วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ใบหน้าไม่ใช่เอาเราะฮ ภาค 13




ใบหน้าไม่ใช่เอาเราะฮ  ภาค 13
อิหม่ามมะหมูด อัลอะลูซีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
وأنت تعلم أن وجه الحرة عندنا ليس بعورة فلا يجب ستره ويجوز النظر من الأجنبي إليه إن أمن الشهورة مطلقا وإلا فيحرم
และท่านนั้น ท่านรู้ว่า แท้จริงใบหน้า ในทัศนะของเรา มันไม่ใช่เอาเราะฮ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดมัน และอนุญาตให้ชายแปลกหน้ามองมัน หากปลอดภัยจากการเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างสิ้นเชิงและถ้าไม่ปลอดภัย ก็ห้ามดู - ตัฟสีรูหุลมะอานีย์ 22/89
........
อิหม่ามมะหมูด อัลอะลูซีย์ ฮ.ศ 1273-1342 ปราชญ์อะลุสสุนนะฮ แห่งอิรัก มีทัศนะว่า "ใบหน้าไม่ใช่เอาเราะฮ" แล้วคนที่หุกุม(ตัดสิน)ว่า คนที่มีทัศนะอนุญาตให้เปิดหน้า คือผู้ที่ต่อต้านอัลลอฮและรอซูล เขาเป็นใคร ขอให้ผู้อ่านพิจารณา
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/12/61

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

มือและสองฝ่ามือไม่ใช่เอาเราะฮ ภาค 10


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

มือและสองฝ่ามือไม่ใช่เอาเราะฮ ภาค 10
ผมนำเสนอข้อมูลทางวิชาการเพื่อผู้อ่านได้ศึกษา และพิจารณาดูว่า การที่มีคนบางกลุ่มฟันธงยืนกระต่ายขาเดียว และหุกุมว่า การปิดหน้าเป็นวาญิบ และการเปิดหน้าเป็นการทำสิ่งที่หะรอมและเป็นบาป นั้น เป็นการใช้ความรู้สึกและอารมณ์หรือใช้หลักฐานเด็ดขาดมาตัดสิน เพราะบรรดาหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮทีให้สวมฮิญาบนั้น เป็นหลักฐานที่ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นวาญิบโดยเด็ดขาด ว่ารูปแบบของฮิญาบคือต้องปิดหน้า เท่านั้น
การโต้แย้งกับคนที่ตั้งธงยืนกระต่ายขาเดียว ไม่มีประโยชน์ เพราะ จะอธิบายอย่างไร "หลักกู" ต้องเหนือหลักการ" ไม่แยแสว่าบรรดาปราชญจำนวนมากมากมายทั้งสะลัฟและเคาะลัฟ ได้มีทัศนะอนุญาตให้เปิดหน้าได้ โดยการวิเคราะหมาจากหลักฐานเช่นกัน แต่กลับถูกโต๊ะครูแกนนำคนกลุ่มนี้หุกุมว่า "เป็นผู้คัดค้านอัลลอฮและรอซูล - วัลอิยาซุบิลละฮ
อิบนุฮุบัยเราะฮอัลหัมบะลีย์ (ฮ.ศ 499-560) กล่าวว่า
واختلفوا في عورة المرأة الحرة وحدها فقال أبو حنيفة: كلها عورة إلا الوجه والكفين والقدمين. وقد روي عنه أن قدميها عورة وقال مالك والشافعي: كلها عورة إلا وجهها وكفيها. وهو قول أحمد في إحدى روايتيه والرواية الأخرى: كلها عورة إلا وجهها خاصة. وهي المشهورة واختارها الخرقي
และพวกเขา(บรรดานักวิชาการ)ได้มีการเห็นต่างในประเด็นเอาเราะฮผู้หญิงที่เป็นอิสระชน และขอบเขตของมัน แล้วอบูหะนีฟะฮ กล่าวว่า "ทั้งหมดของนางคือเอาเราะฮ ยกเว้น ใบหน้า, ฝ่ามือทั้งสองและสองเท้า และแท้จริง ได้ถูกรายงานจากเขา(อบูหะนีฟะฮ)ว่า สองเท้าของนางคือเอาเราะฮ ,มาลิกและชาฟิอีอี ได้กล่าวว่า "ทั้งหมดของนางคือเอาเราะฮ ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองของนาง และมันคือ ทัศนะของอะหมัด ในรายงานหนึ่งของสองรายงานของเขา และรายงานอื่น(ระบุว่า) ทั้งหมดของนางคือเอาเราะฮ ยกเว้นใบหน้าของนางโดยเฉพาะ และมันคือทัศนะที่แพร่หลาย และอัลคิเราะคีย์ได้เลือกมัน - อัลอิฟศอหฺ อันมะอานีย์อัศเศาะฮาหฺฯ 1/23
.....
หมายเหตุ อัลคิเราะคีย เป็นปราชญมัซฮับฮัมบะลีย์ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ 334 มีชื่อเต็มว่า
أَبُو الْقَاسِمِ ، عُمَرُ بْنُ الْحُسَيْنِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ ، الْبَغْدَادِيُّ الْخِرَقِيُّ الْحَنْبَلِيُّ
อย่างที่กล่าวมาแต่ต้นแล้วว่า ปราชญยุคสะลัฟและเคาะลัฟมากมาย มีทัศนะคลุมฮิญาบ แต่เปิดหน้าได้ ส่วนเรื่องต้องปิดหากจะเกิดฟิตนะฮ นี้เป็นเหตุผลเรื่องความจำเป็นบางกรณี ไม่ใช่ว่า เป็นวาญิบโดยไม่มีเงื่อนไข และฟันธงว่าคนเปิดหน้าทำสิ่งที่หะรอม อย่างชัยค์ไทยบางคนฟันธงกระต่ายขาเดียว
ขอให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณา ว่า หากเป็นสิ่งวาญิบในทางศาสนบัญญัติเด็ดขาดชัดเจน จะมีหรือที่ปราชญผู้ทรงธรรมจะปฏิเสธ
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/11/61

เอกสารอ้างอิง

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ใบหน้าและผ่ามือเปิดเผยได้เพราะไม่ใช่เอาเราะฮ 9





ใบหน้าและผ่ามือเปิดเผยได้เพราะไม่ใช่เอาเราะฮ 9
อัชชีรอซีย์( أبو اسحاق إبراهيم بن علي بن يوسف الشيرازي (ฮ.ศ 476)ปราชญมัซฮับชาฟิอีกล่าวว่า
فأما الحرة فجميع بدنها عورة إلا الوجه والكفين لقوله تعالى: {وَلا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا} [النور: 31] قال ابن عباس رضي الله عنهما: وجهها وكفيها ولأن النبي صلى الله عليه وسلم نهى المرأة في الحرام عن لبس القفازين والنقاب ولو كان الوجه والكف عورة لما حرم سترهما في الإحرام ولأن الحاجة تدعو إلى إبراز الوجه في البيع والشراء وإلى إبراز الكف للأخذ والإعطاء فلم يجعل ذلك عورة
สำหรับ สตรีอิสระชนนั้น ร่างกายของนางทั้งหมด คือเอาเราะฮ ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง เพราะพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งกล่าวว่า (และพวกนางอย่าได้เปิดเผยเครื่องประดับของนาง ยกเว้น สิ่งที่เปิดเผยได้- อันนูร/31) อิบนุอับบาสกล่าวว่า คือ ใบหน้าและสองฝ่ามือของนาง และเพราะแท้จริงท่านนบี ศ็อลฯ ห้ามผู้หญิง ในการครองเอียะรอม ไม่ให้สวมถุงมือทั้งสองและไม่ให้สวมผ้าคลุมหน้า และถ้าหากว่า ใบหน้าและฝ่ามือ คือเอาเราะฮแน่นอน ท่านนบีไม่ห้ามปกปิดมันทั้งสองในการครองเอียะรอมและเพราะแท้จริง ความจำเป็นมันเรียกร้องไปสู่การเปิดเผยใบหน้า ในการขายและการซื้อ และเรียกร้องไปสู่การเปิดเผยฝ่ามือ ในการรับและการให้ เพราะดังกล่าวนั้นไม่ใช่เอาเราะฮ - อัลมุหัซซับ 2/124
............
สรุป
อัชชิรอซีย์ บอกว่า เมื่อผู้หญิงครองเอียะรอม ท่านนบี ศ็อลฯ ห้ามสวมถุงมือและห้ามคลุมหน้า เพราะถ้ามันเป็นเอาเราะฮ ท่านนบีก็จะไม่ห้ามคลุมแน่นอน อีกอย่าง ใบหน้า จำเป็นต้องเปิดในทำมาซื้อการขาย และฝ่ามือจำเป็นจะต้องเปิด ในการให้การรับ เพราะดังกล่าวนั้นไม่ใช่เอาเราะฮ
.......
การนั่งปิดตาใช้ความเข้าใจโดยปราศจากหลักฐานชัดเจนเด็ดขาด ว่า คนสวมฮิญาบที่เปิดหน้าทั้งโลกกระทำบาป มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/11/61
เอกสารอ้างอิงในภาพอาจจะมี ข้อความ




หลักฐานยืนยันว่าอนุญาตสวมฮิญาบให้เปิดหน้าได้ (ตอนที่ 1)




หลักฐานยืนยันว่าอนุญาตสวมฮิญาบให้เปิดหน้าได้ (ตอนที่ 1)
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَلْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَىٰ جُيُوبِهِنَّ
และให้พวกเธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของพวกเธอ -อันนูร/31
คำอธิบาย
อายะฮข้างต้นไม่ได้มีคำสั่งให้พวกนางปิดหน้า แต่เป็นคำสั่งให้ดึงผ้าคลุมศีรษะมาปิดหน้าอก คำว่า "คิมาร" ในภาษาอาหรับ หมายถึงผ้าคลุมศรีษะ ไม่ใช่ผ้าคลุมศรีษะและคลุมหน้า
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ กล่าวถึงความหมาย คิมัร ว่า
هُوَ مَا يُغَطَّى بِهِ رَأْسُ الْمَرْأَةِ
คือ สิ่งที่ศีรษะผู้หญิงถูกปกปิดด้วยมัน - ดู ตุหฟะตุลอะฮวะซีย์บทว่าด้วย بَاب مَا جَاءَ لَا تُقْبَلُ صَلَاةُ الْمَرْأَةِ إِلَّا بِخِمَارٍ
ผู้หญิงถูกให้เปิดหน้าเวลาละหมาด ถ้าหน้าคือเอาเราะฮ แน่นอน ย่อมไม่ถูกอนุญาตให้เปิดหน้า เช่นเดียวกับศรีษะที่ไม่ถูกอนุญาตให้เปิดเวลาละหมาด จึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่า "ใบหน้าไม่ใช่เอาเราะฮ"
รายงานจากท่านหญิงอาอีฉะฮ (ร.ฮ)ว่า ท่านนบี ศ็อลฯกล่าวว่า
لا يَقْبَلُ اللَّهُ صَلاةَ حَائِضٍ إِلاَّ بِخِمَارٍ)). رَوَاهُ الْخَمْسَةُ إِلاَّ النَّسَائِيَّ، وَصَحَّحَهُ ابْنُ خُزَيْمَةَ.
อัลลอฮจะไม่รับการละหมาดของผู้หญิงที่มีประจำเดือน(หมายถึงผู้หญิงที่บรรลุศาสนภาวะ) นอกจากด้วยการผ้าคลุมศีรษะ - รายงานโดยนักรายงานหะดิษห้าท่าน ยกเว้น อันนะสาอีย์และอิบนุคุซัยมะฮ ได้ให้สถานะว่ามันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَالْحَدِيثُ اسْتُدِلَّ بِهِ عَلَى وُجُوبِ سَتْرِ الْمَرْأَةِ رَأْسَهَا حَالَ الصَّلَاةِ
และหะดิษนี้ แสดงบอกด้วยมันว่า วาญิบผู้หญิงจะต้องปกปิดศีรษะของนาง ขณะที่ปฏิบัติละหมาด - ตุหฟะตุลอะหวะซีย์ 1/262
และอัลมุบาเราะกะฟูรีย์(ร.ฮ)ได้กล่าวอีกว่า
وَقَدِ اخْتُلِفَ فِي مِقْدَارِ عَوْرَةِ الْحُرَّةِ فَقِيلَ جَمِيعُ بَدَنِهَا مَا عَدَا الْوَجْهَ وَالْكَفَّيْنِ ، وَإِلَى ذَلِكَ ذَهَبَ الشَّافِعِيُّ فِي أَحَدِ أَقْوَالِهِ وَأَبُو حَنِيفَةَ فِي إِحْدَى الرِّوَايَتَيْنِ عَنْهُ وَمَالِكٌ ،
และมีการเห็นต่าง ในประเด็นบรรดาขอบเขตของเอาเราะฮของหญิงอิสระชน แล้วถูกกล่าวว่า ทั้งหมด ร่างกายของนาง อื่นจากใบหน้าและสองฝ่ามือ และชาฟิอี ได้แสดงทัศนะดังกล่าวนั้น ในทัศนะหนึ่งของบรรดาทัศนะของเขา และอบูหะนีฟะฮ ในรายงานหนึ่งของบรรดารายงานจากเขา และมาลิก(ก็มีทัศนะดังกล่าวนั้น) - ตุฟฟะตุลอะฮวะซีย์ 1/262
..........
ข้างต้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าในละหมาดเปิดหน้าได้ แสดงว่าใบหน้าไม่ใช่เอาเราะฮ ส่วนการอ้างว่า เป็นเอาเราะฮนอกละหมาด ล้วนเป็นความเห็นทั้งสิ้น ไม่มีหลักฐานแบ่งแยกไว้
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/11/61

เอกสารอ้างอิง

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ใบหน้าและฝ่ามือไม่ใช่เอาเราะฮ 7




ใบหน้าและฝ่ามือไม่ใช่เอาเราะฮ 7
อิบนุหัซมิน (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า
وقد روينا عن ابن عباس في {ولا يبدين زينتهن إلا ما ظهر منها} قال: "الكف والخاتم والوجه". وعن ابن عمر: "الوجه والكفان". وعن أنس: "الكف والخاتم". وكل هذا عنهم في غاية الصحة. وكذلك أيضا عن عائشة، وغيرها من التابعين
และแท้จริง เราได้รายงานจากอิบนุอับบาส ใน อายะฮที่ว่า (และพวกนางอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นสิ่งที่เปิดเผยได้) เขา(อิบนุอับบาส)ได้กล่าวว่า หมือถึง ฝ่ามือ ,แหวนและใบหน้า และรายงานจากอิบนิอุมัร หมายถึง ใบหน้าและสองฝ่ามือ และรายงานจากอะนัสว่า หมายถึง ฝ่ามือและแหวน และทั้งหมด นี้ อยู่ในสถานะที่ถูกต้องที่สุด และในทำนองเดียวกันนั้นรายงานจากอาอีฉะฮ และอื่นจากนาง จากบรรดาตาบิอีน- อัลมุหัลลา ของ อิบนิหัซมิน 3/221-222
........
อิบนุหัซมินได้ยืนยันว่า รายงานจาก จากอิบนุอับบาส,อิบนุอุมัร และอะนัส ว่าเป็นรายงานที่ถูกต้อง ที่ให้ความหมายคำว่า "สิ่งที่เปิดเผยได้ข้างต้น
จึงแปลกใจว่า ทำไม่ชัยค์ไทยแลนด์บางท่านกล้าฟันธงว่า ผู้ที่เห็นต่างกับตน หรือผู้ที่อนุญาตให้คลุมฮิญาบเปิดใบหน้าและฝ่ามือ คือพวกที่คัดค้านอัลลอฮและรอซูล-วัลอิยาซุบิลละฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/11/61

เอกสารอ้างอิง

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮ 6




ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮ 6
อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์ (ฮ.ศ 516 )กล่าวว่า

أما المرأة مع الرجل فإن كانت أجنبية حرة فجميع بدنها في حق الأجنبي عورة ولا يجوز النظر إلى شيء منها إلا الوجه ولاكفين وإن كانت أمة فعورتها مثل عورة الرجل ما بين السرة إلى الركبة

สำหรับผู้หญิง อยู่พร้อมกับผู้ชาย ดังนั้นถ้านางเป็นผู้หญิงแปลกหน้าที่เป็นอิสระชน ก็ทั้งหมดของร่างกายนาง ในสิทธิของชายแปลกหน้า คือเอาเราะฮ และไม่อนุญาตให้มองสิ่งใดจากนาง ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง และหากนางเป็นทาส เอาเราะฮของนางก็เหมือนกับเอาเราะฮของผู้ชายคือ สิ่งที่อยู่ระหว่างสะดีือและหัวเข่า - ตัฟสีรมะอาลิมอัตตันซีล 6/38
.........
อิหม่ามอัลบะเฆาะวีย์ ผู้ได้รับฉายาว่า "محي السنة" (ผู้ฟื้นฟูอัสสุนนสุนนะฮ) ระบุว่า ไม่อนุญาตให้มองผู้หญิงแปลกหน้าหรือหญิงที่ไม่ใช่มะหรอม ยกเว้น ใบหน้าและสองฝ่ามือ แสดงให้เห็นว่า ใบหน้าและฝ่ามือไม่ใช่เอาเราะฮ
และท่านอิหม่ามอัลบะฆวีย์ ได้กล่าวไว้ในชัรหอัสสุนนะฮเช่นกันว่า

وأما المرأة مع الرجل ، فإن كانت أجنبية حرة ، فجميع بدنهـا عورة في حق الرجل لا يجوز له أن ينظر إلى شيء منها إلا الوجه واليدين إلى الكوعين ، لقوله عز وجل ( ولا يبدين زينتهن إلا ما ظهر منها.)

สำหรับผู้หญิง อยู่พร้อมกับผู้ชาย ดังนั้นถ้านางเป็นผู้หญิงแปลกหน้าที่เป็นอิสระชน ก็ทั้งหมดของร่างกายนาง ในสิทธิของผู้ชาย ไม่อนุญาตแก่เขามองสิ่งใดจากนาง ยกเว้นใบหน้าและสองมือจนถึงสองข้อมือ เพราะคำตรัสของพระองค์ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า (และพวกนางอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นสิ่งที่เปิดเผยได้- อันนูร/31) - ชัรหอัสสุนนะฮ 9/23
...
สิ่งที่เปิดเผยได้ คือ ใบหน้าและสองมือ นี่คือที่นักตัฟสีรยุคสะลัฟ และเคาะลัฟได้อธิบายสิ่งที่ถูก ยกเว้น ไม่ใช่เอาเราะฮ แต่มีชัยค์ไทยแลนด์ฟันธงว่าถ้าเปิดเผยเป็นการกระทำบาป เพราะฉะนั้นผู้อ่านพิจารณาเอาเองว่า คนที่หุกุมว่าเปิดหน้านั้นบาป เป็นปราชญ์ระดับใหน
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/11/61

เอกสารอ้างอิง



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

หลักนิติศาสตรอิสลามว่าด้วยเรื่องทำธุรกรรม(มุอามะลาต)




หลักนิติศาสตรอิสลามว่าด้วยเรื่องทำธุรกรรม(มุอามะลาต)
والأصل في العقود والمعاملات الصحة حتى يقوم دليل على البطلان والتحريم
แท้จริงหลักทั่วไปในเรื่อง การทำข้อตกลงและการทำธุรกรรมต่างๆนั้น คือ ความถูกต้อง(ใช้ได้) จนกว่าจะมีหลักฐานยืนยัน แสดงบอกว่าเป็นโมฆะและต้องห้าม -เอียะลามอัลมุวักกิอีน 1/344
أن الأصل في الأشياء المخلوقة الإباحة حتى يقوم دليل يدل على النقل عن هذا الأصل
แท้จริงหลักทั่วไป(หลักเดิม)ในบรรดาสิ่งต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมา นั้น อนุญาต จนกว่า จะมีหลักฐานยืนยันแสดงบอกถึง การเปลี่ยนแปลงจากหลักเดิมนี้ -ฟัตหุลเกาะดีร ของอัชเชากานีย์ 1/64
อิหม่ามมุหัมหมัด อัตตะมีมีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
القاعدة الثانية: أن كل شيء سكت عنه الشارع فهو عفو لا يحل لأحد أن يحرمه أو يوجبه أو يستحبه أو يكرهه:
لقوله تعالى: {يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لا تَسْأَلوا عَنْ أَشْيَاءَ إِنْ تُبْدَ لَكُمْ تَسُؤْكُمْ} 1. وقال النبي صلى الله عليه وسلم: "وسكت عن أشياء رحمة بكم غير نسيان، فلا تسألوا عنها ".
กฏข้อที่สอง
แท้จริงทุกๆสิ่งที่ผู้บัญญัติศาสนบัญญัติ ได้นิ่งเงียบจากมัน มันคือ การอนุโลม ไม่อนุญาตให้คนใด กำหนดมันว่าเป็นสิ่งต้องห้าม หรือ กำหนดมันว่าเป็นวาญิบ หรือ กำหนดมันว่าเป็นสิ่งที่ชอบให้กระทำหรือกำหนดมัน ว่าเป็นมักรูฮ เพราะอัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าถามถึงสิ่งต่างๆ หากสิ่งเหล่านี้ถูกเปิดเผยขึ้น แล้วมันก็จะก่อให้เกิดความเลวร้าย แก่พวกเจ้า - อัลมาอิดะฮ/101) และท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า ทรงนิ่งเงียบจากสิ่งต่างๆ คือความเมตตาต่อพวกท่าน โดย(พระองค์)ไม่ได้หลงลืม ดังนั้นพวกท่านอย่าถามเกี่ยวกับมัน - อัรบะอุเกาะวาอิด ตะดูรุลอะหกาม หน้า 3
อิบนุลกอ็ยยิม(ร.ฮ) กล่าวว่า
وَهُوَ - سُبْحَانَهُ - لَوْ سَكَتَ عَنْ إبَاحَةِ ذَلِكَ وَتَحْرِيمِهِ لَكَانَ ذَلِكَ عَفْوًا لَا يَجُوزُ الْحُكْمُ بِتَحْرِيمِهِ وَإِبْطَالِهِ ، فَإِنَّ الْحَلَالَ مَا أَحَلَّهُ اللَّهُ ، وَالْحَرَامَ مَا حَرَّمَهُ ، وَمَا سَكَتَ عَنْهُ فَهُوَ عَفْوٌ ، فَكُلُّ شَرْطٍ وَعَقْدٍ وَمُعَامَلَةٍ سَكَتَ عَنْهَا فَإِنَّهُ لَا يَجُوزُ الْقَوْلُ بِتَحْرِيمِهَا ، فَإِنَّهُ سَكَتَ عَنْهَا رَحْمَةً مِنْهُ مِنْ غَيْرِ نِسْيَانٍ وَإِهْمَالٍ
และพระองค์ (ซ.บ) ถ้าทรงนิ่งเงียบจากการอนุญาตดังกล่าวและการห้ามมัน แน่นอนดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ทรงอภัย (อนุโลมให้) ไม่อนุญาตให้ตัดสิน ด้วยการต้องห้ามของมัน และการเป็นโมะฆะของมัน เพราะแท้จริง การหะล้าลนั้น คือสิ่งที่อัลลอฮทรงกำหนดให้มันเป็นสิ่งหะล้าล และ หะรอมนั้น คือสิ่งที่พระองค์กำหนดให้มันเป็นสิ่งหะรอม และสิ่งใดที่ทรงนิ่งเงียบจากมัน คือ การอภัย (การอนุโลม) เพราะทุกๆ เงื่อนไข,ทุกๆข้อตกลงและทุกๆการทำธุรกรรม ที่ทรงนิ่งเงียบจากมัน ก็ไม่อนุญาตให้กล่าว ด้วยการกำหนดมันให้เป็นสิ่งหะรอม เพราะแท้จริง ทรงนิ่งเงียบจากมัน คือ ความเมตตา จากพระองค์ โดยปราศจากการลืมและการละเลย -เอียะลามอัลมุวักกิอีน 1/344-345
...................
สรุปคือ
1.ไม่อนุญาตให้คนใด กำหนดมันว่าเป็นสิ่งต้องห้าม หรือ กำหนดมันว่าเป็นวาญิบ หรือ กำหนดมันว่าเป็นสิ่งที่ชอบให้กระทำหรือกำหนดมัน ว่าเป็นมักรูฮ ในสิ่งที่ศาสนาไม่ได้บอกไว้
2. ในเรื่อง เพราะทุกๆ เงื่อนไข,ทุกๆข้อตกลงและทุกๆการทำธุรกรรม ที่ทรงนิ่งเงียบจากมัน ก็ไม่อนุญาตให้กล่าว ด้วยการกำหนดมันให้เป็นสิ่งหะรอม เพราะแท้จริง ทรงนิ่งเงียมจากมัน คือ ความเมตตา จากพระองค์
...........
เพราะฉะนั้น อย่าเที่ยวค้นขอนไม้หาตะขาบ ใช้ความรู้สึกและความคิดเห็น ว่านั้น หะรอม นั้นวาญิบ นั้นขายได้ นั้นห้ามขาย ห้ามใช้ จะให้คนอาวาม กลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ กินรากไม้และใช้ของป่าหรือ" ศาสนาเป็นเรื่องง่ายแต่กลับมีคนพยายามทำให้ยากขึ้นทุกวัน
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/11/61

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ใบหน้าและสองฝ่ามือไม่ใช่เอาเราะฮ 3



ใบหน้าและสองฝ่ามือไม่ใช่เอาเราะฮ 3

อบูบักร์อัลญัศศ็อศ (ร.ฮ) เสียชีวิตปี ฮ.ศ 370 กล่าวว่า

ويدل على أن الوجه والكفين فى المرأة ليسا بعورة أنها تصلى مكشوفة الوجه واليدين، فلو كانا عورة لكان عليها سترهما كما عليها ستر ما هو عورة. وإذا كان كذلك جاز للأجنبى أن ينظر من المرأة وجهها ويديها وإلى قدميها أيضاً، وفى رواية، بغير شهوة

และแสดงบอกว่า แท้จริง ใบหน้าและ สองฝ่ามือ ในสตรีนั้น ทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮ แท้จริงนางละหมาด ใบหน้าและสองมือถูกเปิด และถ้า มันทั้งสอง เป็นเอาเราะฮ แน่นอน การปกปิดมันทั้งสอง ก็เป็นหน้าที่เหนือนาง ดังสิ่งที่จำเป็นแก่นางต้องปกปิดสิ่งที่มันคือเอาเราะฮ และเมื่อมันเป็นเช่นดังกล่าวนั้น ก็อนุญาตให้ชายแปลกหน้า มองจากผู้หญิง ใบหน้าและสองมือของนางและมองเท้าของนางได้อีกเช่นกัน และในรายงานหนึ่งระบุว่า โดยปราศจากการมีอารมณ์เพศ – อะหกามอัลกุรอ่านของ อัลญัศศ็อศ 3/407
..............
อัลญุศศอศ (ร.ฮ)สรุปว่า
เมื่อ เวลาละหมาด ผู้หญิงเปิดใบหน้าและสองมือได้ ก็แสดงว่ามันทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/11/61
เอกสารอ้างอิง

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การปิดหน้าไม่ใช่เป็นสิ่งวาญิบ (ภาค 2




ความจริงที่พิสูจน์ได้ว่า การปิดหน้าไม่ใช่เป็นสิ่งวาญิบ (ภาค 2)

หลักฐานต่อไปนี้ยืนยันและพิสูจน์ได้ว่า การสวมฮิญาบของสตรีไม่วาญิบต้องปิดหน้า

عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ سَأَلْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ نَظْرَةِ الْفُجَاءة فَأَمَرَنِي أَنْ أَصْرِفَ بَصَرِي رواه الترمذي وقال هذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ

รายงานจากญะรีร บิน อับดุลลอฮ เขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าถามรซูลุลลอฮ (ศ็อลฯ ) เกี่ยวกับการมองโดยไม่ตั่งใจ แล้วท่านรอซูลสั่งให้ข้าพเจ้า ผินสายตาของข้าพเจ้า-รายงานโดยอัตติมิซีย์ และเขากล่าวว่า นี้คือหะดิษหะซันเศาะเฮียะ หะดิษหมายเลข 2776 เรือง การมองโดยไม่ตั้งใจ
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ (ร.ฮ)อธิบายว่า

قَوْلُهُ : ( سَأَلْتُ رَسُولَ اللَّهِ ـ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ـ عَنْ نَظْرَةِ الْفُجَاءَةِ ) ....أَيْ أَنْ يَقَعَ بَصَرُهُ عَلَى الْأَجْنَبِيَّةِ بَغْتَةً مِنْ غَيْرِ قَصْدٍ
คำพูดของท่านนบีที่ว่า("ข้าพเจ้าถามรซูลุลลอฮ (ศ็อลฯ ) เกี่ยวกับการมองโดยไม่ตั่งใจ ) ....หมายถึง สายตาของเขาเกิดมองสตรีแปลกหน้าโดยเฉียบพลัน โดยไม่ไ้ด้ตั้งใจ ,

( فَأَمَرَنِي أَنْ أَصْرِفَ بَصَرِي ) أَيْ لَا أَنْظُرُ مَرَّةً ثَانِيَةً لِأَنَّ الْأُولَى إِذَا لَمْ تَكُنْ بِالِاخْتِيَارِ فَهُوَ مَعْفُوٌّ عَنْهَا ، فَإِنْ أَدَامَ النَّظَرَ أَثِمَ ، وَعَلَيْهِ قَوْلُهُ تَعَالَى : وَقُلْ لِلْمُؤْمِنِينَ يَغُضُّوا مِنْ أَبْصَارِهِمْ ، قَالَ الْقَاضِي عِيَاضٌ رَحِمَهُ اللَّهُ : قَالُوا فِيهِ حُجَّةٌ عَلَى أَنَّهُ لَا يَجِبُ عَلَى الْمَرْأَةِ سَتْرُ وَجْهِهَا . وَإِنَّمَا ذَلِكَ سُنَّةٌ مُسْتَحَبَّةٌ لَهَا ، وَيَجِبُ عَلَى الرِّجَالِ غَضُّ الْبَصَرِ عَنْهَا فِي جَمِيعِ الْأَحْوَالِ إِلَّا لِغَرَضٍ صَحِيحٍ شَرْعِيٍّ

( แล้วท่านรอซูลสั่งให้ข้าพเจ้า ผินสายตาของข้าพเจ้า) หมายถึง ไม่ให้ข้าพเจ้ามองเป็นครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกไม่ได้เกิดขึ้นด้วยการเลือกเฟ้น(ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยการตั้งใจ) มันคือสิ่งที่ได้รับการอภัย เพราะหากมองตลอดเวลา เป็นบาป และคำตรัสของพระองค์บนมันคือ(จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ) - อัลกอฎีย์ อิยาฎ (ร.ฮ) กล่าวว่า "พวกเขากล่าวในมัน คือ หลักฐาน แสดงบอกว่า ไม่วาญิบ บนผู้หญิง ปกปิดใบหน้าของนาง ความจริงดังกล่าวนั้น คือสุนนัตที่ส่งเสริมแก่นาง และวาญิบแก่บรรดาผู้ชาย ให้ลดสายตาจากนาง ในบรรดาสภาพการณ์ทั้งหมด(คือทุกกรณี) ยกเว้น เพื่อจุดประสงค์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาบัญญัติ - ดูตะหฟะตุลอะหวะซีย์ ชัรหสุนันอัตติรมิซีย์ 8/60
....
สรุป
1.จากการห้ามไม่ให้มองสตรีข้างต้นแสดงว่า สตรีเปิดหน้าและไม่วาญิบให้ปิดหน้า เพราะถ้าทุกส่วนของนางถูกปกปิดหมดแล้วก็ไม่มีเหตุผลในการห้าม
2. อัลกอฎีย์ อิยาฎ บอกว่า ในหะดิษ  คือ หลักฐาน แสดงบอกว่า ไม่วาญิบ บนผู้หญิง ปกปิดใบหน้าของนาง ความจริงดังกล่าวนั้น คือสุนนัตที่ส่งเสริมแก่นาง และวาญิบแก่บรรดาผู้ชาย ให้ลดสายตาจากนาง ในบรรดาสภาพการณ์ทั้งหมด(คือทุกกรณี) ยกเว้น เพื่อจุดประสงค์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาบัญญัติ
.......
ปราชญที่มีชื่อเสียงในอดีต ได้อ้างหลักฐานจากอัลกุรอ่านว่าไม่วาญิบปิดหน้า แค่เป็นสุนัตส่งเสริมให้ทำ แต่ปราชญเณรน้อยเจ้าปัญญาบ้านเรากลับฟันธงว่า "เป็นวาญิบต้องปิดหน้าสถานเดียว ใครฝ่าฝืนเป็นการทำบาป ใครยึดทัศนะให้เปิดหน้า คือผู้คัดค้านอัลลอฮและรอซูล -วัลอิยาซุบิลละฮ ไปกันใหญ่แล้ว
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/11/61

เอกสารอ้างอิง

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ความจริงที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่วาญิบให้ปิดหน้า





ความจริงที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่วาญิบให้ปิดหน้า
รายงานจากอิบนุอับบาส (ร.ฎ)ว่า
"كانَ الفَضْلُ بنُ عَبّاسٍ رَضِي اللهُ عَنْهُمَا رديفَ رسولِ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمْ فجاءَت امْرأَةٌ مِنْ خثَعَم فجعل الفَضْلُ ينظُرُ إليْها وتَنْظُرُ إليهِ وجعلَ النَّبيُ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمْ يصْرِفُ وَجْهَ الفَضْلِ إلى الشِّقِّ الآخَر فَقَالت: يَا رَسُولَ الله! إِنَّ فَرِيضَةَ الله عَلَى عِبَادِهِ في الحَجِّ أَدْركتْ أَبي شيخاً كبيراً لا يثبتُ عَلَى الرَّاحلة، أفأَحُجُّ عَنْهُ؟ قَالَ: "نَعَمْ". وَذَلِكَ في حَجّةِ الوَدَاع. مُتّفقٌ عَليْه وَاللَّفظُ للبُخَارِيِّ
รายงานจากอับดุลลอฮ บิน อับบาส ว่าแท้จริง เขากล่าวว่า (ปรากฏว่า อัลฟัฎลุ บิน อับบาส คนติดตามท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ แล้วมีสตรีคนหนึ่งจากชาวค็อษอัมได้มา ทำให้อัลฟัฎลฺ มองนาง และนางก็มองเขา และท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ได้ผินหน้าของอัลฟัฎลุ ไปด้านอื่น แล้วนางผู้นี้ได้กล่าวว่า “โอ้ท่านรซูลุลลอฮ ! บิดาของดิฉันได้ แก่ชรามากแล้ว ไม่สามารถที่จะขี่พาหนะได้ ดิฉันจะทำฮัจญ์แทนเขาได้ไหม? ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ กล่าวว่า “ครับ” และเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในการทำฮัจญ์อำลา –มุตตะฟักอะลัยฮิ และสำนวนนี้รายงานโดยบุคอรีย
..............
วิเคราะหจากหะดิษข้างต้น
1.การบัญญัติเรื่องฮัจญ เกิดในปี ฮ.ศ ที่ 9 (ดูฟัตวาอัลลุจญนะฮ 11/10 และมีการเห็นต่างกันอยู่) ในขณะที่เรื่อง ฮิญาบ ถูกบัญญัติใน ปี ฮ.ศ ที่ 5 เพราะซูเราะฮอัลอะหซาบ ประทานลงมาในปีที่ 5 ซึ่งระบุเรื่องฮิญาบ ใน อายะฮที่ 53
2.ชี้ให้เห็นว่า การบัญญัติเรื่องฮิญาบ มาก่อนเรื่อง การทำหัจญ์ และผู้หญิงสาวชาวคอ็ษอัมคนนี้ ไม่ได้ปิดหน้า เพราะถ้าปิดหน้า ท่านนบี ศ็อลฯ จะไม่ผินหน้าของอัลฟัฎลุไปทางอื่น แน่นอน เพราะการมองคนที่ปิดหน้าปกติจะไม่มีผลต่อความรู้สึกทางเพศ เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครหน้าตาเป็นอย่างไร
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฎ)กล่าวว่า
فِي رِوَايَةِ شُعَيْبٍ : " وَكَانَ الْفَضْلُ رَجُلًا وَضِيئًا - أَيْ : جَمِيلًا - وَأَقْبَلَتِ امْرَأَةٌ مِنْ خَثْعَمَ وَضِيئَةٌ ، فَطَفِقَ الْفَضْلُ يَنْظُرُ إِلَيْهَا وَأَعْجَبَهُ حُسْنُهَا " .
ในรายงานหนึ่งของชุอัยบ ระบุว่า และปรากฏว่า อัลฟัฏลุนั้นเป็นชายที่หล่อ และหญิงหน้าตาสวยคนหนึ่งจากชาวค็อษอัม ได้มา แล้วอัลฟัฏลฺ เริ่มมองนาง และความสวยของนางทำให้เขาประทับใจ -ฟัตหุลบารีย์ 4/81
......
ต้องยอมรับความจริงกันบ้าง หากผู้หญิงปิดหน้า หรือคลุมหน้า มีด้วยหรือที่ผู้ชายมองแล้วประทับใจในความสวยของนาง เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ แน่นอนหญิงสวยชาวค็อษอัมไม่ได้คลุมหน้า เลยทำให้ชายหนุ่มหล่ออย่างอัลฟัฎลฺ มองและประทับใจหรือพอใจในความสวยของนาง ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯจึงเอามือไปผินหน้าของอัลฟัฏลฺให้หันไปทางอื่น
2.ส่วนที่ชัยค์ที่เป็นปราชญร่วมสมัยบางท่านที่มีทัศนะให้ปิดหน้า โต้แย้งหะดิษนี้ เพียงอาศัยสมมุติฐานและการตีความตามความเห็นเท่านั้น
3. ถ้าอิสลามมีบัญญัติให้คลุมหน้า แน่นอนย่อมไม่มีบัญญัติห้ามมองผู้หญิง เพราะเมือทุกส่วนของร่างกายถูกปิดหมดแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะห้าม เพราะเหตุผลการห้ามคือสิ่งที่นำไปสู่ฟิตนะฮ
เช่น ที่ท่านนบี ศ็อลฯ
«يَا مَعْشَرَ الشَّبَابِ، مَنِ اسْتَطَاعَ مِنْكُمْ الْبَاءَةَ فَلْيَتَزَوَّجْ؛ فَإِنَّهُ أَغَضُّ لِلْبَصَرِ
บรรดาผู้เป็นหนุ่มทั้งหลาย ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่มีความสามารถจะครองคู่ก็จงแต่งงานเสีย เพราะแท้จริงแล้วมัน(การแต่งงานนั้น)ทำให้ลดสายตา(จากการมองสิ่งต้องห้าม)ได้ดีกว่า- รายงานโดยบุคอรี
.......
ในเมื่อผู้หญิงถูกปิดหน้าหรือคลุมหน้า ตามที่อ้างว่าเป็นวาญิบ ทำไมจึงห้ามผู้ชายไม่ให้มอง และให้ลดสายตา เพื่อไม่ให้มอง แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงไม่ได้วาญิบให้ปิดหน้า แต่มีบัญญัติห้ามมอง เพราะจะทำให้เกิดฟิตนะฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/11/61

เอกสารอ้างอิง  

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความหมายสิ่งที่เปิดเผยได้คือ "ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง






ความหมายสิ่งที่เปิดเผยได้คือ "ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง
ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า ประเด็นปิดหน้าผมไม่ได้ค้าน ที่ค้านคือประเด็นบอกว่าปิดหน้าเป็นวาญิบ และคนเปิดหน้าทำบาป นี่คือสาเหตุที่ชี้แจง

อิบนุอัลมุนซิร อัลนัยสะบูรีย์ (ฮ.ศ 241-318) ปราชญ์ยุคสะลัฟ กล่าวว่า
وَقَدْ رُوِّينَا عَنْ جَمَاعَةٍ مِنْ أَهْلِ التَّفْسِيرِ أَنَّهُمْ قَالُوا فِي قَوْلِهِ تَعَالَى: {وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا} [النور: 31] أَنَّ ذَلِكَ الْكَفَّانِ وَالْوَجْهُ، فَمِمَّنْ رُوِّينَا ذَلِكَ عَنْهُ ابْنُ عَبَّاسٍ، وَعَطَاءٌ، وَمَكْحُولٌ، وَسَعِيدُ بْنُ جُبَيْرٍ.
และแท้จริง เราได้รายงานจากคณะหนึ่งจากนักตัฟสีร แท้จริงพวกเขากล่าวในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกนางอย่าได้เปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นสิ่งที่เปิดเผยได้ –อันนูร/31) แท้จริง ดังกล่าวนั้น คือ สองฝ่ามือและใบหน้า แล้วส่วนหนึ่งจากผู้ที่เรารายงานดังกล่าวจากเขาคือ อิบนุอับบาส ,อะฏออฺ,มะหกูลและสะอีด บิน ญุบัยรฺ
2404- حَدَّثَنَا مُوسَى بْنُ هَارُونَ، قَالَ: ثنا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ، وَيَحْيَى بْنُ عَبْدِ الْحَمِيدِ قَالَا: ثنا يَحْيَى، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ مُسْلِمِ بْنِ هُرْمُزَ، عَنْ سَعِيدِ بْنِ جُبَيْرٍ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ: {وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا} [النور: 31] وَجْهُهَا وَكَفُّهَا
คำแปลตัวบท
รายงานจากสะอีด บิน ญุบัยร์ จาก อิบนิอับบาส (และพวกนางอย่าได้เปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นสิ่งที่เปิดเผยได้ –อันนูร ) หมายถึง ใบหน้าและฝ่ามือของนาง – ดู อัลเอาสัฏ ฟี อัสสุนัน วัลอิจญมาอฺวัลอิคติลาฟ ของ อิบนุอัลมุนซิร ญุซที่ 5 หน้า 70
..........
ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า เศาะฮาบะฮและตาบิอีนส่วนหนึ่ง ให้ความหมายคำว่า “สิ่งที่เปิดเผยได้ คือ ใบหน้าและสองฝ่ามือของสตรี เพราะฉะนั้นการอิงกัรกล่าวหาว่า “คนที่มีทัศนะตามนี้คือคนที่คัดค้านอัลลอฮและรอซูล เท่ากับเป็นการอิงกัรฝ่ายเห็นต่างกล่าวหาปราชญ์ตัฟสีรยุคสะลัฟ
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/11/61
เอกสารอ้างอิง
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ผู้ที่มีทัศนะอนุญาตให้เปิดหน้า ต้องอิงกัรจริงหรือ



ผู้ที่มีทัศนะอนุญาตให้เปิดหน้า ต้องอิงกัรจริงหรือ

قَالَ الْقَاضِي عِيَاضٌ فِي حَدِيثِ جَرِيرٍ قَالَ : سَأَلْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ نَظَرِ الْفَجْأَةِ { فَأَمَرَنِي أَنْ أَصْرِفَ بَصَرِي } . رَوَاهُ مُسْلِمٌ قَالَ الْعُلَمَاءُ رَحِمَهُمْ اللَّهُ تَعَالَى : وَفِي هَذَا حُجَّةٌ عَلَى أَنَّهُ لَا يَجِبُ عَلَى الْمَرْأَةِ أَنْ تَسْتُرَ وَجْهَهَا فِي طَرِيقِهَا ، وَإِنَّمَا ذَلِكَ سُنَّةٌ مُسْتَحَبَّةٌ لَهَا ، وَيَجِبُ عَلَى الرَّجُلِ غَضُّ الْبَصَرِ عَنْهَا فِي جَمِيعِ الْأَحْوَالِ إلَّا لِغَرَضٍ صَحِيحٍ شَرْعِيّ

อัลกอฎีย์ อิยาฎ ได้กล่าว เกี่ยวกับหะดิษญะรีร เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ เกี่ยวกับการมองโดยเฉียบพลัน(ไม่ได้ตั้งใจ) (แล้วท่านรอซูลก็สั่งข้าพเจ้าให้ผินสายตาข้าพเจ้า) รายงานโดย มุสลิม ,บรรดานักปราชญ์ (ร.ฮ) ได้กล่าวว่า "และในหะดิษนี้ คือหลักฐาน แสดงบอกว่า ไม่วาญิบแก่สตรี ปกปิดใบหน้าของนาง ในหนทางของนาง (หมายในขณะที่เดินตามถนน) และความจริง ดังกล่าวนั้น คือสุนัตที่ส่งเสริมให้กระทำสำหรับนาง และวาญิบบนผู้ชาย จะต้องลดสายตาจากนาง ในกรณีต่างๆทั้งหมด ยกเว้น เพื่อจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องในทางศาสนาบัญญัติ (เช่น กรณีดูตัวเพื่อที่จะสู่ขอ -ผู้แปล) - ดูอาดาบอัชชัรอียะฮ 1/211
.............
จากหะดิษข้างต้น บรรดานักวิชาการ(อุลามาอ) ว่าคือหลักฐาน แสดงบอกว่า ไม่วาญิบแก่สตรี ปกปิดใบหน้าของนาง ในขณะสัญจรตามถนน แต่เป็นสุนัตที่ชอบให้ปฏิบัติ (ไม่ใช่วาญิบ)
อิบนุมุฟลิห(ร.ฮ)กล่าวว่า
فَأَمَّا عَلَى قَوْلِنَا وَقَوْلِ جَمَاعَةٍ مِنْ الشَّافِعِيَّةِ وَغَيْرِهِمْ أَنَّ النَّظَرَ إلَى الْأَجْنَبِيَّةِ جَائِزٌ مِنْ غَيْرِ شَهْوَةٍ وَلَا خَلْوَةٍ ، فَلَا يَنْبَغِي أَنْ يَسُوغَ الْإِنْكَارُ .
สำหรับ บนทัศนะของเรา และทัศนะของคณะหนึ่งจากปราชญ์ชาฟิอียะฮ และอื่นจากพวกเขา ว่าแท้จริง การมองสตรีที่เป็นคนนอก(ไม่ใช่มะหรอม) เป็นที่อนุญาต โดยที่ปราศจากความรู้สึกทางเพศและไม่อยู่ตามลำพัง ดังนั้น ไม่สมควรอนุญาตให้อิงกัร(คัดค้าน) - ดูอาดาบอัชชัรอียะฮ 1/211
...............
แปลกอาจารย์บางคนมองประเด็นเห็นต่างด้านเดียว ทั้งที่เป็นประเด็นเห็นต่างเกี่ยวกับตัวบท แล้วปิดตาฟันธงว่าต้องอิงกัร และหุกุมบรรดาสตรีที่เปิดหน้าว่า "ทำบาป " คัดค้านอัลลอฮและรอซูล ทำตนเป็นเจ้าศาสนาเสียเอง ความจริงการฟัตวาอะไรต้องดูให้รอบคอบเสียก่อนและดูสถานะตัวเองก่อนว่า มีความรู้รอบด้านแล้วหรือยังที่หุกุมว่า "ผู้สวมฮิญาบเปิดหน้า เป็นการทำบาป""
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/11/61

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

การเปิดใบหน้าในทัศนะปราชญ์มาลิกีย์


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


การเปิดใบหน้าในทัศนะปราชญ์มาลิกีย์
قَالَ يَحْيَى سُئِلَ مَالِكٌ هَلْ تَأْكُلُ الْمَرْأَةُ مَعَ غَيْرِ ذِي مَحْرَمٍ مِنْهَا أَوْ مَعَ غُلَامِهَا فَقَالَ مَالِكٌ لَيْسَ بِذَلِكَ بَأْسٌ إِذَا كَانَ ذَلِكَ عَلَى وَجْهِ مَا يُعْرَفُ لِلْمَرْأَةِ أَنْ تَأْكُلَ مَعَهُ مِنْ الرِّجَالِ قَالَ وَقَدْ تَأْكُلُ الْمَرْأَةُ مَعَ زَوْجِهَا وَمَعَ غَيْرِهِ مِمَّنْ يُؤَاكِلُهُ
ยะหยาได้กล่าว( ในอัลมุวัฏเฏาะอฺ 2/935 ) ว่า มาลิกถูกถามว่า สตรีจะรับประทานอาหาร พร้อมกับผู้ที่ไม่ใช่มะหรอม จากนางและทาสชายของนางได้ไหม? มาลิก ได้กล่าวว่า "ไม่เป็นไร เมื่อดังก่าวนั้น อยู่บนรูปแบบที่เป็นที่รู้กันสำหรับสตรี ว่านางรับประทานอาหารพร้อมกับบรรดาผู้ชาย ,เขากล่าวว่า "และแท้จริงสตรีรับประทานอาหารพร้อมกับสามีของนางและพร้อมกับผู้อื่นจากเขา จากผู้ที่ร่วมรับประทานอาหารกับเขา
อัลบาญีย์ ได้กล่าวว่า
ذَلِكَ يَقْتَضِي أَنَّ نَظَرَ الرَّجُلِ إِلَى وَجْهِ الْمَرْأَةِ وَكَفَّيْهَا مُبَاحٌ ؛ لِأَنَّ ذَلِكَ يَبْدُو مِنْهَا عِنْدَ مُؤَاكَلَتِهَا
ดังกล่าวนั้น แสดงว่า แท้จริงการที่ผู้ชายมองใบหน้าสตรีและสองฝ่ามือของนาง คือสิ่งที่อนุญาต เพราะ ดังกล่าวนั้น มันได้เปิดเผยจากนาง ณ ผู้ที่ร่วมรับประทานอาหารรวมกับนาง - ดู อันมุนตะกอ ชัรหอัลมุวัฏฏออฺ 7/252 อ้างจาก
อัลอะหกามอัชชัรอียะฮ ลิลมัรอะฮอัลมัสลิมะฮ ของอัลบานีย์ หน้า 184
...........
สรุป
1. อิหม่ามมาลิก มีทัศนะอนุญาตให้ผู้หญิงรวมรับประทานพร้อมกับผู้ที่ไม่ใช่มะหรอมได้ (ในกรณีมีมะหรอมอยู่ด้วย)
2. อัลบาญีย์ จึงสรุปว่า แท้จริงการที่ผู้ชายมองใบหน้าสตรีและสองฝ่ามือของนาง คือสิ่งที่อนุญาต เพราะการรับประทานอาหารก็ต้องเปิดหน้า
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า การสวมฮิญาบเปิดหน้าเป็นการทำบาป เป็นการปิดตาฟันธง แค่อาศัยความเห็นปราชญร่วมสมัยบางคนเท่านั้น
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/11/61

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การเปิดใบหน้าในทัศนะปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์



การเปิดใบหน้าในทัศนะปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์
อบูญะฟัร อัฏเฏาะหาวีย์ (ฮ.ศ 238-321) ปราชญ์สะลัฟ รายงานว่า
حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرَةَ ، قَالَ : ثَنَا أَبُو عَاصِمٍ ، قَالَ : ثَنَا سُفْيَانُ الثَّوْرِيُّ ، عَنْ مَنْصُورٍ ، عَنْ إِبْرَاهِيمَ : وَلا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلا مَا ظَهَرَ مِنْهَا ، قَالَ : هُوَ مَا فَوْقَ الدِّرْعِ ، فَأُبِيحَ لِلنَّاسِ أَنْ يَنْظُرُوا إِلَى مَا لَيْسَ بِمُحَرَّمٍ عَلَيْهِمْ مِنَ النِّسَاءِ إِلَى وُجُوهِهِنَّ ، وَأَكُفِّهِنَّ . وَحَرُمَ ذَلِكَ عَلَيْهِمْ مِنْ أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، لَمَّا نَزَلَتْ آيَةُ الْحِجَابِ ، فَفُضِّلْنَ بِذَلِكَ عَلَى سَائِرِ النِّسَاءِ .
อบูบักร ได้เล่าเรา เขาได้กล่าวว่า อบูอาศิม ได้เล่าเรา เขากล่าวว่า ซูฟยาน อัษเษารีย์ ได้เล่าเรา ว่ารายงานจาก มันศูร จากอิบรอฮีม (เกี่ยวกับอายะฮที่ว่า "และพวกนางอย่าได้เปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นสิ่งที่เปิดเผยได้จากนาง) เขากล่าวว่ามันคือ สิ่งที่อยู่เหนือเสื้อชั้นใน ดังนั้น ถูกอนุญาตให้บรรดาผู้คนมองสิ่งที่ไม่เป็นสิ่งต้องห้าม เหนื่อพวกเขาจากบรรดาสตรี ไปยังบรรดาใบหน้าและบรรดาฝ่ามือของพวกนาง และดังกล่าวต้องห้ามแก่พวกเขา จากบรรดาภรรยาของท่านนบี ศ็อลฯ เมื่ออายะฮฮิญาบได้ประทานลงมา เพราะพวกนางถูกให้มีความประเสริฐ เหนือบรรดาสตรีอื่นๆด้วยดังกล่าว - ดูชัรหมะอานีย์อัลอะษัร 4/332 กิตาบุลกะรอฮะฮ หะดิษหมายเลข 7210
.......
สรุป
1.อนุญาตให้มองมองใบหน้าและฝ่ามือของสตรีได้
2.ห้ามมองใบหน้าและฝ่ามือ บรรดาภรรยานบี ศ็อลฯเมื่ออายะตุลฮิญาบได้ลงมา และพวกนางถูกให้มีความประเสริฐเหนือบรรดาสตรีอื่นๆด้วยอายะฮดังกล่าว
การฟันธงว่า สตรีที่สวมฮิญาบ เปิดใบหน้า ว่าทำบาป และการหุกุมว่าผู้มีทัศนะอนุญาตให้เปิดใบหน้าด้วย เป็นการคัดค้านอัลลอฮและรอซูล เท่ากับหุกุมปราชญยุคสะลัฟด้วยจงระวัง
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/11/61

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การอุทิศผลบุญตะฮลีล 70,000 ครั้งให้ผู้ตาย






ในภาพอาจจะมี ข้อความ





การอุทิศผลบุญตะฮลีล 70,000 ครั้งให้ผู้ตาย(ถึงผู้ตายหรือไม่)
سُئِلَ: عَمَّنْ «هَلَّلَ سَبْعِينَ أَلْفَ مَرَّةٍ، وَأَهْدَاهُ لِلْمَيِّتِ، يَكُونُ بَرَاءَةً لِلْمَيِّتِ مِنْ النَّارِ» حَدِيثٌ صَحِيحٌ؟ أَمْ لَا؟ وَإِذَا هَلَّلَ الْإِنْسَانُ وَأَهْدَاهُ إلَى الْمَيِّتِ يَصِلُ إلَيْهِ ثَوَابُهُ، أَمْ لَا؟
الْجَوَابُ: إذَا هَلَّلَ الْإِنْسَانُ هَكَذَا: سَبْعُونَ أَلْفًا، أَوْ أَقَلَّ، أَوْ أَكْثَرَ. وَأُهْدِيَتْ إلَيْهِ نَفَعَهُ اللَّهُ بِذَلِكَ، وَلَيْسَ هَذَا حَدِيثًا صَحِيحًا، وَلَا ضَعِيفًا. وَاَللَّهُ أَعْلَمُ.
(อิบนุตัยมียะฮ) ถูกถามเกี่ยวกับ ผู้ที่ทำการตะฮลีล 70,000 ครั้ง และอุทิศผลบุญของมันแก่ผู้ตาย ,มันทำให้ผู้ตายเป็นอิสระ(ปลอดภัย)จากไฟนรก ว่า มีหะดิษเศาะเฮียะหรือไม?
และเมื่อมนุษย์ทำการตะฮลีล และอุทิศผลบุญของมัน ไปยังผู้ตาย ผลบุญจะถึงไปยังผู้ตายหรือไม่?
คำตอบ
แท้จริง เมื่อมนุษย์ทำการตะฮลีล ในลักษณะเช่นนี้ คือ 70,000 ครั้ง หรือน้อยกว่าหรือมากกว่า และถูกอุทิศไปยังผู้ตาย อัลลอฮก็ให้มันเกิดประโยชน์แก่ผู้ตายด้วยดังกล่าวนั้น กรณีนี้ ไม่มีหะดิษเศาะเฮียะและไม่มี หะดิษเฎาะอีฟ (แสดงบอกไว้) -วัลลอฮุอะลัม - อัลฟะตาวา อัลกุบรอ 3/38
.......
สรุปการอุทิศบุญการตะฮลีล 70,000 ครั้งให้ผู้ตาย ไม่มีหลักฐานหะดิษที่เศาะเฮียะ และหะดิษเฏาะอีฟก็ไม่มี
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/11/61

อย่าสบประมาทกติกาของอัลลอฮ






อย่าสบประมาทกติกาของอัลลอฮ
การอ้างว่า กลับไปยังอัลลอฮและรอซูลแล้ว ยังเห็นต่างกันอยู่ เท่ากับ เป็นการสบประมาทคำสั่งอัลลอฮ แทนที่จะกลับมาพิจารณา ความบกพร่อง และอุปสรรค์ที่เกิดจากมนุษย์ เอง
قال تعالى فان تنازعتم في شئ فردوه الى الله والرسول ان كنتم تؤمنون بالله واليوم الاخر
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า "หากพวกเจ้าขัดแย้งกัน ในสิ่งใด พวกเจ้าจงนำมันกลับไปยัง อัลลอฮและรอซูล หากพวกเข้าศรัทธาต่ออัลลอฮและวันสุดท้าย
อิบนุลก็อยยิมอธิบายว่า
وهذا دليل قاطع على انه يجب رد موارد النزاع في كل ما تنازع فيه الناس من الدين كله الى الله ورسوله لا الى احد غير الله ورسوله فمن احال الرد على غيرهما فقد ضاد امر الله ومن دعا عند النزاع الى حكم غير الله ورسوله فقد دعا بدعوى الجاهلية فلا يدخل العبد في الايمان حتى يرد كل ما تنازع فيه المتنازعون الى الله ورسوله
และนี่คือ หลักฐานเด็ดขาด บน วาญิบต้อง นำบรรดแหล่งที่มาของการขัดแย้ง ในทุกๆสิ่งที่มนุษย์ขัดแย้งกัน ในมัน เกี่ยวกับศาสนา ทั้งหมด ของมัน กลับไปยังอัลลอฮและรอซูล ของพระองค์ ไม่ใช่กลับไปยังคนหนึ่งคนใด อื่นจากอัลลอฮและรอซูล ดังนั้นผู้ใด ย้ายการนำกลับ(ประเด็นขัดแย้ง)บนอื่นจากทั้งสอง แน่นอนเขาได้ขัดแย้ง คำสั่งอัลลอฮ และผู้ใดเรียกร้อง ไปสู่การตัดสินอื่นจากอัลลอฮและรอซูลของพระองค์เมื่อเกิดการขัดแย้ง แน่นอนเขาเรียกร้องด้วยการเรียกร้องญาฮีลียะฮ ดังนั้นบ่าวจะไม่เข้าสู่การศรัทธา จนกว่าเขาจะนำทุกสิ่งที่บรรดาผู้ขัดแย้งได้ขัดแย้งในมัน กลับไปยังอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ -บะดาอิอุตตัฟสีร ของอิบนุลก็ยยิม 1/289
.....
สรุป
1.จำเป็นจะต้องนำประเด็นขัดแย้งเกี่ยวกับศาสนาไปให้อัลลอฮและรอซูลตัดสิน ไม่ใช่ให้อื่นจากทั้งสองตัดสิน
2.ผู้ใดปฏิเสธ นำประเด็นขัดแย้งเกี่ยวกับศาสนาไปให้อัลลอฮและรอซูลตัดสิน ผู้นั้ยขัดคำสั่งอัลลอฮ
3.การเรียกร้องให้นำประเด็นขัดแย้งเกี่ยวกับศาสนาไปให้ผู้อื่นๆจากอัลลอฮและรอซูลตัดสิน คือการเรียกร้อง(ดะอวะฮ)ด้วยการเรียกร้อง(ดะอวะฮ)ญาฮิลียะฮ
4.บ่าวจะไม่เข้าสู่การศรัทธา จนกว่าเขาจะนำทุกสิ่งที่บรรดาผู้ขัดแย้งได้ขัดแย้งในมัน กลับไปยังอัลลอฮและรอซูล
...........
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า กลับไปยังอัลลอฮและรอซูลแล้วก็ยังสรุปไม่ได้ยังเห็นต่างกันอยู่ การอ้างแบบนี้ เป็นการหมิ่นประมาทคำสังอัลลอฮ
เพราะ กติการของอัลลอฮย่อมหาข้อสรุปได้เสมอหาไม่ใช้อารมณ์และทิฐิขวางกั้นหรือนำมาเป็นอุปสรรค์
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/11/61

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ใครคือผู้ทำลายเกียรติอัลลอฮและรอซูล




การทำชิริกคือการทำลายเกียรติอัลลอฮและการทำบิดอะฮคือการทำลายเกียรตินบี
อิบนุก็อยยิม(ร.ฮ) กล่าวกรณีคนทำชิริกว่า
فلا تجد مشركا قط إلا وهو متنقص لله سبحانه، وإن زعم أنه يعظمه بذلك
ท่านจะไม่พบคนที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ(คนทำชิริก) เลยนอกจาก เขาคือ ผู้สร้างความเสื่อมเสียแก่อัลลอฮ ซ.บ และหากเขาอ้างแท้จริง เขาเทิดเกียรติอัลลอฮ ด้วยดังกล่าว(หมายถึงด้วยการทำชิริก)
อิบนุกอ็ยยิม (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวในกรณีเรื่องการทำเมาลิดว่า
وكما أنك لا تجد مبتدعاً إلا وهو متنقص للرسول صلى الله عليه وسلم، وإن زعم أنه معظم له بتلك البدعة فإن يزعم أنها خير من السنة وأولى بالصواب، أو يزعم أنها هي السنة إن كان جاهلاً مقلداً، وإن كان مستبصراً في بدعته فهو مشاق لله ورسوله".{وَمَنْ يُشَاقِقِ الرَّسُولَ مِنْ بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُ الْهُدَى وَيَتَّبِعْ غَيْرَ سَبِيلِ الْمُؤْمِنِينَ نُوَلِّهِ مَا تَوَلَّى وَنُصْلِهِ جَهَنَّمَ وَسَاءَتْ مَصِيرًا} الآيه [النساء: 115]
“ และในทำนองเดียวกัน แท้จริงท่านจะไม่พบ ผู้ที่ทำบิดอะฮ นอก เขาคือ ผู้ที่สร้างความเสื่อมเสียแก่ ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และถ้าหากว่า เขาอ้างว่า แท้จริง เขาเป็นผู้เทิดเกียรติต่อท่านรซูล ด้วยบิดอะฮดังกล่าว แล้วถ้าหากว่า เขาอ้างว่า แท้จริงมันเป็นสิ่ง ดีกว่า สุนนะฮ และ เห็นว่าถูกต้องกว่า หรือ เขาอ้างว่า มันเป็นสุนนะฮ หากเขาเป็นคนญาฮิล มุกอ็ลลิด(คนไม่รู้ ที่เชื่อตามผู้อื่น) และถ้าหากว่า เขาเป็นผู้ที่ตั้งใจในบิดอะฮของเขา(โดยไตร่ตรองไว้ก่อน) ดังนั้น เขาคือ ผู้ที่ปรปักษ์ต่ออัลลอฮและรซูลของพระองค์. "และผู้ใดที่ฝ่าฝืนเราะซูล หลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามแนวทางที่มิใช่แนวทางของบรรดาผู้ศรัทธา เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นทางกลับอันชั่วร้ายนัก” (อันนิสาอฺ 4:115)– อิฆอษะติลละฮฟาน” เล่ม 1 หน้า 66
สรุปจากคำพูดอิบนุกอ็ยยิม
1. คนทำชิริกคือ ผู้ที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่อัลลอฮ
2. คนที่ทำบิดอะฮ เป็นผู้ที่สร้างความเสื่อมเสียแก่นบี
3. คนที่อ้างว่าเขาเทิดเกียรติด้วยการทำบิดอะอแสดงว่าเขาเห็นบิดอะฮดีกว่าสุนนะฮนบี
4. คนที่เข้าใจว่าการทำเมาลิดเป็นสนนะฮ แสดงว่าเขาญาเฮลเชื่อตามผู้อื่นโดยไม่รู้หลักฐาน
5 .ผู้ที่ตั้งใจทำบิดอะฮทั้งๆที่รู้(โดยไตร่ตรองไว้ก่อน) ดังนั้น เขาคือ ผู้ที่ปรปักษ์ต่ออัลลอฮและรซูลของพระองค์.
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/11/61

เอกสารอ้างอิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

หลักความเชื่อและหลักปฏิบัติในเรื่องศาสนาจะชี้ถูกชี้ผิดได้ไหม




ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



หลักความเชื่อและหลักปฏิบัติในเรื่องศาสนาจะชี้ถูกชี้ผิดได้ไหม
อิสลามมีบัญญัติให้มุสลิมได้ศึกษา เพื่อที่จะให้ได้เข้าใจในศาสานา แล้วนำมาปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสอนศาสนาเพื่ออัลลอฮ
มีรายงานจากท่านมุอาวิยะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
«مَنْ يُرِدْ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا يُفَقِّهْهُ فِي الدِّينِ» [متفق عليه]
"ผู้ใดอัลลอฮฺทรงประสงค์ให้เขาได้รับความดีงาม พระองค์จะให้เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในศาสนา" - (มุตตะฟักกุน อะลัยฮิ)
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
" كُلُّ مَنْ أَرَادَ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا لَا بُدَّ أَنْ يُفَقِّهَهُ فِي الدِّينِ ، فَمَنْ لَمْ يُفَقِّهْهُ فِي الدِّين ِ، لَمْ يُرِدْ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا ، وَالدِّينُ : مَا بَعَثَ اللَّهُ بِهِ رَسُولَهُ ؛ وَهُوَ مَا يَجِبُ عَلَى الْمَرْءِ التَّصْدِيقُ بِهِ وَالْعَمَلُ بِهِ ، وَعَلَى كُلِّ أَحَدٍ أَنْ يُصَدِّقَ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِيمَا أَخْبَرَ بِهِ ، وَيُطِيعَهُ فِيمَا أَمَرَ ، تَصْدِيقًا عَامًّا ، وَطَاعَةً عَامَّةً ".
ทุกๆผู้ที่อัลลอฮพระสงค์ให้เขาได้รับความดีงาม จำเป็นที่พระองค์ให้เขาเข้าใจในศาสนา ดังนั้น ผู้ใดพระองค์ไม่ให้เขาเข้าใจในศาสนา พระองค์ก็ไม่ประสงค์ให้เขาได้รับความดีงาม และศาสนาคือ สิ่งที่อัลลอฮได้ส่งรอซูลของพระองค์ด้วยมัน และมันคือสิ่งที่วาญิบเหรือบุคคลจะต้องเชื่อ ด้วยมันและปฏิบัติด้วยมัน และจำเป็นเหนือทุกคน จะต้องเชื่อมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในสิ่งที่เขาได้บอกด้วยมัน,เชื่อฟังเขา(มุหัมหมัด) ในสิ่งที่เขาได้สั่ง โดยการเชื่อโดยรวมและการเชื่อฟังโดยรวม - มัจญมัวะอัลฟะตาว่า 28/80
.........
มุสลิมต้องศึกษา ให้รู้ว่า อะไรที่ท่านรซูลุลลอฮ ศ็อลฯบอกไว้ และสั่งไว้ ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้าม เพื่อที่จะได้นำมาเป็นหลักความเชื่อและเป็นหลักปฏิบัติ ด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่แบบคลุมเครือว่า ที่ตนเองเชื่อและปฏิบัตือยู่ ถูกหรือเปล่า ไม่กล้าฟันธง แบบนี้เท่ากับนับถือศาสนาที่อยู่บนความคลุมเครือ
อิบนุลกอ็ยยิม(ร.ฮ) ได้ระบุว่า
قَالَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ : الْعَمَلُ الْحَسَنُ هُوَ أَخْلَصُهُ وَأَصْوَبُهُ ، قَالُوا : يَا أَبَا عَلِيٍّ مَا أَخْلَصُهُ وَأَصْوَبُهُ ؟ قَالَ : إِنَّ الْعَمَلَ إِذَا كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُقْبَلْ ، وَإِذَا كَانَ صَوَابًا ، وَلَمْ يَكُنْ خَالِصًا لَمْ يُقْبَلْ ، حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا صَوَابًا ، وَالْخَالِصُ : مَا كَانَ لِلَّهِ ، وَالصَّوَابُ : مَا كَانَ عَلَى السُّنَّةِ ، وَهَذَا هُوَ الْمَذْكُورُ فِي قَوْلِهِ تَعَالَى فَمَنْ كَانَ يَرْجُو لِقَاءَ رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا
อัลฟุฎัยลุ บิน อิยาฎ กล่าว เกี่ยวกับ "อะมั้ลที่ดี"ว่า คือ ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องของมัน ,พวกเขากล่าวว่า "โอ้อบูอาลี อะไรคือ ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องของมัน? เขากล่าวตอบว่า “ การงาน(อะมั้ล)นั้น เมื่อมีความบริสุทธิ์ใจ โดยปรากฏว่าไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกรับ และเมื่อปรากฏว่า ถูกต้อง โดยที่ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับ จนกว่ามันจะบริสุทธิ์ใจและและถูกต้อง และบริสุทธิ์ใจนั้น คือ สิ่งที่กระทำเพื่ออัลลอฮ และความถูกต้องนั้นคือ สิ่งที่ตรงตามสุนนะฮ นี้คือ สิ่งที่ถูกระบุไว้ในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า “ผู้ใดหวังที่จะพบกับพระผู้อภิบาลของเขา เขาจงประกอบการงานที่ดี และจงอย่านำคนใดมาหุ้นส่วน กับการเคารพภักดี ต่อพระผู้อภิบาลของเขา - ดูมะดาริญุสสาลิกีน ของอิบนุกอ็ยยิม เล่ม 1 หน้า 105
......
ปราชญ์ยุคสะลัฟ ,อัลฟุฎอ็ยลฺ บิน อิยาฎ (ฮ.ศ 107-187) ได้อธิบายถึงลักษณะการงานที่ดี ประกอบด้วยความอิคลาศ และความถูกต้อง คำว่าอิคลาศ คือ ปฏิบัติเพื่ออัลลอฮ และคำว่าถูกต้องคือ การปฏิบัติตามสุนนะฮ เพราะฉะนั้น เราเรียนเพื่อให้สามรถแยกถูกแยกผิดได้ โดยใช้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮเป็นบรรทัดฐาน ถ้ายึดทั้งสองแล้ว บอกว่า ไม่แน่ใจและไม่กล้าฟันธง แล้วสองประการที่ท่านนบี ศ็อลฯบอกว่า ถ้ายึดแล้วไม่หลงทาง จะมีความหมายอะไรหรือ
อะสัน หมัดอะดั้ม
12/11/61

หลังจากสล่ามมีสุนนะฮให้ลูบหน้าพร้อมดุอา จริงหรือ





หลังจากสล่ามมีสุนนะฮให้ลูบหน้าพร้อมดุอา จริงหรือ
มีการอ้างหะดิษต่อไปนี้คือ
كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا قَضَى صَلاتَهُ مَسَحَ جَبْهَتَهُ بِيَدِهِ الْيُمْنَى ، ثُمَّ قَالَ : " أَشْهَدُ أَنْ لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ الرَّحْمَنُ الرَّحِيمُ ، اللَّهُمَّ أَذْهِبْ عَنِّي الْهَمَّ وَالْحَزَنَ " .
ความว่า ท่านนาบี(ช.ล) ในขณะที่ท่านเสร็จละมาด ท่านได้ลูปหน้าด้วยมือขวาของท่าน แล้วท่านก็อ่าน ดุอาที่ว่า
أَشْهَدُ أَنْ لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ الرَّحْمَنُ الرَّحِيمُ ، اللَّهُمَّ أَذْهِبْ عَنِّي الْهَمَّ وَالْحَزَنَ
..............
ชี้แจง
หะดิษมีสายรายงานดังนี้
أَخْبَرَنَا سَلْمُ بْنُ مُعَاذٍ ، حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ الْحَسَنِ بْنِ عَنْبَسَةَ ، حَدَّثَنَا أَبُو عُمَرَ الْحَوْضِيُّ ، حَدَّثَنَا سَلامٌ الْمَدَائِنِيُّ ، عَنْ زَيْدٍ الْعَمِّيِّ ، عَنْ مُعَاوِيَةَ بْنِ قُرَّةَ ، عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ، قَالَ : كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا قَضَى صَلاتَهُ مَسَحَ جَبْهَتَهُ بِيَدِهِ الْيُمْنَى ، ثُمَّ قَالَ : " أَشْهَدُ أَنْ لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ الرَّحْمَنُ الرَّحِيمُ ، اللَّهُمَّ أَذْهِبْ عَنِّي الْهَمَّ وَالْحَزَنَ "
วิจารณ์
เป็นหะดิษ ที่สายรายงานของมันเฎาะอีฟเป็นมาก ในสายรายงานมี ผู้รายงานชื่อว่า เซด อัลอัมมีย์ เขาคือผู้ที่มีสถานะเฎาะอีฟ และ สะลามุฏเฏาะวีล เขาคือผู้ที่ มัตรูก (คือหะดิษของเขาถูกตัดทิ้ง) -ดู อัดดุอาของ อัฏฏอ็บรอนีย์ 1/1096 (ดูสำเนาที่แนบมา)
หมายเหตุ
หะดิษมัตรูก(المتروك )คือ หะดิษที่ในสายรายงานมีผู้ผู้ที่ถูกกล่าวหา ว่า เป็นผู้โกหก
สรุปว่า หะดิษที่อ้างว่าสุนัตให้ลูบหน้าและดุอาหลังจากสะลาม เป็นหะดิษเฎาะอีฟเป็นอย่างมาก
อะสัน หมัดอะดั้ม
11/11/61


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การปิดหน้าของสตรีมุสลิมเป็นวาญิบจริงหรือ






ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ




การปิดหน้าของสตรีมุสลิมเป็นวาญิบจริงหรือ
ผู้เขียนขอเรียนให้ทราบก่อนว่า
ไม่ได้ค้านการปิดใบหน้าของสตรีมุสลิม และขอชื่มชมด้วยซ้ำที่นางสามารถทำได้ถึงระดับนี้ แต่.. การหุกุมว่าเป็นวาญิบต้องปิดใบหน้า และหากไม่ปิดถือว่า เป็นการฝ่าฝืนหุกุมศาสนานั้น โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะมันเป็นเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของสตรีมุสลิมส่วนใหญ่ที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ทหาร ,ตำรวจ, ครู อาจารย์ พนักงานของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนงานเอกชน งานการค้า ฯลฯ ที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคน แนวทางที่อนุญาตให้เปิดหน้าได้ เป็นแนวทางสายกลางที่เหมาะสมที่สุดในการใช้ชีวิตของสตรีที่อยู่ในฐานะต้องออกนอกบ้านไปประกอบอาชีพ อย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้น
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا وَلْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَى جُيُوبِهِنَّ
และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ ...อันนูร/31
. อิหม่ามอัชชันกิฏีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَأَخْرَجَ ابْنُ أَبِي شَيْبَةَ عَنْ عِكْرِمَةَ فِي قَوْلِهِ : إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا قَالَ : الْوَجْهُ وَثُغْرَةُ النَّحْرِ .
และอิบนุอบีชัยบะฮ ได้บันทึกจากอิกริมะฮ ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า( เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้) เขากล่าว่า หมายถึง ใบหน้า และ ช่องคอ
وَأَخْرَجَ ابْنُ جَرِيرٍ عَنْ سَعِيدِ بْنِ جُبَيْرٍ فِي قَوْلِهِ : إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا قَالَ : الْوَجْهُ وَالْكَفُّ .
และอิบนุญะรีร ได้บันทึกจากสะอีด บิน ญุบัยรฺ ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (เว้นแต่สิ่งที่เปิดเผยได้) เขากล่าวว่า หมายถึงใบหน้า และฝ่ามือ
وَأَخْرَجَ ابْنُ جَرِيرٍ عَنْ عَطَاءٍ فِي قَوْلِهِ : إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا قَالَ : الْكَفَّانِ وَالْوَجْهُ .
อิบนุญะรีร ได้บันทึกจากอะฏออฺ ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(เว้นแต่สิ่งที่เปิดเผยได้) เขากล่าวว่า หมายถึง สองฝ่ามือและใบหน้า – ดู ตัฟสีรอัฎวาอุลบะยาน 5/514
อิบนุกุดามะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَقَالَ مَالِكٌ ، وَالْأَوْزَاعِيُّ ، وَالشَّافِعِيُّ : جَمِيعُ الْمَرْأَةِ عَوْرَةٌ إلَّا وَجْهَهَا وَكَفَّيْهَا ، وَمَا سِوَى ذَلِكَ يَجِبُ سَتْرُهُ فِي الصَّلَاةِ ; لِأَنَّ ابْنَ عَبَّاسٍ قَالَ فِي قَوْله تَعَالَى : { وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا } قَالَ : الْوَجْهَ وَالْكَفَّيْنِ . وَلِأَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ { نَهَى الْمُحْرِمَةَ عَنْ لُبْسِ الْقُفَّازَيْنِ وَالنِّقَابِ . } وَلَوْ كَانَ الْوَجْهُ وَالْكَفَّانِ عَوْرَةً لَمَا حَرُمَ سَتْرُهُمَا ، وَلِأَنَّ الْحَاجَةَ تَدْعُو إلَى كَشْفِ الْوَجْهِ لِلْبَيْعِ وَالشِّرَاءِ ، وَالْكَفَّيْنِ لِلْأَخْذِ وَالْإِعْطَاءِ
มาลิก ,อัลเอาซาอีย์ และอัชชาฟิอีย์ กล่าวว่า “ เรือนร่างทั้งหมดของผู้หญิง คือ เอาเราะฮ ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง และสิ่งที่นอกเหนือดังกล่าวนั้น การปกปิดมัน เป็นสิ่งจำเป็นในละหมาด เพราะว่าแท้จริง อิบนุอับบาสกล่าว(อธิบาย)ในคำตรัสของอัลลอฮตะอาลาที่ว่า
وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا
และพวกนางอย่าได้เปิดเผยเครืองประดับของพวกนาง นอกจากสิ่งที่เปิดเผยจากมันได้
เขา(อิบนุอับบาส)กล่าวว่า “หมายถึง ใบหน้าและสองฝ่ามือ
และเพราะว่านบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม (ห้ามไม่ให้ผู้หญิงที่ครองเอียะรอม สวมใส่ถุงมือทั้งสองและห้ามสวมใส่นิกอบ(ผ้าคลุม) - และถ้า ใบหน้าและสองฝ่ามือ เป็นเอาเราะฮ แน่นอน การปกปิดมันทั้งสองจะไม่ถูกห้าม และเพราะว่า แท้จริง การเปิดใบหน้า มีความจำเป็นสำหรับการซื้อและการขายและสองฝ่ามือ มีความจำเป็นสำหรับการรับและการให้
- ดูอัลมุฆนีย อิบนุกุดามะฮ 2/327-328
อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ)กล่าวว่า
أن المرأة كلها عورة إلا الوجه والكفين وأنه قول الأئمة وأصحابهم وقول الأوزاعي وأبي ثور
แท้จริง สตรีนั้น ทั้งหมดของนาง คือ เอาเราะฮ ยกเว้นใบหน้าและ สองฝ่ามือ และแท้จริงมันคือ ทัศนะของบรรดาอิหม่าม และบรรดาสหาย(สานุศิษย์)ของพวกเขา และทัศนะของอัลเอาซาอีย์และอบูษูร – ดู อัตตัมฮีด 6/364
อิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
فِي مَذَاهِبِ الْعُلَمَاءِ فِي الْعَوْرَةِ ، قَدْ ذَكَرْنَا أَنَّ الْمَشْهُورَ مِنْ مَذْهَبِنَا أَنَّ عَوْرَةَ الرَّجُلِ مَا بَيْنَ سُرَّتِهِ وَرُكْبَتِهِ وَكَذَلِكَ الْأَمَةُ ، وَعَوْرَةَ الْحُرَّةِ جَمِيعُ بَدَنِهَا إلَّا الْوَجْهَ وَالْكَفَّيْنِ
ในบรรดามัซอับอุลามาอฺ ในเรื่องเอาเราะฮ ,แท้จริง เราได้ระบุแล้วว่า “แท้จริงที่แพร่หลายจากมัซอับของเรานั้น แท้จริง เอาเราะฮผู้ชาย คือ สิ่งที่อยู่ระหว่างสะดือและเข่าของเขา และในทำนองเดียวกัน คือทาสหญิง และเอาเราะฮ สตรีที่เป็นอิสระชนนั้น ทั้งหมดของร่างกายของนาง ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ ...
....
และอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ได้กล่าวอีกว่า
وَمِمَّنْ قَالَ عَوْرَةُ الْحُرَّةِ جَمِيعُ بَدَنِهَا إلَّا وَجْهَهَا وَكَفَّيْهَا الْأَوْزَاعِيُّ وَأَبُو ثَوْرٍ وَقَالَ أَبُو حَنِيفَةَ وَالثَّوْرِيُّ وَالْمُزَنِيُّ قَدَمَاهَا أَيْضًا لَيْسَتَا بِعَوْرَةٍ ، وَقَالَ أَحْمَدُ جَمِيعُ بَدَنِهَا إلَّا وَجْهَهَا فَقَطْ
และส่วนหนึ่งจาก ผู้ที่กล่าวว่า เอาเราะฮของสตรีที่เป็นอิสระชน คือ ร่างกายของนางทั้งหมด ยกเว้นใบหน้าและสองฝ่ามือของนาง คือ อัลเอาซาอีย์และอบูษูร และอบูหะนีฟะฮ ,อัษเษารีย์และ อัลมุซานีย์ ได้กล่าวว่า สองเท้าของนางอีกด้วย ทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮ และอะหมัด กล่าวว่า ร่างกายทั้งหมดของนาง (เป็นเอาเราะฮ)ยกเว้น ใบหน้าของนางเท่านั้น – ดู อัลมัจญมัวะ ชัรหอัลมุฮัซซับ 3/169
...........
จากที่กล่าวทั้งหมดนี้ จึงสรุปว่า เอาเราะฮของสตรีนั้น คือ ร่างกายของนางทั้งหมด ยกเว้นใบหน้าและสองฝ่ามือ ส่วยนางจะปิดหน้านั้น ขอเรียนว่า เป็นสิ่งที่ดี ไม่มีใครค้าน แต่การอ้างว่า การปิดหน้า คือสิ่งวาญิบ ผู้เขียนไม่เห็นด้วย ดังหลักฐานที่ระบุแล้วข้างต้น และเชื่อว่า เป็นแนวทางสายกลางที่เหมาะสมกับสตรีมุสลิมทุกคน ทุกอาชีพ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/11/61

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ยุคลิงขึ้นมินบัร



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ยุคลิงขึ้นมินบัร
ยุคนี้ เป็นยุคที่คนบางส่วนรับฟังคนอื่นไม่ได้ ฟังคนอื่นสอนไม่ได้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะมีความรู้มากกว่าตนเองก็ตาม แต่เป็นยุคที่คนอยากเป็นอุลามาอฺ อยากวิจารณ์เชิงวิชาเกิน อยากชี้นำสังคม อยากขึ้นมินบัร ขึ้นเวทีสอนและชี้นำชาวบ้าน
อิบนุมัสอูด (ร.ฎ) ได้เตือนว่า
وَعَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَسْعُودٍ - رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ - ، قَالَ : يَا أَيُّهَا النَّاسُ ! مَنْ عَلِمَ شَيْئًا فَلْيَقُلْ بِهِ وَمَنْ لَمْ يَعْلَمْ فَلْيَقُلِ : اللَّهُ أَعْلَمُ ، فَإِنَّ مِنَ الْعِلْمِ أَنْ تَقُولَ لِمَا لَا تَعْلَمُ : اللَّهُ أَعْلَمُ : قَالَ اللَّهُ تَعَالَى لِنَبِيِّهِ قُلْ مَا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ مِنْ أَجْرٍ وَمَا أَنَا مِنَ الْمُتَكَلِّفِينَ مُتَّفَقٌ عَلَيْهِ .
รายงานจากอิบนุมัสอูด(ร.ฏ) ว่าเขากล่าวว่า
.
โอ้มนุษย์เอ๋ย ผู้ใดรู้สิ่งใด เขาก็จงกล่าวด้วยมัน และผู้ใด ความรู้ไม่มีความรู้ เขาจงกล่าวว่า "อัลลอฮทรงรู้ยิ่ง" เพราะแท้จริงส่วนหนึ่งจากความรู้นั้น คือ การที่ท่านกล่าวสำหรับสิ่งที่ท่านไม่รู้ ว่า "อัลลอฮทรงรู้ยิ่ง" ,อัลลอฮตาอาลา ตรัสแกนบี ของพระองค์ว่า "จงกล่าวเถิดว่า "ฉันมิได้ขอรางวัลค่าตอบแทนจากพวกท่านในการทำหน้าที่นี้แต่อย่างใด และฉันก็มิได้อยู่ในหมู่ผู้หลอกลวงอ้างสิทธิเลย" -มุตตะฟักอะลัยฮ
.......
คนที่รู้จริง เขาไม่อวดรู้ ไม่กลัวเสียหน้า ที่จะตอบว่า "ฉันไม่รู้"ไม่กลัวที่จะพูดว่า อัลลอฮทรงรู้ยิ่ง แต่ยุคนี้ เป็นยุคลิงขึ้นมินบัร รู้ไม่รู้ รักษาหน้าไว้ก่อน ปิดหูปิดตาชี้นำคน
เมื่อไม่รู้อย่าชี้จะมีโทษ
รู้แล้วโปรดชี้เถิดประเสริฐผล
สำนึกอยู่รู้การณ์ประมาณตน
จึงเป็นคนมีส่วนควรบูชา
โง่เหมือนเต่าเง่างั่งดังตุ๊ดตู่
แต่อวดรู้ชอบชี้อยากมีหน้า
ชี้ถูกบ้างผิดบ้างขวางตำรา
โบราณว่านั่นน่ะ "คนระยำ"
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/11/61

สลามคือศาสนาที่มาจากวะหยู


อิสลามคือศาสนาที่มาจากวะหยูไม่ใช่มาจากตรรกและความคิดเห็น
อิหม่ามบุคอรี ได้กำหนดหัวเรื่องในเศาะเฮียะบุคอรีว่า
بَاب مَا كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُسْأَلُ مِمَّا لَمْ يُنْزَلْ عَلَيْهِ الْوَحْيُ فَيَقُولُ لَا أَدْرِي أَوْ لَمْ يُجِبْ حَتَّى يُنْزَلَ عَلَيْهِ الْوَحْيُ وَلَمْ يَقُلْ بِرَأْيٍ وَلَا بِقِيَاسٍ لِقَوْلِهِ تَعَالَى بِمَا أَرَاكَ اللَّهُ وَقَالَ ابْنُ مَسْعُودٍ سُئِلَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ الرُّوحِ فَسَكَتَ حَتَّى نَزَلَتْ الْآيَةُ
บทว่าด้วยสิ่งที่ปรากฏว่า นบี ศ้อลฯ ถูกถามเกี่ยวกับสิ่งที่วะหยูไม่ได้ถูกประทานลงมาบนมัน แล้วท่านนบี กล่าวว่า "ฉันไม่รู้ " หรือไม่ก็ท่านนบีจะไม่ตอบ จนกว่าวะหยูจะถูกประทานลงมาบนมัน และท่านนบี ไม่พูดด้วยความเห็น และ(ไม่พูด)ด้วยการกิยาส เพราะคำตรัสของอัลลอฮตาอาลาที่ว่า “ด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เจ้ารู้เห็น”..และอิบนุมัสอูด กล่าวว่า “ท่านนบี ศ็อลฯถูกถามเกี่ยวกับวิญญาณ(รูหฺ) แล้วท่านนิ่งเงียบ จนกระทั่งอายะฮนี้ลงมา – ดูเศาะเฮียะบุคอรี 4/366
............
สรุปคือ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อถูกถามเกี่ยวกับสิงที่ไม่ได้มีวะหยูลงมา ท่านนบีก็จะตอบว่า “ฉันไม่รู้” หรือไม่ท่านก็นิ่งเงียบจนกว่าวะหยูจะลงมา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะไม่พูดด้วยความคิดเห็นและการกิยาส
เพราะฉะนั้น เรื่องศาสนา เป็นเรื่องวะหยูของอัลลอฮตาอาลา ไม่ว่าจะเป็นอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ดังที่ท่านนบี ส็อลฯกล่าวว่า
أَلَا إِنِّي أُوتِيتُ الْكِتَابَ وَمِثْلَهُ مَعَهُ
พึงรู้ไว้เถิด แท้จริง ฉันได้รับอัลกิตาบและที่เหมือนกับมันพร้อมกับมัน – รายงานโดยอบูดาวูด
ชัยค์บิน บาซ กล่าวว่า
هذا حديث من الأحاديث الصحيحة الثابتة عن رسول الله صلى الله عليه وسلم، ومعنى (ومثله معه) يعني أن الله أعطاه وحيًا آخر وهو السنة التي تفسر القرآن وتبين معناه،
นี่คือหะดิษหนึ่งจากบรรดาหะดิษ ที่เศาะเฮียะที่แน่นอนจากรซูลุลลอฮ ศ็อลฯ และความหมายคำว่า(ที่เหมือนกับมันพร้อมกับมัน) หมายถึงอัลลอฮตาอาลา มอบวะหยูอื่นอีก ให้แก่ท่านนบี มันคือ อัสสุนนะฮ ที่อรรถาธิบายอัลกุรอ่านและอธิบายความหมายของมัน –
http://www.alifta.net/fatawa/fatawaDetails.aspx…
............
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม อ้างเอาความคิดเห็นมาเป็นศาสนา ส่งเสริมให้ปฏิบัติ โดยไม่มีหลักฐานรองรับ สิ่งนั้นไม่ใช่คำสอนศาสนา เพราะศาสนาอิสลาม คือ วะหยูของอัลลอฮ ไม่ใช่ความคิดเห็น
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/11/61


ในภาพอาจจะมี ข้อความ