วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รายอแน...ใครสอนให้ละหมาดตัสเบียะหรือ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


รายอแน...ใครสอนให้ละหมาดตัสเบียะหรือ
รายอแน หรือ อีดอัลอับรอร ได้เคยชี้แจงไปแล้วว่า ไม่มีที่มาในคำสอนอิสลาม
ดังที่ ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ได้กล่าวไว้ว่า
وأما اتخاذ موسم غير المواسم الشرعية كبعض ليالي شهر ربيع الأول التي يقال : إنها ليلة المولد , أو بعض ليالي رجب , أو ثامن عشر ذي الحجة , أو أول جمعة من رجب , أو ثامن من شوال الذي يسميه الجهَّال عيد الأبرار : فإنها من البدع التي لم يستحبها السلف , ولم يفعلوها. والله سبحانه وتعالى أعلم). ا.هـ.
สำหรับการยึดเทศกาลหนึ่งเทศกาลใดอื่นจากเทศกาลแห่งศาสนบัญญัติ เช่น บางคืนในเดือนเราะบีอุลเอาวัลที่ถูกเรียกว่าคืนเมาลิด บางคืนในเดือนเราะญับ วันที่ 18 ของเดือนซุลหิจญะฮฺ, ศุกร์แรกของเดือนเราะญับ หรือวันที่ 8 ของเดือนเชาวาลซึ่งผู้โง่เขลาเรียกมันว่า ‘อีดอับรอรฺ’ ล้วนแล้วแต่เป็นบิดอะฮฺอุตริกรรมที่บรรดาสลัฟ (ชนยุคแรก) มิได้สนับสนุนให้กระทำมัน และพวกเขาไม่เคยปฏิบัติ วัลลอฮุสุบหานะฮูวะตาลาอะอฺลัม” (มัจญ์มูอฺ อัลฟะตาวา 25/298)
ยิ่งไปกว่านั้น มีการกำหนดให้มีการละหมาดญะมาอะฮตัสเบียะในวันอีดอัลอับรอร ที่ถูกอุตริขึ้นมาอีก ยิ่ง ไปกันใหญ่
เพราะหะดิษเกี่ยวกับการละหมาดตัสเบียะ ก็มีปัญหา ดังที่นักวิชาการได้ระบุไว้ต่อไปนี้
1.ท่านอิหม่ามนะวาวีย์ ซึ่งเป็นนักวิชาการสายชาฟิอีกล่าวไว้ว่า
قَالَ الْقَاضِي حُسَيْنٌ وَصَاحِبَا التَّهْذِيبِ وَالتَّتِمَّةِ وَالرُّويَانِيُّ فِي أَوَاخِرِ كِتَابِ الْجَنَائِزِ مِنْ كِتَابِهِ الْبَحْرِ : يُسْتَحَبُّ صَلَاةُ التَّسْبِيحِ لِلْحَدِيثِ الْوَارِدِ فِيهَا وَفِي هَذَا الِاسْتِحْبَابِ نَظَرٌ ; لِأَنَّ حَدِيثَهَا ضَعِيفٌ ، وَفِيهَا تَغْيِيرٌ لِنَظْمِ الصَّلَاةِ الْمَعْرُوفِ ، فَيَنْبَغِي أَلَا يُفْعَلَ بِغَيْرِ حَدِيثٍ ، وَلَيْسَ حَدِيثُهَا بِثَابِتٍ ، وَهُوَ مَا رَوَاهُ ابْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا
อัลกอฎีย์ หุสัยน และเจ้าของหนังสืออัตตะฮซีบและอัตตะติมะฮและอัรรูยานีย์ ได้กล่าวไว้ในช่วงท้ายของกิตาบอัลญะนาอิซ จากหนังสือของเขาว่า ""ชอบให้ละหมาดตัสเบียะ เพราะมีหะดิษรายงานในมัน"
(ท่านอิหม่ามนะวาวีย์ กล่าวว่า) " และในกรณีบอกว่าชอบ(มุสตะหับบะฮ)ให้ปฏิบัตินี้ ต้องพิจารณา เพราะแท้จริงมันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ และในมัน(การละหมาดตัสเบียะ) เป็นการเปลียนแปลงรูปแบบการละหมาดที่เป็นที่รู้กัน ดังนั้น จึงควรจะไม่ปฏิบัติ โดยไม่มีหะดิษมาสนับสนุน และหะดิษของมัน(ของการละหมาดตัสเบียะ) ไม่แน่นอน คือ หะดิษที่รายงานโดย อิบนุอับบาส (ร.ฎ) ........จนจบหะดิษ
- ดู อัลมัจญมัวะ ชัรหุลมุหัซซับ เล่ม 3 หน้า 546- 547
หลังจากที่ระบุหะดิษละหมาดตัสเบียะ อิหม่ามนะวาวีย์ ระบุ ในช่วงท้ายว่า
وَقَدْ قَالَ الْعُقَيْلِيُّ : لَيْسَ فِي صَلَاةِ التَّسْبِيحِ حَدِيثٌ يَثْبُتُ ، وَكَذَا ذَكَرَ أَبُو بَكْرِ بْنُ الْعَرَبِيِّ وَآخَرُونَ ، أَنَّهُ لَيْسَ فِيهِ حَدِيثٌ صَحِيحٌ وَلَا حَسَنٌ وَاَللَّهُ أَعْلَمُ
และแท้จริง อัลอุกอ็ยลีย์ ได้กล่าวว่า " ในละหมาดตัศเบียะไม่มีหะดิษที่แน่นอน และเช่นเดียวกันนั้น ,อบูบักร บิน อัลอะเราะบีย์ และบรรดาคนอื่นๆได้กล่าวว่า " แท้จริงในมัน ไม่มีหะดิษเศาะเฮียะ และหะดิษหะซัน -วัลลอฮุอะอลัม -
 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


2.หาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ)กล่าวว่า
الْحَقُّ أَنَّ طُرُقَهُ كُلَّهَا ضَعِيفَةٌ ، وَإِنْ كَانَ حَدِيثُ ابْنِ عَبَّاسٍ يَقْرَبُ مِنْ شَرْطِ الْحَسَنِ إِلاَّ أَنَّهُ شَاذٌّ لِشِدَّةِ الْفَرْدِيَّةِ فِيهِ وَعَدَمِ الشَّاهِدِ وَالْمُتَابِعِ مِنْ وَجْهٍ مُعْتَبَرٍ ، وَمُخَالَفَةِ هَيْئَتِهَا لِهَيْئَةِ بَاقِي الصَّلَوَاتِ
ที่ถูกต้องนั้น แท้จริงบรรดาสายรายงานของมัน ทั้งหมด เฎาะอีฟ และแม้ปรากฏว่า หะดิษอิบนุอับบาส จะใกล้เคียงกับ เงื่อนไขของหะดิษหะซัน ก็ตาม แต่ ว่า มันเป็นหะดิษที่แปลก เพราะความโดดดียวอย่างรุนแรง ในมัน โดยที่ไม่มีหะดิษมาสนับสนุน จากทางอื่นที่ได้รับการยอมรับ และ รูปแบบของมันแตกต่างจากรูปแบบของบรรดาละหมาดอื่น- อัตตัลคีศุลหะบีร เล่ม 2 หน้า 18
3. อิบนุกุดามะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فأما صلاة التسبيح , فإن أحمد قال : ما يعجبني . قيل له : لم ؟ قال : ليس فيها شيء يصح ، ونفض يده كالمنكر
สำหรับละหมาดตัศเบียะนั้น แท้จริงอะหมัด(บิน หัมบัล) กล่าวว่า ""การละหมาดตัสเบียะ ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจ " มีผู้ถามว่า "ทำไมหรือ? ท่านกล่าวว่า "ในนั้นไม่มีหะดิษเศาะเฮียะเลย และท่านได้สะบัดมือของท่าน เหมือนกับว่า มันเป็นสิ่งต้องห้าม - อัลมุฆนีย์ 1/438
3.ท่านเช็คอับดุลอาซีซ บิน บาซได้ตอบคำถามในเรื่องนี้ว่า
اختلف العلماء في حديث صلاة التسابيح والصواب أنه ليس بصحيح لأنه شاذ ومنكر المتن ومخالف للأحاديث الصحيحة المعروفة عن النبي صلى الله عليه وسلم في صلاة النافلة ، الصلاة التي شرعها الله لعباده في ركوعها وسجودها وغير ذلك ، ولهذا الصواب : قول من قال بعدم صحته لما ذكرنا ولأن أسانيده كلها ضعيفة
บรรดานักวิชาการได้มีความเห็นขัดแย้งกันในหะดิษเกี่ยวกับละหมาดตัสเบียะ และที่ถูกต้องนั้น ไม่เศาะเฮียะ เพราะเป็นหะดิษที่ตัวบท เพี้ยนและมุงกัร(ถูกปฏิเสธ) และ ขัดแย้งกับบรรดาหะดิษเศาะเฮียะ ที่เป็นที่รู้กันจากนบี ในการละหมาดสุนัต ,ละหมาดซึ่ง อัลลออ ได้ทรงบัญญัติให้แก่บ่าวของพระองค์ ใน การรุกัวะของมัน ,การสุญูดของมัน และอื่นจากนั้น และเพราะเหตุนี้ ที่ถูกต้องคือ คำพูดของผู้ที่กล่าวว่า ไม่เศาะเฮียะ ดังที่เราได้ระบุไว้แล้ว และ เพราะว่า บรรดาสายรายงานของมันทั้งหมด เฎาะอีฟ (อ่อนหลักฐาน) - ดู มัจมัวะฟะตาวา วะมะกอลาต เล่ม ๑๑
การกำหนดวันอีดขึ้นมาใหม่ แล้วนำการละหมาดตัสเบียะมาแทนที่ละหมาดอีด มันคือ การอุตริบิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮชัดเจน ส่วนเรื่องการละหมาดตัสเบียะที่ไม่นำมาประกอบกับอีดที่กำหนดขึ้นใหม่ นั้น นักวิชาการเห็นขัดแย้งในสถานะของหะดิษ เพราะฉะนั้น ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของพี่น้องผู้อ่าน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/7/60

การบิดเบือนหลักการหะดิษเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำบิดอะฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การบิดเบือนหลักการหะดิษเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำบิดอะฮ
Al-Yafaie Bin-nazaie
นี้ครัช หลักการของบทบัญญัติทางศาสนาของอัลเลาะ(ซบ)
จากคำสั่งท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)กล่าวว่า
الحلال ما أحل الله فى كتابه ، والحرام ما حرم الله فى كتابه ، وما سكت عنه فهو مما عفاعنه
"หะล้าลก็คือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงอนุมัติไว้ในคำภีร์ของพระองค์และหะรอมก็คือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงห้ามไว้ในคำภีร์ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์นิ่งจากมัน ก็คือสิ่งที่พระองค์ผ่อนปรนให้"รายงานโดยท่านติรมีซีย์
...............
อ่านสะก่อน..แล้วใช้สมองคิดด้วย..อย่าอ่านแค่ผ่านสายตาเฉยๆ
@@@@@
ข้างต้นเป็นการบิดเบือนหะดิษ ที่เกี่ยวกับหะลาล หะรอม ในเรื่องอาดัตมาแอบอ้างในเรื่องหลักการอิบาดะฮ เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างในการอุตริบิดอะฮ
มาดูคำอธิบายของอิหม่ามสะยูฏีย์(ร.ฮ) คือ
الْأَصْلُ فِي الْأَشْيَاءِ الْإِبَاحَةُ حَتَّى يَدُلُّ الدَّلِيلُ عَلَى التَّحْرِيمِ .هَذَا مَذْهَبُنَا ، وَعِنْد أَبِي حَنِيفَةَ : الْأَصْلُ فِيهَا التَّحْرِيمُ حَتَّى يَدُلَّ الدَّلِيلُ عَلَى الْإِبَاحَةِ ، وَيَظْهَرُ أَثَرُ الْخِلَافِ فِي الْمَسْكُوتِ عَنْهُ ،
وَيُعَضِّدُ الْأَوَّلَ قَوْلُهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ { مَا أَحَلَّ اللَّهُ فَهُوَ حَلَالٌ وَمَا حَرَّمَ فَهُوَ حَرَامٌ وَمَا سَكَتَ عَنْهُ فَهُوَ عَفْوٌ ، فَاقْبَلُوا مِنْ اللَّهِ عَافِيَتَهُ فَإِنَّ اللَّهَ لَمْ يَكُنْ لِيَنْسَى شَيْئًا } أَخْرَجَهُ الْبَزَّارُ وَالطَّبَرَانِيُّ مِنْ حَدِيثِ أَبِي الدَّرْدَاءِ بِسَنَدٍ حَسَنٍ
หลักเดิมในสิ่งต่างๆนั้น คือ การอนุญาติ จนกว่าจะมีหลักฐานแสดงบอกถึงการห้าม ,นี้คือมัซฮับของเรา(หมายถึงมัซฮับชาฟิอี) และในทัศนะอบีหะนีฟะฮ คือ หลักเดิมในมันคือ การห้าม จนกว่าจะมีหลักฐานแสดงบอกว่าอนุญาต และ อะษัร(หะดิษ) ปรากฏชัดเจนว่าขัดแย้ง ในเรื่อง สิ่งที่ถูกนิ่งเงียบ(สิ่งที่ไม่ระบุหุกุมว่าหะลาลหรือหะรอม)จากมัน 
และ คำพูดของท่านนบี ศอ็ลฯ สนับสนุนทัศนะแรก คือ หะดิษที่ว่า(สิ่งที่อัลลอฮ ทรงอนุมัติ มันคือ หะลาล และสิ่งที่อัลลอฮทรงกำหนดให้เป็นข้อห้ามมันคือ หะรอม และสิ่งที่ทรงนิ่งเงียบ มันคือ การผ่อนปรน ดังนั้นพวกท่านจงรับจากอัลลอฮ ซึ่งการผ่อนปรนของพระองค์เถิด เพราะแท้จริง อัลลอฮไม่ทรงลืมสิ่งใดๆ )- รายงานโดยอัลบัซซาร และอัฏฏอ็บรอนีย์ จากหะดิษ อบีอัดดัรดาอฺ ด้วยสายรายงานที่ดี - ดูอัลอัชบาฮวัลนะซออิร หน้า 60
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
..........
หะดิษข้างต้น เกี่ยวกับหลักการศาสนาที่เกี่ยวกับเรื่องอาดะฮ ไม่เกี่ยวกับอิบาดะฮ ซึ่งกฏที่ว่า "หลักเดิมในสิ่งต่างๆคืออนุญาต "เป็นทัศนะมัซฮับชาฟิอี โดยอาศัยหะดิษข้างต้น แต่....โต๊ะครู ที่ใช้นามแฝงว่า Al-Yafaie Bin-nazaie กลับเอามาอ้างเรื่องอิบาดะฮ เพื่อเป็นข้ออ้างในการอุตริบิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮ โดยอ้างว่า "นบีไม่ทำก็ทำได้"
เรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ
الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف
บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ (ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265
อัสสัรเคาะสีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ولا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله، ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي.
และไม่มีช่องทางใดๆสำหรับความคิดเห็น ในเรื่องการรู้จักสิ่งที่มันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเหตุนี้ จึงไม่อนุญาตให้รับรองรากฐานการอิบาดะฮ ด้วยการใช้ความคิดเห็น – ดู อุศูลุอัสสัรเคาะสีย์ เล่ม 2 หน้า 122 
หมายความว่า ในเรื่อง การอิบาดะฮนั้น ไม่เปิดโอกาสให้นำความคิดเห็นมากำหนดบทบัญญัติศาสนาที่จะนำไปทำการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องหยุดอยู่ที่คำสัง 
ดังที่ อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร กล่าวว่า
الأصل في العبادة التوقف
รากฐานในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 80
ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ “ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ” เล่มที่ 4 หน้า 276 ว่า
وَبَابُ الْقُرَبَاتِ يُقْتَصَرُ فِيْهِ عَلَى النُّصُوْصِ، وَلاَ يُتَصَرَّفُ فِيْهِ بِأَنْوَاعِ اْلأَقْيِسَةِ وَاْلآرَاءِ
“และในเรื่องของ อัลกุรบาต(เรื่องการแสดงความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์/อิบาดะฮ) จะถูก “จำกัดตามตัวบท” เท่านั้น จะไปแปรเปลี่ยนมันตามการอนุมานเปรียบเทียบต่างๆ(กิยาส)หรือแนวคิดต่างๆไม่ได้”
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) ปราชญ์มัซฮับ หัมบะลีกล่าวว่า
فأما ما اتفق السلف على تركه فلا يجوز العمل به لأنهم ما تركوه إلا على علم أنه لا يعمل
แล้วสำหรับ สิ่งที่ชาวสะลัฟ เห็นฟ้องกันบนการให้ละทิ้ง ก็ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติด้วยมัน เพราะแท้จริง พวกเขาจะไม่ทิ้ง(หมายถึงจะไม่ปฏิบัติ) มัน นอกจาก บนการรู้ว่า มันไมถูกปฏิบัติ – 
كتاب فضل علم السلف على الخلف ص 32
หมายความว่า บรรดาสิ่งที่บรรดาชนยุคสะลัฟไม่มีใครปฏิบัติเลย ก็ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติ เพราะพวกเขาจะไม่ละทิ้งการปฏิบัติสิ่งใด นอกจากรู้ว่า สิ่งนั้น นบี ศอ็ลฯ ไม่ได้ปฏิบัติ
...................
แปลกใจยิ่งนัก มีคนบางกลุ่มนำแนวคิดที่ว่า แม้นบี ศอ็ลฯไม่ทำก็ไม่ได้หมายความว่าห้ามทำ ทั้งนี้เพื่อเป็นเหตุผลอนุรักษ์สิ่งที่เป็นอุตริกรรมในศาสนา 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/5/59

ปากบอกรักนบี แต่..นบีไม่ทำกูทำได้



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ปากบอกรักนบี แต่..นบีไม่ทำกูทำได้

มีคนบางจำพวกปฏิญานตนแค่ปลายลิ้นว่า "ฉันขอปฏิญานว่า มุหัมหมัด คือศาสนทูตของอัลลอฮ แต่มีอะกีดะฮ อิบาดะฮที่นบีไม่ทำก็ทำได้ ,บอกแค่ปลายลิ้นว่ารักนบีแค่ปลายลิ้น เพราะเชื่อว่า อิบาดะฮที่ไม่มีแบบอย่างจากนบี ก็ทำได้ ถ้าคิดว่าดี ช่างน่าหดหู่และอดสูยิ่งนัก อัลลอฮส่งนบีมุหัมหมัดศอ็ลฯเพื่ออะไรหรือ ไม่ใช่เพื่อเป็นแบบอย่างแก่อุมมะฮหรอกหรือ?
การที่เรานับถือศาสนา โดยมีเป้าสูงสุดในชีวิต คือ ความโปรดปรานจากอัลลอฮ ในโลกนี้และโลกหน้า เราไม่ได้นับถือศาสนาเพื่อตามอารมณ์ตนเอง หรือ อารมณ์ของความหลากหลายของคนในดุนยา หรือ เพื่อพวกฟ้องและมัซฮับ เพราะฉะนั้น การแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ นั้น เราต้องพยายามแสวงหาแนวทางที่จะทำให้ใกล้ชิดต่อพระองค์ นั้น คือ การปฏิบัติตามสิ่งใดก็ตามที่เป็นสุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ
จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่านและอภัยความผิดของพวกท่าน ให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮ คือ ผู้ทรงอภัยและเมตตายิ่ง – อาลิอิมรอน/31 
ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า
هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ
อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฮ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ” 
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33 

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
 
........
เมื่อปากอ้างว่ารักอัลลอฮ แตไม่ตามแบบอย่างของนบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ในบรรดาคำพูดและและการกระทำของท่านนบี ก็เท่ากับเป็นการอ้างเท็จ
عَنِ ابْنِ جُرَيْجٍ قَوْلَهُ : " إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ ، قَالَ : كَانَ قَوْمٌ يَزْعُمُونَ أَنَّهُمْ يُحِبُّونَ اللَّهَ ، يَقُولُونَ : إِنَّا نَحْبُ رَبَّنَا ! فَأَمَرَهُمُ اللَّهُ أَنْ يَتْبَعُوا مُحَمَّدًا - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَجَعَلَ اتِّبَاعَ مُحَمَّدٍ عَلَمًا لِحُبِّهِ .
จากอิบนุญุรัยญฺ เกี่ยวกับคำตรัสที่ว่า “จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่าน” เขาได้กล่าวว่า “ คนกลุ่มหนึ่ง เข้าใจว่า พวกเขารักอัลลอฮ โดยกล่าวว่า “พวกเรารักพระเจ้าของเรา” ดังนั้นอัลลอฮจึงสั่งให้พวกเขาปฏิบัติตามมุหัมหมัด ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และให้การปฏิบัติตามมุหัมหมัด เป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า รักพระองค์ – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 6 หน้า 322
และยิ่งอดสูเข้าไปอีกเมื่อคนที่อ้างว่าสังกัดมัซฮับชาฟิอี (ร.ฮ)บางพวก กลับบิดเบือนใช้ตรรกแถคำสอนของท่านอีก เช่น
อิมามชาฟิอีย์เคยพูดไว้ว่า
إِذَا وَجَدْتُمْ فِي كِتَابِي خِلافَ سُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُولُوا بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَدَعُوا مَا قُلْتُ
ความว่า "เมื่อพวกท่านพบในตำราของฉันแตกต่างกับสุนนะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตาม สุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺเถิด และจงทิ้งสิ่งที่ฉันพูด
- มะริฟะฮ สุนันวัลอะษาร ของ อัลบัยหะกีย หะดิษ หมายเลข ๑๐๙ 
.......
เมื่ออิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ)สอนให้ตามสุนนะฮ อย่าตามทัศนะที่ขัดแย้งกับสุนนะฮนบี ก็จะมีคนอนุรักษ์บิดอะฮ สร้างวาทกรรมออกมาว่า
1. เป็นการถ่อมตนของอิหม่ามชาฟิอี ท่านไม่ผิดหรอก
2. เป็นคำสอนแก่ลูกศิษย์ระดับมุจญตะฮิดนะจ้ะ ไม่เกี่ยวกับคนอาวาม
3. บอกมาซิวะฮบี อะไรบ้างที่ชาฟิอี ไม่ตามนบี ขัดแย้งกับนบี
สามวาทกรรมข้างต้น จะถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องบิดอะฮ และปกป้องวาทกรรมที่ว่า "นบีไม่ทำ ก็ทำได้" อยู่เนื่องๆ
พี่น้องผู้อ่านผู้ศรัทธาที่เคารพ
ชาตินี้ บางคน บางกลุ่ม เราเปลี่ยนสิ่งที่ฝังอยู่ในเส้นเลือดเขาไม่ได้ เพราะ เรื่องการฮิดายะฮ เตาฟิก เป็นหน้าที่ของอัลลอฮ จงอดทน และอดทนครับ อย่าไปฟังพวกโลกสวยที่ว่า "อย่าไปสร้างความแตกแยก ปล่อยไปเถอะ ทางใครทางมัน"
......
พี่น้องอย่าลืมว่า ศาสนา ที่เป็นแก่นแท้ กว่าจะถึงมายังพวกเราได้ คนที่พาศาสนามาถึงเรา ไม่ได้เดินบนหนทางที่โรยด้วยดอกกุหลาบแม้แต่คนเดียว"
คนบางจะพวก ไม่กล้าพูดความจริง เพราะกลัวไม่มีที่ยืนในสังคม...โปรดทราบไว้ว่า ต่อให้คุณมีที่ยื่นในสังคมกว้างขวางเพียงใด หลุมศพก็ขว้างแค่บรรจุร่างที่ไร้วิญญานของคุณเท่านั้นเอง"
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/2/60

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การอ้าง การอ่านคุตบะฮภาษาไทยเป็นบิดอะฮ เพื่อเป็นข้ออ้างในการอุตริบิดอะฮ




ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



การอ้าง การอ่านคุตบะฮภาษาไทยเป็นบิดอะฮ เพื่อเป็นข้ออ้างในการอุตริบิดอะฮ

Al-Yafaie Bin-nazaie
โตะแชสัน..คงลืมสิว่า..ท่านอีมามชาฟีอีย์ได้ให้คำกำจัดความความหมายคำว่าบิดอะฮ์ว่า.มันคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่...หรือกระทำขึ้นมาใหม่...
การอ่านคุตะบะฮ์เป็นภาษาไทยคือบิดอะฮ์เช่นกันด้วยความหมายของคำว่าบิดอะฮ์..
ที่หมายถึง มันคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่...หรือกระทำขึ้นมาใหม่...
โตะเเชสัน..ยังงงอีกหรอคับนี้
@@@@
ข้างต้น เป็นข้ออ้างของ Al-Yafaie Bin-nazaie นามแฝง ครูสามจังหวัด เพื่อเป็นข้ออ้างว่า บิดอะฮเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาต แม้นบีไม่ทำ -นะอูซุบิลละฮ
การอ่านคุตบะฮ แปลว่า การเทศน์ การปราศรัย ,การกล่าวสุนทรพจน์ หรือการกล่าวบรรยายธรรม
ความหมายคุตบะฮในทางวิชาการคือ
" .وَالْخُطْبَةُ فِي الْمُتَعَارَفِ اسْمٌ لِمَا يَشْتَمِلُ عَلَى تَحْمِيدِ اللَّهِ وَالثَّنَاءِ عَلَيْهِ وَالصَّلَاةِ عَلَى رَسُولِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَالدُّعَاءِ لِلْمُسْلِمِينَ وَالْوَعْظِ وَالتَّذْكِيرِ لَهُمْ
และคุฏบะฮ ในความหมายที่รู้จักกันคือ ชื่อ ของสิ่งที่ประกอบไปด้วย การสรรเสริญอัลลอฮ ,การยกย่องพระองค์ ,การเศาะละวาตแก่ท่ารซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ,การดุอาแก่บรรดามุสลิมีน ,การอบรมและการตักเตือนพวกเขา - ดูบะดาอิอุศเศาะนาเอียะ ของอัลกะสานีย์ อัลหะนะฟี เล่ม 1 หน้า 262

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



.............
จากนิยามข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผู้อ่านคุฏบะฮญุมอัตหรือคุฏบะฮละหมาดอีดทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นชาวอาหรับหรือไม่ใช่อาหรับ คุฏบะฮที่อ่านประกอบด้วย
1.การสรรเสริญอัลลอฮ
2.การเศาะละวาตนบี
3.การอบรม ตักเตือนและการดุอา
จาก 3 ข้อข้างต้น เป้าหมายหลักคือ การอบรม ตักเตือนมุสลิม เพราะฉะนั้น การใช้ภาษาก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของพวกเขาเป็นสำคัญ ซึ่ง การแปลอัลกุรอ่าน ,อัลหะดิษและการบรรยายเป็นภาษาที่มนุษย์รู้ฟัง ไม่มีปราชญมุสลิมที่ได้รับการยอมรับคนใหนบอกว่า สิ่งนี้คือบิดอะฮ หรืออยู่ในความหมายบิดอะฮ อย่างที่โต๊ะครู สามจังหวัดที่ใช้นามแฝงว่า Al-Yafaie Bin-nazaie อ้างและมอมเมาให้คนอาวามหลงเชื่อ เพื่อจะได้เป็นเหตุผลในการอุตริบิดอะฮ -วัลอิยาซุบิดละฮ
และความหมายคุฎบะฮ ในอีกความหมายหนึ่งคือ
الخطبة: الكلام المؤلف المتضمن وعظا وابلاغا
คุฏบะฮคือ คำพูด ที่ถูกประกอบไปด้วยการอบรมตักเตือนและการถ่ายทอดคำพูด -ดู ลุเฆาะฮอัลฟุเกาะฮาฮ หรือ ตะหรรีรอัลฟาซตัมบีฮ ชอง อันนะวาวีย หน้า 84-85
ไม่มีหลัฐานว่า การอ่านคุฏบะฮจะต้องมีเงื่อนไขว่าต้องใช้ภาษาอาหรับ ดังฟัตวาอัลลุจญนะฮฯระบุว่า
"لم يثبت في حديث عن النبي صلى الله عليه وسلم ما يدل على أنه يُشترط في خطبة الجمعة أن تكون باللغة العربية ، وإنما كان صلى الله عليه وسلم يخطب باللغة العربية في الجمعة وغيرها ؛ لأنها لغته ولغة قومه ، فَوَعَظَ مَنْ يخطب فيهم وأرشدهم وذكَّرهم بلغتهم التي يفهمونه
ไม่ปรากฏรายงานยืนยันในหะดิษจากท่านนบี ศอ็ลฯ สิ่งที่แสดงบอกว่า ถูกกำหนดเงื่อนไขในการคุฏบะฮญุมอัต ว่าให้เป็นภาษาอาหรับ และความจริง นบี ศอ็ลฯ อ่านคุฏบะฮ ด้วยภาษาอาหรับ ในวันญุมอัตและอื่นจากมันนั้น เพราะมัน เป็นภาษาของท่านนบีและเป็นภาษาของกลุ่มชนของท่านนบี ท่านนบีได้อบรม ,แนะนำ และตักเตือนพวกเขา ด้วยภาษาของพวกเขาที่พวกเขาเข้าใจ ...ดู ฟัตวาอัลลุจญนะฮอัดดาอิมะฮฯ 8/535 ฟัตวา หมายเลข 1495

 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

الرأي الأعدل هو أن اللغة العربية في أداء خطبة الجمعة والعيدين في غير البلاد الناطقة بها ليست شرطاً لصحتها ، ولكن الأحسن أداء مقدمات الخطبة وما تضمنته من آيات قرآنية باللغة العربية ، لتعويد غير العرب على سماع العربية والقرآن ، مما يسهل تعلمها ، وقراءة القرآن باللغة التي نزل بها ، ثم يتابع الخطيب ما يعظهم به بلغتهم التي يفهمونها " انتهى.
ทัศนะที่เป็นกลางที่สุดคือ แท้จริงภาษาอาหรับ ในการอ่านคุฏบะฮญุมอัตและอีดทั้งสอง ในประเทศที่ไม่พูดด้วยภาษาอาหรับนั้น ไม่ใช่เงื่อนไขที่ทำให้คุฏบะฮนั้นใช้ได้(เศาะห) แต่ ที่ดีที่สุด คำนำของคุฏบะฮและสิ่งที่ประกอบไปด้วยบรรดาอายาตอัลกุรอ่านนั้น ให้ปฏิบัติ(ให้อ่าน)ด้วยภาษาอาหรับ เพื่อให้เกิดความเคยชิน แก่ผู้ที่ไม่ใช่อาหรับ ต่อการฟังภาษาอาหรับและอัลกุรอ่าน จากสิ่งที่จะทำให้การเรียนรู้มันง่ายขึ้น และ การอ่านอัลกุรอ่าน ด้วยภาษาที่ถูกประท่านลงมาด้วยมัน หลังจากนั้นเคาะฏิบ ก็จะติดตามด้วย สิ่งที่อบรมตักเตือนพวกเขา ด้วยมัน ด้วยภาษาของพวกเขา ที่พวกเขาเข้าใจมัน - เกาะรอรอตอัลมัจญตะเมียะอัลฟิกฮีย์ หน้า 99
"قرارات المجمع الفقهي" (ص/99) (الدورة الخامسة، القرار الخامس)
อิหม่ามศิดดิก หะซัน ข่าน (ร.ฮ)กล่าวว่า
ثم اعلم أن الخطبة المشروعة هي ما كان يعتاده صلى الله تعالى عليه وآله وسلم من ترغيب الناس وترهيبهم فهذا في الحقيقة روح الخطبة الذي لأجله شرعت, وأما اشتراط الحمد لله أو الصلاة على رسول الله أو قراءة شيء من القرآن فجميعه خارج عن معظم المقصود من شرعية الخطبة

หลังจากนั้น โปรดรู้ไว้ว่า แท้จริง การคุฏบะฮที่ถูกบัญญัติให้ปฏิบัตินั้น คือ สิ่งที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้เคยปฏิบัติมันเป็นปกติวิสัย จากการส่งเสริมประชาชนให้ทำความดี (ตัรฆีบ)และตักเตือนพวกเขาให้ระวังสิ่งไม่ดี(ตัรฮีบ) เพราะสิ่งนี้ คือ แก่นแท้ ที่เป็นชีวิต(หัวใจสำคัญ)ของคุฏบะฮ ที่มันได้ถูกบัญญัติเพื่อมัน และสำหรับ เงื่อนไข การสรรเสริญอัลลอฮ หรือ การเศาะละวาตแก่รอซูลุลลอฮ หรือ อ่านสิ่งใดๆจากอัลกุรอ่านนั้น ทั้งหมดนั้น ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายสำคัญของการบัญญัติการอ่านคุฏบะฮ....ดู อัรเราเฏาะฮอัลนะดียะฮ ของอิหม่ามศิดดิก หะซัน ข่าน เล่ม 1 หน้า 137






ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
............
สรุปคือ การอ่านคุฏบะฮนั้น หัวใจสำคัญ และเป้าหมายที่ถูกบัญญัติคือ การอบรมส่งเสริมให้ทำความดี(อัตตัรฆีบ) และตักเตือนให้ระวังสิ่งที่ไม่ดีและการลงโทษ(อัต-ตัรฮีบ) ส่วนการสรรเสริญอัลลอฮและการเศาะละวาตนบี เป็นเงือนไขรองที่ไม่อยู่เป้าหมายสำคัญของการบัญญัติการอ่านคุฏบะฮ
กล่าวคือการอ่าน คุฏบะฮ ถูกบัญญัติมาเพื่อให้อบรมสั่งสอน ตักเตือนมนุษย์ แล้วถ้าพวกเขาที่ไม่รู้ภาษาอาหรับและและไม่แปลความหมายที่พวกเขาเข้าใจ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร
...............
เพราะฉะนั้น การอ้างว่า การอ่านคุฏบะฮภาษาไทย เป็นบิดอะฮ เพื่ออ้างความชอบธรรมในการที่ตนจะทำบิดอะฮในศาสนานั้น เป็นตรรกและความโง่เขลาที่สร้างความสับสนให้แก่คนอาวาม อย่างที่ชั่วร้ายที่สุด
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
30/6/60

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คำถามบิดอะฮดุนยาท่านได้แต่ใดมา


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
คำถามบิดอะฮดุนยาท่านได้แต่ใดมา
Abdulhaleem Matraksa 
แล้วแบ่งเป็นดุนยา ศาสนาท่านได้แต่ใดมา
@@@@@
ชี้แจง
ไม่น่าเชื่อว่าโต๊ะท่านนี้ ยังแยก เรื่องศาสนา เกี่ยวกับ ทางศาสนา(อิบาดะฮ) หรือ ดีนียะฮ และ ทางโลก(ดุนยะวียะฮ )ไม่ได้ 
มาดูครับ ท่านครูอับดุลฮาลีม มาตรรักษา คือ
عَنْ عَائِشَةَ رضي الله عنها، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم سَمِعَ أَصْوَاتًا . فَقَالَ " مَا هَذَا الصَّوْتُ " . قَالُوا النَّخْلُ يُؤَبِّرُونَهُ فَقَالَ " لَوْ لَمْ يَفْعَلُوا لَصَلَحَ " . فَلَمْ يُؤَبِّرُوا عَامَئِذٍ فَصَارَ شِيصًا فَذَكَرُوا لِلنَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَقَالَ : 
" إِنْ كَانَ شَيْئًا مِنْ أَمْرِ دُنْيَاكُمْ فَشَأْنَكُمْ بِهِ وَإِنْ كَانَ شَيْئًا مِنْ أُمُورِ دِينِكُمْ فَإِلَىَّ "
صحيح-الألباني"صحيح ابن ماجه": 2019 , صحيح-الألباني"صحيح الجامع": 5601, صحيح ابن حبان: 22
จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เมื่อ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ยินเสียงดังมาจากต้นอินผลัม ท่านได้กล่าวถามว่า " เสียงนี้คืออะไร? " พวกเขา(ชาวสวนอินทผลัม)กล่าวตอบว่า " พวกเรากำลังผสมเกสรอินทผลัม " ท่านนบีฯจึงกล่าวว่า " ถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้นมันอาจจะดีกว่านะ " ในปีนั้นอินทผลัมก็ไม่ได้รับการผสมเกสร และในปีนั้นอินทผลัมก็ไม่ติดผลอย่างที่เคย ชาวสวนจึงนำเรื่องดังกล่าวไปบอกท่านนบีฯ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า ;
“หากว่ามีสิ่งใดก็ตามจากดุนยาของพวกเจ้า มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าในเรื่องนั้น และแท้จริงหากมีสิ่งใดก็ตามจากของศาสนาของพวกเจ้า ก็จงกลับมาที่ฉัน”
เศาะฮีหฺ–อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อิบนุ มาญะฮฺ" : 2019 , เศาะฮีหฺ–อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อัลญามิอฺ" : 5601 , เศาะฮีหฺ อิบนุ ฮิบบาน : 22
และมีรายงานอีกว่าท่านนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า
إنما أنا بشر، إذا أمرتكم بشيء من دينكم فخذوا به، وإذا أمرتكم بشيء من رأي فإنما أنا بشر». رواه مسلم
ความจริงฉันคือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เมื่อฉันสั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด ที่เกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน พวกท่านจงเอามัน และเมื่อฉันสั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด เกี่ยวกับความเห็น ความจริงฉันก็คือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง -รายงานโดยมุสลิม
ชัยค์อาลี บิน สุลฏอน มุหัมหมัด อัลกอรีย์ กล่าวว่า
مِنْ أَمْرِ دِينِكِمْ أَيْ مِمَّا يَنْفَعُكُمْ فِي أَمْرِ دِينِكُمْ ( فَخُذُوا بِهِ ) : أَيِ افْعَلُوهُ فَإِنِّي إِنَّمَا نَطَقْتُ بِهِ عَنِ الْوَحْيِ ( وَإِذَا أَمَرْتُكُمْ بِشَيْءٍ مِنْ رَأْيِي ) . وَفِي نُسْخَةٍ : مِنْ رَأْيٍ أَيْ مُتَعَلِّقٍ بِالدُّنْيَا الَّتِي لَا ارْتِبَاطَ لَهَا بِالدِّينِ وَأَخْطَأْتُ فَلَا تَسْتَبْعِدُوا ، وَقِيلَ : فَمَنْ شَاءَ فَعَلَهُ وَمَنْ شَاءَ لَمْ يَفْعَلْهُ ( فَإِنَّمَا أَنَا بَشَرٌ ) ، أَيْ : فَإِنِّي بَشَرٌ أُخْطِئُ وَأُصِيبُ كَمَا جَاءَ فِي خَبَرِ أَحْمَدَ
(เกี่ยวกับศาสนาของพวกท่าน) หมายถึง จากสิ่งที่มีประโยชน์กับพวกท่าน ในเรื่องศาสนาของพวกท่าน(พวกท่านจงเอามัน) หมายถึงพวกท่านจงปฏิบัติมัน เพราะความจริงฉัน พูดด้วยมันจากวะหยู ( และเมื่อฉันสั่งพวกท่านด้วยสิ่งใด เกี่ยวกับความเห็น ของฉัน) และในสำเนาหนึ่ง ระบุว่า "จากความเห็น หมายถึง เกี่ยวกับทางดุนยา ที่ ไม่ผูกมัดมันกับเรื่องศาสนา และฉันผิดพลาด พวกท่านอย่าได้ออกห่าง และถูกกล่าวว่า ผู้ใดประสงค์จะทำก็ทำ ผู้ใดประสงค์(จะไม่ทำ)เขาก็ไม่ต้องทำมัน (เพราะความจริงฉันคือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง )หมายถึง แท้จริงฉันเป็นมนุษย์ มีผิดพลาดและถูกต้อง ดังหะดิษที่มีมาในการบอกเล่าของอะหมัด - มิรกอตุลมะฟาเตียะ ชัรหมิซกาติลมะศอเบียะ 1/346 อธิบายหะดิษหมายเลข 147 เรื่อง باب الاعتصام بالكتاب والسنة 
..........
ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้แยกระหว่างกิจการทางศาสนาและกิจการทางโลกไว้เรียกร้อยแล้ว คือ ถ้าเป็นเรื่อง ศาสนา ก็จงปฏิบัติตามเพราะท่านนบีพูดมาจากวะหยู แต่ถ้าเป็นความเห็นของท่านนบีเกี่ยวกับทางดุนยา ที่ไม่ผูกมัดกับเรื่องศาสนา และ ผิดพลาด ก็อย่าออกห่าง หมายถึง ให้ปฏิบัติได้ แม้ท่านนบีจะไม่เห็นด้วย เช่นกรณี การผสมเกสรอินทผลัม
มาดูนักปราชญที่เข้าใจศาสนากล่าวไว้
การประดิษฐ์สิ่งใหม่ในทางดุนยานั้น ท่านอิบนุอับดิลบัร(ร.ฎ)ได้ชี้แจงชัดเจนว่า
وَأَمَّا ابْتِدَاعُ الْأَشْيَاءِ مِنْ أَعْمَالِ الدُّنْيَا فَهَذَا لَا حَرَجَ فِيهِ وَلَا عَيْبَ عَلَى فَاعِلِهِ
สำหรับ การประดิษฐสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ที่เกี่ยวกับบรรดาการกระทำ ทางดุนยา(หรือทางโลก)นั้น ไม่มีความผิดใดๆ ในมัน และไม่มีการตำหนิใดๆแก่ผู้ที่กระทำมัน - ดู อัลอิสติซกาซ เล่ม 2 หน้า 67
เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ที่ผู้ที่รู้จริงในเรื่องบิดอะฮคือการหลงผิดนั้นคือ บิดอะฮที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ
ดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัติ คือ การหลงผิด
อิบนุหะญัร อัลหัยตะมีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فَإِن الْبِدْعَة الشَّرْعِيَّة ضَلَالَة كَمَا قَالَ – صلى الله عليه وسلم – وَمن قسمهَا من الْعلمَاء إِلَى حسن وَغير حسن فَإِنَّمَا قسم الْبِدْعَة اللُّغَوِيَّة وَمن قَالَ كل بِدعَة ضَلَالَة فَمَعْنَاه الْبِدْعَة الشَّرْعِيَّة
เพราะแท้จริง บิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัตินั้น คือ การหลงผิด ดังสิ่งที่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ และ ผู้ใดก็ตามจากบรรดาอุลามาอฺ ได้แบ่งมัน เป็น บิดอะฮที่ดี และ บิดอะฮที่ไม่ดี นั้น ความจริง เขาแบ่งบิดอะฮ เกี่ยวกับด้านภาษา และผู้ใดกล่าวว่า “ทุกๆบิดอะฮ คือการหลงผิด ความหมายของมันคือ บิดอะฮ เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ- ดูฟะตาวาอัลหะดีษียะฮ 1/655
สรุปคือ
1. บิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัตินั้นหลงผิด ดังที่นบี ศอ็ลฯกล่าวไว้คือ
كل بدعة ضلالة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด
2. สำหรับบรรดาอุลาลามาอฺ ที่แบ่งเป็น บิดอะฮที่ดี และ บิดอะฮที่ไม่ดีนั้น หมายถึง บิดอะฮเกี่ยวกับความหมายทางภาษา 
3. ผู้ที่กล่าวว่า ทุกบิดอะฮคือการหลงผิดนั้น ความหมายของมันคือ บิดอะฮ เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/6/60