วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คนที่บอกว่าอัลลอฮประทับบนบัลลังก์ คือกาเฟรจริงหรือ




คนที่บอกว่าอัลลอฮประทับบนบัลลังก์ คือกาเฟรจริงหรือ
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ ได้แชร์โพสต์ของ Arifeen Saengwiman Alazhary
Arifeen Saengwiman Alazhary อยู่กับ อะหมัดรอชีดี อุษมาน อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ และอีก 6 คน
8 ชม.
ท่านอิหม่ามอับดุลฆ่อนีย์ อันนาบุลุซีย์ ได้กล่าวว่า
مَنِ اعْتَقَدَ أَنَّ اللهَ مَلَأَ السَّمَوَاتِ وَالأَرْضَ أَوْ أَنَّهُ جِسْمٌ قَاعِدٌ فَوْقَ الْعَرْشِ فَهُوَ كَافِرٌ وَإِنْ زَعَمَ أَنَّهُ مُسْلِمٌ
“ผู้ใดเชื่อว่าอัลลอฮฺเต็มบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินหรือเชื่อว่าอัลลอฮฺเป็นรูปร่าง(ประทับ)นั่งอยู่บนบัลลังก์ เขาย่อมเป็นกาเฟร หากแม้เขาจะอ้างว่าเป็นมุสลิมก็ตาม” อับดุลฆ่อนีย์ อันนาบุลุซีย์, อัลฟัตหุรร็อบานีย์, หน้า 124.
เพราะท่านอิหม่ามอัฏเฏาะหาวีย์ ปราชญ์สะลัฟ กล่าวว่า
وَمَنْ وَصَفَ اللهَ بِمَعْنًى مِنْ مَعَانِي الْبَشَرِ فَقَدْ كَفَرَ
“ผู้ใดที่พรรณนาคุณลักษณะของอัลลอฮฺด้วยความหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟรแล้ว” อัฏเฏาะหาวีย์, อัลอะกีดะฮ์อัฏเฏาะหาวียะฮ์, หน้า 14.
@@@@
ข้างต้นไปนำเอาคำพูดของอับดุลฆ่อนีย์ อันนาบุลุซีย์ ปราชญซูฟี มัซฮับหะนะฟีย์ ยุคหลัง มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ฮ.ศ 1050-1143 มาหุกุมว่า “ใครเชื่อว่า อัลลอฮ มีรูปร่าง นั่งบนอะรัช เป็นกาเฟร และความจริง ผมได้ชี้แจงหลายครั้งแล้วว่า ไม่มีคนใดที่ โต๊ะครูคนนี้ อุปโลกน์ให้เป็นวะฮวะฮบีย์ เชื่อว่า อัลลอฮประทับนั่งติดกับอะรัช แต่ทุกคนเชื่อว่าทรงอยู่เบื้องสูงเหนืออะรัช เหนือมัคลูคทั้งหลาย (อธิบายเกือบร้อยครั้ง ) ส่วนคำว่า เต็มฟ้า นั้น คือตรรกคิดขึ้นมา เช่นเดียวกับคำว่า รูปร่าง ซึ่งเป็นการสร้างวาทกรรมเกินสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลได้พรรณาคุณลักษณะไว้ โดยการมโนนั่งเทียนสร้างคำขึ้นมา
ส่วน คำว่า جلس และ قعد ที่พาดพิงเกี่ยวกับอัลลอฮ มีปรากฏในหะดิษ เช่น
حَدَّثَنِي أَبِي، نا وَكِيعٌ، بِحَدِيثِ إِسْرَائِيلَ عَنْ أَبِي إِسْحَاقَ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ خَلِيفَةَ، عَنْ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ، قَالَ: " إِذَا جَلَسَ الرَّبُّ عَزَّ وَجَلَّ عَلَى الْكُرْسِيِّ "
فَاقْشَعَرَّ رَجُلٌ سَمَّاهُ أَبي عِنْدَ وَكِيعٍ فَغَضِبَ وَكِيعٌ وَقَالَ: أَدْرَكْنَا الأَعْمَشَ وَسُفْيَانَ يُحَدِّثُونَ بِهَذِهِ الأَحَادِيثِ لا يُنْكِرُونَهَا
คำแปลตัวบท 
รายงานจากอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า เมื่อ พระเจ้า ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ทรงประทับ(นั่ง) บน เก้าอี้ แล้วชายคนหนึ่ง ที่บิดาข้าพเจ้าเรียกชื่อเขา ณ ท่านวะเกียะ แสดงอาการตัวสั่น แล้ววะเกียะ ก็โกรธ (เพราะการแสดงอาการของชายดังกล่าว) และเขา(วะเกียะ) กล่าวว่า เราพบว่า อัลอะอมัช และ ซูฟยาน (อัษเษารีย์) พวกเขาได้รายงานด้วยบรรดาหะดิษเหล่านี้ โดยพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธมัน –ดู อัสสุนนะฮ หน้า 302 หะดิษหมายเลข 578 และ กิตาบอัลอะรัช ของอัซซะฮะบีย์ เล่ม 2 หน้า 121 
……
สะลัฟไม่ปฏิเสธ การใช้คำว่า “อัลลอฮนั่ง(ประทับ)บนเก้าอี้ แต่ อาจารย์ของนายอานัส ชูชื่น กลับตัดสินว่า เป็นกาเฟร
อับดุลลอฮ บิน อะหมัด กล่าวว่า
سُئِلَ عَمَّا رُوِيَ فِي الْكُرْسِيِّ وَجُلُوسِ الرَّبِّ عَزَّ وَجَلَّ عَلَيْهِ
- رَأَيْتُ أَبِيَ رَحِمَهُ اللَّهُ يُصَحِّحُ هَذِهِ الْأَحَادِيثَ أَحَادِيثَ الرُّؤْيَةِ وَيَذْهَبُ إِلَيْهَا وَجَمَعَهَا فِي كِتَابٍ وَحَدَّثَنَا بِهَا
เขา(อิหม่ามอะหมัด) ถูกถามเกี่ยวกับ สิ่งที่ถูกรายงาน เกี่ยวกับ อัลกุรสีย์และ การนั่งของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง บนมัน ,
ฉันเห็นบิดาของฉัน(หมายถึงอิหม่ามอะหมัด) ร.ฮ ได้รับรองว่าเป็นหะดิษเศาะเฮียะ บรรดาหะดิษเหล่านี้ คือบรรดาหะดิษเกี่ยวกับการเห็นอัลลอฮ และมีทัศนะไปสู่มัน และ เขาได้รวบรวมมัน ในตำราและ เราได้รายงานด้วยมัน - อัสสุนนะฮ ของอับดุลลอฮ บิน อะหมัด หน้า 300 หะดิษหมายเลข 584
.......
ส่วนหะดิษ พระเจ้าประทับบนเก้าอี้ (ดูหะดิษหมายเลข 587)
เช็คอับดุรเราะหมาน อิบนุสะอดีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
نثبت أنه استوى على عرشه استواء يليق بجلاله، سواء فُسِّر ذلك: بالارتفاع، أو بعلوه على عرشه، أو بالاستقرار، أو الجلوس، فهذه التفاسير واردة عن السلف، فنثبت لله على وجه لا يماثله ولا يشابهه فيها أحد، ولا محذور في ذلك إذا قرنَّا بهذا الإثبات نفي مماثلة المخلوقات

เรารับรอง ว่า พระองค์ อิสติวาอฺบนอะรัช เป็นอิสติวาอฺที่เหมาะสม กับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่ว่าคำดังกล่าวนั้นจะถูกอรรถาธิบาย ด้วยความหมายว่า ขึ้นสูง (อัลอิรติฟาอ), พระองค์อยู่สูงเหนืออะรัช หรือ ด้วยความหมายว่าสถิต(อัลอิสติกรอร) หรือด้วยความหมายว่า นั่ง/ประทับ(อัลญุลูส) เพราะบรรดาการอธิบายเหล่านี้ มีรายงานมาจากสะลัฟ ดังนั้น เรารับรองให้แก่อัลลอฮ บนแนวทางที่ไม่เปรียบเทียบคนหนึ่งคนใดว่าเหมือนพระองค์ และคล้ายคลึงพระองค์ ในมัน และไม่มีการเตือนให้ระวังใน(ความหมาย)ดังกล่าว ในเมื่อ การรับรองความหมายเหล่านี้ พร้อมกับปฏิเสธการเหมือนกับบรรดามัคลูค – ดู อัลอัจญวะบะฮ อัสสะอดียะฮ อะนิลมะสาอีลอัลกุวัยตียะฮ หน้า 146
................. 
เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามันจะมีความหมายใดก็ตาม แต่เราเชื่อว่า ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน แค่นี้ก็จบ ไม่ต้องไปตีความตามพวกมุอตะซิละฮ การเอาความเห็นของปราชญ์ซูฟีย์ แนวคิดอะฮลุลกาลาม มาหุกุมว่า “คนที่อธิบายคำว่า อิสติวาอฺ ว่า นั่งหรือประทับ ว่าเป็นกาเฟร ถ้าไม่เป็นอย่างที่กล่าวหา คำนี้ก็จะย้อนกลับไปหาผู้ที่หุกุมผู้อื่นว่าเป็นกาเฟร
ส่วนคำพูดของอิหม่าม อัฏเฎาะหาวีย์ จะชี้แจงในภาค 2 อินชาอัลลอฮ เพราะเกรงว่าเนื้อหาจะยาวเกินไปไม่สะดวกสำหรับผู้อ่าน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/11/60


เอกสารเพิ่มเติม


 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ





ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เขาอ้างรักนบีไม่อาจจะเทียบเท่าคนยุคสะลัฟ เขาจึงทำเมาลิดนบี


ในภาพอาจจะมี ข้อความ

เขาอ้างรักนบีไม่อาจจะเทียบเท่าคนยุคสะลัฟ เขาจึงทำเมาลิดนบี
Arifeen Saengwiman Alazhary
6 ชม.
ถ้าหากคนเราในสมัยนี้รักนะบีย์ในระดับสูงเหมือนศ่อฮาบะฮ์ และชนยุคสะลัฟ ก็ไม่ต้องทำเมาลิดนะบีย์มาเป็นสื่อในการสร้างความรัก
@@@@@
ชี้แจง
เหตุผลข้างต้นช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ครับท่านอาจารย์ เพราะเหตุที่เรายุคนี้รักนบีไม่เท่าคนยุคสะลัฟ จึงเป็นเหตุให้อุตริรูปแบบการรักนบีขึ้นใหม่ คือ การเฉลิมฉลองวันเกิดนบี"
............
ขอเรียนว่า การรักนบี นั้น ต้องทำตามสุนนะฮนบี ไม่ใช่การอุตริบิดอะฮที่ท่านนบีศอ็ลฯ ไม่ชอบและเตือนให้ระวัง
มาดูว่า รักนบี อัลลอฮ สอนให้ทำอะไร
มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา กล่าวว่า
جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ: يَا رَسُولَ الله، إِنَّكَ لأَحَبّ إِلَيَّ مِنْ نَفْسِي، وَإِنَّكَ لأَحَبّ إِلَيَّ مِنْ أَهْلِي، وَأَحَبّ إِلَيَّ مِنْ ولَدِي، وَإِنِّي لأَكُون فِي البَيْتِ فَأَذْكُرَكَ، فَمَا أَصْبِر حَتَّى آتِيكَ فَأَنْظُرُ إِلَيْكَ، وَإِذَا ذَكَرْتُ مَوْتِي وَمَوْتكَ عَرَفْتُ أَنَّكَ إِذَا دَخَلْتَ الجَنَّةَ رُفِعْتَ مَعَ النَّبِيِّينَ، وَإِنِّي إِذَا دَخَلْتُ الجَنَّةَ خَشِيتُ أَنْ لا أَرَاكَ ، فَلَمْ يَرُدّ عَلَيْهِ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمَ شَيْئًا حَتَّى نَزَلَ جِبْرِيلُ عَلَيْهِ السَّلام بِهَذِهِ الآيَةِ: ﴿ وَمَن يُطِعِ ٱللَّهَ وَٱلرَّسُولَ فَأُوْلَٰٓئِكَ مَعَ ٱلَّذِينَ أَنۡعَمَ ٱللَّهُ عَلَيۡهِم مِّنَ ٱلنَّبِيِّ‍ۧنَ وَٱلصِّدِّيقِينَ وَٱلشُّهَدَآءِ وَٱلصَّٰلِحِينَۚ وَحَسُنَ أُوْلَٰٓئِكَ رَفِيقٗا ٦٩ ﴾ [النساء: ٦٩]
ความว่า “มีชายคนหนึ่งมาพบกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า โอ้ ศาสนทูตของอัลลอฮฺ แท้จริง ท่านนั้นเป็นผู้ที่ฉันรักมากกว่าตัวของฉันเสียอีก ท่านคือผู้ที่ฉันรักมากกว่าครอบครัวและทรัพย์สินของฉันเสียอีก และท่านเป็นบุคคลที่ฉันรักมากกว่าบุตรของฉันเสียอีก และแท้จริง เมื่อฉันอยู่ที่บ้านของฉันจะคิดถึงท่านอยู่ตลอด จนฉันอดทนไม่ไหวอยากพบเจอกับท่านเหลือเกิน จนฉันได้มาเห็นหน้าท่าน แต่เมื่อฉันคิดถึงความตายของฉันและความตายของท่านแล้ว ฉันรู้ว่าเมื่อท่านเข้าสวรรค์ท่านก็จะถูกยกให้ไปพำนักอยู่กับบรรดาศาสนทูต และเมื่อฉันเข้าสวรรค์แล้วฉันเกรงว่าจะไม่สามารถพบเจอกับท่านอีก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม (นิ่งสักครู่) ไม่ได้กล่าวตอบใดๆ กับชายคนดังกล่าว จนกระทั่งญิบรีลได้นำวะหฺยูมาประทาน อายะฮฺนี้คือ
﴿ وَمَن يُطِعِ ٱللَّهَ وَٱلرَّسُولَ فَأُوْلَٰٓئِكَ مَعَ ٱلَّذِينَ أَنۡعَمَ ٱللَّهُ عَلَيۡهِم مِّنَ ٱلنَّبِيِّ‍ۧنَ وَٱلصِّدِّيقِينَ وَٱلشُّهَدَآءِ وَٱلصَّٰلِحِينَۚ وَحَسُنَ أُوْلَٰٓئِكَ رَفِيقٗا
ความว่า “และผู้ใดที่ภักดีต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตแล้ว ชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานพวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาศิดดีกีน (ผู้ที่ศรัทธาโดยดุษฎี) บรรดาชุฮะดาอ์(ผู้พลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ) และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นมิตรที่ดียิ่งแล้ว” (อัน-นิสาอ์ : 69)..........ดู อ้างอิงหมายเลข 1
>>>>
สรุปคือ รักนบี ต้องเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูล การเชื่อฟังอัลลอฮและรอซูล ก็คือ การปฏิบัติตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮนั้นเอง
แปลก....อยากจะเทียบชั้นสะลัฟในเรื่องการรักนบี โดยการทำเมาลิด ซึ่งไม่มีในคำสอนอิสลาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/11/60

 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
....................................... 
(1) ดู อัล-มุอฺญัม อัศ-เศาะฆีรฺ ของ อัฏ-ฏ็อบบะรอนีย์ (1/26) อัล-ฮัยษะมีย์ได้กล่าวในหนังสือ มัจญ์มะอฺ อัซ-ซะวาอิด (7/43) ว่า สายรายงานของหะดีษนี้ทั้งหมดเป็นสายรายงานที่เศาะฮีหฺ ยกเว้นอับดุลลอฮฺ บิน อิมรอน และมีหะดีษที่เป็นชาฮิด (มาสนับสนุน) จากอิบนุอับบาส ในหนังสือมัจญ์มะอฺ อัซ-ซะวาอิด (7/7) แต่ในสายรายงานนี้มีผู้รายงานที่ชื่อ อะฏออ์ บิน อัส-สาอิบ เป็นบุคคลที่ความจำเลอะเลือน ท่านชัยคฺ มุกบิล อัล-วาดะอีย์ กล่าวในหนังสือ เศาะฮีหฺ อัล-มุสนัด มิน อัสบาบ อัน-นุซูล (70-71) ได้กล่าวว่า หะดีษนี้อบูนุอัยมฺได้บันทึกไว้ในหนังสือ อัล-หิลยะฮฺ (4/240) , (8/125) และอัล-วาหิดีย์ได้บันทึกด้วยสายรางานนี้ในหนังสือ อัสบาบ อัน-นุซูล อิหม่ามอัช-เชากานีย์ กล่าวว่า อัล-มักดิสีย์ได้ระบุว่าหะดีษนี้เป็นหะดีษหะสัน และมีชะวาฮิด (มาสนับสนุน) ดังปรากฏในหนังสือตัฟสีรฺ อิบนุ
อัล-มักดิสีย์ได้ระบุว่าหะดีษนี้เป็นหะดีษหะสัน และมีชะวาฮิด (มาสนับสนุน) ดังปรากฏในหนังสือตัฟสีรฺ อิบนุ กะษีรฺ (1/523) จึงทำให้สายรายงานนี้มีน้ำหนักมากขึ้น

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ตรรกของคนนั่งเทียนโกหก (ตอนหมดวิชาการแต่อยากเอาชนะ)


ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ

ตรรกของคนนั่งเทียนโกหก (ตอนหมดวิชาการแต่อยากเอาชนะ)
20 ชม. · เทศบาลเมืองปัตตานี
ผมเชื่ออีกไม่นานพวกวะบีจะเจอหลักฐานเมาลิด เหมือนกับพึ่งเจอหลักฐาน ตาราเวี้ย กูดนูด ตัลเกน
ทั้งๆที่หลักฐานพวกนี้มีเป็นร้อยเป็นพันปีมาแล้ว
เรียนอีกนิด อ่านอีกหน่อย เดียวจะเจอเองนะวะบี
@@@
ขอตอบว่า
1.หลักฐานบัญญัติให้ทำเมาลิด คุณจะค้นหาจนตายก็ไม่มีไม่พบหรอก นอกจากหลักแถของคนอุตริบิดอะฮ
2.หลักฐานละหมาดตารอเวียะ มีมานานแล้ว มันคือสุนนะฮ แต่คนอุตริบิดอะฮเอามาโยงเพื่อสนับสนุนบิดอะฮ
3. หลักฐานกุนูตมีมานานแล้วไม่มีใครค้านแต่ที่เขาค้านคือการเจาะจงการอานกุนูตเจาะจงเฉพาะละหมาดซุบฮิเป็นประจำจนตาย
عَنْ أَبِي مَالِكٍ الْأَشْجَعِيِّ قَالَ قُلْتُ لِأَبِي يَا أَبَةِ إِنَّكَ قَدْ صَلَّيْتَ خَلْفَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأَبِي بَكْرٍ وَعُمَرَ وَعُثْمَانَ وَعَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ هَا هُنَا بِالْكُوفَةِ نَحْوًا مِنْ خَمْسِ سِنِينَ أَكَانُوا يَقْنُتُونَ قَالَ أَيْ بُنَيَّ مُحْدَثٌ قَالَ أَبُو عِيسَى هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ وَالْعَمَلُ عَلَيْهِ عِنْدَ أَكْثَرِ أَهْلِ الْعِلْمِ وَقَالَ سُفْيَانُ الثَّوْرِيُّ إِنْ قَنَتَ فِي الْفَجْرِ فَحَسَنٌ وَإِنْ لَمْ يَقْنُتْ فَحَسَنٌ وَاخْتَارَ أَنْ لَا يَقْنُتَ وَلَمْ يَرَ ابْنُ الْمُبَارَكِ الْقُنُوتَ فِي الْفَجْرِ
รายงานจากอบีมาลิก อัลอัชญะอีย์ กล่าวว่า “ฉันได้กล่าวแก่บิดาของฉันว่า “โอ้บิดาของฉัน ความจริงท่านเคยละหมาดตามหลังรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ,อบีบักร์ ,อุมัร ,อุษมานและอาลี ทีเมืองกุฟะฮ ประมาณ 5 ปี พวกเขาอ่านดุอากุนูตไหม? เขา(บิดาของฉัน)กล่าวว่า “ โอ้ลูกเอ๋ย มันเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(บิดอะฮ)
อบูอีซา กล่าวว่า “หะดิษนี้ หะซัน เศาะเฮียะ นักวิชาการส่วนมากปฏิบัติตามหะดิษนี้ และ ซูฟยานอัษเษารีย์ กล่าวว่า
“ หากเขาอ่านกุนูตในละหมาดฟัจญร์ ก็เป็นการดี และถ้าไม่อ่านกุนูต ก็เป็นการดี และเขา(ซุฟยาน) เลือกที่จะไม่อ่านกุนูต และอิบนุอัลมุบารอ็กไม่เห็นว่า ให้อ่านกุนูตในละหมาดฟัจญร์(ซูบฮี)
อัลมุบาเราะกาฟูรีย์(محمد بن عبد الرحمن بن عبد الرحيم المباركفوري) กล่าวว่า
وَقَدْ تَقَدَّمَ أَنَّ الْقَوْلَ الرَّاجِحَ هُوَ أَنَّ الْقُنُوتَ مُخْتَصٌّ بِالنَّوَازِلِ ، وَأَنَّهُ يَنْبَغِي عِنْدَ نُزُولِ النَّازِلَةِ أَنْ لَا تُخَصَّ بِهِ صَلَاةٌ دُونَ صَلَاةٍ
และได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า แท้จริงทัศนะที่มีน้ำหนัก คือ การอ่านกุนูตนั้น เฉพาะกับเคราะห์ร้ายเกิดขึ้น(กับมุสลิม) และแท้จริงสมควรที่จะอ่านเวลาเคราะห์ร้ายเกิดขึ้น ไม่จำกัดละหมาดหนึ่งโดยไม่อ่านในละหมาดอื่น
- ดูตัวะฟะตุลอะหวะซีย์ เรื่อง باب ما جاء في ترك القنوت
..................
ถ้าไม่ยึดติดกับมัซฮับ น่าจะพิจารณาหะดิษและคำอธิบายข้างต้น
4. ส่วนหลักฐานเรื่องตัลกีนสอนคนตายในหลุม แค่เป็นนิยายน้ำเน่า มีด้วยหรือ มลาอิกะฮมุงกัร-นะกีรชวนกันกลับ เพราะเห็นคนอ่านตัลกีนมัยยิต ตัวอย่างเช่นระบุในตอนหนึ่งของหะดิษนี้ว่า
فإن منكراً ونكيراً يأخذ كل واحد منهما بيد صاحبه ويقول‏ انطلق بنا ما نقعد عند من لقن حجته فيكون الله حجيجه دونهما‏"‏‏.
ดังนั้น มุงกัรและนากิร ต่างจูงมือมิตรสหายของเขาแล้วท่านหนึ่งกล่าวว่า ท่านจงไปกับเราเถิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรานั่ง(สอบถาม) ผู้ที่ถูกสอนหลักฐาน(ที่ชี้เป็นถึงเป็นผู้ศรัทธา)ของเขาแล้ว.......มัจญมะอุซซะวาอิด 
........
มลาอิกะฮ ชวนกันกลับเมื่อเห็นคนอ่านตัลกินสอนคำตอบให้มัยยิต นี่คือ นิยายปะรำปะรา ครับ เพราะคนที่ตอบคำถามมลาอิกะฮได้ มันขึ้นอยู่กับการศรัทธาและการทำความดี ตามจุดมุ่งหมายของสองคำปฏิญานตอนที่เขามีชีวิตอยู่ในดุนยา
อัลลอฮ ซุบหานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
يُثَبِّتُ اللَّهُ الَّذِينَ آمَنُوا بِالْقَوْلِ الثَّابِتِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الْآخِرَةِ وَيُضِلُّ اللَّهُ الظَّالِمِينَ وَيَفْعَلُ اللَّهُ مَا يَشَاءُ
อัลลอฮทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยุ่ทั้งในโลกนี้และในปรโลกและอัลลอฮทรงให้บรรดาผู้อธรรมหลงทาง และอัลลอฮทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ – อิบรอฮีม/27
قَالَ الْبُخَارِيُّ : حَدَّثَنَا أَبُو الْوَلِيدِ ، حَدَّثَنَا شُعْبَةُ ، أَخْبَرَنِي عَلْقَمَةُ بْنُ مَرْثَدٍ قَالَ : سَمِعْتُ سَعْدَ بْنَ عُبَيْدَةَ ، عَنِ الْبَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ; أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : " اَلْمُسْلِمُ إِذَا سُئِلَ فِي الْقَبْرِ ، شَهِدَ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ ، فَذَلِكَ قَوْلُهُ : ( يُثَبِّتُ اللَّهُ الَّذِينَ آمَنُوا بِالْقَوْلِ الثَّابِتِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الْآخِرَةِ
อัลบุคอรี ได้กล่าวว่า “ อบูอัลวะลิด ได้เล่าเรา ,ชุอบะฮ ได้เล่าเรา อัลเกาะมะฮ บิน มัรษัด ได้บอกเราโดยกล่าวว่า “
ข้าพเจ้าได้ยิน สะอัด บิน อุบัยดะฮ ได้รายงานจาก อัลบะเราะอฺ บิน อาซิบ เราะฏิยัลลอฮุอันฮู ว่า “มุสลิม เมื่อถูกสอบสวนในหลุมศพ เขาได้ปฏิญานว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ และแท้จริง มุหัมหมัด เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ” เพราะดังกล่าวนั้น พระองค์ทรงตรัสว่า (อัลลอฮทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยุ่ทั้งในโลกนี้และในปรโลก – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 4 หน้า 495 
....
อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า
ولم يكن يجلس - أي رسول الله صلى الله عليه وسلم - يقرأ عند القبر ولا يلقن الميت كما يفعله الناس اليوم ] زاد المعاد 1/522
และไม่ประกฎว่า ท่าน หมายถึงท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่าน(อัลกุรอ่าน) ณ ทีหลุมศพ และท่านไม่ได้อ่านตัลกีนแก่มัยยิต ดังที่ผู้คนในปัจจุบันทำกัน ? ซาดุ้ลมะอาด 1/522 
...........
เพราะฉะนั้น การโฆษณาชวนเชื่อหาข้ออ้างมาสนับสนุนการทำบิดอะฮ มันไม่สามารถทำบิดอะฮให้กลายเป็นสุนนะฮได้หรอก ต่อให้หาข้ออ้างทางตรรกและความเห็น มาสัก 1800 เล่มเกวียนหรือสิบคันรถบรรทุกก็ตาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/11/60

เอกสารประกอบ

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ตัวอย่างของการเผยแพร่ศาสนาด้วยอคติและการประกาศเป็นศัตรูผู้ที่เห็นต่าง



ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป



ตัวอย่างของการเผยแพร่ศาสนาด้วยอคติและการประกาศเป็นศัตรูผู้ที่เห็นต่าง
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
20 พฤศจิกายน เวลา 11:58 น.
ลัทธิวาฮาบีโกหกใส่สะละฟุศศอลิห์ว่าไม่ทำการตีความ(ตะวีล
@@@
สังคมมุสลิมในประเทศไทย ในปัจจุบัน เกิดวิกฤติ ของความเป็นพี่น้องในอิสลามอย่างหนัก เพราะมีมุสลิมส่วนหนึ่ง ที่สุดโต่ง คลั่งใคล้กับแนวคิดตัวเองถึงขนาดตัดlสินมุสลิมอีกฝ่ายที่เห็นต่าง เป็นคนนอกอิสลาม เป็นลัทธิวะฮบีย์ ในขณะที่องค์กรมุสลิมใหญ่ๆ ไม่มีบทบาทอะไรที่จะเอาองค์ความรู้ที่เป็นแม่บทกฏหมายอิสลามมาแก้ปัญหา อย่างเป็นธรรม กับมุสลิมโดยรวมได้ ทั้งนี้ เพราะองค์กรใหญ่ๆทุกระดับ ไม่ว่า ระดับตำบล อำเภอ
จังหวัดและระดับประเทศ ที่เกิดจากกฏหมายกาเฟรและการเลือกตั้งมาจากระบบการเมือง ก็เลือกข้างเช่นกัน เอนเอียงจนไม่สามารถที่ยืนให้ตรงได้ และเป็นแค่เสือกระดาษ เอาไว้โฮกฮากกับกลุ่มที่เห็นต่างเท่านั้น
การตัดสินว่ามุสลิมที่เห็นต่างกับตนคือ ผู้ถือลัทธิ เท่ากับการตัดสินว่า พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่อยู่บนคำสอนอิสลาม แต่อยู่บนลัทธิวะฮบีย์ -นะอูซุบิลลละฮ
คำว่า "ตะวีล"ในทัศนะสะลัฟ คือการอรรถธิบายความหมาย ของสิฟาตในทางภาษา แต่การตะวีล ในทัศนะเคาะลัฟที่ยึดแนวปรัชญาตรรกนิยมยูนานคือ การเปลี่ยนความหมาย ที่ไม่กินกับปัญญาไปเป็นความหมายที่กินกับปัญญา ที่พวกเขาเข้าใจและมโนว่า ความหมายเดิม เป็นการตัชบีฮ(การเปรียบอัลลอฮกับมัคลูค)
คำว่า ตะวีล"ในทัศนะสัฟ คือ
การอรรถาธิบาย( التفسير ) และ การอธิบาย (البيان ) ดังที่นบี ศอ็ลฯ ได้ดุอาให้แก่ อิบนุอับบาสว่า
اللهم فقهه في الدين ، وعلمه التأويل
โอ้อัลลอฮได้โปรดให้เขาเข้าใจศาสนา และได้โปรดสอนการตะวีลให้เขาด้วยเถิด - เศาะเฮียะอิบนุหิบบาน หะดิษหมายเลข 7055
คำว่า "التأويل" (อัตตะวีล)ในที่นี้ คือ การอรรถาธิบายอัลกุรอ่าน
ท่านอับดุลลอฮ บิน อับบาส (ร.ฮ)เองยืนยันว่าท่านรู้ความหมายทุกอายะฮที่ถูกประทานลงมา
حَدَّثَنَا عُمَرُ بْنُ حَفْصٍ حَدَّثَنَا أَبِي حَدَّثَنَا الْأَعْمَشُ حَدَّثَنَا مُسْلِمٌ عَنْ مَسْرُوقٍ قَالَ قَالَ عَبْدُ اللَّهِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ وَاللَّهِ الَّذِي لَا إِلَهَ غَيْرُهُ مَا أُنْزِلَتْ سُورَةٌ مِنْ كِتَابِ اللَّهِ إِلَّا أَنَا أَعْلَمُ أَيْنَ أُنْزِلَتْ وَلَا أُنْزِلَتْ آيَةٌ مِنْ كِتَابِ اللَّهِ إِلَّا أَنَا أَعْلَمُ فِيمَ أُنْزِلَتْ وَلَوْ أَعْلَمُ أَحَدًا أَعْلَمَ مِنِّي بِكِتَابِ اللَّهِ تُبَلِّغُهُ الْإِبِلُ لَرَكِبْتُ إِلَيْهِ

ความหมายตัวบท
รายงานจากมัสรูก กล่าวว่า "อับดุลลอฮ(บินมัสอูด)(ร.ฎ)กล่าวว่า ขอสาบานด้วยนามแห่งอัลลอฮ ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดอื่นจากพระองค์ ไม่มีซูเราะฮใดถูกประทานลงมาจากคัมภีร์ แห่งอัลลอฮ นอกจากข้าพเจ้า รู้ ว่ามันถูกประทานลงมาที่ใหน และ ไม่มีอายะฮใดถูกประทานลงมา จากคัมภีร์แห่งอัลลอฮ นอกจากข้าพเจ้า รู้ว่า มันถูกประลงมาในเรื่องอะไร และถ้าข้าพเจ้า รู้ว่าคนใด มีความรู้ เกี่ยวกับคัมภีร์ของอัลลอฮ ยิ่งกว่าข้าพเจ้า ,อูฐจะนำไปให้ถึงเขาได้ ข้าพเจ้าก็จะขี่ไปยังเขาผู้นั้น – รายงานโดยบุคอรีย์
روى ابن جرير وغيره عنه رضي الله تعالى عنه أنه قال: كان الرجل منا إذا تعلم عشر آيات لم يجاوزهن حتى يعرف معانيهن والعمل بهن. وعن زر بن حبيش عن ابن مسعود رضي الله تعالى عنه قال: أخذت من في رسول الله صلّى الله عليه وسلّم سبعين سورة لا ينازعني فيها أحد
อิบนุญะรีร และคนอื่นๆจากเขา ได้รายงานจากเขา(อิบนุอับบาส) ร.ฎ ว่าเขากล่าวว่า ว่า "มีชายคนหนึ่งจากพวกเรา เมื่อเขาเรียน สิบอายาต เขาจะไม่ผ่านมันไป จนกว่าเขาจะรู้จักบรรดา ความหมายของมัน และได้ปฏิบัติด้วยมัน และรายงานจาก ซิรริน บินหุบัยชฺ จากอิบนุมัสอูด (ร.ฎ) ว่าเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเอามาจากปากของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ(หมายถึงได้ยินมาจากปากนบีเอง) 70 ซูเราะฮ ไม่มีคนใดขัดแย้งกับข้าพเจ้าในมันเลย-
رواه أحمد (1/ 389) وأبو نعيم في الحلية (1/ 125).
ดู อัลวาฎีหฺ ฟีอุลูมิลกุรอ่าน หน้า 224
......
การอ้างว่าสะลัฟตีความ (ตะวีล)อายาตสิฟาต ด้วยการเปลี่ยนความหมายของมันที่ปรากฏตามตัว ไปเป็นความหมายอื่นตามความคิดเห็นหรือ มอบหมายความหมายไปยังอัลลอฮ โดยไม่รู้และไม่ยุ่งกับความหมายของมันนั้น เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وأما التأويل بمعنى صرف اللفظ عن مفهومه الى غير مفهومه فهذا لم يكن هو المراد بلفظ التأويل في كلام السلف
สำหรับการตะวี้ล(ตีความ) ด้วยความหมาย ของการเปลี่ยนแปลงคำพูดจาก สิ่งที่ถูกเข้าใจของมัน ไปสู่ความหมายอื่นจากที่ถูกเข้าใจของมัน ความหมายนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องการ(ไม่ใช่จุดประสงค์) ด้วยคำของการตะวี้ล ในคำพูดสะลัฟ –
และอิบนุตัยมียะฮกล่าวต่อไปว่า
، وكان السلف ينكرون التأويلات التي تخرج الكلام عن مراد الله ورسوله التي هي من نوع تحريف الكلم عن مواضعه, فكانوا ينكرون التأويل الباطل الذي هو التفسير الباطل) .
สำหรับการตะวีลที่เป็นโมฆะ ที่พวกอุตริบิดอะฮ กล่าวด้วยมันคือ การเปลี่ยนถ้อยคำ จากความหมายที่ถูกเข้าใจของมัน ไปสู่อื่นจากความหมายที่ถูกเข้าใจของมัน และความหมายนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ (ไม่ใช่จุดประสงค์) ด้วยคำตะวีล ในคำพูดสะลัฟ และปรากฏว่าสะลัฟ พวกเขา ปฏิเสธการตีความ (ตะวี้ล) ที่ทำให้คำพูดออกนอกสิ่งที่ต้องการ(จุดประสงค์)ของอัลลอฮและรอซูล ของพระองค์ ซึ่งมันคือสาวนหนึ่งจากชนิดของการบิดเบือนเปลียนแปลงบรรดาคำพูดออกจากบรรดาที่ของมัน เพราะพวกเขาปฏิเสธ การตีความที่เป็นโมฆะ(ที่เป็นเท็จ) ซึ่งมันคือ การตัฟสีรที่เป็นโมฆะ –อัศเศาะฟะดียะฮ 1/291
...........
การที่มีการกล่าวถึง ว่าสะลัฟไม่ตีความ(ตะวีล) หมายถึงการตีความแบบมุตะซิละฮและญะฮมียะฮ คือ เปลี่ยนความหมายของคำพูดที่ถูกเข้าใจ ไปเป็นความหมายอื่น ที่ไม่ถูกเข้าใจ เพื่อให้กินกับปัญญา มโนว่ากล่วคนจะเข้าใจว่าอัลลอฮเหมือนมัคลูค
อิบนุกอ็ยยิมกล่าวว่า (ร.ฮ)
وأما المعتزلة والجهمية وغيرهم من فرق المتكلمين فمرادهم بالتأويل صرف اللفظ عن ظاهره وحقيقته إلى مجازه وما يخالف ظاهره وهذا هو الشائع في عرف المتأخرين من أهل الأصول والفقه
และสำหรับ มุอตะซิละฮ , ญะฮมียะฮ และอื่นจากพวกเขา จากพวกวิภาษวิทยา(อะฮลุลกาลาม) ความประสงค์ด้วยการตะวีลของพวกเขา คือ เปลี่ยน คำพูดจากความหมายที่ปรากฏของมัน(ตามตัวบท)และ(เปลี่ยน)ความหมายจริง ไปสู่ความหมายในเชิงอุปมา(มะญัซ)ของมัน และ(เปลี่ยน)สิ่งที่ขัดแย้งกับความหมายที่ปรากฏตามตัวบทของมัน และนี้คือ สิ่งที่แพร่หลายใน นิยามของ บรรดาปราชญ์ยุคหลัง จากอะฮลุลอุศูลและฟิกฮ ..อัศเศาะวาอิกอัลมุรสะละฮ 1/178
.............
ไม่ทราบว่าคนที่กล่าวหาเป็นมุสลิมประเภทใหน นั่งเทียนไม่ศึกษาตำราวิชาการ แต่กลับกล่าวหามุสลิมที่เห็นต่างกับตนว่าพวกนับถือลัทธิ และ นั่งเทียนว่าวะฮบีย์บอกว่าสะลัฟไม่ตีความ โดยไม่นำรายละเอียดมาชี้แจงว่า คำว่าตีความ นั้นคือการตีความ(ตะวี้ล)ลักษณะใด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/11/60





 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ





 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เมื่อความคิดเห็นกลายเป็นบทบัญญัติศาสนา (แล้วอัสสุนนะฮจะเหลืออะไร)


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

เมื่อความคิดเห็นกลายเป็นบทบัญญัติศาสนา (แล้วอัสสุนนะฮจะเหลืออะไร)
อับดุลเกาะฮ์ฮ๊าร ภัทรสุขสิโรตม์ถูกใจเพจ
4 ธันวาคม 2016
คำสอนอุลามาอ์ .. เรื่อง "งานเมาลิด"
ท่านเชคมุฟตี อะลี ญุมอะห์ หนึ่งในอุลามาอ์ของอัซฮัร และเป็นผู้ตอบปัญหาศาสนาในประเทศอียิปต์(คนเก่า) และท่านเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กรอุลามาอ์อาวุโส และเป็นเจ้าของตำราวิชาการหลายๆเล่ม ได้กล่าวถึงงานเมาลิดว่า :
"การจัดงานรำลึกถึงวันประสูติของท่านนบี(ซล.)นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาอะมั้ล(การงาน)ที่มีความประเสริฐ และเป็นการแสดงความใกล้ชิดต่ออัลเลาะห์อย่างยิ่งใหญ่ เพราะมันเป็นการเปิดเผยถึงความปลาบปลื้มยินดีและความรักที่มีต่อท่านนบี(ซล.) และการแสดงออกถึงความรักที่มีต่อท่านนบี(ซล.)นั้น ถือเป็นหลักการพื้นฐานอันหนึ่งจากบรรดาหลักพื้นฐานของการอีหม่าน"
# Rofikee Muhammad #
@@@@@
การงานที่ดีในศาสนา ต้องเป็นการงานที่เจ้าของศาสนาคือ อัลลอฮ รับรองว่าดี 
การงานที่ดี คือ การงานที่ศาสนทูต ของเจ้าศาสนา คือ นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ รับรองว่าดี
ไม่ใช่การคิดเห็นว่าดีแล้วบอกว่า มันคือคำสอนศาสนา และเป็นสิ่งที่ดีตามความคิดเห็น
ข้อสังเกตประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างอะฮลุสสุนนะฮกับอะฮลุลบิดอะฮ ท่านอิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
أَنَّ أَهْلَ السُّنَّةِ يَعْرِضُونَ أَقْوَالَ النَّاسِ عَلَيْهِا فَمَا وَافَقَهَا قَبِلُوهُ وَمَا خَالَفَهَا طَرَحُوهُ ، وَأَهْلَ الْبِدَعِ يَعْرِضُونَهَا عَلَى آرَاءِ الرِّجَالِ ، فَمَا وَافَقَ آرَاءَهَا مِنْهَا قَبِلُوهُ وَمَا خَالَفَهَا تَرَكُوهُ وَتَأَوَّلُوهُ
อะฮลุลุสสุนนะฮ พวกเขาจะ นำบรรดาทัศนะของผู้คน(หมายถึงอุลามาอ) ไปเสนอต่ออัสสุนนะฮ แล้ว สิ่งใดสอดคล้องกับอัสสุนนะฮ พวกเขาก็เอามัน และสิ่งใดขัดแย้งกับสุนนะฮ พวกเขาก็ละทิ้งมัน และอะฮลุลบิดอะฮ พวกเขานำอัสสุนนะฮไปเสนอต่อ บรรดาความเห็นของคน แล้วสิ่ง(ประเด็น)ใด ที่อัสสุนนะฮสอดคล้องกับบรรดาความเห็นของพวกเขา ในมัน พวกเขาก็ยอมรับมัน และสิ่งใด ที่อัสสุนนะฮขัดแย้งกับมัน(กับความเห็นอุลามาอฺ) พวกเขาก็ละทิ้งมัน และพวกเขาก็ทำการตีความมัน
أَنَّ أَهْلَ السُّنَّةِ يَدْعُونَ عِنْدَ التَّنَازُعِ إِلَى التَّحَاكُمِ إِلَيْهَا دُونَ آرَاءِ الرِّجَالِ وَعُقُولِهَا وَأَهْلَ الْبِدَعِ يَدْعُونَ إِلَى التَّحَاكُمِ إِلَى آرَاءِ الرِّجَالِ وَمَعْقُولَاتِهَا
แท้จริงอะฮลุสสุนนะฮ นั้นเมื่อมีการเห็นขัดแย้ง พวกเขาเรียกร้อง ให้นำการตัดสินไปยังอัสสุนนะฮ ไม่ใช่บรรดาความคิดเห็นของบรรดาผู้คน และความเข้าใจของบรรดาผู้คน(อุลามาอฺ)และอะฮลุลบิดอะฮ เมื่อมีการเห็นขัดแย้ง พวกเขาเรียกร้องให้นำการตัดสิน ไปยังความเห็นบรรดาผู้คน(อุลามาอฺ)และบรรดาความเข้าใจของพวกเขา- มุคตะศอรอัสเศาะวาอิกอัลมุรสะละฮ เหน้า 1603 เรื่อง เครื่องหมายอะฮลุสสุนนะฮและอะฮลุลบิดอะฮ
............
ข้างต้น คือ ความแตกต่างของอะฮลุสสุนนะฮและอะฮลุลบิดอะฮ เพราะอะฮลุลบิดอะฮ เอาบรรดาความเห็นอุลามาอฺ อยู่เหนือสุนนะฮของท่ารรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ
อนึ่ง คำว่า “การงานที่ดีนั้น คือ การงานที่ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ และถูกต้องตรงตามสุนนะฮ
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ)กล่าวว่า
قَالَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ : هُوَ أَخْلُصُ الْعَمَلِ وَأَصْوَبُهُ ، فَسُئِلَ عَنْ مَعْنَى ذَلِكَ ، فَقَالَ : إنَّ الْعَمَلَ إذَا كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُقْبَلْ ، وَإِذَا كَانَ صَوَابًا وَلَمْ يَكُنْ خَالِصًا لَمْ يُقْبَلْ ، حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا صَوَابًا فَالْخَالِصُ أَنْ يَكُونَ لِلَّهِ ، وَالصَّوَابُ أَنْ يَكُونَ عَلَى السُّنَّةِ ، ثُمَّ قَرَأَ قَوْلَهُ : { فَمَنْ كَانَ يَرْجُو لِقَاءَ رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا
อัลฟุฎัยล์ บิน อิยาฎ กล่าวว่า คือ ความบริสุทธิ์ใจของการงานนั้นและความถุฏต้องของมัน แล้วเขาถูกถามเกี่ยวกับความหมายดังกล่าว แล้วเขากล่าวว่า “แท้จริงการงาน(อะมั้ล)นั้น เมื่อมันเป็นความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาศ) และ มันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกรับ และเมื่อมันถูกต้อง โดยที่มันไม่มีความบริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับ จนกว่า มัน เป็นความบริสุทธิ์ใจ และถูกต้อง แล้วความบริสุทธิ์ใจคือ มันเป็นความบริสทธิ์ใจแก่อัลลอฮ และความถูกต้องคือ มันเป็นไปตามสุนนะฮ หลังจากนั้นเขาอ่าน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า
فَمَن كَانَ يَرْجُو لِقَاء رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلاً صَالِحاً وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَداً
"ดังนั้น ผู้ใดที่หวังจะได้พบองค์ผู้อภิบาลของเขา เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม และเขาจงอย่าตั้งสิ่งอื่นใดเป็นภาคีในการนมัสการต่อองค์อภิบาลของเขา" อัลกะฮ์ฟิ 110 – เอียะลามอัลมุวักกิอีน เล่ม 2 หน้า 125
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَلَا يَكُونُ الْعَمَلُ حَسَنًا حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا لِلَّهِ عَزَّ وَجَلَّ ، عَلَى شَرِيعَةِ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - فَمَتَى فَقَدَ الْعَمَلُ وَاحِدًا مِنْ هَذَيْنَ الشَّرْطَيْنِ بَطَلَ وَحَبِطَ
และการงานนั้นจะไม่เป็นความดี จนกว่า มัน เป็นความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮตาอาลา ,บนชะรีอัตของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ดังนั้น เมื่อการงาน(อะมั้ล)นั้น ขาดประการหนึ่งประการใด จากสองเงื่อนไขนี้ มันก็เป็นโมฆะและ สูญเปล่า – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 574
..........
จึงถามว่า ที่อ้างว่า การทำเมาลิดนบี เป็นสิ่งที่ดีนั้น ดีตามบทบัญญัติหรือดีตามความเห็นของ ดร.อาลียุมอัต แล้วถ้าเป็นประการหลัง มันก็เป็นโมฆะและสูญเปล่า ,บางคนอ้างว่าอิบนุกะษีร ส่งเสริมให้ทำเมาลิดนบี จึงขอถามว่า “มีสักประโยคไหมที่อิบนุกะษัรบอกว่าอนุญาตให้เฉลิมฉลองวันเกิดนะบี ศอ็ลฯ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
23/11/60
 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


แปลก...คุยโม้ว่าเมาลิดนบีมีหลักฐานเป็นกระบุง ทั้งที่มันคือบิดอะฮ



แปลก...คุยโม้ว่าเมาลิดนบีมีหลักฐานเป็นกระบุง ทั้งที่มันคือบิดอะฮ


 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


แปลก..มีคนอนุรักษ์ประเพณีทำเมาลิดนบีบางคน ใช้นามแฝงว่า ตาชั่งฯ คุยโม้ว่า การเฉลิมฉลองเมาลิดนบี ศอ็ลฯ มีหลักฐานเป็นกระบุง แต่ตอนยกหลักฐานมา กลับมีข้อความว่า " เมาลิดคือบิดอะฮ" แล้วเมื่อเป็นบิดอะฮ มันจะมีหลักฐานจากศาสนาบัญญัติได้อย่างไร
นี้คือหลักฐานเด็ดที่กลุ่มรักษ์เมาลิด เอามาอ้างกันบ่อยและถือว่าเป็นหลักฐานขาประจำ เอามาโต้คนต่อต้านการฉลองเมาลิดนบี คือ
ได้มีการอ้างว่า อิบนุหะญัร อัลอัสเกาละนีย์กล่าวว่า
أَصْلُ عَمَلِ الْمَوْلِدِ بِدْعَةٌ لَمْ تُنْقَلْ عَنْ أَحَدٍ مِنَ السَّلَفِ الصَّالِحِ مِنَ الْقُرُونِ الثَّلَاثَةِ ، وَلَكِنَّهَا مَعَ ذَلِكَ قَدِ اشْتَمَلَتْ عَلَى مَحَاسِنَ وَضِدِّهَا ، فَمَنْ تَحَرَّى فِي عَمَلِهَا الْمَحَاسِنَ وَتَجَنَّبَ ضِدَّهَا كَانَ بِدْعَةً حَسَنَةً وَإِلَّا فَلَا
ทีมาของการทำเมาลิดนั้น เป็นบิดอะฮ มันไม่ได้ถูกรายงานมาจากคนหนึ่งคนใด จากสะลัฟผู้ทรงธรรม จากศตวรรษที่สาม แต่ ว่าพร้อมกับดังกล่าวนั้น มันประกอบไปด้วยบรรดาไปด้วยบรรดาสิ่งที่ดีและสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมัน ดังนั้น ผู้ใดเลือกปฏิบัติบรรดาสิ่งที่ดีในการปฏิบัติมัน และห่างใกลจากสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมัน(หมายถึงหางใกลจากบรรดาสิ่งไม่ดี) มันก็เป็นบิดอะฮที่ดี และหากไม่เป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ใช่บิดอะฮที่ดี -อัลหาวีย์ ลิลฟะตาวีย์ 1/188
.............
เมื่อจุดกำหนิดคือสิ่งที่เป็นบิดะฮ แล้วมันจะกลายเป็นสุนนะฮได้อย่างไร เมื่อยืนยันว่ามันเป็นบิดอะฮ ที่ดี หากปฏิบัติดี แล้วสิ่งเป็นบิดอะฮ มันมีหลักฐานจากศาสนบัญญัติด้วยหรือ เอามาจากใหน ที่ครูจอมโม้บางคนบอกว่า "มีหลักฐานเป็นกระบุง
อนึ่ง การทำเมาลิด เป็นอิบาดะฮหรือเรื่องอาดะฮ ครับ ท่านผู้ทำเมาลิด ทั้งหลาย ที่อ้างคำพูดอิบนุหะญัร ถ้าคุณเชื่อว่าเป็นอิบาดะฮ หรือเรื่องเกี่ยวกับศาสนา มาดูคำพูดอิบนุหะญัรบอกไว้ว่า
فَالْبِدْعَةُ فِي عُرْفِ الشَّرْعِ مَذْمُومَةٌ بِخِلَافِ اللُّغَةِ فَإِنَّ كُلَّ شَيْءٍ أُحْدِثَ عَلَى غَيْرِ مِثَالٍ يُسَمَّى بِدْعَةً سَوَاءٌ كَانَ مَحْمُودًا أَوْ مَذْمُومًا
บิดอะฮ ในนิยามทางศาสนาบัญญัตินั้น คือ สิ่งที่ถูกตำหนิ ต่างกับบิดอะฮ ในทางภาษา เพราะแท้จริง ทุกสิ่งที่ ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อนนั้น ถูกเรียกว่า "บิดอะฮ" ไม่ว่า มันจะเป็นสิ่งที่ถูกชมเชยหรือถูกตำหนิก็ตาม- ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 253
........
อิบนุหะญัร แบ่งบิดอะฮ เป็น 2 ประเภทคือ
1.บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ เป็นบิดอะฮที่ถูกตำหนิ
2. บิดอะฮในทางภาษา มีทั้งที่ถูกชมเชยและถูกตำหนิ
จึงถามว่า 
1.การทำเมาลิดเป็นเรื่องอิบาดะฮหรือเรื่องอาดะฮ
2. การทำเมาลิดเมื่อเป็นบิดอะฮ ท่านเอาหลักฐานทางศาสนาที่ใหนมามากมายเป็นกระบุง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/11/60

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ตรรกคนทำเมาลิด (อ้างว่าคนทำเมาลิดคนแรกคือตัวท่านนบีเอง)


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ตรรกคนทำเมาลิด (อ้างว่าคนทำเมาลิดคนแรกคือตัวท่านนบีเอง)
เสวนาภูมิหลังประวัติเมาลิด By: al-azhary Date: ก.พ. 08, 2007, 09:31 AM
al-azhary
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته وطيباته
มีอาจารย์วะฮาบีย์บางท่าน กล่าวอ้างว่า ชีอะฮ์อิสมาอีลียะฮ์ ราชวงศ์อิสมาอีลียะฮ์ เป็นผู้ริเริ่มการทำเมาลิดนบี(ซ.ล.) แล้วกล่าวหามุสลิมที่ทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.) ว่า เป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของพวกชีอะฮ์ โดยที่การทำเมาลิดรำถึงท่านนบี(ซ.ล.) นั้นเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง และการทำเมาลิดนำไปสู่นรก ดังนั้น เราอย่าถูกหลอกด้วยคำกล่าวที่ว่า ชีอะฮ์อิสมาอีลียะฮ์คือผู้ริเริ่มทำเมาลิดท่านนบี!!
อนึ่ง การสนทนาในกระทู้นี้ ผมต้องการสนทนาในเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับผู้ริเริ่มทำเมาลิดรำลึกถึงนบี(ซ.ล.)เท่านั้น โดยที่ไม่ต้องการจะสนทนากันถึงเรื่องฮุกุ่มของการทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.) เนื่องจากเราพูดกันมามากต่อมากแล้ว เพราะฉะนั้น การสนทนาเป็นประเด็นๆ ไป ย่อมมีคุณภาพมากกว่าครับ โปรดท่านผู้คัดค้านหรือต้องการออกความเห็นเข้ามาสนทนาโดยรักษาระเบียบที่ผมขอร้องไว้ด้วยนะครับ จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
ภูมิหลังประวัติศาสตร์ผู้ริเริ่มทำเมาลิด
ผู้ริเริ่มทำเมาลิดโดยฉลองแสดงความยินดีกับวันประสูตของท่านนบีมุหัมมัด(ซ.ล.) คือตัวของท่านนบีมุหัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เอง ท่านอิมามมุสลิมได้รายงานจากท่านอบีเกาะตาดะฮ์ว่า
سئل رسول الله صلى الله عليه وسلم عن صوم يوم الإثنين فقال : ذلك يوم ولدت فيه وأنزل على
"ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ถูกถามเกี่ยวกับการถือศีลอดในวันจันทร์ ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)กล่าวตอบว่า "ดังกล่าวนั้น (เพราะเป็น ) วันที่ฉันเกิด และ(อัลกุรอาน)ถูกประทานลงมาแก่ฉัน" รายงายโดยท่าน มุสลิม
@@@
ชี้แจง
นี้แหละครับท่านผู้อ่าน เข้าทำนองที่ เขาเรียกว่า ?เอายาแก้ไอ มากินแก้ปวดท้อง ? ท่านนบี ศอ็ลลัลลัลฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส่งเสริมให้ถือศีลอดสุนัตในวันจันทร์ และระบุว่า ?วันที่ฉันเกิด และ(อัลกุรอาน)ถูกประทานลงมายังฉัน วันดังกล่าวนั้น เป็นวันเกิดของท่านและเป็นวันที่อัลกุรอ่านถูกประทานลงมาให้แก่ท่าน จุดเน้นอยู่ที่ส่งเสริมให้ ถือศีลอด ไม่ใช่มาเน้นเรื่องวันเกิด? เพราะข้อความต่อมา คือ
فيه وأنزل على
(และในวันนั้น อัลกุรอ่าน)ถูกประท่านให้แก่ฉัน แต่ผู้เขียน 
พยายามใส่วงเล็บอธิบายว่า ?(เพราะเป็น ) วันที่ฉันเกิด? เพื่อให้สอดรับกับ ข้ออ้างที่ว่า ?ท่านนบีเฉลิมฉลองวันเกิดตัวเอง
จึงอยากถามว่า ?แล้ววันที่อัลกุรอ่านประทานลงมา? ทำไมไม่เฉลองด้วย ละครับ
ขอเรียนผู้อ่านว่า
จุดเน้นของหะดิษคือ สุนัตให้ถือศีลอดในวันจันทร์ ไม่ใช่ให้เฉลิมฉลองเมาลิดนบี และไม่ใช่จุดเน้นอยู่ วันเกิดนบี เพราะยังหะดิษบทอื่นที่ส่งเสริมให้ถือศีลอดสุนัตในวันจันทร์และวันพฤหัสบดี เช่น
وعن عائشة رضي الله عنه قالت : ( كان النبي صلى الله عليه وسلم يتحرَّى صوم الاثنين والخميس )
รายงานจากท่านหญิงอาอีฉะฮ (ร.ฏ) กล่าวว่า ? ปรากฏว่าท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กำหนดให้ถือศีลอดวันจันทร์และวันพฤหัส ?
رواه الترمذي (745) والنسائي (2361) وابن ماجه (1739) وصححه الألباني في "صحيح الترغيب" (104
وعن أبي هريرة رضي الله عنه أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : ( تُعرض الأعمال يوم الاثنين والخميس ، فأحب أن يعرض عملي وأنا صائم )
และรายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ(ร.ฏ)ว่าแท้จริงท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ?บรรดาการงาน(ของบ่าว) จะถูกนำเสนอ (ไปยังอัลลอฮ) ในวันจันทร์และวัน พฤหัสบดี
และฉันชอบให้การกระทำของฉันถูกเสนอขณะที่ฉันถือศีลอด?
رواه الترمذي (747) وصححه الألباني في "صحيح الترغيب" (1041
จะเห็นได้ว่า เป็นเพียงหะดิษที่ส่งเสริมให้ถือศีลอดสุนัต มันไม่ได้หมายถึง การจัดให้อิบาดธออีกรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะ คือ การเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบี แต่ประการใด
เราต้องไม่ลืมว่า การอิบาดะฮในศาสนานั้น ผู้ที่กำหนดคือ อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ และรูปแบบเมาลิดนบี ที่อ้างถึงความเป็นอิบาดะฮนั้น ใครกำหนดหรือ ?
ท่านอิบนุตัยมียะอ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
والعبادات مبناها على الشرع والاتباع لا على الهوى والابتداع ; فإن الإسلام مبني على أصلين : أن لا نعبد إلا الله وحده وأن نعبده بما شرعه على لسان رسوله صلى الله عليه وسلم لا نعبده بالأهواء والبدع . [ ص: 95 ]
"และบรรดาการอิบะดะฮนั้น มันถูกตั้งอยู่บนศาสนบัญญัติ และการปฏิบัติตาม ไม่ใช่ตั้งอยู่บนการตาม อารมณ์และการอุตริกรรมขึ้นใหม่ 
แท้จริงศาสนาอิสลามนั้น ถูกตั้งอยู่บนรากฐานสองประการ คือ
1.แท้จริง เราจะไม่ทำการเคารพภักดี(อิบาดะฮ)ต่อผู้ใด นอกจากอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว 
2.และแท้จริง เราจะทำการเคารพภักดีต่อพระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติ โดยผ่านคำพูดท่านร่อซูลของพระองค์เราจะไม่ทำ
การเคารพภักดี(อิบาดะฮ)ต่อพระองค์ ด้วยการตามอารมณ์และ สิ่งที่เป็นบิดอะฮ - มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 23 หน้า 95
ท่านมุหัมหมัด อับดุสสลาม เคาะฎีร อัชชะกีรีย์ กล่าวว่า
فاتخاذ مولده موسماً والاحتفال به بدعة منكرة، وضلالة لم يرد بها شرع ولا عقل، ولو كان في هذا خير كيف يغفل عنه أبو بكر وعمر وعثمان وعلي وسائر الصحابة والتابعون وتابعوهم والأئمة وأتباعهم
การถือเอาวันเกิดของท่านนบี เป็นเทศกาลชุมนุมและการเฉลิมฉลอง ด้วยมันนั้น เป็นบิดอะฮ ที่เลว เป็นการหลงผิด ไม่ปรากฏบทบัญัติด้วยมัน และ ไม่กินกับปัญญา และถ้าปรากฏว่าในสิ่งนี้ มีความดีงาม ทำไมอบูบักร์,อุมัร,อุษมาน ,อาลี ,เหล่าสาวกคนอื่นๆ,เหล่า ตาบิอีน ,บรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา ,บรรดาอิหม่ามและบรรดาผู้ที่ตามพวกเขา ได้ละเลย จากมันเล่า? – อัสสุนัน วัล มุบตะดะอาต หน้า 138
จากคำพูดของ ท่านมุหัมหมัด อับดุสสลาม เคาะฎีร อัชชะกีรีย์ ข้างต้น
จึงมีคำถามให้คิดและตรตรองว่า "หากนบีเป็นคนแรกที่ทำเมาลิด แล้วทำไมเคาะลิฟะฮทั้งสี่ไม่จัดเฉลิมฉลองเมาลิดนบี ??????
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/11/60