบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ บน บัลลังก์ของพระองค์ - ดู คอ็ลคุลอัฟอาลิลอิบาด หน้า 31
และ อิหม่ามบุคอรีย ได้งานว่า
وَقَالَ ضَمْرَةُ بْنُ رَبِيعَةَ ، عَنْ صَدَقَةَ ، سَمِعْتُ سُلَيْمَانَ التَّيْمِيَّ ، يَقُولُ : " لَوْ سُئِلْتُ أَيْنَ اللَّهُ ؟ لَقُلْتُ فِي السَّمَاءِ ، فَإِنْ قَالَ فَأَيْنَ كَانَ عَرْشُهُ قَبْلَ السَّمَاءِ ؟ لَقُلْتُ : عَلَى الْمَاءِ ، فَإِنْ قَالَ : فَأَيْنَ كَانَ عَرْشُهُ قَبْلَ الْمَاءِ ؟ لَقُلْتُ : لا أَعْلَمُ # قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ : وَذَلِكَ لِقَوْلِهِ تَعَالَى : " وَلا يُحِيطُونَ بِشَيْءٍ مِنْ عِلْمِهِ إِلا بِمَا شَاءَ سورة البقرة آية 255 يَعْنِي إِلا بِمَا بَيَّنَ
และฎอ็มเราะฮ บิน เราะบีอะฮ ได้รายงานจาก เศาะดะเกาะฮ ว่า ฉันได้ยินจากสุลัยมานอัตตัยมีย์ กล่าวว่า “ถ้าฉันถูกถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? ฉันตอบว่า “อยู่บนฟ้า แล้วถ้าเขากล่าวว่า “ อะรัชของพระองค์ อยู่ใหน ก่อนที่ มีฟากฟ้า ,ฉันก็จะกล่าวว่า “อยู่บนน้ำ แล้วถ้าเขากล่าวถามว่า อะรัชของพระองค์อยู่ใหน ก่อนที่มีน้ำ ฉันก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ ,อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า ดังกล่าวนั้นแหละ ที่อัลลอฮตะอาลาตรัสว่า
وَلاَ يُحِيطُونَ بِشَيْءٍ مِّنْ عِلْمِهِ إِلاَّ بِمَا شَاء
และพวกเขาไม่ได้ล้อมรอบ (เข้าถึง) สิ่งใดจากความรู้ของพระองค์ เว้นแต่ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ 
หมายถึง ยกเว้นสิ่งที่พระองค์อธิบายไว้ – คอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด ของ อิหม่าม บุคอรี ๑/๓๘ หะดิษหมายเลข ๖๔ และอัลลาลุกาอีย์ ใน ชัรหุอุศูลุลเอียะติกอด หะดิษหมายเลข ๖๗๑
.......
ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า อะกีดะฮอิหม่ามบุคอรี ยืนยันในการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ และคำพูดสะลัฟที่ท่านอิหม่ามนำมาเป็นหลักฐานนั้น ย่อมถูกต้องในทัศนะของท่าน เพราะท่านยอมรับในความถูกต้องของหลักฐาน หากท่านอิหม่ามเชื่อว่าเป็นหลักฐานเฎาะอีฟ อิหม่ามบุคอรียอมไม่นำมาเป็นหลักฐานอย่างแน่นอน เพราะปราชญ์ท่านนี้มีความละเอียดรอบคอบในการนำเสนอรายงานหะดิษ
เพราะฉะนั้น การที่นายฮัมดี สุหลง อ้างว่า อิหม่ามบุคอรี ไม่ได้แปลว่าสถิต นั้น ไม่ใช่ประเด็นแต่ที่แน่ๆคือ ท่านอิหม่ามบุคอรียืนยันอะกีดะฮการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ดังหลักฐานที่ผมได้นำเสนอ และขอฝากผู้ที่นาย ฮัมดี สุหลง ยึดเป็นครูและแหล่งข้อมูลว่า ไม่ละอายบ้างหรือกับการบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟ

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/1/61





เอกสารอ้างอิง











 ในภาพอาจจะมี ข้อความ





 ในภาพอาจจะมี ข้อความ






 ในภาพอาจจะมี ข้อความ


 

วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561

ตรรกอาชาอิเราะฮสายพันธ์โกหก


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ตรรกอาชาอิเราะฮสายพันธ์โกหก
Ni-arroheemee Vae-sama
และมีคำอธิบายของบรรดาอุลามะตัฟซีรอีกมากมาย ที่ไม่ได้อ้างโองการนี้ ว่า อัลลอฮ์ ทรงอยู่ที่สูงเหนือฟากฟ้า ต้องการสถานที่ ยกเว้น ความเข้าใจของพวกวะฮบีย์ ที่พยายามอธิบายโองการนี้ ว่า อัลลอฮ์ อยู่บนฟ้า เเละต้องการสถานที่ ด้านบน โดยที่ไปสอนคนอาวาม เเละไม่อ้างคำตัฟซีรที่มุตะบัร หรือ อ้างอิงเฉพาะที่ตัวเองต้องการ เท่านั้น ดังนั้น เราไม่ควรโง่ตามคำสอนของวะฮบีย์ในเรื่องดังกล่าว หากอ่านตัฟซีรเองไม่เป็น ให้ถามผู้รู้ อย่าอ่าน เเละเเปลเเละเข้าใจเอง
@@@@@@
ชี้แจง
นายนามแฝง Ni-arroheemee Vae-sama ไปปิดตาตักลิดข้อความ ของคนอื่น ที่อธิบายอายะฮที่ว่า
وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ ۖ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ وَيَعْلَمُ مَا تَكْسِبُونَ
และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน ทรงรู้สึกเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่ - อัลอันอาม/3
1.อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ)ปราชญอาชาอิเราะฮเองยืนยันว่า อิบนุญะรีรบอกว่า อัลลอฮอยู่บนบรรดาชั้นฟ้าคือ
وَقَالَ مُحَمَّدُ بْنُ جَرِيرٍ : وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ وَيَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ فِي الْأَرْضِ
และมุหัมหมัด บิน ญะรีร ได้กล่าวว่า "และพระองค์คือ อัลลอฮ อยู่บนฟ้า และทรงรู้ความลับของพวกเจ้าและการเปิดเผยของพวกเจ้าในแผ่นดิน - ดูตัฟสีรอัลญามิอิลอะหกาม เล่ม 8 หน้า 232
2. อิหม่ามอัลบัฆวีย์ (ร.ฮ)ก็กล่าวเช่นกันว่า
وَقَالَ مُحَمَّدُ بْنُ جَرِيرٍ : مَعْنَاهُ هُوَ فِي السَّمَوَاتِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ فِي الْأَرْضِ 
และมุหัมหมัด บิน ญะรีร ได้กล่าวว่า ความหมายของมันคือ พระองค์ อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า ทรงรู้ ความลับของพวกเจ้าและการเปิดเผยของพวกเจ้า ใน แผ่นดิน - ดูตัฟสีรอัลบัฆวีย์ เล่ม 3 หน้า 127
3. อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَالْقَوْلُ الثَّالِثُ أَنَّ قَوْلَهُ ( وَهُوَ اللَّهُ فِي السَّمَاوَاتِ ) وَقْفٌ تَامٌّ ، ثُمَّ اسْتَأْنَفَ الْخَبَرَ فَقَالَ : ( وَفِي الْأَرْضِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ وَيَعْلَمُ مَا تَكْسِبُونَ ) وَهَذَا اخْتِيَارُ ابْنِ جَرِيرٍ . 
และทัศนะที่สาม แท้จริง คำตรัสของพระองค์ที่ว่า(พระองค์คืออัลลอฮอยู่บนบรรดาชั้นฟ้า) คือการหยุดที่สมบูรณ์ หลังจากนั้น ทรงเริ่มต้น การบอกเล่าใหม่ โดยตรัสว่า (และในแผ่นดิน ทรงรู้ความลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่) และนี่คือ การเลือกของอิบนุญะรีร - ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 3 หน้า 240
4. อิบนุญะรีร (ร.ฮ) อธิบายว่า
هُوَ اللَّهُ الَّذِي هُوَ فِي السَّمَاوَاتِ وَفِي الْأَرْضِ يَعْلَمُ سِرَّكُمْ وَجَهْرَكُمْ ، فَلَا يَخْفَى عَلَيْهِ شَيْءٌ
พระองค์คือ อัลลอฮ ผู้ซึ่ง อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า และในแผ่นดินนั้น พระองค์ทรงรู้ ความลับและการเปิดเผยของพวกเจ้า ไม่มีสิ่งใด ซ่อนเร้นแก่พระองค์ได้ -..............ตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ เล่ม 11 หน้า 261
................
ในกรณี การอยู่เบ้องสูงของอัลลอฮนั้น อิบนุญะรีร ได้กล่าวยืนยันไว้หลายที่ ในการยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ดังหลักฐานต่อไปนี้
อิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ นักตัฟสีรยุคสะลัฟ (ฮ.ศ 310) ได้อธิบายว่า
وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ ) يَقُولُ : وَهُوَ شَاهِدٌ لَكُمْ - أَيُّهَا النَّاسُ - أَيْنَمَا كُنْتُمْ يَعْلَمُكُمْ ، وَيَعْلَمُ أَعْمَالَكُمْ ، وَمُتَقَلَّبَكُمْ وَمَثْوَاكُمْ ، وَهُوَ عَلَى عَرْشِهِ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ السَّبْعِ
(และพระองค์ทรงอยู่กับ พวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด) เขากล่าวว่า หมายถึง และพระองค์ทรงเป็นพยานแก่พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าที่ใหนก็ก็ตามที่พวกเจ้าอยู่ พระองค์ทรงรู้พวกเจ้า และทรงรู้บรรดาการงานของพวกเจ้า (ทรงรู้)สถานที่เกลื่อนย้ายของพวกเจ้าและที่อยู่อาศัยของพวกเจ้า และพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 23 หน้า 170 อธิบายซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 4
.................
คำอธิบายของอิบนุญะรีร ยืนยันถึงพระองค์ ทรงอยู่บนอะรัช เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์
เพราะฉะนั้นการที่นาย Ni-arroheemee Vae-sama อ้างว่า "และมีคำอธิบายของบรรดาอุลามะตัฟซีรอีกมากมาย ที่ไม่ได้อ้างโองการนี้ ว่า อัลลอฮ์ ทรงอยู่ที่สูงเหนือฟากฟ้า" คือ การโกหกมุสา ส่วนคำว่า อาศัยสถานที่ หากนายอ่านตำราคำอธิบายของสะลัฟ คำว่าอยู่บนฟ้า คือการอยู่เบื้องสูงแยกจากมัคลูค แต่ นายคนนี้ ปิดตาตักลิดมาชงโกหก ผมจึงฉายานายคนนี้ว่า "อาชาอิเราะฮชาติพันธ์โกหก"
.............
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
13/1/61
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

ตัวอย่างการใช้ตรรกเยาะเย้ยดูหมิ่นอัสสุนนะฮ




ตัวอย่างการใช้ตรรกเยาะเย้ยดูหมิ่นอัสสุนนะฮ
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ผู้ดูแลกลุ่ม
แล้วบังชารีฟเคยได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้าวะฮาบีย์ตอนที่เสด็จลงมาตอนดึกๆบ้างหรือป่าวครับ ถ้าเรียกแล้ววะฮาบีย์ไม่ได้ยิน แสดงว่า ทรงไม่ลงมา ไม่งั้นวะฮาบีย์ก็คงหูหนวกมั้งครับ
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้น คือตัวอย่างการดูหมิ่นเยาะเย้ย อัสสุนนะฮ เกี่ยวกับ สิฟัตอัลนุซูล (การเสด็จลงมาของอัลลอฮ) ดังที่ มีรายงานว่า
เรื่องนี้มีหะดิษระบุว่า
ท่านอิมามบุคอรีย์และท่านอิมามมุสลิมได้บันทึกไว้ในตำราศอเฮี๊ยฮฺของท่านจากการราย งานของท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ รอฏิฯ ความว่า
، أن النبي صلى الله عليه وسلم قال: " ينزل رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الآخِرُ يَقُولُ : مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ"
“แท้จริง ท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า พระผู้อภิบาลจะเสด็จลงมา(นุซูล)ยังฟากฟ้าดุนยาในทุกค่ำคืนจนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า “ ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็จะอภัยโทษแก่เขา (หะดีษ บุคอรีย์ # 1145, มุสลิม # 1261)
อิหม่ามกุรฏุบีย์ ซึ่ง อยู่ในสายอัชอะรีย์ กล่าวว่า
وَالَّذِي عَلَيْهِ جُمْهُورُ أَئِمَّةِ أَهْلِ السُّنَّةِ أَنَّهُمْ يَقُولُونَ : يَجِيءُ وَيَنْزِلُ وَيَأْتِي . وَلَا يُكَيِّفُونَ ; لِأَنَّهُ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
และ(ทัศนะ)ที่บรรดาอิหม่ามอะลิสสุนนะฮส่วนใหญ่ อยู่บนมัน แท้จริงพวกเขากล่าวว่า “ พระองค์เสด็จมา, เสด็จลงมา และ เสด็จมาถึง โดยที่พวกเขาไม่ได้อธิบายรูปแบบวิธีการ เพราะแท้จริง ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ ทรงได้ยิน ทรงเห็นยิ่ง – ตัฟสีรอัลกุฏุบีย์ เล่ม 9 หน้า 127
อิหม่ามอัตติรมิซีย์ กล่าวว่า
وَقَدْ قَالَ غَيْرُ وَاحِدٍ مِنْ أَهْلِ الْعِلْمِ فِي هَذَا الْحَدِيثِ وَمَا يُشْبِهُ هَذَا مِنْ الرِّوَايَاتِ مِنْ الصِّفَاتِ وَنُزُولِ الرَّبِّ تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا قَالُوا قَدْ تَثْبُتُ الرِّوَايَاتُ فِي هَذَا وَيُؤْمَنُ بِهَا وَلَا يُتَوَهَّمُ وَلَا يُقَالُ كَيْفَ هَكَذَا رُوِيَ عَنْ مَالِكٍ وَسُفْيَانَ بْنِ عُيَيْنَةَ وَعَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْمُبَارَكِ أَنَّهُمْ قَالُوا فِي هَذِهِ الْأَحَادِيثِ أَمِرُّوهَا بِلَا كَيْفٍ وَهَكَذَا قَوْلُ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ
หลายคนจากในหมู่นักปราชญ์ผู้ทรงความรู้ได้กล่าว เกี่ยวกับหะดีษนี้และหะดีษต่างๆที่คล้ายคลึงกัน อย่างเช่น(หะดีษเกี่ยวกับ) คุณลักษณ์ต่างๆและการลงมาของพระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่งในทุกค่ำคืนสู่ฟากฟ้าชั้นต่ำสุด โดยที่บรรดาปราชญ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า บรรดารายงานในเรื่องนี้ เป็นที่แน่นอน และจะถูกศรัทธา จะไม่ถูกนึกมโนภาพ และจะไม่ถูกกล่าวว่าเป็นอย่างไร เรื่องราวทำนองนี้ได้ถูกรายงานมาจากท่านอิมามมาลิกบินอะนัส,ท่านซุฟยานอัษเษารีย์,ท่านอิบนุอุยัยนะฮฺ, และท่านอับดุลลอฮฺอิบนุอัลมุบาร็อค พวกเขากล่าวเกี่ยวกับบรรดาหะดีษเหล่านี้ว่า “ปล่อยมันให้ผ่านไปโดยไม่ต้องพรรณนาว่ามีรูปแบบเป็นอย่างไร และ ในทำนองนี้ คือ คำพูดของนักวิชาการ จากอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ
وَأَمَّا الْجَهْمِيَّةُ فَأَنْكَرَتْ هَذِهِ الرِّوَايَاتِ وَقَالُوا هَذَا تَشْبِيهٌ
และสำหรับญะฮมียะฮนั้น พวกเขาปฏิเสธบรรดารายงานเหล่านี้(หมายถึงหะดิษสิฟาต) และพวกเขากล่าวว่านี่คือ การตัชบีฮ) -หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51
...........
จะเห็นได้ว่า บรรดาหะดิษสิฟาต รวมถึงหะดิษอัลนุซูล(การเสด็จลงมาของอัลลอฮ) ปราชญสะลัฟให้การรับรอง โดยไม่นึกมโนภาพว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และไม่กล่าวว่ามีรูปแบบเป็นอย่างไร แต่พวกแนวคิดญะฮมียะฮปฏิเสธ และอ้างว่า การรับรองหะดิษสิฟาตเป็นตัชบีฮ (การเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค)
อัล-อาญรีญ์ ปราชญสะลัฟ( ฮ.ศ 280-230ْ ได้กล่าวว่า
والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة
และการศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง 
باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة
อัลกอฎี อิยาฎ (ร.ฮ)กล่าวว่า

واعلم أن من استخف بالقرآن أو المصحف، أو بشيء منه، أو سبهما، أو جحده أو حرفاً منه أو آية، أو كذب به، أو بشيء منه، أو كذب بشيء مما صرح به فيه من حكم أو خبر، أو أثبت ما نفاه، أو نفى ما أثبته على علم منه بذلك، أو شك في شيء من ذلك فهو 
كافر عند أهل العلم بإجماع

พึงทราบไว้เถิดว่า ผู้ใดดูถูก อัลกุรอ่าน หรือ เล่มอัลกุรอ่าน หรือ สิ่งใดจากมัน หรือ ด่าทอมัน ทั้งสอง หรือปฏิเสธมันหรือ อักษรใดๆจากมัน หรืออายะฮใดๆจากมัน หรือ ปฏิเสธ(ไม่เชื่อ) มัน หรือ สิ่งใดๆจากมัน หรือปฏิเสธ หุกุม หรือ หะดิษ ที่ถูกให้ชัดเจน ด้วยมัน ในอัลกุรอ่าน หรือ รับรองสิ่งที่มัน(อัลกุรอ่าน)ปฏิเสธมัน หรือ ปฏิเสธ สิ่งที่อัลกุรอ่านรับรองมัน บนความรู้ จากมัน(หรือบนความสงสัย ในสิ่งใดๆจากดังกล่าวนั้น เขาคือ กาเฟร ในทัศนะนักวิชาการ ด้วยมติเอกฉันท์ - ดู ชัรห อัชชิฟาอ 2/545
.........
ในประเด็นเรื่อง อะกีดะฮ นี้พึงระวัง ในกรณี ไปปฏิเสธในสิ่งที่อัลกุรอ่านได้ยืีนยันหรือรับรองไว้ เกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮ และไป รับรองในสิ่งที่อัลกุรอ่านได้ปฏเสธไว้ อย่าได้เยาะเย้ยแค่เพื่อสะใจ แต่อันตรายคือ จะนำพาไปสู่การสิ้นสภาพการเป็นมุสลิมได้-วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/1/61





 เอกสารอ้างอิง





 





 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ