อัลลอฮชมเชยบิดอะฮที่มนุษย์คิดว่าดีจริงหรือ
บัง ฟาตอนี
ในโองการข้างต้นที่ได้ยกมานั้น อัลลอฮฺได้ดำรัสว่า مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ "เรา ไม่ได้วาญิบเราะห์บานียยะห์ดังกล่าวแก่พวกเขา แต่พวกเขาเองที่ทำมันเพื่อจุดประสงค์ในการแสวงหาความใกล้ชิดและความโปรดปรานต่ออัลลอฮฺ " ซึ่งในอายะห์นี้ อัลลอฮฺได้ชมเชย ผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้กำหนดไว้ แต่ วะห่าบี ได้ทำการห้ามในสิ่งที่ อัลลอฮฺชมเชย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต่างหากคือผู่ที่ทำสวนทางกับกุรอาน
>>>>>>>>>>>>
ในโองการข้างต้นที่ได้ยกมานั้น อัลลอฮฺได้ดำรัสว่า مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ "เรา ไม่ได้วาญิบเราะห์บานียยะห์ดังกล่าวแก่พวกเขา แต่พวกเขาเองที่ทำมันเพื่อจุดประสงค์ในการแสวงหาความใกล้ชิดและความโปรดปรานต่ออัลลอฮฺ " ซึ่งในอายะห์นี้ อัลลอฮฺได้ชมเชย ผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้กำหนดไว้ แต่ วะห่าบี ได้ทำการห้ามในสิ่งที่ อัลลอฮฺชมเชย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต่างหากคือผู่ที่ทำสวนทางกับกุรอาน
>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
บัง ฟาตอนี พยายามบิดเบือนว่า อายะฮอัลกุรอ่านซูเราะฮ อัลหะดิด อายะฮที่ ๑๗ อัลลอฮชมเชยบิดอะฮที่ดี มาดูข้อเท็จจริงดังนี้
อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า
ثُمَّ قَفَّيْنَا عَلَىٰ آثَارِهِم بِرُسُلِنَا وَقَفَّيْنَا بِعِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ وَآتَيْنَاهُ الْإِنجِيلَ وَجَعَلْنَا فِي قُلُوبِ الَّذِينَ اتَّبَعُوهُ رَأْفَةً وَرَحْمَةً وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ إِلَّا ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا ۖ فَآتَيْنَا الَّذِينَ آمَنُوا مِنْهُمْ أَجْرَهُمْ ۖ وَكَثِيرٌ مِّنْهُمْ فَاسِقُونَ ( 27 ) อัล-หะดีด - Ayaa 27
แล้วเราก็ได้ส่งบรรดาร่อซูลของเราติดตามร่องรอยของพวกเขา และเราได้ส่งอีซาอิบนฺ มัรยัม ตามมา และเราได้ประทานอินญีลให้แก่เขา และเราได้บันดาลความสงสารและความเมตตาให้เกิดขึ้นในจิตใจของบรรดาผู้ที่เชื่อฟังปฏิบัติตามเขา ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน กระนั้นก็ดีเราก็ได้ประทานรางวัลของพวกเขาแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขา แต่ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
บัง ฟาตอนี พยายามบิดเบือนว่า อายะฮอัลกุรอ่านซูเราะฮ อัลหะดิด อายะฮที่ ๑๗ อัลลอฮชมเชยบิดอะฮที่ดี มาดูข้อเท็จจริงดังนี้
อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า
ثُمَّ قَفَّيْنَا عَلَىٰ آثَارِهِم بِرُسُلِنَا وَقَفَّيْنَا بِعِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ وَآتَيْنَاهُ الْإِنجِيلَ وَجَعَلْنَا فِي قُلُوبِ الَّذِينَ اتَّبَعُوهُ رَأْفَةً وَرَحْمَةً وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ إِلَّا ابْتِغَاءَ رِضْوَانِ اللَّهِ فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا ۖ فَآتَيْنَا الَّذِينَ آمَنُوا مِنْهُمْ أَجْرَهُمْ ۖ وَكَثِيرٌ مِّنْهُمْ فَاسِقُونَ ( 27 ) อัล-หะดีด - Ayaa 27
แล้วเราก็ได้ส่งบรรดาร่อซูลของเราติดตามร่องรอยของพวกเขา และเราได้ส่งอีซาอิบนฺ มัรยัม ตามมา และเราได้ประทานอินญีลให้แก่เขา และเราได้บันดาลความสงสารและความเมตตาให้เกิดขึ้นในจิตใจของบรรดาผู้ที่เชื่อฟังปฏิบัติตามเขา ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน กระนั้นก็ดีเราก็ได้ประทานรางวัลของพวกเขาแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขา แต่ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ศาสนาอิสลามไม่มีระบบบวชเป็นพระหรือชีและการตัดขาดทางโลก โดยไม่สนใจหรือไม่ลิ้มรสชาติของสิ่งดีๆ ที่อัลลอฮฺสร้างมาเพื่อบริการบ่าว ท่านศาสนาทูตของอิสลามกล่าวว่า
« ... لَا تُشَدِّدُوا عَلَى أَنْفُسِكُمْ فَيُشَدَّدَ عَلَيْكُمْ، فَإِنَّ قَوْمًا شَدَّدُوا عَلَى أَنْفُسِهِمْ فَشَدَّدَ اللَّهُ عَلَيْهِمْ، فَتِلْكَ بَقَايَاهُمْ فِي الصَّوَامِعِ وَالدِّيَارِ ﴿وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ ﴾ (الحديد :27)...» (سنن أبي داود ج4 ص276 رقم الحديث 4904)
ความว่า : “พวกเจ้าอย่าเข้มงวดกับตัวพวกเจ้ามากเกินไป ดังนั้นอัลลอฮฺจะทรงเข้มงวดกับพวกเจ้าด้วย แท้จริงแล้วชนกลุ่มหนึ่งได้เคร่งและเข้มงวดกับตัวพวกเขามากเกินไปจนอัลลอฮฺ เข้มงวดกับพวกเขา เหล่านั้นคือบรรดาคนที่เหลือให้เห็นอยู่ในโบสถ์และอาศรม (อัลลอฮฺตรัสว่า)
﴿وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ﴾ (الحديد :27)
ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา
﴿وَرَهْبَانِيَّةً ابْتَدَعُوهَا مَا كَتَبْنَاهَا عَلَيْهِمْ﴾ (الحديد :27)
ส่วนการถือสันโดษนั้น เรามิได้บัญญัติมันขึ้นมาแก่พวกเขา (เว้นแต่) พวกเขาประดิษฐ์มันขึ้นมา
(จากสูเราะฮฺ อัล-หะดีด 27)” (สุนัน อบี ดาวูด 4/276 เลขที่ 4704)
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) ได้อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( فَمَا رَعَوْهَا حَقَّ رِعَايَتِهَا ) أَيْ : فَمَا قَامُوا بِمَا الْتَزَمُوهُ حَقَّ الْقِيَامِ . وَهَذَا ذَمٌّ لَهُمْ مِنْ وَجْهَيْنِ ، أَحَدُهُمَا : فِي الِابْتِدَاعِ فِي دِينِ اللَّهِ مَا لَمْ يَأْمُرْ بِهِ اللَّهُ . وَالثَّانِي : فِي عَدَمِ قِيَامِهِمْ بِمَا الْتَزَمُوهُ مِمَّا زَعَمُوا أَنَّهُ قُرْبَةٌ يُقَرِّبُهُمْ إِلَى اللَّهِ ، عَزَّ وَجَلَّ .
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (แต่พวกเขามิได้เอาใจใส่เท่าที่ควรจะกระทำมัน) หมายถึง พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติด้วยสิ่งที่พวกเขา ได้ทำให้มันเป็นสิ่งจำเป็น อันเป็นการปฏิบัติอย่างแท้จริง (หมายถึงไม่ตั้งใจจริง) และนี้คือ การตำหนิ พวกเขา อันเนื่องมาจากเหตุผล ๒ ประการคือ
๑. ตำหนิในกรณีการอุตริบิดอะฮในศาสนาของอัลลอฮ สิ่งซึ่ง อัลลอฮไม่ได้สั่งด้วยมัน
๒. ตำหนิในกรณีที่พวกเขาไม่ปฏิบัติ ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้กำหนดให้มันเป็นสิ่งผูกมัด/สิ่งจำเป็น แก่แก่พวกเขา จากสิ่งที่พวกเขา อ้างว่า มันคือ กุรบะฮ(อิบาดะฮ) ที่ทำให้พวกเขาใกล้ชิดต่ออัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร ๘/๒๙
..................
๑. ตำหนิในกรณีการอุตริบิดอะฮในศาสนาของอัลลอฮ สิ่งซึ่ง อัลลอฮไม่ได้สั่งด้วยมัน
๒. ตำหนิในกรณีที่พวกเขาไม่ปฏิบัติ ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้กำหนดให้มันเป็นสิ่งผูกมัด/สิ่งจำเป็น แก่แก่พวกเขา จากสิ่งที่พวกเขา อ้างว่า มันคือ กุรบะฮ(อิบาดะฮ) ที่ทำให้พวกเขาใกล้ชิดต่ออัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร ๘/๒๙
..................
อายะฮข้างต้น เกี่ยวกับพวกนัศรอนีย์ อุมมะฮนบีอีซา อะลัยฮิสสลาม ที่พวกเขาได้ผูกมัดการกระทำตัวเป็นนักบวช ในสิ่งที่อัลลอฮไม่ได้บัญญัติไว้ เช่น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับภรรยา จำศีลอยู่ในโบสถ์ และอายะฮนี้ ไม่ได้เป็นหลักฐานส่งเสริมให้ทำบิดอะฮ โดยคิดว่าดี แต่ในทางกลับกัน มันคือการตำหนิ ผู้ที่อุติบิดอะฮในศาสนาของอัลลอฮในสิ่งที่มิทรงสั่งให้ปฏิบัติ
อายะฮข้างต้น ไม่มีนักตัฟสีร หรือ นักปราชญ์คนใด บอกว่า อัลลอฮชมเชยบิดอะฮในศาสนา การเอาอายะฮ ที่ ๑๗ ซูเราะฮอัลหะดีด มาเป็นหลักฐานรับรองบิดอะฮที่อ้างว่าดี ในศาสนา คือ การบิดเบือนอัลกุรอ่าน และเอาการกระทำของนักบวชคริสเตียนในยุคอีซา อะลัยฮิสสลาม มาเป็นหลักฐานสนับสนุนบิดอะฮ โดยละทิ้งคำเตือนของท่านนบี ศอ็ลฯ ที่บอกว่า
อายะฮข้างต้น ไม่มีนักตัฟสีร หรือ นักปราชญ์คนใด บอกว่า อัลลอฮชมเชยบิดอะฮในศาสนา การเอาอายะฮ ที่ ๑๗ ซูเราะฮอัลหะดีด มาเป็นหลักฐานรับรองบิดอะฮที่อ้างว่าดี ในศาสนา คือ การบิดเบือนอัลกุรอ่าน และเอาการกระทำของนักบวชคริสเตียนในยุคอีซา อะลัยฮิสสลาม มาเป็นหลักฐานสนับสนุนบิดอะฮ โดยละทิ้งคำเตือนของท่านนบี ศอ็ลฯ ที่บอกว่า
وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأُمُوْرِ ، فَإِنَّ كُلَّ مُحْدَثَةٍ بِدْعَةٌ ، وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةُ ،
และขอให้ท่านทั้งหลายออกห่างสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา) เพราะว่า ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) และทุกอุตริกรรมนั้น เป็นความหลงผิด
(ติรมิซียฺ)
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
อะสัน หมัดอะดั้ม
๑๗/๕/๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น