

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ ภาค 4
Sulaiman Ma
24 ธันวาคม เวลา 7:25 น. ·
8⃣ หลักฐาน จากกุรอาน และ ฮาดีส "บิดอะฮาสานะ" มีอยู่จริงๆ
24 ธันวาคม เวลา 7:25 น. ·

〰〰〰〰〰〰〰〰
👬4- รายงานโดยท่าน บูคอรี...
أن عمر بن الخطاب رضي الله عنه حين نظر في الناس يُصلون التراويح متفرقين قال: "لأجمعنّ هؤلاء في صلاة رجل واحد " ثم جاء في اليوم الثاني وهم يصلّون جماعة خلف إمام فأعجبه ذلك فقال: "نعْمَتِ البدعة هذه".

أن عمر بن الخطاب رضي الله عنه حين نظر في الناس يُصلون التراويح متفرقين قال: "لأجمعنّ هؤلاء في صلاة رجل واحد " ثم جاء في اليوم الثاني وهم يصلّون جماعة خلف إمام فأعجبه ذلك فقال: "نعْمَتِ البدعة هذه".
แท้จริง อูมัร ได้กล่าว ในขณะ ที่เขาได้มอง บวงมนุษย์ ละมาดตาราวิฮ. แบบโดดเดียว ว่า แท้จริงเราจะ รวมตัวพวกเขา แบบละมาดยามาอะ , และวันที่สอง เขา ก็เห็นอย่างนั้นแล้ว เขาก็ได้กล่าว ว่า บิดอะ ที่ดีที่สุด คือ อันนี้แหละ..
@@@@@@@@
ชี้แจง
ท่านSulaiman Ma ได้ยกตัวอย่างคำพูดท่าน อุมัร(ร.ฏ)ต่อไปนี้โดยอ้างว่าเป็นหลักฐาน บิดอะฮหะสะนะฮ คือ
نعمت البدعة هذه
บิดอะฮที่ดี คือสิ่งนี้แหละ- รายงาน โดยบุคอรีและอิหม่ามมาลิก
ขอชี้แจงว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงของหะดิษ เพราะข้อเท็จจริง ไม่ใช่ท่านอุมัรทำบิดอะฮ แต่คือการปฏิบัติตามสุนนะฮ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ในเรื่องนี้ อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) ได้อธิบายว่า
.
.
6227 - وَفِيهِ أَنَّ قِيَامَ رَمَضَانَ سُنَّةٌ مِنْ سُنَنِ النَّبِيِّ - عَلَيْهِ السَّلَامُ - مَنْدُوبٌ إِلَيْهَا مُرَغَّبٌ فِيهَا . وَلَمْ يَسُنَّ مِنْهَا عُمَرُ إِلَّا مَا كَانَ رَسُولُ اللَّهِ يُحِبُّهُ وَيَرْضَاهُ ، وَمَا لَمْ يَمْنَعْهُ مِنَ الْمُوَاظَبَةِ عَلَيْهِ إِلَّا أَنْ يَفْرِضَ عَلَى أُمَّتِهِ ، وَكَانَ بِالْمُؤْمِنِينَ رَءُوفًا رَحِيمًا .
6228 - فَلَمَّا عَلِمَ عُمَرُ ذَلِكَ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَعَلِمَ أَنَّ الْفَرَائِضَ فِي وَقْتِهِ لَا يُزَادُ فِيهَا وَلَا يُنْقَصُ مِنْهَا أَقَامَهَا لِلنَّاسِ وَأَحْيَاهَا وَأَمَرَ بِهَا ، وَذَلِكَ سَنَةَ أَرْبَعَ عَشْرَةَ مِنَ الْهِجْرَةِ صَدْرَ خِلَافَتِهِ .
6227 : แท้จริงละหมาดในยามค่ำคืนเราะมะฎอน(ละหมาดตะรอเวียะ) นั้น คือสุนนะฮ จากบรรดาสุนนะฮของนบี ศอ็ลฯ ที่ถูกสนับสนุนและส่งเสริมให้กระทำ ที่และแท้จริง ท่านอุมัร ไม่ได้กำหนดแบบอย่าง จากมัน เว้นแต่ เป็นสิ่งที่ รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ รัก และพอใจมัน และไม่มีสิ่งใดยับยั้ง ท่านรซูลุลลอฮ ไม่ให้ปฏิบัติมัน นอกจาก การเกรงว่า มันจะถูกกำหนดให้เป็นข้อบังคับแก่อุมมะฮของท่าน และท่านนบี มีความสงสาร และ เมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
6228 : ดังนั้นเมื่อ ท่านอุมัร ได้รู้ดังกล่าวจาก รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และรู้ว่า บรรดาละหมาดฟัรดูในเวลาของมัน ไม่ถูกเพิ่มเติม และไม่ถูกลดจากมัน แล้ว ท่านอุมัร ได้จัดให้มันมีขึ้นมาอีก ,ได้ฟื้นฟูมัน และได้สั่งให้ปฏิบัติมัน และดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ 14 ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮของเขา - อัลอิสติซกาซ 5/135 เรื่อง كتاب الصلاة في رمضان
6228 : ดังนั้นเมื่อ ท่านอุมัร ได้รู้ดังกล่าวจาก รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และรู้ว่า บรรดาละหมาดฟัรดูในเวลาของมัน ไม่ถูกเพิ่มเติม และไม่ถูกลดจากมัน แล้ว ท่านอุมัร ได้จัดให้มันมีขึ้นมาอีก ,ได้ฟื้นฟูมัน และได้สั่งให้ปฏิบัติมัน และดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ 14 ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮของเขา - อัลอิสติซกาซ 5/135 เรื่อง كتاب الصلاة في رمضان
..................
การกระทำของท่านอุมัร (ร.ฮ) เป็นการฟื้นฟูสุนนะฮ ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ท่านนบีหยุดไปเพราะเกรงจะถูกกำหนดให้เป็นฟัรดู แก่อุมมะฮ ไม่ใช่ท่านอุมัร คิดอุตริบิดอะฮขึ้นมาใหม่ อย่างที่คนบางคนบิดเบือน
หลักฐานที่นบี ศอ็ลฯ ละหมาดตะรอเวียะ ในรูปแบบญะมาอะฮ
ดิษอบีซัรริน ร.ฎ อีกครั้ง
: " صمنا مع رسول الله صلى الله عليه وسلم رمضان، فلم يقم بنا شيئا من الشهر حتى بقي سبع فقام بنا حتى ذهب ثلث الليل، فلما كانت السادسة لم يقم بنا، فلما كانت الخامسة قام بنا حتى ذهب شطر الليل، فقلت : يا رسول الله ! لو نفلتنا قيام هذه الليلة، فقال : " إن الرجل إذا صلى مع الإمام حتى ينصرف حسب له قيام ليلة " فلما كانت الرابعة لم يقم، فلما كانت الثالثة جمع أهله ونساءه والناس، فقام بنا حتى خشينا أن يفوتنا الفلاح، قال : قلت : وما الفلاح ؟ قال : السحور، ثم لم يقم بنا بقية الشهر " حديث صحيح، أخرجه أصحاب السنن.
พวกเราได้ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน พร้อมกับท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ แล้วท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเราเลยสักคืน จากเดือน นั้น(หมายถึงเดือนเราะมะฎอน) จนกระทั้ง เหลือเจ็ดคืน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วปรากฏว่าเมือเหลืออีกหกวัน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลือห้าวัน ท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปครึ่งคืน แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม)
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วเมื่อเหลืออีกสี่คืน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาด พวกเรา จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะชวดอัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การรับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเรา – หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
จึงสรุปว่า การละหมาดตะรอเวียะญะมาอะฮที่เคาะลิฟะฮ อุมัร (ร.ฎ)ริเริ่มให้มีขึ้นและฟื้นฟูขึ้นมานั้น เป็นสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ไม่ใช่บิดอะฮ ดังที่มีการแอบอ้างกัน
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วเมื่อเหลืออีกสี่คืน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาด พวกเรา จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะชวดอัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การรับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเรา – หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
จึงสรุปว่า การละหมาดตะรอเวียะญะมาอะฮที่เคาะลิฟะฮ อุมัร (ร.ฎ)ริเริ่มให้มีขึ้นและฟื้นฟูขึ้นมานั้น เป็นสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ไม่ใช่บิดอะฮ ดังที่มีการแอบอ้างกัน
การกระทำของอุมัรเป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ ดังหลักฐานต่อไปนี้
وَرَوَى أَسَدُ بْنُ عَمْرٍو عَنْ أَبِي يُوسُفَ قَالَ : سَأَلْتُ أَبَا حَنِيفَةَ عَنِ التَّرَاوِيحِ وَمَا فَعَلَهُ عُمَرُ ؟ فَقَالَ : التَّرَاوِيحُ سُنَّةٌ مُؤَكَّدَةٌ وَلَمْ يَتَخَرَّصْهُ عُمَرُ مِنْ تِلْقَاءِ نَفْسِهِ وَلَمْ يَكُنْ فِيهِ مُبْتَدِعًا ، وَلَمْ يَأْمُرْ بِهِ إِلَّا عَنْ أَصْلٍ لَدَيْهِ وَعَهْدٍ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَلَقَدْ سَنَّ عُمَرُ هَذَا وَجَمَعَ النَّاسَ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ فَصَلَّاهَا جَمَاعَةً وَالصَّحَابَةُ مُتَوَافِرُونَ : مِنْهُمْ عُثْمَانُ وَعَلِيٌّ وَابْنُ مَسْعُودٍ وَالْعَبَّاسُ وَابْنُهُ وَطَلْحَةُ
وَالزُّبَيْرُ وَمُعَاذٌ وَأُبَيٌّ وَغَيْرُهُمْ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنْصَارِ ، وَمَا رَدَّ عَلَيْهِ وَاحِدٌ مِنْهُمُ ، بَلْ سَاعَدُوهُ وَوَافَقُوهُ وَأَمَرُوا بِذَلِكَ
และรายงานโดย อะสัด บุตร อัมริน จากอบี ยูซูบ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าถามอบูหะนีฟะอ เกี่ยวกับตะรอเวียะ และสิ่งที่ ท่านอุมัร ได้กระทำ แล้วท่านกล่าวว่า “ ละหมาดตะรอเวียะ เป็นสุนนะฮมุอักกะดะฮ โดยที่ท่านอุมัรไม่ได้กุเรื่องเท็จขึ้นมาจากตัวท่านเอง ท่านไม่ได้เป็นผู้อุตริ(ผู้ทำบิดอะฮ)ในเรื่องนั้น และท่านไม่ได้ใช้ให้กระทำ นอกจากมี หลักฐาน ณ ที่ท่าน และ เป็นคำสั่งจากท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแท้จริงท่านอุมัร ได้ทำแบบอย่างนี้ขึ้นมา โดยรวมผู้คน ให้ละหมาดภายใต้การเป็นอิหม่ามของท่านกะอับ แล้วได้ทำการละหมาดนั้น(ละหมาดตะรอเวียะ) ในรูปของการละหมาดญะมาอะฮ โดยที่บรรดาเศาะหาบะฮจำนวนมากมาย จากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรฺ และไม่มีคนใดจากพวกเขาคัดค้านท่าน(อุมัร)เลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับสนับสนุนท่าน พวกเขาเห็นฟ้องกับท่านและ พวกเขาใช้ให้กระทำเรื่องดังกล่าว
- ดู อัลอิคติยารอต ลิตะอฺลีลิลมุคตัร ของอัลมูศิลีย์ อัลหะนะฟีย์ เล่ม 1 หน้า 94
............
สิ่งที่เป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ มันจะเป็นบิดอะฮได้อย่างไร อีกประการหนึ่งคือ การกระทำของเคาะลิฟะฮรอชิดีน ท่านนบีได้รับรองไว้แล้ว แล้วสิ่งที่เป็นบิดอะฮที่คิดขึ้นมา ใครรับรอง
- ดู อัลอิคติยารอต ลิตะอฺลีลิลมุคตัร ของอัลมูศิลีย์ อัลหะนะฟีย์ เล่ม 1 หน้า 94
............
สิ่งที่เป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ มันจะเป็นบิดอะฮได้อย่างไร อีกประการหนึ่งคือ การกระทำของเคาะลิฟะฮรอชิดีน ท่านนบีได้รับรองไว้แล้ว แล้วสิ่งที่เป็นบิดอะฮที่คิดขึ้นมา ใครรับรอง
والله اعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/12/59
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/12/59
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น