วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไม่เรียนศิฟาตยี่สิบ เป็นมุสลิมได้ไหม





ไม่เรียนซิฟาตยี่สิบ เป็นมุสลิมได้ไหม
หลังจากที่ อิหม่ามนะวาวีย์ ยืนยันว่า คนที่จะเป็นผู้ศรัทธานั้น เมื่อเขายึดมั่นต่อศาสนาอิสลาม อย่างมั่นคง
เขาก็คือผู้ศรัทธา ไม่จำเป็นจะต้องเรียนหลักฐานของบรรดานักกะลาม ซึ่งเป็นหลักฐานทางปัญญา ใช้เหตุผลอธิบายเตาฮีด
อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า
، خِلَافًا لِمَنْ أَوْجَبَ ذَلِكَ وَجَعَلَهُ شَرْطًا فِي كَوْنِهِ مِنْ أَهْلِ الْقِبْلَةِ ، وَزَعَمَ أَنَّهُ لَا يَكُونُ لَهُ حُكْمُ الْمُسْلِمِينَ إِلَّا بِهِ . وَهَذَا الْمَذْهَبُ هُوَ قَوْلُ كَثِيرٍ مِنَ الْمُعْتَزِلَةِ وَبَعْضِ أَصْحَابِنَا الْمُتَكَلِّمِينَ . وَهُوَ خَطَأٌ
แตกต่าง กับผู้ที่บอกว่า ดังกล่าวนั้น (หมายถึงเรียนหลักฐานของนักกะลาม) เป็นวาญิบ และเขาได้กำหนดให้เป็น เงื่อนไข ในการเป็นมุสลิม (อะฮลุลกิบลัต) และเขาเข้าใจว่า จะไม่ได้รับหุกุมว่าเป็นมุสลิม นอกจากจะต้องรู้หลักฐานของนักกะลาม และนี้คือ มัซฮับ มันคือ ทัศนะของพวกมุอตะซิละฮส่วนมากและส่วนหนึ่งของบรรดาสหายของเรา(หมายถึงอุลามาอฺมัซฮับชาฟิอีบางส่วน) ที่เป็นบรรดานักวิชาการกะลาม(นักวิภาษวิทยา) และมัน คือ ทัศนะที่ผิดอย่างชัดเจน
..................................................
อิหม่ามนะวาวีย อะธิบายว่า พวกที่บอกว่า คนจะเป็นมุสลิมนั้นต้องเรียนรู้หลักฐานของบรรดานักวิภาษวิทยา พวกที่เข้าใจแบบนี้คือ พวกมุอฺตะซิละฮ และพวกนักวิชาการกะลาม และทัศนะดังกล่าวเป็นทัศนะที่ผิดอย่างชัดเจน…
อิหม่ามเฆาะซาลีย(รฺ.ฮ) กล่าวว่า
وليس الطريق في تقويته وإثباته إن يعلم صنعة الجدل والكلام بل يشتغل بتلاوة القرآن وتفسيره وقراءة الحديث ومعانيه. ويشتغل بوظائف العبادات
ไม่ใช่หนทางที่จะให้การศรัทธาแก่กล้าและมั่นคง โดยที่จะต้องเรียนรู้การโต้แย้งและตรรกวิทยา(วิภาษวิทยา) แต่ทว่า(การที่จะให้ศรัทธาแก่กล้ามั่นคงนั้น)ด้วยการอ่านอัลกุรอ่าน ,ตัฟสีรของมัน ,อ่านหะดิษและบรรดาความหมายของมัน และการสาละวนกับการประกอบอิบาดะฮต่างๆ -เอียะยาอุลูมีดดีน 1/94
สรุป ว่า การที่จะให้เป็นมุสลิมที่มีศรัทธาแก่กล้า ก็ให้เรียนอัลกุรอ่าน อัลหะดิษ พร้อมกับทำความเข้าใจความหมาย และพร้อมกับการปฏิบัติอิบาดะฮต่างๆ ไม่จำเป็นจะต้องเรียนคุณลักษณะของอัลลอฮตามแนววิชากาลาม เช่น สิฟาต 20 ที่อธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ ตามหลักวิชาตรรกวิทยา
อิหม่ามเฆาะซาลี กล่าวถึงพวกนักกาลามสุดโต่งว่า
من أشد الناس غلواً وإسرافاً طائفةٌ من المتكلمين كفروا عوام المسلمين وزعموا أنّ من لا يعرف الكلام معرفتنا، ولم يعرف العقائد الشرعية بأدلتنا التي حررناها فهو كافر، فهؤلاء ضيقوا رحمة الله الواسعة على عباده أولاً، وجعلوا الجنة وقفاً على شرذمة يسيرة من المتكلمين
ส่วนหนึ่งจากมุษย์ที่เลยเถิดและมักง่าย อย่างสุดโต่ง คือ คณะหนึ่งจากบรรดานักวิภาษวิทยา(อะฮลุลกาลาม) พวกเขาได้ตักฟีร(ตัดสินว่าเป็นกาเฟร)แก่บรรดามุสลิมที่เป็นคนอาวาม และพวกเขาอ้างว่า แท้จริงผู้ที่ไม่รู้จักกาลาม ตามการรู้จัก(ตามคำสอน)ของเรา และไม่รู้จักบรรดาอะกีดะฮเกี่ยวกับศาสนา ด้วยบรรดาหลักฐานที่เราได้ประพันธ์ไว้ เขาคือกาเฟร (อิหม่ามเฆาะซาลีกล่าววิจารณ์ว่า) พวกเขาเหล่านี้ ทำให้ความเมตตาของอัลลอฮที่กว้างขวาง คับแคบแก่บรรดาบ่าวของอัลลอฮ เป็นกระการแรก และยังทำให้สวรรค์ เป็นของคนกลุ่มเล็กๆจากบรรดาพวกกาลาม(นักวิภาษวิทยา) เท่านั้น -
فيصل التفرقة ضمن مجموعة رسائل الغزالي (3/140).
والله أعلم بالصواب
กล่าวคือ พวกอะลุลกาลาม สุดโต่งบางพวก ทำการตักฟีรคนอาวามที่ไม่เรียน อะกีดะฮตามแนวกาลาม ของกลุ่มตน ,อิหมามเฆาะซาลี วิจารณ์ว่า คนพวกนี้ ได้ทำให้ความเมตตาของอัลลอฮคับแคบ และยังกำหนดให้สวรรค์เป็นของอะฮลุลกาลามที่เป็นคนกลุ่มน้อย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/5/59

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เมื่อหะดิษเกี่ยวกับการถือศีลอดกลายเป็นหะดิษให้ทำเมาลิด





เมื่อหะดิษเกี่ยวกับการถือศีลอดกลายมาเป็นหะดิษทำเมาลิด
ผู้ร้ท่านหนึ่งเขียนว่า ถึง ตรงประเด็น เพื่ออุมมาตุลวาฮีดะห์
11 ชม. · 
หลักฐานที่บัง ฟาตอนียกมาใช้ไม่ได้ตรงใหนเพราะอะใรหรือครับ,,, ,,,,,,, ,,,,,,, ,,,
คำฟัตวาของ สภาอุลามาอสาอุดี ที่ ระบุว่าการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันเกิดท่านนบีคือบิดอะฮที่ต้องห้าม(หะรอม) เพราะแท้จริงดังกล่าวนั้นไม่มีหลักฐานจากคัมภีร์ของอัลลอฮและสุนนะฮรอซูลศอ็ลฯบนมันและไม่มีคนใดจากบรรดาเคาะลิฟะฮของท่านรอซูล ผู้ทรงธรรม และศตวรรษที่ประเสร็ฐ ได้ปฏิบัติมัน
----------------------------------------
อย่าว่าแต่ สภาอุลามาอสาอุดี้ เลยคับ ต่อให้ยกอุลามาอฺ วะห่าบี ทั้งหมดของ ซาอุดี้ มันก็ไร้น้ำหนัก คับ เพราะ มันค้าน กับ คำฟัตวา ของ อุลามาอฺ มุอฺตะบัร ทั้งหลาย เฉกเช่น ท่านอิหม่ามสะยูฏีย์
อิหม่ามมุสลิม รายงานจาก อบีก้อตาดะห์ ว่า
سئل رسول الله صلى الله عليه وسلم عن صوم يوم الإثنين فقال : ذلك يوم ولدت فيه وأنزل على
"ท่านนบีศ็อลฯถูกถามเกี่ยวกับการถือศีลอดในวันจันทร์ ท่านนบีตอบว่า เรื่องการถือศีลอดในวันจันทร์นั้น เพราะเป็นวันที่ฉันเกิด และอัลกุรอานถูกประทานลงมาให้แก่ฉัน" รายงายโดยท่าน มุสลิมแสดงให้เห็นว่าท่านรำลึกถึงวันที่ท่านเกิด ในฮาดีสนั้แสดงให้ได้เห็นว่า มีทั้งฮูกุ่มและสาเหตุ ฮูกุ่มก็คือถือบวชในวันจันทร์ ส่วนสาเหตุก็เพือรำลึกนึงถึงวันประสูติของท่าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดงานเมาลิดมีทั้งซุนนะห์ที่เกี่ยวข้องกับคำพูดและการกระทำของท่านนบี
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
ช่างน่าอนาจใจกับการนำหะดิษมาชงเพื่อสนองความต้องการของอารมณ์ เอาหะดิษสนับสนุนให้ถือศีลอดในวันจันทร์ มาเป็นหะดิษส่งเสริมให้เฉลองวันเกิด(เมาลิด)นบี
ศาสนาสอนให้เอาอารมณ์หรือความคิดเห็นไปตามคำสอนของท่านนบี ศอ็ลฯ แต่กลับเอาคำสอนนบี มาคล้อยตามความคิดเห็นและอารมณ์ เอาความเห็นล้ำหน้าอัลลอฮและรอซูล (ศอลน)
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لا تُقَدِّمُوا بَيْنَ يَدَيِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ
มีความหมายว่า “โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า(ในการกระทำใดๆ) เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์- อัลหุญะรอต/๑
อิบนุกะษีร ได้อธิบายว่า
قَالَ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَلْحَةَ ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ : ( لَا تُقَدِّمُوا بَيْنَ يَدَيِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ ) : لَا تَقُولُوا خِلَافَ الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ . 
อาลีบิน อบีฏอ็ลหะฮ กล่าวว่ารายงานจากอิบนุอับบาสว่า "(พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้าอัลลอฮเมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์) หมายถึง พวกท่านอย่าพูดขัดแย้งกับอัลกิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร ๗/๓๖๕
ท่านนบี ศอ็ลฯ ส่งเสริมให้ถือศีลอดสุนัต ในวันจันทร์ แต่กลับบอกว่า นี่คือหลักฐานจากอัสสุนนะฮ ที่มารับรอง การจัดงานวันเกิด(เมาลิด)นบี นีถ้าเอาตามหะดิษคงจะมีวันเฉลิมเฉลองวันที่อัลลอฮประทานอัลกุรอ่านด้วยกระมังท่านอบูเกาะตาดะฮฺเล่าว่า
" أن رسول الله صلى الله عليه وسلم سئل عن صوم يوم الإثنين فقال ذلك يوم ولدت فيه ويوم يعثت أو أنزل علي فيه "
ความว่า "แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺถูกถามเกี่ยวกับการถือศีลอดในวันจันทร์ ท่านรสูลก็ตอบว่า (เพราะ) ฉันเกิดในวันจันทร์ และเป็นวันที่ฉันถูกส่งมา หรือเป็นวันที่วะฮีย์ถูกประทานลงมายังฉัน" (บันทึกโดยมุสลิม)
การทำเมาลิด เป็นพิธีกรรมที่ถูกประดิษฐมาใหม่หลังศตวรรษที่สาม แล้วคนในยุคท่านนบี ศอ็ลฯ ยุคเคาะลิฟะฮรอชิดี ยุคตาบิอีน พวกเขารักนบี ศอ็ลฯ ไม่น้อยกว่าคนยุคหลัง เขาไม่เข้าใจหะดิษข้างต้นหรือ จึงไม่จัดพิธีกรรมฉลองวันเกิด(เมาลิด)นบี ศอ็ลฯ
มันก็แปลกนะครับ ทำไม่ท่านนบีไม่สอนไว้ ทั้งๆที่ มีคนอ้างว่า ดีสุดๆ และเป็นหน้าที่ของนบีทุกคนด้วย ที่ต้องแนะนำของดีแก่อุมมะฮ ดังหะดิษที่ว่า
قال صلى الله عليه وسلم: "ما بعث الله من نبي إلا كان حقاً عليه أن يدل أمته على خير ما يعلمه لهم وينهاهم عن شر ما يعلمه لهم" (أخرجه مسلم من حديث عبد الله بن عمرو بن العاص (1844) في كتاب الإمارة
ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ อัลลอฮมิได้ทรงส่งนบีท่านใดมา นอกจาก เป็นหน้าที่เหนือเขา จะต้อง แนะนำ อุมมะฮของเขา ถึงความดีของสิ่งที่มันได้ถูกสอนให้แก่พวกเขา และ ห้ามพวกเขา(อุมมะฮ)จากความชั่วร้ายของสิ่งที่ได้ถูกสอนไว้ให้แก่พวกเขา – รายงานโดยมุสลิม จากหะดิษอับดุลลอฮ บุตร อัมริน บุตร อัลอาศ หะดิษหมายเลข 1844 กิตาบุลอิมาเราะฮ
รายงานจากหุวัยฟะฮ บิน อัลยะมาน (ร.ฎ) กล่าวว่า
كُلُّ عِبَادَةٍ لَمْ يَتَعَبَّدْ بِهَا أَصْحَابُ رَسُولِ اللهِ صلى الله عليه وسلم فلاَ تَتَعَبَّدُوْا بِهَا ؛ فَإِنَّ الأَوَّلَ لَمْ يَدَعْ لِلآخِرِ مَقَالاً
“ทุกอิบาดะฮ ที่บรรดาสาวกของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้ปฏิบัติอิบาดะฮด้วยมัน ดังนั้นพวกท่านจงอย่านำมันมาปฏิบัติเป็นอิบาดะฮ แท้จริงคนรุ่นแรก ไม่ได้ทิ้งคำพูดเอาไว้สำหรับคนรุ่นหลัง(ให้แสดงความเห็นในศาสนา) ดังนั้นจงยำเกรงต่ออัลลอฮเถิด โอ้เหล่าผู้ทำอิบาดะฮทั้งหลาย จงยึดถือตามแนวทางชนรุ่นก่อนพวกท่านเถิด –อัลอัมรุบิลอิตติบาอ ของ อัส-สะยูฏีย์ หน้า 1
عزاه إلى أبي داود في السنن: أبو شامة (الباعث، ص70-71، ت مشهور سلمان) والسيوطي (الأمر بالاتباع، ص62، ت مشهور، ط3، 1422هـ) والقاسمي ( إصلاح المساجد، ص14، ط6، 1422هـ) ومحمد بن إبراهيم آل الشيخ (ينظر: رسائل في حكم الاحتفال بالمولد النبوي، 1/28-29) وغيرهم.
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กลล่าวว่า
وَأَمَّا أَهْلُ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ فَيَقُولُونَ فِي كُلِّ فِعْلٍ وَقَوْلٍ لَمْ يَثْبُتْ عَنِ الصَّحَابَةِ : هُوَ بِدْعَةٌ ; لِأَنَّهُ لَوْ كَانَ خَيْرًا لَسَبَقُونَا إِلَيْهِ ؛ لِأَنَّهُمْ لَمْ يَتْرُكُوا خَصْلَةً مِنْ خِصَالِ الْخَيْرِ إِلَّا وَقَدْ بَادَرُوا إِلَيْهَا .
ความว่า "และสำหรับอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮนั้น พวกเขากล่าวในทุกการกระทำ และทุกคำพูดที่ไม่มีรายงานยืนยันว่ามาจากบรรดาเศาะฮาบะฮนั้น คือ บิดอะฮ เพราะถ้าหากมันเป็นสิ่งที่ดีงาม พวกเขาก็จะปฏิบัติมาก่อนพวกเราแล้ว เพราะแท้จริง พวกเขาจะไม่ละทิ้งประการหน่ึ่งประการใดจากบรรดาสิ่งที่ดีงาม นอกจากพวกเขาจะรีบเร่งไปสู่การกิบัติมัน - ตัฟสีรอิบนุกะษีร 7/278-279
กล่าวคือ อะฮลุสสุนนะอวัลญะมาอะฮนั้นพวกเขาถือว่า สิ่งที่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยัน ว่าบรรดาเศาะหาบะฮปฏิบัตนั้น มันคือบิดอะฮ เพราะถ้าเป็นสิ่งที่ดี พวกเขาก็ได้ปฏิบัติมาก่อนพวกเราแล้ว
อุลามาอฺบางท่านสุดโต่งถึงขนาดใครทำเมาลิด เขารับรองว่าจะได้เข้าสวรรค์และเมือตายไป จะได้บุญตายชะฮีดอีกด้วย -นะอูซุบิลละฮ
อิหม่ามอัลยาฟิอีย์ อัลยะมะนีย์ กล่าวว่า
من جمع لمولد النبي صلى الله عليه وسلم إخوانا، وهيأ طعاما، وأخلى مكانا، وعمل إحسانا، وصار سببا لقراءة مولد الرسول بعثه الله يوم القيامة مع الصديقين والشهداء والصالحين ويكون في جنات النعيم
บุคคลใดรวบรวมญาติพี่น้อง เพื่อจัดงานเมาลิดนบี ศอลฯ โดยจัดเตรียมอาหาร จัดแจงบ้านช่องให้โล่งเตียน ประกอบการงานที่ดี และเขาเป็นเหตุ ให้มีการอ่านประวัติเมาลิดรซูล ในวันกิยามะฮ อัลลอฮจะให้เขาฟื้นขึ้นมา ได้อยู่ร่วมกับบรรดาผู้สัจจริง บรรดาผู้ที่ตายชะฮีด บรรดาผู้ที่ทรงคุณธรรม และปรากฏว่าเขาจะได้อยู่ในสวรรค์ชั้นนะอีม - อิอานะตุฏฏอลิบีน เล่ม 3 หน้า 363 
............................ 
ข้างต้น จะเห็นได้ว่า เป็นทัศนะที่สนับสนุน การทำเมาลิดอย่างสุดๆ และสุดลิ้ม ถึงขนาดว่า เขารับรองว่าได้เข้าสรรค์ชั้นนะอีม ทั้งที่ การกระทำเมาลิด ไม่ปรากฏในสมัยนบีและยุคสะลัฟเลย ที่นำเสนอมานี้ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่อุลามาอ แต่เพื่อต้องการจะบอกว่า นี้คือความคิดเห็นและ ความคิดเห็นย่อมมีผิดมีถูก ขออัลลอฮโปรดอภัยในความผิดพลาดของท่านอุลามาอท่านนี้ด้วยเทอญ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม 
๒๕/๕/๕๙

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ความหมายคำว่า ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด




ความหมายคำว่า ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด
อัลหาฟิซ อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فَقَوْلُهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ مِنْ جَوَامِعِ الْكَلِمِ لَا يَخْرُجُ عَنْهُ شَيْءٌ ، وَهُوَ أَصْلٌ عَظِيمٌ مِنْ أُصُولِ الدِّينِ ، وَهُوَ شَبِيهٌ بِقَوْلِهِ : مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ ، فَكُلُّ مَنْ أَحْدَثَ شَيْئًا ، وَنَسَبَهُ إِلَى الدِّينِ ، وَلَمْ يَكُنْ لَهُ أَصْلٌ مِنَ الدِّينِ يَرْجِعُ إِلَيْهِ ، فَهُوَ ضَلَالَةٌ ، وَالِدَيْنُ بَرِيءٌ مِنْهُ ، وَسَوَاءٌ فِي ذَلِكَ مَسَائِلُ الِاعْتِقَادَاتِ ، أَوِ الْأَعْمَالُ ، أَوِ الْأَقْوَالُ الظَّاهِرَةُ وَالْبَاطِنَةُ
คำพูดนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมที่ว่า (ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด) เป็นส่วนหนึ่งจาก ญะวามิอิลกาลาม(หมายถึงคำพูดสั้นๆแต่มีความหมายครอบคลุม) ไม่มีสิ่งใดออกจากมัน และมันคือ รากฐานที่สำคัญ จากบรรดารากฐานของศาสนา และมัน คือ ความคล้ายคลึง กับคำพูดของท่านนบี ที่ว่า (ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใหม่ ในกิจการศาสนาของเรา สิ่งที่ไม่ได้มาจากมัน มันถูกปฏิเสธ ดังนั้น ทุกๆผู้ที่ ประดิษฐสิ่งใดๆขึ้นใหม่ และเขาได้อิงมันกับศาสนา (คืออ้างว่าเป็นศาสนา) และมันไม่มีรากฐาน จากศาสนา ที่กลับไปหามัน มันคือ การหลงผิด และศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับมัน ในดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็นบรรดาประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อ,บรรดาการกระทำ หรือ บรรดาคำพูด ก็ตามที่เปิดเผย(การแสดงออกทางกายและวาจา)และไม่เปิดเผย(หมายถึงการแสดงออกทางใจ)- ญามิอุลอุลูมวัลฮิกัม 2/128
.....................
สรุป
ใครก็ตามที่ประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมา แล้วอ้างศาสนา โดยที่สิ่งนั้นไม่มีรากฐานทางศาสนา สิ่งนั้นคือการหลงผิด ไม่ว่า จะเกียวกับความเชื่อ หรือการกระทำ ทาง กาย ทางว่าจา ไม่ว่า การกระทำที่เปิดเผย หรือ การกระทำที่แสดงออกทางใจก็ตาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/5/59

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทุกคำพูดของท่านนบีคือวะหยูทั้งหมดจริงหรือ ภาค 3






ทุกคำพูดของท่านนบีคือวะหยูทั้งหมดจริงหรือ ภาค 3
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ พอได้เเล้วนะครับ อ.อะสัน คำพูดโง่ๆ ที่บอกว่า คำพูดนบี ที่เป็นความเห็น ไม่จำเป็นต้องตาม คนที่เป็นมุอ์มิน เขาจะไม่พูดเเบบนี้กัน มันอันตราย และโปรดเข้าใจด้วยว่า ทุกๆคำพูดนบี(ซล) คือวะฮ๊ย์จากอัลเลาะห์ทั้งสิ้น อย่ามโน บนความญะเฮ๊ลของตนเอง
...............
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นข้อกล่าวหา และไม่ยอมพิจารณาหลักฐานที่ได้ชี้แจง
คุณ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ มองไม่เห็นหะดิษข้างล่างนี้หรือ ซึ่งตอกย้ำหะดิษข้างต้นหรอกหรือ
إِذَا كَانَ شَيْءٌ مِنْ أَمْرِ دُنْيَاكُمْ ، فَأَنْتُمْ أَعْلَمُ بِهِ ، فَإِذَا كَانَ مِنْ أَمْرِ دِينِكُمْ ، فَإِلَيَّ "
เมื่อปรากฏว่าสิ่งใดๆจากกิจการดุนยาของพวกท่าน พวกท่านย่อม รู้มันยิ่งกว่า แล้วเมื่อมันมันเกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน ก็จงมายังฉัน –รายงานโดย อะหมัด หะดิษหมายเลข 12306
ท่านนบี สอ็ลฯ แยกชัดเจนดังนี้
1.เกี่ยวกับเรื่องทางโลก ข้อความที่ว่า 
إِذَا كَانَ شَيْءٌ مِنْ أَمْرِ دُنْيَاكُمْ
เมื่อปรากฏว่าสิ่งใดๆจากกิจการดุนยาของพวกท่าน พวกท่านย่อม รู้มันยิ่งกว่า
..........
ชี้ให้เห็นว่า ในทางโลกหรือเกี่ยววิถีชีวิตทางดุนยานั้น ท่านนบี สอ็ลฯ ได้เปิดกว้างให้แก่มนุษย์ เพราะวิถีแห่งการดำรงขีวิต มันแตกต่างกันและมันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
2 เกี่ยวกับเรืองศาสนา
فَإِذَا كَانَ مِنْ أَمْرِ دِينِكُمْ ، فَإِلَيَّ "
แล้วเมื่อมันมันเกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน ก็จงมายังฉัน
ส่วนในเรื่องศาสนาที่มาจากวะหยูนั้น ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านนบี สอ็ลฯนำมาเท่านั้น
อิบนุเราะญับ(ร.ฮ)กล่าวว่า
فكل من أحدث شيئاً ونسبه إلى الدين ولم يكن له أصل من الدين يرجع إليه فهو ضلالة، والدين برئ منه، وسواء في ذلك مسائل الاعتقادات أو الأعمال أو الأقوال الظاهرة والباطنة
ดังนั้น ทุกๆผู้ที่อุตริสิ่งใดๆขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปอ้างว่าเป็นศาสนา ทั้งๆที่ไม่ได้มีที่มาในศาสนา ที่จะกลับไปหามัน มันคือ การหลงผิด โดยที่ ศาสนา นั้น เป็นอิสระจากมัน โดยที่ในเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ อะกีดะฮ หรือ การปฏิบัติ หรือ คำพูด ที่แสดงออกมาโดยภายนอก และภายในใจก็ตาม
ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม 2/128
และอีกหะดิษที่สนับสนุนหะดิษรายงานโดยอะหมัดข้างต้นคือ
حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ ، وَعَمْرٌو النَّاقِدُ كِلَاهُمَا ، عَنْ الْأَسْوَدِ بْنِ عَامِرٍ ، قَالَ أَبُو بَكْرٍ : حَدَّثَنَا أَسْوَدُ بْنُ عَامِرٍ ، حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ ، عَنْ هِشَامِ بْنِ عُرْوَةَ ، عَنْ أَبِيهِ ، عَنْ عَائِشَةَ ، وَعَنْ ثَابِتٍ ، عَنْ أَنَسٍ ، " أَنّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، مَرَّ بِقَوْمٍ يُلَقِّحُونَ ، فَقَالَ : لَوْ لَمْ تَفْعَلُوا لَصَلُحَ ، قَالَ : فَخَرَجَ شِيصًا ، فَمَرَّ بِهِمْ ، فَقَالَ : مَا لِنَخْلِكُمْ ، قَالُوا : قُلْتَ كَذَا وَكَذَا ، قَالَ : أَنْتُمْ أَعْلَمُ بِأَمْرِ دُنْيَاكُمْ
คำแปลตัวบท
จากอะนัส (ร.ฏ) ว่า แท้จริงรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ได้เดินผ่านคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาผสมเกสรต้นอินทผลม โดยกล่าวว่า ถ้าพวกท่านไม่ทำก็จะดี (ท่านอานัส)กล่าวว่า ต่อมาอินทผลัมออกผลผลิตเป็นอินมผลัมที่ไม่มีคุณภาพ ต่อมาท่านนบีได้เดินผ่านพวกเขา แล้วท่านนบีได้กล่าว(ถาม)ว่า อินทผลัมพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง ? พวกเขากล่าวว่า ท่านเคยพูดอย่างนั้น อย่างนี้ ท่านนบีจึงกล่าวว่า “พวกท่านรู้ยิ่งกว่า เกี่ยวกับกิจการทางโลกของพวกท่าน –รายงานโดยมุสลิม
.............
หะดิษนี้ชัดเจนว่า ท่านนบี ศอลฯไม่ได้เชี่ยวชาญกิจกรรมทางโลกทุกเรื่อง การแนะนำพวกเขาว่า ไม่ต้องผสมเกสร มันมาจากการอิจญติฮาดของท่านนบี ศอ็ลฯ ซึ่งมีผิดพลาดได้
อิหม่ามนะวาวีย์เอง ได้กำหนดหัวข้อเรื่องเกี่ยวกับหะดิษข้างต้นว่า
بَابُ وُجُوبِ امْتِثَالِ مَا قَالَهُ شَرْعًا دُونَ مَا ذَكَرَهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ مَعَايِشِ الدُّنْيَا عَلَى سَبِيلِ الرَّأْيِ فِيهِ حَدِيثُ إِبَارِ النَّخِيلِ
บทว่าด้วยเรื่องวายิบปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวมัน เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ อื่นจาก สิ่งที่นบี ศอ็ลฯ ได้กล่าวถึงมัน จากเรื่องที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต(การปรกอบอาชีพ)ทางดุนยา(ทางโลก บน หนทางของความคิดเห็น ในมันคือ หะดิษเกี่ยวกับการผสมเกสรอินทผลัม – ดูเศาะเฮียะมุสลิม กิตาบุลฟะฎออีล หะดิษหมายเลข 4356
.............
เห็นไหมครับ ว่า อิหม่ามนะวาวีย์ ปราชญมัซฮับชาฟิอี เองก็ได้ระบุจัดเจนว่า “จำเป็นต้องปฏิบัติ ตามสิ่งที่เป็นคำพูดของท่านนบี ศอ็ลฯที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต บนทางของการแสดงความเห็น(หมายถึงการแนะนำให้เลือกปฏิบัติได้)
ในหะดิษที่ว่า
اذا امرتكم بشئ من دينكم فخذوا به واذا امرتكم بشئ من رأى فانما انا بشر
เมื่อฉันสั่งพวกท่าน ด้วยสิ่งใดๆเกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน พวกท่านจงเอามัน และเมื่อฉันสั่งสิ่งใด ที่มาจากความเห็น ความจริงฉันก็คือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง
อิหม่ามอันนะวาวีย์ อธิบายว่า
نْتُمْ أَعْلَمُ بِأَمْرِ دُنْيَاكُمْ قَالَ الْعُلَمَاءُ قَوْلُهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ رَأْيِي أَيْ فِي أَمْرِ الدُّنْيَا وَمَعَايِشِهَا لَا عَلَى التَّشْرِيعِ فَأَمَّا مَا قَالَهُ بِاجْتِهَادِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَرَآهُ شَرْعًا يَجِبُ الْعَمَلُ بِهِ وَلَيْسَ إِبَارُ النَّخْلِ مِنْ هَذَا النَّوْعِ
(พวกท่านย่อมรู้เกี่ยวกับเรื่องทางดุนยาของพวกท่านยิ่งกว่า) ,บรรดานักวิชาการ กล่าวว่า "คำพูดของท่านนบี สอ็ลฯ เกี่ยวกับความเห็น หมายถึง ในเรื่องทางโลกและการดำรงชีพทางโลก ที่ไม่ได้อยู่บนศาสนบัญญัติ และสำหรับ สิ่งที่ท่านนบีศอ็ลฯ กล่าวมัน ด้วยการอิจญติฮาด(การแสดงความคิดเห็น)ของท่าน และท่านได้มีความเห็นเกี่ยวกับศาสนา ก็จำเป็นจะต้องปฏิบัติด้วยมัน และการผสมเกษรอินทผลัมนั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากประเภทนี้(หมายถึงไม่ได้อยู่ในประเภทเกี่ยวกับศาสนบัญญัติ) - ชัรหมุสลิม 15/116-117
..............
กล่าวคือ
. คำพูดของนบีที่ว่า จากความเห็น หมายถึงในเรื่องทางโลก และการการดำรงชีวิตทางโลก ไม่ใช่บนการบัญญัติศาสนบัญญัติ แต่ถ้าความเห็นของท่านนบีเกี่ยวกับศาสนา ก็จำเป็นจะต้องปฏิบัติตาม และเรื่องการผสมเกษรอินทผลัมนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา
ในสำนวนหะดิษมุสลิมเช่นกัน ระบุคำพูดท่านนบี ศอ็ลฯเกี่ยวกับเรื่อง ผสมเกษรอินทผลัมว่า
، فَقَالَ : إِنْ كَانَ يَنْفَعُهُمْ ذَلِكَ فَلْيَصْنَعُوهُ ، فَإِنِّي إِنَّمَا ظَنَنْتُ ظَنًّا ، فَلَا تُؤَاخِذُونِي بِالظَّنِّ ، وَلَكِنْ إِذَا حَدَّثْتُكُمْ عَنِ اللَّهِ شَيْئًا فَخُذُوا بِهِ
ท่านนบี สอ็ลฯ กล่าวว่า ดังกล่าวนั้น(หมายถึงการผสมเกสรอินทผลัม)หากมันมีประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาก็จงทำมัน แท้จริงฉันแค่ออกความเห็นเท่านั้น อย่าเอาตามความเห็นของฉัน แต่ เมื่อฉันบอกเล่าอันใด จากอัลลอฮ พวกท่านจงเอามันไว้ปฏิบัติ .ดู ชัรหมุสลิม -ที่อ้างแล้ว
......
เพราะฉะนั้น ชี้ให้เห็นว่าท่านนบี ศอ็ลฯ ได้แยกความแตกต่างในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา และเรื่องทางโลกไว้ชัดเจน และแสดงให้เห็นว่า คำพูดหรือความเห็นของท่านนบี ศอลฯไม่ได้เป็นวะหยู ทุกๆเรื่อง ที่วาญิบจะต้องปฏิบัติตาม ในทำนองเดียวกัน เข่น หะดิษที่ว่า
عَنْ عَائِشَةَ رضى الله عنها قَالَتْ : 
( كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يُحِبُّ الْحَلْوَاءَ وَالْعَسَلَ ) رواه البخاري (5431)، ومسلم (1474)
รายงานจากท่าน อาอีฉะฮ(ร.ฎ)ว่านางกล่าวว่า ปรากฏว่า รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ชอบ ของหวาน และน้ำผึ้ง
........
หะดิษข้างต้น ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะต้องชอบของหวานและน้ำผึ้ง ตามที่นบีชอบ เพราะนี้คือ เกียวกับเรื่องดุนยาที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาบัญญัติ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/5/59

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทุกคำพูดนบีเป็นวะหยูจริงหรือ ภาค 2






ทุกคำพูดนบีเป็นวะหยูจริงหรือ ภาค 2
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ และหลักฐานที่บอกว่า ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของท่านนบี(ซล)คือวะฮีย์นั่น ก็คือ อัลเลาะห์ตะอาลาบอกว่า
وَمَا يَنطِقُ عَنِ الْهَوَىٰ ﴿٣﴾ إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَىٰ
และมุฮำมัดเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์ มันมิใช่อื่นใดเลยนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา
..............................................
ชี้แจง
การที่ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ อ้างว่า
และหลักฐานที่บอกว่า ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของท่านนบี(ซล)คือวะฮีย์นั่น โดยอ้างอายะฮข้างต้น
แสดงถึงความไม่เข้าใจ ทางวิชาการ โดยเฉพาะตัฟสีรอัลกุรอ่าน มาดู ข้อเท็จจริงต่อไปนี้
พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
وَمَا يَنطِقُ عَنِ الْهَوَى إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى (النجم/3-4)
“และเขามิได้พูดตามอารมณ์ อัล-กุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา”
อายะฮข้างต้น ไม่ได้หมายความว่า ทุกคำพูดของท่านนบี ศอ็บฯ เป็นวะหยูจากอัลลอฮ ตามที่ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ อ้างเท็จ เพราะ อายะฮนี้ต้องการจะบอกว่า อัลกุรอ่านที่ท่านนบี สอ็ลฯ นำมาสอนนั้น ไม่ใช่มาจากความคิดเห็นของท่านนบี ศอ็ลฯ แต่มันมาจากวะหยูของอัลลอฮ ดังที่ อิบนุญะรีร อธิบายว่า
يَقُولُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - : وَمَا يَنْطِقُ مُحَمَّدٌ بِهَذَا الْقُرْآنِ عَنْ هَوَاهُ ( إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى ) يَقُولُ : مَا هَذَا الْقُرْآنُ إِلَّا وَحْيٌ مِنَ اللَّهِ يُوحِيهِ إِلَيْهِ
พระองค์ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า มุหัมหมัด ไม่ได้พูดด้วยอัลกุรอ่านนี้ จาก อารมณ์ของเขา (มันมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา) กล่าวคือ อัลกุรอ่านนี้ มิใช่อื่นใด นอกจาก เป็นวะหยูที่มาจากอัลลอฮ ที่วะหยูมัน มายังเขา(นบี)- ดูตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ 12/48
อิหม่ามอิบนุกะษีร (ร.ฮ) อธิบายว่าว่า
وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى ) أَيْ : مَا يَقُولُ قَوْلًا عَنْ هَوًى وَغَرَضٍ ، ( إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى ) أَيْ : إِنَّمَا يَقُولُ مَا أُمِرَ بِهِ ، يُبَلِّغُهُ إِلَى النَّاسِ كَامِلًا مُوَفَّرًا مِنْ غَيْرِ زِيَادَةٍ وَلَا نُقْصَانٍ
(และเขามิได้พูดตามอารมณ์) หมายถึง สิ่งที่เขามิได้พูดคำพูดใด ที่มาจากอารมณ์ และการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน (มันมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา) หมายความว่า ความจริง เขาพูดในสิ่งที่ถูกบัญชา ด้วยมัน ,เขาถูกให้นำมันไปเผยแพร่แก่มนุษย์ อย่างสมบูรณ์ ครบถ้วน โดยปราศจากการเพิ่มเติม และทำให้บกพร่อง- ตัฟสีรอิบนุกะษีร 7/443
.............
ข้างต้น หมายถึง การยืนยันว่า อัลกุรอ่าน ไม่ได้มาจากความคิดเห็นของท่านนบี แต่เป็นวะหยูของอัลลอฮ 
ท่านนบี ศอ็ลฯ เอง ก็ยืนยันว่า
ما أخبرتكم أنه من عند الله فهو الذي لا شك فيه. رواه البزار وابن حبان في صحيحه.
สิ่งที่ฉัน บอกพวกท่าน ว่า มันมาจากอัลลอฮ มันคือ สิ่งที่ไม่มี การสงสัยใดๆในมัน- รายงานโดย อัลบัซารและอิบนุหิบบาน ในเศาะเฮียะของเขา
และมีหะดิษถึงสองบทที่มายืนยันว่า สิ่งที่เป็นคำพูดนบี ศอ็ลฯ ไม่ใช่เป็นวะหยูทั้งหมด คือ 
ข้อความหะดิษที่ว่า
وَإِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْءٍ مِنْ رَأْيٍ ، فَإِنَّمَا أَنَا بَشَرٌ
และเมื่อฉันได้สั่งสิ่งใด ที่มาจากความเห็น ความจริงฉันก็คือ มนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง
และอีกหะดิษที่แสดง บอกว่าเรื่องทางดุนยานั้น ท่านนบี ได้เปิดกว้างให้มนุษย์คิดค้นและกระทำได้ 
إذا كان شيء من أمر دنياكم فأنتم أعلم به
เมื่อปรากฏว่าสิ่งใด มาจากเรื่องทางดุนยาของพวกท่าน พวกท่านย่อมรู้ด้วยมันยิ่งกว่า- รายงานโดยอะหมัด
............
เพราะฉะนั้น การที่ อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ อ้างว่า ทุกคำพูดนบี ศอ็ลฯ เป็นวะหยู เป็นการพูดเดาสุ่ม โดยไม่ศึกษาข้อเท็จจริง
والله أعلم بالصواب
20/5/59

ทุกคำพูดนบีเป็นวะหยูจริงหรือ ภาค 1





ทุกคำพูดนบีเป็นวะหยูจริงหรือ ภาค 1
อบูอับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์
หะดีสนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับบิดอะห์เลยครับ เพราะทุกๆเรื่องที่ออกจากปากของนบี(ซล)ล้วนเเล้วแต่เป้นวะฮีย์ทั้งนั้น
>>>>>>>>>>
ชี้แจง
คำพูดข้างต้น คือการอ้างเท็จ มาดูหลักฐาน
ท่านนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า
إِنَّمَا أَنَا بَشَرٌ ، إِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْءٍ مِنْ دِينِكُمْ ، فَخُذُوا بِهِ ، وَإِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْءٍ مِنْ رَأْيٍ ، فَإِنَّمَا أَنَا بَشَرٌ "
ความจริง ฉันคือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เมื่อฉันได้สั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด เกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน พวกท่านจงเอามัน และเมื่อฉันได้สั่งสิ่งใด ที่มาจากความเห็น ความจริงฉันก็คือ มนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง – รายงานโดยมุสลิม
ข้อความหะดิษข้างต้น ที่ว่า
إِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْءٍ مِنْ دِينِكُمْ
เมื่อฉันได้สั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด เกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน พวกท่านจงเอามัน
.....
คือ เรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา หรือ ดีนียะฮ
ข้อความหะดิษที่ว่า
وَإِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْءٍ مِنْ رَأْيٍ
และเมื่อฉันได้สั่งสิ่งใด ที่มาจากความเห็น
นี่คือ แสดงว่า ความเห็นไม่เกียวกับวะหยู คือ เป็นความเห็น ไม่จำเป็นต้องตาม เพราะไม่ใช่สิ่งที่เป็นศาสนาที่มาจากวะหยู การที่ อ้างว่า ทุกคำพูดนบี คือวะหยูนั้น เป็นการกล่าวเท็จ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/5/59

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เหตุผลของผู้ที่ไม่อ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้คนตาย





เหตุผลของผู้ที่ไม่อ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้คนตาย
ได้เข้าไปอ่านบทความ  ผู้รู้ท่านหนึ่ง มีข้อความดังนี้
มัสฮับชาฟีอีย์ กับการอ่านกุรอานให้ผู้ตาย .. !!
ท่านพี่น้องที่รัก ประเด็นปัญหานี้ ดูเหมือนเป็นประเด็นที่น่าจะคลี่คลายลงไปได้แล้ว เพราะมีหลักฐานมากมายที่สามารถยอมรับได้ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่ม ที่ทำเป็นไม่เข้าใจ และพยายามหาหลักฐานมาโต้แย้ง จนทำให้ดูเหมือนว่า การอ่านกุรอานและมอบผลบุญให้ผู้ตายนั้น เหมือนจะเป็นอุตริกรรมที่น่าตำหนิเสียเหลือเกิน ทั้งๆที่บรรดาผู้กระทำการอ่านนั้น ต่างก็มีความเข้าใจดีอยู่แล้วเกี่ยวกับหลักฐานที่มา และวิถีของการอ่านที่เป็นที่อนุญาต ..
นั่นคือ ต้องมีการตั้งเจตนาในการมอบผลบุญไปยังผู้ล่วงลับ และขอดุอาอ์ให้แก่เขาตามติดไปด้วย อันนี้ คือ ความเข้าใจที่เกิดขึ้นในมัสฮับชาฟีอีย์ ตามที่ท่านอีหม่ามนะวะวีย์(รฮ.)ได้กล่าวสรุปไว้ ดังที่มีระบุอยู่ในหนังสือ ช่าเราะห์ "มินฮาจญ์" ตามตัวบทที่ว่า :
وفى شرح المنهاج : لا يصل إلى الميت عندنا ثواب القراءة على المشهور، والمختار الوصول إذا سأل اللّه إيصال ثواب قراءته وينبغى الجزم به لأنه دعاء .
"ผลบุญของการอ่านนั้น จะไม่ถึงผู้ตาย ณ.ที่เรา ตามโกล้ที่มัชโฮร(ทัศนะที่มีน้ำหนักที่สุดในมุมมองท่านอีหม่ามชาฟีอีย์) แต่ที่ถูกเลือกเฟ้นในมัสฮับแล้ว ถือว่า ผลบุญของการอ่านนั้นไปถึงผู้ตาย เมื่อมีการขอพรต่ออัลเลาะห์ให้มอบผลบุญแก่ผู้ตาย และสมควรต่อการยึดมั่นด้วยการดุอาอ์นี้ เพราะ(การที่ผลบุญไปถึง)นั้น เกิดขึ้นจากเรื่องของการดุอาอ์"
...................................
ชี้แจง
ความจริง ด้วยความเคารพ ไม่อยากจะนำข้อเขียนของท่านมาวิจารณ์ แต่ข้อความตอนหนึ่ง ที่ท่านกล่าวว่า
"แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่ม ที่ทำเป็นไม่เข้าใจ และพยายามหาหลักฐานมาโต้แย้ง จนทำให้ดูเหมือนว่า การอ่านกุรอานและมอบผลบุญให้ผู้ตายนั้น เหมือนจะเป็นอุตริกรรมที่น่าตำหนิเสียเหลือเกิน ทั้งๆที่บรรดาผู้กระทำการอ่านนั้น ต่างก็มีความเข้าใจดีอยู่แล้วเกี่ยวกับหลักฐานที่มา และวิถีของการอ่านที่เป็นที่อนุญาต ."
คำว่า "คนบางกลุ่ม" ก็คือ คนที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการอ่านอัลกุรอ่านอุทิศบุญให้คนตายนั้นเอง
ก่อนอื่น ท่านต้องเข้าใจว่า การอ่านอุทิศบุญให้คนตาย ไม่ได้มีหลักฐานทางศาสนบัญญัติ การอ้างว่า อนุญาตทำได้และผลบุญถึงผู้ตาย มันคือ ความเห็นที่มาจากการวินิจฉัยหรือ อิจญติฮาดของอุลามาอฺ มันคือ คำสอนที่มาจากความเห็น ไม่ใช่วะหยูของอัลลอฮ ที่ผ่านท่านนบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ เมื่อไม่ใช่วะหยู หรือ สิ่งที่ศาสนาบัญญัติไว้ ใครหรือจะรับรองหรือการันตีว่าได้บุญ ในเมื่อผู้ที่เป็นผู้ให้บุญคืออัลลอฮไม่ได้สั่งไว้ และศาสนทูตของเจ้าของบุญ ไม่ได้ทำแบบอย่างไว้
ส่วนวาทกรรมที่มักอ้างว่า "นบีไม่ทำก็ไม่ได้หมายถึงการห้าม" เป็นวาทะกรรมที่มาจากการคิดเห็นตามอารมณ์ เพราะหลักการในเรื่องอิบาดะฮนั้น อิบนุหะญัร ซึ่งเป็นอุลามาอฺในมัซฮับชาฟิอีเองกล่าวถึงหลักการนี้ว่า
اَلْأَصْلَ فِي اَلْعِبَادَةِ اَلتَّوَقُّف
หลักเดิมในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง -ฟัตหุ้ลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 174
เรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ
الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف
บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ(ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เห็นด้วย เขามีเหตุผลดังนี้
ท่านอิบนุบาซ(ร.ฮ) กล่าวว่า 
" 
أما قراءة القرآن فقد اختلف العلماء في وصول ثوابها إلى الميت على قولين لأهل العلم ، والأرجح أنها لا تصل لعدم الدليل ؛ لأن الرسول صلى الله عليه وسلم لم يفعلها لأمواته من المسلمين كبناته اللاتي مُتْن في حياته عليه الصلاة والسلام ، ولم يفعلها الصحابة رضي الله عنهم وأرضاهم فيما علمنا ، فالأولى للمؤمن أن يترك ذلك ولا يقرأ للموتى ولا للأحياء ولا يصلي لهم ، وهكذا التطوع بالصوم عنهم ؛ لأن ذلك كله لا دليل عليه ، والأصل في العبادات التوقيف إلا ما ثبت عن الله سبحانه أو عن رسوله صلى الله عليه وسلم شرعيته . أما الصدقة فتنفع الحي والميت بإجماع المسلمين ، وهكذا الدعاء ينفع الحي والميت بإجماع المسلمين
สำหรับการอ่านอัลกุรอ่านนั้น บรรดานักวิชาการเห็นต่างกัน เกี่ยวกับการที่ผลบุญของมันถึงผู้ตาย 
บนสองทัศนะ และที่มีน้ำหนักที่สุด แท้จริง มันไม่ถึงผู้ตาย เพราะไม่มีหลักฐาน ,เพราะนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่กระทำมัน แก่บรรดาผู้ตายของท่าน จากบรรดามุสลิม เช่น บรรดาบุตรสาวของท่าน ที่เสียชีวิต ในขณะที่ท่าน มีชีวิตอยู่ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาเหล่าเศาะหาบะฮ(ร.ฎ)ไม่ได้ทำมัน ตามที่เรารู้มา ดังนั้น ที่ดีที่สุด แก่ผู้ศรัทธา ให้ทิ้งดังกล่าวนั้น และเขาจะไม่อ่านให้แก่ผู้ตาย และไม่อ่านให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ละหมาด(อุทิศบุญ)ให้แก่พวกเขา และ เช่นเดียวกันนี้ การอาสาถือศีลอดแทนพวกเขา เพราะดังกล่าวนั้น ทั้งหมด ไม่มีหลักฐาน บนมัน และหลักการ/รากฐาน ในเรื่องอิบาดาตนั้น หยุดอยู่ที่คำสั่งใช้ (อัตตเตากีฟ) ยกเว้น สิ่งที่ปรากฏยืนยันจากอัลลอฮ(ซ.บ)หรือ จากรอซูลของพระองค์ ได้บัญญัติมัน สำหรับการทำทาน(เศาะดะเกาะฮ) นั้น คนเป็นและคนตายได้ประโยชน์ด้วยมติเอกฉันท์ของบรรดานักปราชญ์มุสลิม และในทำนองเดียวกันนี้ การดุอา คนเป็นและคนตายได้ประโยชน์ด้วยมติเอกฉันท์ของบรรดานักปราชญ์มุสลิมเช่นกัน.. 
ดู มัจญมัวะฟะตาวาวะมะกอลาตเช็คบินบาซ เล่ม 4 หน้า 348
อัลหัยษะมีย์ ได้ฟัตวาว่า
الميت لا يقرأ عليه مبني على ما أطلقه المقدمون من أن القراءة لا تصله أي الميت لأن ثوابها للقارء. والثواب المرتب على عمل لا ينقل عن عامل ذلك العمل. قال اللهِ تعالى : وَأَن لّيْسَ لِلإِنسَانِ إِلاّ مَا سَعَى
มัยยิต จะไม่มีการอ่านอัลกุรอ่านให้แก่เขา โดยมันถูกวางรากฐานอยู่บนสิ่งที่บรรดาชนยุคก่อน ได้กล่าวมันเอาไว้อย่างกว้างๆว่า การอ่าน ไม่ถึงผู้ตาย เพราะผลบุญของมัน ได้แก่ผู้อ่าน และ ผลบุญนั้น ถูกวางระเบียบเอาไว้บนการกระทำ และจะโอนจากผู้กระทำการกระทำนั้นไม่ได้ อัลลอฮ ตะอาลาตรัสว่า 
" แท้จริงมนุษย์จะไม่ได้รับ นอกจากสิ่งที่เขาขนขวายเท่านั้น " - ฟะตาวาอัลกุบรอ อัลฟิกฮียะฮ ของ อัลหัยษะมีย์ เล่ม 2 หน้า 9
...............
เพราะฉะนั้น คนที่เขาไม่เห็นด้วย เพราะเขาตามสุนนะฮ นบี ศอ็ลฯ คือ หากท่านนบี ศอ็ลฯ ปฏิบัติเขาก็ปฏิบัติ และหากท่านนบี ศอ็ลฯ ไม่ปฏิบัติเขาก็ไม่ปฏิบัติ
อบูอัลมุซฟัรอัสสัมอานีย์กล่าวว่า
إذا ترك النبي صلى الله عليه وسلم شيئا من الأشياء وجب علينا متابعته فيه
เมื่อนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากบรรดาสิ่งต่างๆ ก็จำเป็นแก่เรา จะต้องเจริญรอยตามท่านนบีในสิ่งนั้น – เกาะวาเฏียะอัลอะดิลละฮ เล่ม 1 หน้า 311
...........
สิ่งใดท่านนบีไม่ปฏิบัติ เราก็ไม่ปฏิบัติ แบบนี้เขาเรียกปฏิบัติตามสุนนะฮตัรกียะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/5/59
.

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทำไมอิสติวาอฺจึงแปลว่า สถิต





ทำไมอิสติวาอฺจึงแปลว่า สถิต
Nazaie Al-baihagi
23 ชม.
จากคำดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า..
الرَّحْمَنُ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
ซุเราะฮ์ตอฮา:5
กลุ่มวะฮาบีย์แปลอะยะฮ์นี้ตามตัวตรงว่า.ผู้ทรงเมตตาปราณี(อัลลอฮ์).สถิตย์ อยู่ บนบัลลังค์.
ถามว่า มีเหตุผลอันใดที่วะฮาบีย์จึงเลือกเฉพาะเจาะจงเเปลคำว่าاسْتَوَ หมายถึง.การสถิตย์.บนบัลลังค์ของอัลเลาะฮ์.
>>>>>>>
ชี้แจง
ความจริง ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถานคำว่า สถิต[สะถิด] ก. อยู่ ยืนอยู่ ตั้งอยู่ (ใช้เป็นคํายกย่องแก่สิ่งหรือบุคคลที่อยู่ในฐานะสูง)
ส่วนคำว่า استقر (อิสตะกอรรอ) ในปทานุกรม อาหรับไทย ของ สำนักพิมพ์ ส.วงเสงี่ยม หน้า ๓๙๙ แปลว่า อยู่
คำว่า
الرَّحْمَنُ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
ความหมายก็คือ พระเจ้าผู้ทรงเมตตาอยู่เหนือบัลลังค์
เพราะอายะฮข้างต้น แสดงบอกถึงการอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัช
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) กล่าวว่า
قال أبو عمر الاستواء الاستقرار في العلو وبهذا خاطبنا الله عز وجل
อบูอัมริน กล่าวว่า " อัลอิสติวาอฺคือ การสถิต อยู่ เบื้องสูง และด้วยคำนี้ อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง ได้สนทนากับเรา - อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 131 
.............
คำว่า “สถิต” เป็นภาษาไทย ความหมาย[สะถิด] ก. อยู่, ยืนอยู่, ตั้งอยู่ คำนี้ เป็นคำที่ใช้กับใช้เป็นคํายกย่องแก่สิ่งหรือบุคคลที่อยู่ในฐานะสูง 
คำว่า “ استقرار มาจากคำว่า استقر แปลว่า อยู่ ความจริง คำว่า “ทรงสถิต หนือบัลลังค์ ความหมาย ก็คือ ทรงอยู่เหนือบัลลังค์ นั้นเอง 

ชาวสลัฟเขาเชื่อว่า พระเจ้าอยู่เบื้องสูง บน อะรัช ซึ่ง ก็คือ ความหมาย คำว่า “สถิต (อิสติกร็อร) นั้นเอง มาดูเพิ่ม
อิบนุกุตัยบะฮ (ฮ.ศ ๒๗๖)กล่าวว่า
كيف يسوغ لأحد أن يقول إنه بكل مكان على الحلول مع قوله : ( الرحمن على العرش استوى ) : أي استقر
จะอนุญาตให้คนหนึ่งคนใดกล่าวว่า แท้จริง พระองค์อยุ่ทุกสถานที่ บนการตั้งถิ่นฐานในมัน(ในทุกสถานที่) ได้อย่างไรทั้งๆที่พระองค์ตรัสว่า (พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงอยู่ เหนืออะรัช) หมายถึง ทรงสถิต ดู- ตะวีลมุคตะลิฟุลหะดิษ หน้า ๒๔๗
อิหม่ามกุรฎุบีย์(ร.อ)นักตัฟสีรที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง กล่าวว่า.
قَالَ مَالِكٌ رَحِمَهُ اللَّهُ : الِاسْتِوَاءُ مَعْلُومٌ - يَعْنِي فِي اللُّغَةِ - وَالْكَيْفُ مَجْهُولٌ ، وَالسُّؤَالُ عَنْ هَذَا بِدْعَةٌ . وَكَذَا قَالَتْ أُمُّ سَلَمَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهَا . وَهَذَا الْقَدْرُ كَافٍ ، وَمَنْ أَرَادَ زِيَادَةً عَلَيْهِ فَلْيَقِفْ عَلَيْهِ فِي مَوْضِعِهِ مِنْ كُتُبِ الْعُلَمَاءِ . وَالِاسْتِوَاءُ فِي كَلَامِ الْعَرَبِ هُوَ الْعُلُوُّ وَالِاسْتِقْرَارُ
อิหม่ามมาลิก ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านกล่าวว่า “อิสติวาอฺ นั้นเป็นที่รู้กัน หมายถึงในด้านภาษา(เป็นที่รู้กัน) และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน และการถามเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น เป็นบิดอะฮ และในทำนองเดียวกันนี้ อุมมุสะละมะฮ (ร.ฎ)ได้กล่าวเอาไว้ แค่นี้ก็พอเพียงแล้ว และผู้ใดต้องการที่จะ(รู้)เพิ่มเติม ก็จงดูมันในเรื่องของมันจากบรรดาตำราของอุลามาอฺและคำว่า”อิสติวาอฺ ในคำพูดอาหรับนั้น คือ สูง และการสถิต- ดู ตัฟสีรญามิอุลอะหกาม เล่ม ๗ หน้า ๒๑๙
>>>>>
เพราะฉะนั้น การเจาะความหมายคำว่า استقر (สถิต) ก็ไม่แปลกอะไร เนื่องจากมีปราชญ์ชาวสะลัฟได้เจาะจงความหมายนี้เช่นกัน แม้สะลัฟคนอื่นจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็มีอะกีดะฮเดียวกันคือ การยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ส่วนคนที่มีใจอคติ และยึดติดอยู่กับแนวคิดอะฮลุลกาลาม จะนำหลักฐานมากองเท่าภูเขา เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี โดยอ้างว่า เป็นหลักฐานวะฮบีย์ -นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๘/๕/๕๙

อัลลอฮชื่นขมบิดอะฮที่มนุษย์คิดว่าดีจริงหรือ ภาค 2





อัลลอฮชื่นขมบิดอะฮที่มนุษย์คิดว่าดีจริงหรือ ภาค 2
 
มีผู้ได้อ้างอายะฮต่อไปนี้ว่า อัลลอฮ ตาอาลาชมเชยหรือชื่นชม บิดอะฮ หะสะนะฮ คือ อายะฮที่ว่า
وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ إِلَّا ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا
ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน-..อัลหะดีด /27
มาดูคำอธิบายอายะฮข้างต้น
อิบนุกะษีร อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا ) أَيِ : ابْتَدَعَتْهَا أُمَّةُ النَّصَارَى
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และการถือสันโดษ ที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นมานั้น) หมายความว่า อุมมะฮคริสเตียน ได้ประดิษฐ์มันขึ้นมา

( مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ ) أَيْ : مَا شَرَعْنَاهَا لَهُمْ ، وَإِنَّمَا هُمُ الْتَزَمُوهَا مِنْ تِلْقَاءِ أَنْفُسِهِمْ
(เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา) หมายความว่า เรามิได้บัญญัติมันแก่พวกเขา ความจริง พวกเขาได้ ผูกมัดมัน(ด้วยการสาบาน) ที่มาจากตัวของพวกเขาเอง
وَقَوْلُهُ : ( إِلَّا ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ ) فِيهِ قَوْلَانِ ، أَحَدُهُمَا : أَنَّهُمْ قَصَدُوا بِذَلِكَ رِضْوَانَ اللَّهِ ، قَالَ سَعِيدُ بْنُ جُبَيْرٍ ، وَقَتَادَةُ . وَالْآخَرُ : مَا كَتَبْنَا عَلَيْهِمْ ذَلِكَ إِنَّمَا كَتَبْنَا عَلَيْهِمُ ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(เว้นแต่เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ) ในมัน มี 2 ทัศนะ คือ 
1. หมายถึง แท้จริงพวกเขา เจตนาด้วยดังกล่าว เพื่อความโปรดปราน ของอัลลอฮ ,สะอีด บิน ญุบัยร์และ เกาะตาดะฮ ได้กล่าวเอาไว้
2. หมายถึง เรามิได้บัญญัติดังกล่าวนั้น แก่พวกเขา ความจริง เราได้บัญญัติ การแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ แก่พวกเขา
وَقَوْلُهُ : ( فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا ) أَيْ : فَمَا قَامُوا بِمَا الْتَزَمُوهُ حَقَّ الْقِيَامِ . وَهَذَا ذَمٌّ لَهُمْ مِنْ وَجْهَيْنِ ، أَحَدُهُمَا : فِي الِابْتِدَاعِ فِي دِينِ اللَّهِ مَا لَمْ يَأْمُرْ بِهِ اللَّهُ . وَالثَّانِي : فِي عَدَمِ قِيَامِهِمْ بِمَا الْتَزَمُوهُ مِمَّا زَعَمُوا أَنَّهُ قُرْبَةٌ يُقَرِّبُهُمْ إِلَى اللَّهِ ، عَزَّ وَجَلَّ .
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน) หมายถึง พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติด้วยสิ่งที่พวกเขา ได้ทำให้มันเป็นสิ่งจำเป็น อันเป็นการปฏิบัติอย่างแท้จริง (หมายถึงไม่ตั้งใจจริง) และนี้คือ การตำหนิ พวกเขา อันเนื่องมาจากเหตุผล ๒ ประการคือ
๑. ตำหนิในกรณีการอุตริบิดอะฮในศาสนาของอัลลอฮ สิ่งซึ่ง อัลลอฮไม่ได้สั่งด้วยมัน
๒. ตำหนิในกรณีที่พวกเขาไม่ปฏิบัติ ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้กำหนดให้มันเป็นสิ่งผูกมัด/สิ่งจำเป็น แก่แก่พวกเขา จากสิ่งที่พวกเขา อ้างว่า มันคือ กุรบะฮ(อิบาดะฮ) ที่ทำให้พวกเขาใกล้ชิดต่ออัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร ๘/๒๙
.............
อิบนุญะรีร (ร.ฮ) อธิบายว่า
( مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ ) يَقُولُ : مَا افْتَرَضْنَا تِلْكَ الرَّهْبَانِيَّةَ عَلَيْهِمْ ، ( إِلَّا ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ ) يَقُولُ : لَكِنَّهُمُ ابْتَدَعُوهَا ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ ( فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا ) .
(เรามิได้บัญญัติมัน แก่พวกเขา) กล่าวคือ เราไม่ได้กำหนดการถือสันโดษดังกล่าวนั้น ให้เป็นข้อบังคับ แก่พวกเขา (เว้นแต่เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ) กล่าวคือ แต่พวกเขา ได้ประดิษฐมัน เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ (แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน) -ตัฟสีรอัฏฏอบรีย์ 23/203
จากการอธิบายข้างต้น คือ
จุดประสงค์ของอายะฮต้องการที่จะบอกว่า รุฮบานียะฮ (หมายถึง การกระทำตนเป็นนักบวช ถือสันโดษ ตัดจากโลกภายนอก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้าม และอุทิศตนจำศีลอยู่ในโบสถ์ สิ่งนี้ อัลลอฮมิได้ทรงบัญญัติให้แก่พวกเขาปฏิบัติ แต่ ส่วนหนึ่งจากชาวคัมภีร์ ได้ประดิษฐมันขึ้นมา เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ นั้นคือ เหตุการณ์ในยุคอดีต 
จึงขอเรียน ว่า
แต่มาในยุคของท่านนบี ศอ็ลฯ ท่านได้ยืนยันว่า ไม่มีนักบวช(รุฮบานียะฮ)ในอิสลาม
เช่น หะดิษรายงานโดยอัดดาริมีย์ เรือง การห้ามครองตนเป็นโสด หะดิษหมายเลข 2169 ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯกล่าวกับ ท่านอุษมาน บิน มัซอูน ว่า
يَا عُثْمَانُ إِنِّي لَمْ أُومَرْ بِالرَّهْبَانِيَّةِ أَرَغِبْتَ عَنْ سُنَّتِي قَالَ لَا يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ إِنَّ مِنْ سُنَّتِي أَنْ أُصَلِّيَ وَأَنَامَ وَأَصُومَ وَأَطْعَمَ وَأَنْكِحَ وَأُطَلِّقَ فَمَنْ رَغِبَ عَنْ سُنَّتِي فَلَيْسَ مِنِّي
โอ้อุษมาน แท้จริงฉันไม่ได้สั่ง ให้เป็นนักบวช ,ท่านรังเกียจสุนนะฮของฉันหรือ เขา(อุษมาน)กล่าวว่า ไม่ครับ โอ้รซูลุลลอฮ ,ท่านนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า "แท้จริง ส่วนหนึ่งจากสุนนะฮของฉัน คือ ฉัน ละหมาด ,ฉันนอน, ฉันถือศีลอด,ฉันทานอาหาร ,ฉันแต่งงาน และฉันหย่า ดังนั้น ผู้ใดรังเกียจ สุนนะฮของฉัน เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากฉัน......จนจบหะดิษ - ดู สุนันอัดดาริมีย์ 2/179
..................
จุดให้หรือ ที่อายะฮข้างต้น ที่มีผู้ระบุว่า เป็นหลักฐานว่าอัลลอฮ ชื่นชม บิดอะฮ หะสะนะฮ และมีผู้เอาอายะฮข้างต้นมาเป็นหลักฐานรับรองการอุตริบิดอะฮ ที่เขาเห็นว่าดี นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/5/59

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อัลลอฮชมเชยบิดอะฮที่มนุษย์คิดว่าดีจริงหรือ






อัลลอฮชมเชยบิดอะฮที่มนุษย์คิดว่าดีจริงหรือ
บัง ฟาตอนี 
ในโองการข้างต้นที่ได้ยกมานั้น อัลลอฮฺได้ดำรัสว่า مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ "เรา ไม่ได้วาญิบเราะห์บานียยะห์ดังกล่าวแก่พวกเขา แต่พวกเขาเองที่ทำมันเพื่อจุดประสงค์ในการแสวงหาความใกล้ชิดและความโปรดปรานต่ออัลลอฮฺ " ซึ่งในอายะห์นี้ อัลลอฮฺได้ชมเชย ผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้กำหนดไว้ แต่ วะห่าบี ได้ทำการห้ามในสิ่งที่ อัลลอฮฺชมเชย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต่างหากคือผู่ที่ทำสวนทางกับกุรอาน
>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
บัง ฟาตอนี พยายามบิดเบือนว่า อายะฮอัลกุรอ่านซูเราะฮ อัลหะดิด อายะฮที่ ๑๗ อัลลอฮชมเชยบิดอะฮที่ดี มาดูข้อเท็จจริงดังนี้
อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า 
ثُمَّ قَفَّيْنَا عَلَىٰ آثَارِهِم بِرُسُلِنَا وَقَفَّيْنَا بِعِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ وَآتَيْنَاهُ الْإِنجِيلَ وَجَعَلْنَا فِي قُلُوبِ الَّذِينَ اتَّبَعُوهُ رَأْفَةً وَرَحْمَةً وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ إِلَّا ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا ۖ فَآتَيْنَا الَّذِينَ آمَنُوا مِنْهُمْ أَجْرَهُمْ ۖ وَكَثِيرٌ مِّنْهُمْ فَاسِقُونَ ( 27 ) อัล-หะดีด - Ayaa 27 
แล้วเราก็ได้ส่งบรรดาร่อซูลของเราติดตามร่องรอยของพวกเขา และเราได้ส่งอีซาอิบนฺ มัรยัม ตามมา และเราได้ประทานอินญีลให้แก่เขา และเราได้บันดาลความสงสารและความเมตตาให้เกิดขึ้นในจิตใจของบรรดาผู้ที่เชื่อฟังปฏิบัติตามเขา ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน กระนั้นก็ดีเราก็ได้ประทานรางวัลของพวกเขาแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขา แต่ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ศาสนาอิสลามไม่มีระบบบวชเป็นพระหรือชีและการตัดขาดทางโลก โดยไม่สนใจหรือไม่ลิ้มรสชาติของสิ่งดีๆ ที่อัลลอฮฺสร้างมาเพื่อบริการบ่าว ท่านศาสนาทูตของอิสลามกล่าวว่า
« ... لَا تُشَدِّدُوا عَلَى أَنْفُسِكُمْ فَيُشَدَّدَ عَلَيْكُمْ، فَإِنَّ قَوْمًا شَدَّدُوا عَلَى أَنْفُسِهِمْ فَشَدَّدَ اللَّهُ عَلَيْهِمْ، فَتِلْكَ بَقَايَاهُمْ فِي الصَّوَامِعِ وَالدِّيَارِ ﴿وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ ﴾ (الحديد :27)...» (سنن أبي داود ج4 ص276 رقم الحديث 4904)
ความว่า : “พวกเจ้าอย่าเข้มงวดกับตัวพวกเจ้ามากเกินไป ดังนั้นอัลลอฮฺจะทรงเข้มงวดกับพวกเจ้าด้วย แท้จริงแล้วชนกลุ่มหนึ่งได้เคร่งและเข้มงวดกับตัวพวกเขามากเกินไปจนอัลลอฮฺ เข้มงวดกับพวกเขา เหล่านั้นคือบรรดาคนที่เหลือให้เห็นอยู่ในโบสถ์และอาศรม (อัลลอฮฺตรัสว่า)
﴿وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ﴾ (الحديد :27)
ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา
(จากสูเราะฮฺ อัล-หะดีด 27)” (สุนัน อบี ดาวูด 4/276 เลขที่ 4704)
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) ได้อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا ) أَيْ : فَمَا قَامُوا بِمَا الْتَزَمُوهُ حَقَّ الْقِيَامِ . وَهَذَا ذَمٌّ لَهُمْ مِنْ وَجْهَيْنِ ، أَحَدُهُمَا : فِي الِابْتِدَاعِ فِي دِينِ اللَّهِ مَا لَمْ يَأْمُرْ بِهِ اللَّهُ . وَالثَّانِي : فِي عَدَمِ قِيَامِهِمْ بِمَا الْتَزَمُوهُ مِمَّا زَعَمُوا أَنَّهُ قُرْبَةٌ يُقَرِّبُهُمْ إِلَى اللَّهِ ، عَزَّ وَجَلَّ .
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน) หมายถึง พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติด้วยสิ่งที่พวกเขา ได้ทำให้มันเป็นสิ่งจำเป็น อันเป็นการปฏิบัติอย่างแท้จริง (หมายถึงไม่ตั้งใจจริง) และนี้คือ การตำหนิ พวกเขา อันเนื่องมาจากเหตุผล ๒ ประการคือ
๑. ตำหนิในกรณีการอุตริบิดอะฮในศาสนาของอัลลอฮ สิ่งซึ่ง อัลลอฮไม่ได้สั่งด้วยมัน
๒. ตำหนิในกรณีที่พวกเขาไม่ปฏิบัติ ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้กำหนดให้มันเป็นสิ่งผูกมัด/สิ่งจำเป็น แก่แก่พวกเขา จากสิ่งที่พวกเขา อ้างว่า มันคือ กุรบะฮ(อิบาดะฮ) ที่ทำให้พวกเขาใกล้ชิดต่ออัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร ๘/๒๙
..................
อายะฮข้างต้น เกี่ยวกับพวกนัศรอนีย์ อุมมะฮนบีอีซา อะลัยฮิสสลาม ที่พวกเขาได้ผูกมัดการกระทำตัวเป็นนักบวช ในสิ่งที่อัลลอฮไม่ได้บัญญัติไว้ เช่น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับภรรยา จำศีลอยู่ในโบสถ์ และอายะฮนี้ ไม่ได้เป็นหลักฐานส่งเสริมให้ทำบิดอะฮ โดยคิดว่าดี แต่ในทางกลับกัน มันคือการตำหนิ ผู้ที่อุติบิดอะฮในศาสนาของอัลลอฮในสิ่งที่มิทรงสั่งให้ปฏิบัติ
อายะฮข้างต้น ไม่มีนักตัฟสีร หรือ นักปราชญ์คนใด บอกว่า อัลลอฮชมเชยบิดอะฮในศาสนา การเอาอายะฮ ที่ ๑๗ ซูเราะฮอัลหะดีด มาเป็นหลักฐานรับรองบิดอะฮที่อ้างว่าดี ในศาสนา คือ การบิดเบือนอัลกุรอ่าน และเอาการกระทำของนักบวชคริสเตียนในยุคอีซา อะลัยฮิสสลาม มาเป็นหลักฐานสนับสนุนบิดอะฮ โดยละทิ้งคำเตือนของท่านนบี ศอ็ลฯ ที่บอกว่า
وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأُمُوْرِ ، فَإِنَّ كُلَّ مُحْدَثَةٍ بِدْعَةٌ ، وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةُ ،
และขอให้ท่านทั้งหลายออกห่างสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา) เพราะว่า ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) และทุกอุตริกรรมนั้น เป็นความหลงผิด
(ติรมิซียฺ)
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๗/๕/๕๙