วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ตรรกวิบัติ ทำลายสุนนะฮ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ตรรกวิบัติ ทำลายสุนนะฮ

ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม • 
ใครบอกคุณหรือครับ คำว่าซันนาตามฮาดิษนั้น. มีความหมายว่าฟื้นฟู....
ถ้าเกิดมันมีความหมายว่าฟื้นฟู.. แล้วซันนาสุนนะห์ซัยยีอะห์. มันคือการฟื้นฟูสุนนะห์ใครมิทราบ...เพราะนบีไม่เคยทำชั่วเป็นตัวอย่าง
…………………..
ชี้แจง
ข้างต้นคือการใช้ตรรกของตนเองโดยไม่ศึกษาข้อเท็จจริงและที่มาของเรื่อง

حَدَّثَنِي زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ، حَدَّثَنَا جَرِيرُ بْنُ عَبْدِ الْحَمِيدِ، عَنِ الأَعْمَشِ، عَنْ مُوسَى، بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ يَزِيدَ وَأَبِي الضُّحَى عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ هِلاَلٍ الْعَبْسِيِّ، عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ جَاءَ نَاسٌ مِنَ الأَعْرَابِ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم عَلَيْهِمُ الصُّوفُ فَرَأَى سُوءَ حَالِهِمْ قَدْ أَصَابَتْهُمْ حَاجَةٌ فَحَثَّ النَّاسَ عَلَى الصَّدَقَةِ فَأَبْطَئُوا عَنْهُ حَتَّى رُئِيَ ذَلِكَ فِي وَجْهِهِ - قَالَ - ثُمَّ إِنَّ رَجُلاً مِنَ الأَنْصَارِ جَاءَ بِصُرَّةٍ مِنْ وَرِقٍ ثُمَّ جَاءَ آخَرُ ثُمَّ تَتَابَعُوا حَتَّى عُرِفَ السُّرُورُ فِي وَجْهِهِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏
 
คำแปลตัวบท

รายงานจากญะรีร บิน อับดุลลอฮ ว่าเขากล่าวว่า “ มีบรรดาผู้คนชาวชนบท มาหาท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯสวมเสื้อผ้าทำด้วยหนังสัตว์ ท่านรซูลุลลอฮ เห็นสภาพความแร้นแค้นของพวกเขา แท้จริงความต้องการความช่วยเหลือได้ประสบกับพวกเขา แล้วท่านรซูลุลลอฮ ได้เร่งเร้าให้บรรดาผู้คนให้ทำการบริจาค ต่อมาพวกเขาได้ล่าช้า ในการบริจาค จนกระทั่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น จนกระทั่งความไม่พอใจปรากฏที่สีหน้าของท่านนบี, ท่านญารีร กล่าวว่า ต่อมามีชายคนหนึ่งนำถุงใส่เงินมาให้ ต่อมา คนอื่นก็นำมาอีก ต่อมาพวกเขาก็ติดตามกันมาต่อเนื่อง จนกระทั่งที่ใบหน้าของท่านรอซูล แสดงออกถึงความดีใจ แล้วท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ จึงกล่าวว่า
"‏ مَنْ سَنَّ فِي الإِسْلاَمِ سُنَّةً حَسَنَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ لَهُ مِثْلُ أَجْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلاَ يَنْقُصُ مِنْ أُجُورِهِمْ شَىْءٌ وَمَنْ سَنَّ فِي الإِسْلاَمِ سُنَّةً سَيِّئَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ عَلَيْهِ مِثْلُ وِزْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلاَ يَنْقُصُ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَىْءٌ ‏"
"ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม เขาจะได้รับการตอบแทนของเขา และการตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดหย่อน
ไปจากการตอบแทนของพวกเขาแม้แต่น้อย และผู้ผู้ใดทำแบบอย่างที่ชั่วในอิสลาม เขาจะแบกภาระความผิดของเขา และความผิดของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้นหลังจากเขา โดยไม่ถูกลดย่อนไปจากความผิดของพวกเขาแม้แต่น้อย- รายงานโดยมุสลิม หะดิษหมายเลข 4830
...........
หะดิษข้างต้น ต้นเรื่องคือ ท่านศาสดากล่าวขึ้นเพื่อยกย่องและส่งเสริมการกระทำของเศาะหาบะฮ์ท่านนั้นที่ "นำร่อง" ปฏิบัติ "สิ่งดีในอิสลาม" - คือการบริจาค - ตามที่ท่านสั่ง .. จนเป็นตัวอย่างให้เศาะหาบะฮ์ท่านอื่นๆปฏิบัติตามด้วย ... ไม่ใช่เขาอุตริบิดอะฮ แล้วให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม อย่างที่ชาวบิดอะฮ บิดเบือน
อิหม่ามชาฏิบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
فَلَيْسَ الْمُرَادُ بِالْحَدِيثِ الِاسْتِنَانَ بِمَعْنَى الِاخْتِرَاعِ ، وَإِنَّمَا الْمُرَادُ بِهِ الْعَمَلُ بِمَا ثَبَتَ مِنَ السُّنَّةِ النَّبَوِيَّةِ
สิ่งที่ต้องการด้วยหะดิษอัลอิษติสนาน(หะดิษ من سن ) ไม่ใช่ด้วยความหมาย ของการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ และความจริง สิ่งที่ต้องการด้วยมัน คือ การปฏิบัติ ด้วยสิ่งที่ ปรากฏยืนยัน ในสุนนะฮนบี – อัลเอียะติศอม 1/307
‎ قَالَ : مَن سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً حَسَنَةً . . . . . الْحَدِيثَ ، فَدَلَّ عَلَى أَنَّ السُّنَّةَ هَاهُنَا مِثْلُ مَا فَعَلَ ذَلِكَ الصَّحَابِيُّ ، وَهُوَ الْعَمَلُ بِمَا ثَبَتَ كَوْنُهُ سُنَّةً ، وَأَنَّ الْحَدِيثَ مُطَابِقٌ لِقَوْلِهِ فِي الْحَدِيثِ الْآخَرِ : مَنْ أَحْيَا سُنَّةً مِنْ سُنَّتِي قَدْ أُمِيتَتْ بِعْدِي الْحَدِيثَ
ท่านนบีกล่าวว่า “ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม...จนจบหะดิษ มันแสดงบอกว่าแท้จริง คำว่าอัสสุนนะฮ ในที่นี้ คือ เหมือนสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮได้ปฏิบัติดังกล่าว และมันคือ การปฏิบัติด้วยสิ่งที่มีรายงานยืนยันว่า มันเป็นสุนนะอ และแท้จริง หะดิษนี้ สอดคล้องกับ หะดิษอื่นคือ ผู้ใดฟื้นฟูสุนนะฮใดๆจากสุนนะฮของฉัน ที่มันถูกให้ตายไปหลังจากฉัน...จนจบหะดิษ- อัลเอียะติศอม 1/305-306
..........
จึงสรุปได้ว่า หะดิษที่ว่า “مَنْ سَنَّ فِي الإِسْلاَمِ سُنَّةً حَسَنَةً” เป็นหะดิษที่ ส่งเสริมให้ปฏิบัติตามสุนนะฮ ที่มีอยู่ ไม่ใช่การอุตริบิดอะฮ แล้วให้คนอื่นปฏิบัติตามอย่างที่อะฮลุลบิดอะฮ ผู้ทำลายสุนนะฮนบีได้ทำการบิดเบือน

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม


29/12/59

วาทกรรมโกหกบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟ





ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วาทกรรมโกหกบิดเบือนอะกีดะฮสะลัฟ
قيل لأبي عبد الله أحمد بن حنبل: الله عز و جل فوق السماء السابعة على عرشه بائن من خلقه وقدرته وعلمه في كل مكان؟
قال: نعم على العرش وعلمه لا يخلو منه مكان. “
(شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة للالكائي ج ٣ ص ٤٠٢)
มีคนกล่าวแก่ พ่อของอับดุลเลาะห์ อะห์หมัด บิน ฮัมบัน ว่า : อัลเลาะห์ อัซซะวะญัล อยู่เหนือชั้นฟ้า ที่ 7 เหนืออะรัชของพระองค์ ทรงแตกต่างจากมัคลูก(สิ่งถูกสร้าง) และความสามารถและความรู้ของพระองค์นั้น อยู่ในทุกๆสถานที่ หรือป่าว ?... อิหม่ามอะห์หมัดตอบว่า : ใช่! พระองค์ทรงอยู่เหนือ อะรัช และ ไม่มีแห่งหนใด ที่ความรู้ของพระองค์จะไปไม่ถึง..!!
## ชัรฮุ อุศุ้ลลุ อิอ์ติกอด อะห์ลิซซุนนะห์ วัลญะมาอะห์ ของอิหม่าม อัลลาลิกาอีย์ เล่ม 3 หน้า 402
..............
คำพูดข้างต้น มาดูคนโกหกและบิดเบือนต่อไปนี้
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม
บาอีนนา. คือคำตอบที่อีหม่ามอะหมัด. บ่งบอกว่า. อัลลอฮนั้นสูงส่ง โดยไม่ใช่อยู่เหนือแบบบนล่างกับมัคโลก. แค่นี้ก้อพอแล้ว
ถูกใจ · ตอบกลับ · 1 · 19 นาที
ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม
เฟากอ. ตรงนี้หมายถึง เหนือด้วยเกียรติและอำนาจการปกครอง... บาอินนาคือ แยกกันคนล่ะส่วนกับมัคโลก ( หมายถึงทุกอย่างคือมัคโลกนอกจากพระองค์)
...........
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นการโกหกบิดเบือน ของ นาย ตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม อย่างน่าละอายที่สุด เพราะคำว่า
فوق السماء السابعة 
อยู่เหนือขั้นฟ้าที่เจ็ด 
เป็นแสดงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ แต่เขาโกหกบอกว่า หมายถึง เหนือด้วยเกียรติและอำนาจการปกครอง.
คำว่า " بائن من خلقه
นายตาชั่ง พิทักษ์ความยุติธรรม บิดเบือนโกหกว่า คือ แยกกันคนล่ะส่วนกับมัคโลก ( หมายถึงทุกอย่างคือมัคโลกนอกจากพระองค์)
......
ความจริงคำว่า แยกจากมัคลูคของพระองค์หมายถึง
ไม่มีสิ่งใดจากซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่ในบรรดามัคลูคของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากบรรดามัคลูคของพระองค์อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์
ดังอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)
بَلْ هُمْ مُتَّفِقُونَ عَلَى أَنَّ اللَّهَ فَوْقَ سَمَوَاتِهِ عَلَى عَرْشِهِ بَائِنٌ مِنْ خَلْقِهِ ; لَيْسَ فِي مَخْلُوقَاتِهِ شَيْءٌ مِنْ ذَاتِهِ وَلَا فِي ذَاتِهِ شَيْءٌ مِنْ مَخْلُوقَاتِهِ
แต่ทว่า พวกเขา(สะลัฟ) เห็นฟ้อง ว่า แท้จริง อัลลอฮ อยู่เหนื่อ บรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัชของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจากซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่ในบรรดามัคลูคของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากบรรดามัคลูคของพระองค์อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์ - ดูมัจญมัวอัลฟะตาว่า เล่ม 5 หน้า 258 เรื่อง كتاب مفصل اعتقاد السلف
..............
คำว่า แยกจากมัคลูค หมายถึง ไม่ได้สัมผัสกับมัคลูค เพราะทรงอยู่เหนือมัคลูค 
 ยะหยา อัลอัมรอนีย์ อัชชาฟิอีย์ (ฮ.ศ 558) ปราชญ์ฮับชาฟีอีย์ ยุคต้นๆ กล่าวว่า
عند أصحاب الحديث والسنة أن الله سبحانه بذاته، بائن عن خلقه، على العرش استوى فوق السموات، غير مماس له، وعلمه محيط بالأشياء كلها
ในทัศนะบรรดานักหะดิษ และสุนนะฮ ว่าแท้จริง อัลลอฮ (ซ.บ) ด้วยตัวตน(ซาต)ของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ทรงสถิตเหนือบรรดาชั้นฟ้า โดยไม่ได้สัมผัสติดกับมัน และความรอบรู้ของ พระองค์ ครอบคลุมด้วยทุกๆสิ่ง 
الانتصار في الرد على المعتزلة القدرية الأشرار للعمراني (ج2 ص607)
อิหม่ามอัลมุซันนีย์ ศิษย์ของอิหม่ามชาฟิอีย์ กล่าวว่า
عال على عرشه بائن من خلقه موجود ليس بمعدوم ولا مفقود.
ทรงสูงเหนืออะรัชของพระองค์ แยกจากมัคลูคของพระองค์ ทรงมีอยู่ ไม่ทรงไม่มี และไม่ทรงสูญหาย - ดู 
ดู ชัรหุสุนนะฮของ อัลมุซันนีย์ หน้า 82 และ 
اجتماع الجيوش (168) والعلو (2|1143) 
....... 
ข้างต้นเป็นทัศนะสะลัฟ ศิษย์อิหม่ามชาฟิอีย์ ระบุว่า อัลลอฮทรงอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัช แยกจากมัคลูค เพราะฉะนั้น คำว่า อยู่บน อะรัช ไม่ได้หมายถึงอาศัยอารัชเป็นที่อยู่
................
การใช้ตรรกบิดเบือน อะกีดะฮสะลัฟ ในการยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ช่างเลวยิ่งนัก
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/12/59

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ ภาค 5


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ ภาค 5
Sulaiman Ma
24 ธันวาคม เวลา 7:25 น. · 
8⃣ หลักฐาน จากกุรอาน และ ฮาดีส "บิดอะฮาสานะ" มีอยู่จริงๆ
〰〰〰〰〰〰〰〰
👬5- รายงานโดยท่าน บูคอรี...
أن عثمان بن عفان رضي الله عنه حين رأى زيادة الناس يوم الجمعة عمل أذانًا ثانيًا فلم يعترض عليه أحدٌ من الصحابة ولا من جاء بعدهم ( وهو سنة أجمعت عليها الأمة ).
แท้จริง อุสมาน ในขณะที่เขา เห็น บวงมนุษย์ เพิ่มมากขึ้น เขาก็ได้ เสริม อาซานครังที่สอง , และไม่มีใคร จากบันดา ชอฮาบาต คัดค้าน เขาแม้แต่คนเดียว.
〰〰〰〰〰〰〰〰
@@@@@
ข้างต้น ก็เป็นอีกเคสหนึ่ง ที่นำการกระทำของเคาะลิฟะฮรอชิดีน มาชงตบตาคนอาวาม ให้เข้าใจว่า แม้แต่เคาะลิฟะฮ อัรรอชิดีน ก็ยังทำบิดอะฮ ที่เห็นว่าดี หรือ ที่ชื่อสวยหรูว่า "บิดะฮหะสะนะฮ" ความจริงข้างต้น ผู้อ้างไม่เข้าใจหรือไม่ก็เจตนาบิดเบือน
มาดูข้อเท็จจริงดังนี้
1. การกระทำของท่านเคาะลิฟะฮอุษมาน (ร.ฎ) และเคาะลิฟะฮท่านอื่นๆ ไม่ใช่บิดอะฮ แต่เป็นสุนนะฮที่ท่านนบี ศอ็ลฯรับรองและสั่งเสียเอาไว้
عليكم بسنتي وسنة الخلفاء الراشدين المهديين من بعدي ، تمسكوا بها وعضوا عليها بالنواجذ ، وإياكم ومحدثات الأمور ، فإن كل محدثة بدعة ، وكل بدعة ضلالة ) أخرجه أحمد 4/126 ، والترمذي برقم 2676
พวกท่านจงยึดมั่นในสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของฉัน และบรรดาเคาะลิฟะฮผู้ชี้ทางที่ถูกต้อง ผู้ได้รับทางนำหลังจากฉัน จงยึดถือมัน และจงกัดกรามต่อมัน(หนักแน่นอดทน) และพึงระวังสิ่งที่ถูกอุตริขึ้นใหม่ในศาสนา และแท้จริงทุกสิ่งอุตริขึนใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ และทุกบิดอะฮ นั้น เป็นการหลงผิด" - บันทึกโดยอะหมัด และ อัตติรมิซีย์ 
..................................... 
ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ใช้คำว่า .... وسنة الخلفاء الراشدين (และสุนนะฮ(แบบอย่างของเคาะลิฟะอฮอัรรอชิดีน...) ไม่ได้ใช้คำ بدعة الخلفاء الراشدين (และบิดอะฮของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน....) เพราะการกระทำของเคาะลิฟะฮในเรื่อง ศาสนา คือ สุนนะฮ ที่ท่านนบีได้รับรองไว้ มันเป็นบิดอะฮได้อย่างไร
2. การกระทำในสมัยนั้น ทำในหอสูงในตลาดเมืองมะดีนะฮ เรียกว่า อัซ-เซารออฺ ท่านอุษมานไม่ได้ทำในมัสยิด ดังรายงานโดยท่าน อัลบุคคอรีย์ จาก ท่าน อัลซาอิบ บิน ยะซีด เขากล่าวว่า
كان النداء يوم الجمعة أوله إذا جلس الإمام على المنبر على عهد النبي وإبي بكر وعمر رضي الله عنهما ، فلما كان عثمان
وكثر الناس زاد النداء الثالث على الزوراء
"การอะซาน ในช่วงแรกของวันศุกร์ นั้น เมื่ออิมามได้ทำการนั่งอยู่บนมิมบัร ซึ่งได้มีในสมัยของท่าน นบี(ซ.ล.) ท่านอบูบักร และท่านอุมัร (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา) ดังนั้น เมื่อถึงสมัยท่านอุษมาน บรรดาผุ้คนก็มากขึ้น จึงเพิ่มการอะซานครั้งที่ 3 ณ ที่อัลเซฺารออ์" ......................จึงถามคนที่อ้างแบบอย่างอุษมานว่า พวกท่านอาซานตามแบบอย่างอุษมานหรือไม่ เพราะท่านได้สั่งให้อาซานที่หอสูงใจกลางเมือง แต่พวกท่านทำในมัสยิด
3. เนื่องจากมีประชากรเพิ่มมากขึ้น ท่านเกรงว่า การอะซานได้ยินไม่ทั่วถึง จึงมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น และไม่มีเศาะหะบะฮคนใดคัดค้านเลย แบบนี้เขาเรียกว่า อิจญมาอเศาะหาบะฮ ..........มติเศาะหาบะฮ ไม่ใช่บิดอะฮ แต่เป็นหลักฐานทางศาสนา
4. การอะซานดังกล่าว เป็นการเรียกผู้คน ให้มาทำการละหมาด ไม่ใช่อาซาน ตามที่มีบัญญัติไว้
روى عبدالرزاق عن أبى جريح قال سليمان بن موس أول من زادالأذان بالمدينة عثمان قال عطاء كلا إنماكان يدعواالناس دعاء لايؤذن غيرأذان واحد
รายงานโดยอับดุรรอซซาก จากอบีญุรัยน ว่า สุลัยมาน บุตร มูซา กล่าวว่า บุคคลแรกที่เพิ่มการอาซานขึ้นที่มะดีนะฮ คือ ท่านอุษมาน ท่านอะฏออฺ กล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ ความจริงท่านได้เรียกผู้คน ด้วยคำเรียกธรรมดาเท่านั้น ท่านไม่ได้ทำการอาซาน นอกจากอาซานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น - ดู ตัลคีศุลหะบีร เล่ม 2 หน้า 128 ดูสำเนาที่แนบมา
และ อิหม่ามชาฟิอีรายงานจากอะฏออฺ ว่า เขาคัดค้าน ที่ว่า อุษมานคือ ผู้ที่ประดิษฐอาซานขึ้นใหม่ และที่ท่านอุษมานได้กระทำนั้น ความจรืงคือการเตือนเท่านั้น และความจริงผู้ที่สั่งด้วยมันคือมุอาวิยะฮ -ดู อัลอุม 1/190 และ ตัลคีศอัลหะบีร 2/128
.........
คือเป็นแค่เรียกคนมาละหมาด ไม่ใช่อาซานตามถ้อยคำที่บัญญัติไว้
.............
การเอาการกระทำของบรรดาเคาะลิฟะฮรอชิดีน ที่ท่านนบี ศอ็ลฯและสั่งเสียให้อุมมะฮปฏิบัติตาม มาเป็นข้ออ้างรับรองบรรดาบิดอะฮที่ถูกประดิษฐขึ้นมาใหม่ในยุคหลัง ซึ่งนบีไม่ได้รับรอง ถือเป็นการบิดเบือนหะดิษหรือข้อเท็จจริงที่น่าละอายที่สุด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/12/59

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ ภาค 4


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
วาทกรรมบิดเบือนหะดิษเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ ภาค 4
Sulaiman Ma 
24 ธันวาคม เวลา 7:25 น. · 
8⃣ หลักฐาน จากกุรอาน และ ฮาดีส "บิดอะฮาสานะ" มีอยู่จริงๆ
〰〰〰〰〰〰〰〰
👬4- รายงานโดยท่าน บูคอรี...
أن عمر بن الخطاب رضي الله عنه حين نظر في الناس يُصلون التراويح متفرقين قال: "لأجمعنّ هؤلاء في صلاة رجل واحد " ثم جاء في اليوم الثاني وهم يصلّون جماعة خلف إمام فأعجبه ذلك فقال: "نعْمَتِ البدعة هذه".
แท้จริง อูมัร ได้กล่าว ในขณะ ที่เขาได้มอง บวงมนุษย์ ละมาดตาราวิฮ. แบบโดดเดียว ว่า แท้จริงเราจะ รวมตัวพวกเขา แบบละมาดยามาอะ , และวันที่สอง เขา ก็เห็นอย่างนั้นแล้ว เขาก็ได้กล่าว ว่า บิดอะ ที่ดีที่สุด คือ อันนี้แหละ..
@@@@@@@@


ชี้แจง
ท่านSulaiman Ma ได้ยกตัวอย่างคำพูดท่าน อุมัร(ร.ฏ)ต่อไปนี้โดยอ้างว่าเป็นหลักฐาน บิดอะฮหะสะนะฮ คือ
نعمت البدعة هذه
บิดอะฮที่ดี คือสิ่งนี้แหละ- รายงาน โดยบุคอรีและอิหม่ามมาลิก
ขอชี้แจงว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงของหะดิษ เพราะข้อเท็จจริง ไม่ใช่ท่านอุมัรทำบิดอะฮ แต่คือการปฏิบัติตามสุนนะฮ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ในเรื่องนี้ อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) ได้อธิบายว่า
.
6227 - وَفِيهِ أَنَّ قِيَامَ رَمَضَانَ سُنَّةٌ مِنْ سُنَنِ النَّبِيِّ - عَلَيْهِ السَّلَامُ - مَنْدُوبٌ إِلَيْهَا مُرَغَّبٌ فِيهَا . وَلَمْ يَسُنَّ مِنْهَا عُمَرُ إِلَّا مَا كَانَ رَسُولُ اللَّهِ يُحِبُّهُ وَيَرْضَاهُ ، وَمَا لَمْ يَمْنَعْهُ مِنَ الْمُوَاظَبَةِ عَلَيْهِ إِلَّا أَنْ يَفْرِضَ عَلَى أُمَّتِهِ ، وَكَانَ بِالْمُؤْمِنِينَ رَءُوفًا رَحِيمًا .
6228 - فَلَمَّا عَلِمَ عُمَرُ ذَلِكَ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَعَلِمَ أَنَّ الْفَرَائِضَ فِي وَقْتِهِ لَا يُزَادُ فِيهَا وَلَا يُنْقَصُ مِنْهَا أَقَامَهَا لِلنَّاسِ وَأَحْيَاهَا وَأَمَرَ بِهَا ، وَذَلِكَ سَنَةَ أَرْبَعَ عَشْرَةَ مِنَ الْهِجْرَةِ صَدْرَ خِلَافَتِهِ .

6227 : แท้จริงละหมาดในยามค่ำคืนเราะมะฎอน(ละหมาดตะรอเวียะ) นั้น คือสุนนะฮ จากบรรดาสุนนะฮของนบี ศอ็ลฯ ที่ถูกสนับสนุนและส่งเสริมให้กระทำ ที่และแท้จริง ท่านอุมัร ไม่ได้กำหนดแบบอย่าง จากมัน เว้นแต่ เป็นสิ่งที่ รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ รัก และพอใจมัน และไม่มีสิ่งใดยับยั้ง ท่านรซูลุลลอฮ ไม่ให้ปฏิบัติมัน นอกจาก การเกรงว่า มันจะถูกกำหนดให้เป็นข้อบังคับแก่อุมมะฮของท่าน และท่านนบี มีความสงสาร และ เมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย 
6228 : ดังนั้นเมื่อ ท่านอุมัร ได้รู้ดังกล่าวจาก รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และรู้ว่า บรรดาละหมาดฟัรดูในเวลาของมัน ไม่ถูกเพิ่มเติม และไม่ถูกลดจากมัน แล้ว ท่านอุมัร ได้จัดให้มันมีขึ้นมาอีก ,ได้ฟื้นฟูมัน และได้สั่งให้ปฏิบัติมัน และดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ 14 ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮของเขา - อัลอิสติซกาซ 5/135 เรื่อง كتاب الصلاة في رمضان
..................
การกระทำของท่านอุมัร (ร.ฮ) เป็นการฟื้นฟูสุนนะฮ ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ท่านนบีหยุดไปเพราะเกรงจะถูกกำหนดให้เป็นฟัรดู แก่อุมมะฮ ไม่ใช่ท่านอุมัร คิดอุตริบิดอะฮขึ้นมาใหม่ อย่างที่คนบางคนบิดเบือน
หลักฐานที่นบี ศอ็ลฯ ละหมาดตะรอเวียะ ในรูปแบบญะมาอะฮ
ดิษอบีซัรริน ร.ฎ อีกครั้ง
: " صمنا مع رسول الله صلى الله عليه وسلم رمضان، فلم يقم بنا شيئا من الشهر حتى بقي سبع فقام بنا حتى ذهب ثلث الليل، فلما كانت السادسة لم يقم بنا، فلما كانت الخامسة قام بنا حتى ذهب شطر الليل، فقلت : يا رسول الله ! لو نفلتنا قيام هذه الليلة، فقال : " إن الرجل إذا صلى مع الإمام حتى ينصرف حسب له قيام ليلة " فلما كانت الرابعة لم يقم، فلما كانت الثالثة جمع أهله ونساءه والناس، فقام بنا حتى خشينا أن يفوتنا الفلاح، قال : قلت : وما الفلاح ؟ قال : السحور، ثم لم يقم بنا بقية الشهر " حديث صحيح، أخرجه أصحاب السنن.
พวกเราได้ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน พร้อมกับท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ แล้วท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเราเลยสักคืน จากเดือน นั้น(หมายถึงเดือนเราะมะฎอน) จนกระทั้ง เหลือเจ็ดคืน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วปรากฏว่าเมือเหลืออีกหกวัน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลือห้าวัน ท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปครึ่งคืน แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม) 
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วเมื่อเหลืออีกสี่คืน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาด พวกเรา จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะชวดอัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การรับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเรา – หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
จึงสรุปว่า การละหมาดตะรอเวียะญะมาอะฮที่เคาะลิฟะฮ อุมัร (ร.ฎ)ริเริ่มให้มีขึ้นและฟื้นฟูขึ้นมานั้น เป็นสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ไม่ใช่บิดอะฮ ดังที่มีการแอบอ้างกัน
การกระทำของอุมัรเป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ ดังหลักฐานต่อไปนี้

وَرَوَى أَسَدُ بْنُ عَمْرٍو عَنْ أَبِي يُوسُفَ قَالَ : سَأَلْتُ أَبَا حَنِيفَةَ عَنِ التَّرَاوِيحِ وَمَا فَعَلَهُ عُمَرُ ؟ فَقَالَ : التَّرَاوِيحُ سُنَّةٌ مُؤَكَّدَةٌ وَلَمْ يَتَخَرَّصْهُ عُمَرُ مِنْ تِلْقَاءِ نَفْسِهِ وَلَمْ يَكُنْ فِيهِ مُبْتَدِعًا ، وَلَمْ يَأْمُرْ بِهِ إِلَّا عَنْ أَصْلٍ لَدَيْهِ وَعَهْدٍ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَلَقَدْ سَنَّ عُمَرُ هَذَا وَجَمَعَ النَّاسَ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ فَصَلَّاهَا جَمَاعَةً وَالصَّحَابَةُ مُتَوَافِرُونَ : مِنْهُمْ عُثْمَانُ وَعَلِيٌّ وَابْنُ مَسْعُودٍ وَالْعَبَّاسُ وَابْنُهُ وَطَلْحَةُ 
 وَالزُّبَيْرُ وَمُعَاذٌ وَأُبَيٌّ وَغَيْرُهُمْ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنْصَارِ ، وَمَا رَدَّ عَلَيْهِ وَاحِدٌ مِنْهُمُ ، بَلْ سَاعَدُوهُ وَوَافَقُوهُ وَأَمَرُوا بِذَلِكَ


และรายงานโดย อะสัด บุตร อัมริน จากอบี ยูซูบ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าถามอบูหะนีฟะอ เกี่ยวกับตะรอเวียะ และสิ่งที่ ท่านอุมัร ได้กระทำ แล้วท่านกล่าวว่า “ ละหมาดตะรอเวียะ เป็นสุนนะฮมุอักกะดะฮ โดยที่ท่านอุมัรไม่ได้กุเรื่องเท็จขึ้นมาจากตัวท่านเอง ท่านไม่ได้เป็นผู้อุตริ(ผู้ทำบิดอะฮ)ในเรื่องนั้น และท่านไม่ได้ใช้ให้กระทำ นอกจากมี หลักฐาน ณ ที่ท่าน และ เป็นคำสั่งจากท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแท้จริงท่านอุมัร ได้ทำแบบอย่างนี้ขึ้นมา โดยรวมผู้คน ให้ละหมาดภายใต้การเป็นอิหม่ามของท่านกะอับ แล้วได้ทำการละหมาดนั้น(ละหมาดตะรอเวียะ) ในรูปของการละหมาดญะมาอะฮ โดยที่บรรดาเศาะหาบะฮจำนวนมากมาย จากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรฺ และไม่มีคนใดจากพวกเขาคัดค้านท่าน(อุมัร)เลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับสนับสนุนท่าน พวกเขาเห็นฟ้องกับท่านและ พวกเขาใช้ให้กระทำเรื่องดังกล่าว
- ดู อัลอิคติยารอต ลิตะอฺลีลิลมุคตัร ของอัลมูศิลีย์ อัลหะนะฟีย์ เล่ม 1 หน้า 94
............
สิ่งที่เป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ มันจะเป็นบิดอะฮได้อย่างไร อีกประการหนึ่งคือ การกระทำของเคาะลิฟะฮรอชิดีน ท่านนบีได้รับรองไว้แล้ว แล้วสิ่งที่เป็นบิดอะฮที่คิดขึ้นมา ใครรับรอง
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/12/59

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ ภาค 3


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วาทกรรมบิดเบือนหะดิษเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ ภาค 3
Sulaiman Ma 
24 ธันวาคม เวลา 7:25 น. · 
8⃣ หลักฐาน จากกุรอาน และ ฮาดีส "บิดอะฮาสานะ" มีอยู่จริงๆ
〰〰〰〰〰〰〰〰
👬3- รายงานโดยท่าน มุสลิมในซอฮีฮ์ ของเขา..
قال رسول الله صلي الله عليه وسلم: "من سنّ في الإسلام سنّة حسنة كان له أجرها وأجر من عمل بها ... "
ท่านนาบี(ช.ล) กลาวว่า ผู้ใด "ริเริ่ม" ในอิสลาม แนวทางที่ดี ผู้นั้นจะได้รับการตอบแทน และบุญของผู้กระทำในสิ่งที่เขา ริเริ่ม...
〰〰〰〰〰〰〰〰
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ชี้แจง
มาดูหะดิษเต็มๆ
ท่านนบี ศอ็ลฯ จึงกล่าวว่า
من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ، ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء .
"ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม เขาจะได้รับการตอบแทนของเขา และการตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดหย่อน 
ไปจากการตอบแทนของพวกเขาแม้แต่น้อย และผู้ผู้ใดทำแบบอย่างที่ชั่วในอิสลาม เขาจะแบกภาระความผิดของเขา และความผิดของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น 
หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดย่อนไปจากความผิดของพวกเขาแม้แต่น้อย 
- รายงานโดยมุสลิม จากญะรีร บุตร อับดุลลอฮ
หะดิษนี้ไม่ได้หมายถึง การอุตริบิดอะฮฺที่ดีในอิสลาม แต่หมายถึง การฟื้นฟูสุนนะฮฺและการเป็นแบบอย่าง ในการทำดี ที่ศาสนามีบัญญัติไว้ เพราะ 
ที่มาของคำพูดของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ข้างต้นเนื่องจากมีเศาะหาบะฮท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวอันศอร ได้ทำการเศาะดะฮเกาะฮฺ 
ในยามวิกฤต แล้วคนอื่นๆก็เอาเยี่ยงอย่าง
และที่จริงความหมายของคำว่า “من سن “ ในหะดิษคือ من أحيا ซึ่งแปลว่า “ ฟื้นฟูขึ้นใหม่” คือ เรื่องเดิมมีอยู่แล้วแต่ไม่มีใครทำ ไม่มีใครปฏิบัติ 
เมื่อมีผู้มาฟื้นฟูขึ้น แล้วมีผู้ปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสนาได้บัญญัติไว้แล้ว โปรดดูต้นเหตุ(สะบับ)ของหะดิษนี้ ซึ่งปรากฏในหนังสืออธิบายหะดิษมุสลิม 
ของอันนะวาวีย์ ดังนี้
มีคนยากจนจำนวนหนึ่งมาหาท่านร่อซูลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยเครื่งแต่งกายขาดกะรุ่งกะริ่ง เมื่อท่านร่อซูลุ้ลลอฮ 
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เห็นดังนั้น ใบหน้าของท่านซีดเผือด ท่านจึงเข้าไปในบ้านและออกมาสั่งให้ท่านบิลาลอะซาน แล้วท่านจึงทำการละหมาด 
เสร็จแล้วท่านจึงขึ้นอ่านคุฏบะฮ โดยอ่านอายะฮดังต่อไปนี้
{ يَا أَيُّهَا النَّاسُ اتَّقُوا رَبَّكُمُ الَّذِي خَلَقَكُمْ مِنْ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ} إلى آخر الآية {إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلَيْكُمْ رَقِيباً
"สูเจ้าทั้งหลายจงสำรวมตนต่ออัลลอฮ พระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ผู้ทรงสร้างพวกเจ้าจากชีวิตหนึ่ง....จนถึงท้ายของอายะฮที่ว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ 
ทรงเฝ้าดูแลพวกเจ้า” และท่านรซูลได้อ่านโองการต่อไปนี้
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ وَلْتَنظُرْ نَفْسٌ مَّا قَدَّمَتْ لِغَدٍ وَاتَّقُوا اللَّهَ إِنَّ اللَّهَ خَبِيرٌ بِمَا تَعْمَلُونَ
[59.18] "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และทุกชีวิตจงพิจารณาดูว่า อะไรบ้างที่ตนได้เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ (วันกิยามะฮ์) 
และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ"
ทันใดนั้นก็มี เศาะหาบะฮบางคนก็บริจาคเหรียญทอง - เหรียญเงิน บางคนบริจาคเสื้อผ้า – ข้าสาลี-อินทผาลัม ต่อมามีชาวอันศอรฺคนหนึ่ง นำห่อ 
สิ่งของมาให้ มือของเขาเกือบถือไม่หมด คนอื่นๆต่างก็หลั่งไหลกันมาบริจาค (ผู้รายงานหะดิษบอกว่า) จนกระทั้งฉันเห็นอาหารและเสื้อผ้า กองใหญ่ 
สองกอง และฉันเห็นสีหน้าของท่านร่อซูลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ยิ้มแย้ม แจ่มใสด้วยความดีใจ ท่านจึงกล่าวว่า
من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ، ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء .
"ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม เขาจะได้รับการตอบแทนของเขา และการตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดหย่อน 
ไปจากการตอบแทนของพวกเขาแม้แต่น้อย และผู้ผู้ใดทำแบบอย่างที่ชั่วในอิสลาม เขาจะแบกภาระความผิดของเขา และความผิดของผู้ที่ปฏิบัติตามนั้น 
หลังจากเขา โดยไม่ถูกลดย่อนไปจากความผิดของพวกเขาแม้แต่น้อย 
- รายงานโดยมุสลิม จากญะรีร บุตร อับดุลลอฮ - ดูสำเนาตัฟสีรอิบนุกะษีร 8/77 อธิบายอายะฮ 18 ซูเราะฮอัลมาอิดะฮ ที่แนบมา
..........................................................
นี้คือ เป้าหมายของหะดิษนี้ และอีกประการหนึ่งคือ คำว่า في الاسلام (ในอิสลาม) นี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า สิ่งนั้นมีอยู่ในคำสอนอิสลามไม่ใช่นอก อิสลามไม่ใช่บิดอะฮ เพราะบิดอะฮ คือ สิ่งที่คิดขึ้นใหม่ ผมใช้คำว่า ”บิดอะฮ” โดยไม่แยกว่า “ บิดอะฮฺหะสะนะ และบิดอะเฎาะลาละฮ “ ก็เนื่องจาก ทุกบิดอะฮในเรื่องของศาสนา นั้น เฎาะลาละฮ(หลงผิด)
เช็คอุษัยมีน (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ได้อธิบายหะดิษนี้ว่า
أن معنى قوله صلى الله عليه وسلم (( مَنْ سَنَّ في الإسلامِ سُنَّةً حَسَنَـةً )) أي : من ابتدأ العمل بالسنة ، ويدل لهذا أن النبي - صلى الله عليه وسلم - ذكره بعد أن حث على الصدقة للقوم الذين وفدوا إلى المدينة ورغب فيها ، فجاء الصحابة كلٌّ بما تيسر له ، وجاء رجل من الأنصار بصرّة قد أثقـلت يده فوضعها في حجر النبي - صلى الله عليه وسلم - فقال - صلى الله عليه وسلم - : (( مَنْ سَنَّ في الإسلامِ سُنَّةً حَسَنَـةً فَـلَهُ أجْرُها وأجرُ مَن عَمِلَ بها إلى يوم القيامة )) أي : ابتدأ العمل بسنة ثابتة ، وليس أنه يأتي هو بسنة جديدة ،
ความหมายคำพูดของท่านนบี ศอ็ลฯ ที่ว่า(ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม) หมายถึง ผู้ใดริเริ่มปฏิบัติ ตาม สุนนะฮ และหลักฐานที่แสดงบอกสำหรับเรื่องนี้ คือ การที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ระบุมัน(ถ้อยคำนี้) หลังจากที่ท่านได้เร่งเร้าให้บริจาคทานแก่คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้มายังนครมะดีนะฮ และท่านได้ส่งเสริมมัน แล้วเศาะหาบะฮท่านหนึ่งได้นำทุกสิ่งที่สะดวกสำหรับเขามา และชายคนหนึ่ง ได้นำห่อใบหนึ่งซึ่งมันทำให้หนักแก่มือของเขา แล้ววางมันที่ตักของท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า " ผู้ใดทำแบบอย่างที่ดีในอิสลาม เขาก็จะได้รับผลตอบแทนของมัน และผลตอบแทนของผู้ที่ปฏิบัติดามมัน จนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ) หมายถึง ริเริ่มปฏิบัติตามสุนนะฮ ที่ปรากฏแน่นอน 
และไม่ใช่นำแบบอย่างใดแบบอย่างหนึ่งที่เป็นสิ่งใหม่มา -ชัรหุมะตันอัลอัรบะอีนอัลนะวาวียะฮ ของ เช็คอิบนุอุษัยมีน หน้า 311-312
ท่านอิบนิตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
ومعلوم أنّ كل ما لم يسنه ولا استحبه رسول الله صلى الله عليه وسلم ولا أحد من هؤلاء الذين يقتدي بهم المسلمون في دينهم فإنه يكون من البدع المنكرات، ولا يقول أحد في مثل هذا أنّه بدعة حسنة"
และเป็นที่รู้กันว่า ทุกสิ่งที่ท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้ทำแบบอย่างเอาไว้และไม่ได้ส่งเสริมมัน และไม่มีคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา (หมายถึงเหล่าเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน)ที่บรรดามวลมุสลิมปฏิบัติตามพวกเขา ในเรื่องศาสนาของพวกเขา (ได้ทำแบบอย่างและส่งเสริมให้กระทำ) ดังนั้นแท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งจากบิดอะฮที่ต้องห้าม และไม่มีคนใดกล่าว ในกรณีแบบนี้ว่า เป็น “บิดอะฮหะสะนะฮ”
- มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 27 หน้า 152
........................
เพราะ การที่ท่านครู Sulaiman Ma พยามใส่แว่นสีดำให้แก่ชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าหะดิษข้างต้น เป็นหลักฐานให้ทำบิดอะฮตามความเห็นที่ว่าดี ผลสุดท้ายบิดอะฮเต็มบ้านเต็มเมือง อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
-------------------------
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/12/59
ปล.ผมจะไม่เสวนากับกลุ่มบิดเบือน นอกจากต้องสาบานมุบาฮะละฮก่อนเท่านั้น เพราะไม่มีเวลาและเสียเวลา

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วะฮบีย์คือพวกที่ห้ามการทำความดีจริงหรือ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ
วะฮบีย์คือพวกที่ห้ามการทำความดีจริงหรือ
เจอมาบ่อยมาก คำกล่าวหาของ คนบางกลุ่ม ใส่ร้าย และโฆษณาชวนเชื่อให้ชาวบ้านเข้าใจผิด ว่า วะฮบีย์ ห้ามทำเมาลิด ทั้งๆที่ การทำเมาลิดคือ การเศาะละวาตนบี ,การอ่านอัลกุรอ่าน และการเศาะดะเกาะอ และกล่าวหาว่าวะฮบีย์ ห้าม ทำอีซีกุโบร์ ที่งๆที่การทำอีซ๊ย์กุโบร์ มีการอ่านอ่านอัลกุรอ่าน และการซืกริลละฮ ล้วนเป็นของดี แต่ไอ้พวกวะฮบีย์ ห้าม "
ขอเรียนว่า การเศาะละวาตนบี การอ่านอัลกุรอ่าน กาซิกริลละฮ การเศาะดะเกาะฮ นั้น เป็นสิ่งที่ดี ไม่มีคนใดที่ถูกอุปโลกให้เป็นวะฮบีย์ ห้ามไม่ให้ทำสิ่งเหล่านี้ แต่ที่ห้ามคือ การปฏิบัติในสิ่งที่ขัดแย้งกับสุนนะฮนบี การไม่ปฏิบัติตามแบบอย่างนบี คือ ห้ามเรื่องการกระทำที่ขัดแย้งกับสุนนะฮ ไม่ใช่ห้ามไม่ให้ทำความดีตามที่ศาสนาสอน
มาดูตัวอย่างต่อไปนี้
أنبأ أَبُو بَكْرِ بْنُ الْحَارِثِ الْفَقِيهُ ، أنبأ أَبُو مُحَمَّدِ بْنُ حَيَّانَ ، ثنا الْحَسَنُ بْنُ مُحَمَّدٍ الدَّارَكِيُّ ، ثنا أَبُو زُرْعَةَ ، ثنا أَبُو نُعَيْمٍ ، ثنا سُفْيَانُ ، عَنْ أَبِي رَبَاحٍ ، عَنْ سَعِيدِ بْنِ الْمُسَيِّبِ ، أَنَّهُ رَأَى رَجُلا يُصَلِّي بَعْدَ طُلُوعِ الْفَجْرِ أَكْثَرَ مِنْ رَكْعَتَيْنِ يُكْثِرُ فِيهَا الرُّكُوعَ ، وَالسُّجُودَ فَنَهَاهُ ، فَقَالَ : يَا أَبَا مُحَمَّدٍ يُعَذِّبُنِي اللَّهُ عَلَى الصَّلاةِ ؟ قَالَ : " لا وَلَكِنْ يُعَذِّبُكَ عَلَى خِلافِ السُّنَّةِ " .
คำแปลตัวบทดังนี้
รายงานจาก สะอีด บิน อัลมุสัยยิบ (ร.ฮ) ว่าเขาได้เห็น ชายคนหนึ่ง ละหมาดหลังจาก รุ่งอรุณ มากกว่าสองรอ็กอัต โดยทำการรุกัวะ และสุญูด เป็นจำนวนมาก ในมัน แล้วเขาได้ห้ามชายคนนั้น แล้วเขา(ชายคนนั้น กล่าวว่า "โอ้อบูมุหัมหมัด อัลลอฮลงโทษฉัน บนการละหมาดด้วยหรือ? เขา(ท่านสะอีด)กล่าวตอบว่า " ไม่หรอก แต่พระองค์จะลงโทษท่าน บนการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ
- ดูอัสสุนันอัลกุบรอ ของอัลบัยฮะกี 2/654 (ดูสำเนาที่แนบบมา)
..............
ข้างต้นท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยิบ ตอบชัดเจนว่า ท่านไม่ได้คัดค้านหรือห้ามเรื่องละหมาด แต่ห้ามกระทำที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ
อีกตัวอย่าง
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ كَثِيرٍ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ حَدَّثَنَا أَبُو يَحْيَى الْقَتَّاتُ عَنْ مُجَاهِدٍ قَالَ كُنْتُ مَعَ ابْنِ عُمَرَ فَثَوَّبَ رَجُلٌ فِي الظُّهْرِ أَوْ الْعَصْرِ قَالَ اخْرُجْ بِنَا فَإِنَّ هَذِهِ بِدْعَةٌ
คำแปลตัวบท
รายงานจากมุญาฮิด ว่า ข้าพเจ้าได้อยู่พร้อมกับอิบนุอุมัร แล้วมีชายคนหนึ่ง ได้กล่าวตัษวีบ(กล่าวคำว่า "อัศเศะลาตุคอ็ยรุลมินันเนามฺ)ในการอาซานละหมาดซุฮริ หรือ ละหมาดอัศริ ท่านอิบนุอุมัรจึงกล่าวว่า "เราออกไปกันเถอะ" แท้จริงนี้คือบิดอะฮ - ดูสุนันอบีดาวูด หะดิษหมายเลข 538
...........
การตัษวีบ หรือการกล่าวคำว่า "อัศเศาลาตุคอ็ยรุมมินันเนามฺ (การละหมาดดีกว่านอน) ในการอาซานครั้งแรกในละหมาดศุบฮิ นั้นมีสุนนะฮ เป็นสิ่งที่ดี เพราะมีสุนนะฮ เพราะฉะนั้น การนำมาใช้เพิ่มในการอาซานละหมาดซูฮรี หรือ อัศรี มันไม่มีในสุนนะฮ ท่านอิบนุอุมัรจึงถือว่า เป็นบิดอะฮ ท่านเลยออกไป เพราะความไม่พอใจ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดี ต้อง ปฏิบัติตามสุนนะฮ ไม่ใช่เอามาคิดปรุงแต่งหรือเสริมแต่งตามความคิดเห็นว่าดี
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/12/59

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อิบาดะฮที่ถูกกล่าวไว้กว้างๆแล้วมาจำกัดโดยปราศจากหลักฐานมันคือบิดอะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อิบาดะฮที่ถูกกล่าวไว้กว้างๆแล้วมาจำกัดโดยปราศจากหลักฐานมันคือบิดอะฮ
อุดม ชาญชัยพิชิต
เมื่อวานนี้ เวลา 5:08 น. · Ban Tha It, Nonthaburi
เมื่อยังมีคนต่อต้านการทำเมาลิดก็ต้องโพสให้เข้าใจแบบนี้.....
ฝากข้อคิดเอาไว้ผิดพลาดตรงใหนช่วยตักเตือนด้วย
»»»»»»»»»»»»»»»»»
ทุกๆการกระทำของท่านนบี(ซล)เป็นซุนนะห์เป็นอิบาดะห์และอิบาดะห์นั้นแบ่งเป็นสองชนิดใหญ่ๆคือ
1.จำกัดเจาะจงรูปแบบเช่น.ละหมาด.ถือศีลอด.ทำฮัจยี
2.ไม่จำกัดรูปแบบคือทำไม่เหมือนได้หรือไม่ทำเลยก็ได้เช่น,การทานอาหาร,การเดินทาง,การนอน,การอ่านกรุอ่าน,การซอลาวาต,การขอดุอา,การบริจาค,การเรียน,การสอน,ทั้งหมดได้รับการใช้ให้กระทำและไม่จำกัดว่าต้องกระทำและกระทำแบบใหนและมีวิธีการในการทำเช่นใร,ขอเพียงอย่าทำในสิ่งที่ตรงกับข้อห้ามเอาไว้เท่านั้น,ฉนั้นอิบาดะห์ชนิดนี้จึงเกิดสิ่งใหม่ๆในอิบาดะห์ชนิดนี้ตลอดเวลาที่มีวิทยาการใหม่ๆเกิดขึ้นเข่นการเดินทาง.จากม้าเป็นรถม้าจนถึงจรวดในขณะนี้ส่วนการดื่มกินเรากินได้หลากหลายไม่จำเป็นต้องเหมือนท่านนบี(ซล)ทั้งๆที่การทานอาหารของท่านเป็นซุนนะห์เป็นอิบาดะห์
ถ้าลืมหรือไม่เคยเรียนในหัวข้อของอิบาดะห์แล้วไซร้ก็จะหลงทางแบ่งอิบาดะห์ไม่เป็นซึ่งอาจนำพาไปสู่การเป็นกุโฟรด้วยการปฏเสธกรุอ่านหรือหะดิษด้วยการแบ่งดุนยาออกจากศาสนาโดยมั่นใจแบบนั้นว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาเขาก็เป็นคนที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาทันที,,,ด้วยความไม่รู้ไม่เรียนหรือเรียนแต่ไม่เข้าใจนั้นเอง
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นคือ การใช้ความคิดเห็นส่วนตีโดยปราศจากหลักฐานวิชาการ พูดเอง เออเอง ตัดสินเอง ไร้ซึ่งคุณค่าทางวิชาการ
ขอเรียนว่า
อิบาดะฮที่ไม่จำกัดรูปแบบ ไม่จำกัดเวลา และสถานที่ แล้วมาจำกัดโดยคิดว่าดี โดยปราศจากหลักฐาน นั้นคือ บิดอะฮ เพราะการจำกัดในสิ่งที่กล่าวไว้กว้างๆนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ ไม่ใช่อุลามาอฺ
การเจาะจงในสิ่งที่ศาสนากล่าวไว้กว้างๆนั้น ตามหลักนิติศาสตร์อิสลามหรือเกาวะอีดอุศูลุลฟิกฮ ก็มีการกล่าวเอาไว้ เช่น
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ)กล่าวในกรณีการคุตบะฮละหมาดกุุสูฟว่า ไม่ได้จำกัดเฉพาะการบอกให้รู้เกี่ยวกับสาเหตุกุสูฟอย่างเดียวโดย กล่าวว่า
وَالْأَصْلُ مَشْرُوعِيَّةُ الِاتِّبَاعِ ، وَالْخَصَائِصُ لَا تَثْبُتُ إِلَّا بِدَلِيلٍ .
หลักเดิม(ของการอิบาดะฮ)นั้น คือ สิ่งที่ถูกบัญญัติให้ปฏิบัติตาม และบรรดาการเจาะจงนั้น จะไม่ถูกยืนยัน นอกจากด้วยหลักฐาน -ฟัตหุลบารี 2/534
อิหม่าม อิบนุดะกีกีลอีด ปราชญมัวฮับชาฟิอี กล่าวว่า
إنَّ هَذِهِ الْخُصُوصِيَّاتِ بِالْوَقْتِ أَوْ بِالْحَالِ وَالْهَيْئَةِ ، وَالْفِعْلُ الْمَخْصُوصُ : يَحْتَاجُ إلَى دَلِيلٍ خَاصٍّ يَقْتَضِي اسْتِحْبَابَهُ بِخُصُوصِهِ
แท้จริงบรรดาการเจาะจงเหล่านี้ ด้วยเวลา หรือ โอกาส และ วิธีการ และการกระทำที่ถูกเจาะจง ต้องอาศัยหลักฐานที่เฉพาะ ตัดสิน การส่งเสริมให้ปฏิบัติมัน ด้วยการเจาะจงมัน – อุมดะอ อัลอะหกามของ อิบนุดะกีก ๑/๑๑๙
ข้างต้นคือหลักการเกี่ยวกับฟิกฮ ของปราชญมัซอับชาฟิอี ว่า การเจาะจง ต้องมีหลักฐาน
อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงตัวอย่างของบิดอะฮว่า
ومنها التزام العبادات المعينة، في أوقات معينة ، لم يوجد لها ذلك التعيين في الشريعة ، كالتزام صيام يوم النصف من شعبان ، وقيام ليلته
ส่วนหนึ่งจากมัน(บิดอะฮ)คือ การยึดติดกับการปฏิบัติบรรดาอิบาดะฮที่เฉพาะ ในบรรดาเวลาที่เฉพาะ ,การเจาะจงดังกล่าวนั้น ไม่พบสำหรับมัน ในศาสนบัญญัติ เช่น การยึดติดกับการถือศีลอด นิสฟูชะอบาน และการละหมาดในคำคืนนั้น - อัลเอียะติศอม 1/46
.............
จึงสรุปว่า อิบาดะฮที่ถูกกล่าวเอาไว้กว้างๆ ไม่จำกัด การมาจำกัดรูปแบบ นั้นต้องมีหลักฐาน
อัลบานีย์ (ร.ฮ)กล่าวถึงส่วนหนึ่งของบิดอะฮว่า
كل عبادة أطلقها الشارع وقيدها الناس ببعض القيود مثل المكان أو الزمان أو صفة أو عدد.
ทุกๆอิบาดะฮที่ผู้บัญญัตฺศาสนบัญญัติ(หมายถึงอัลลอฮหรือรอซูล) ได้กล่าวเอาไว้กว้างๆ และมนุษย์มาจำกัดมัน ด้วยบางส่วนของการจำกัด เช่น จำกัดสถานที่ หรือจำกัดเวลา หรือจำกัดลักษณะ หรือจำกัดจำนวน - อะหกามอัลญะนาอิซ หน้า 306
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/12/59