วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การบิดเบือนหลักการหะดิษเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำบิดอะฮ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

การบิดเบือนหลักการหะดิษเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำบิดอะฮ
Al-Yafaie Bin-nazaie
นี้ครัช หลักการของบทบัญญัติทางศาสนาของอัลเลาะ(ซบ)
จากคำสั่งท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)กล่าวว่า
الحلال ما أحل الله فى كتابه ، والحرام ما حرم الله فى كتابه ، وما سكت عنه فهو مما عفاعنه
"หะล้าลก็คือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงอนุมัติไว้ในคำภีร์ของพระองค์และหะรอมก็คือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงห้ามไว้ในคำภีร์ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์นิ่งจากมัน ก็คือสิ่งที่พระองค์ผ่อนปรนให้"รายงานโดยท่านติรมีซีย์
...............
อ่านสะก่อน..แล้วใช้สมองคิดด้วย..อย่าอ่านแค่ผ่านสายตาเฉยๆ
@@@@@
ข้างต้นเป็นการบิดเบือนหะดิษ ที่เกี่ยวกับหะลาล หะรอม ในเรื่องอาดัตมาแอบอ้างในเรื่องหลักการอิบาดะฮ เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างในการอุตริบิดอะฮ
มาดูคำอธิบายของอิหม่ามสะยูฏีย์(ร.ฮ) คือ
الْأَصْلُ فِي الْأَشْيَاءِ الْإِبَاحَةُ حَتَّى يَدُلُّ الدَّلِيلُ عَلَى التَّحْرِيمِ .هَذَا مَذْهَبُنَا ، وَعِنْد أَبِي حَنِيفَةَ : الْأَصْلُ فِيهَا التَّحْرِيمُ حَتَّى يَدُلَّ الدَّلِيلُ عَلَى الْإِبَاحَةِ ، وَيَظْهَرُ أَثَرُ الْخِلَافِ فِي الْمَسْكُوتِ عَنْهُ ،
وَيُعَضِّدُ الْأَوَّلَ قَوْلُهُ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ { مَا أَحَلَّ اللَّهُ فَهُوَ حَلَالٌ وَمَا حَرَّمَ فَهُوَ حَرَامٌ وَمَا سَكَتَ عَنْهُ فَهُوَ عَفْوٌ ، فَاقْبَلُوا مِنْ اللَّهِ عَافِيَتَهُ فَإِنَّ اللَّهَ لَمْ يَكُنْ لِيَنْسَى شَيْئًا } أَخْرَجَهُ الْبَزَّارُ وَالطَّبَرَانِيُّ مِنْ حَدِيثِ أَبِي الدَّرْدَاءِ بِسَنَدٍ حَسَنٍ
หลักเดิมในสิ่งต่างๆนั้น คือ การอนุญาติ จนกว่าจะมีหลักฐานแสดงบอกถึงการห้าม ,นี้คือมัซฮับของเรา(หมายถึงมัซฮับชาฟิอี) และในทัศนะอบีหะนีฟะฮ คือ หลักเดิมในมันคือ การห้าม จนกว่าจะมีหลักฐานแสดงบอกว่าอนุญาต และ อะษัร(หะดิษ) ปรากฏชัดเจนว่าขัดแย้ง ในเรื่อง สิ่งที่ถูกนิ่งเงียบ(สิ่งที่ไม่ระบุหุกุมว่าหะลาลหรือหะรอม)จากมัน 
และ คำพูดของท่านนบี ศอ็ลฯ สนับสนุนทัศนะแรก คือ หะดิษที่ว่า(สิ่งที่อัลลอฮ ทรงอนุมัติ มันคือ หะลาล และสิ่งที่อัลลอฮทรงกำหนดให้เป็นข้อห้ามมันคือ หะรอม และสิ่งที่ทรงนิ่งเงียบ มันคือ การผ่อนปรน ดังนั้นพวกท่านจงรับจากอัลลอฮ ซึ่งการผ่อนปรนของพระองค์เถิด เพราะแท้จริง อัลลอฮไม่ทรงลืมสิ่งใดๆ )- รายงานโดยอัลบัซซาร และอัฏฏอ็บรอนีย์ จากหะดิษ อบีอัดดัรดาอฺ ด้วยสายรายงานที่ดี - ดูอัลอัชบาฮวัลนะซออิร หน้า 60
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
..........
หะดิษข้างต้น เกี่ยวกับหลักการศาสนาที่เกี่ยวกับเรื่องอาดะฮ ไม่เกี่ยวกับอิบาดะฮ ซึ่งกฏที่ว่า "หลักเดิมในสิ่งต่างๆคืออนุญาต "เป็นทัศนะมัซฮับชาฟิอี โดยอาศัยหะดิษข้างต้น แต่....โต๊ะครู ที่ใช้นามแฝงว่า Al-Yafaie Bin-nazaie กลับเอามาอ้างเรื่องอิบาดะฮ เพื่อเป็นข้ออ้างในการอุตริบิดอะฮในเรื่องอิบาดะฮ โดยอ้างว่า "นบีไม่ทำก็ทำได้"
เรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ
الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف
บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ (ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265
อัสสัรเคาะสีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
ولا مدخل للرأي في معرفة ما هو طاعة الله، ولهذا لا يجوز إثبات أصل العبادة بالرأي.
และไม่มีช่องทางใดๆสำหรับความคิดเห็น ในเรื่องการรู้จักสิ่งที่มันเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเหตุนี้ จึงไม่อนุญาตให้รับรองรากฐานการอิบาดะฮ ด้วยการใช้ความคิดเห็น – ดู อุศูลุอัสสัรเคาะสีย์ เล่ม 2 หน้า 122 
หมายความว่า ในเรื่อง การอิบาดะฮนั้น ไม่เปิดโอกาสให้นำความคิดเห็นมากำหนดบทบัญญัติศาสนาที่จะนำไปทำการภักดีต่ออัลลอฮ เพราะเรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องหยุดอยู่ที่คำสัง 
ดังที่ อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร กล่าวว่า
الأصل في العبادة التوقف
รากฐานในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 80
ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ “ตัฟซีรฺ อิบนุกะษีรฺ” เล่มที่ 4 หน้า 276 ว่า
وَبَابُ الْقُرَبَاتِ يُقْتَصَرُ فِيْهِ عَلَى النُّصُوْصِ، وَلاَ يُتَصَرَّفُ فِيْهِ بِأَنْوَاعِ اْلأَقْيِسَةِ وَاْلآرَاءِ
“และในเรื่องของ อัลกุรบาต(เรื่องการแสดงความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์/อิบาดะฮ) จะถูก “จำกัดตามตัวบท” เท่านั้น จะไปแปรเปลี่ยนมันตามการอนุมานเปรียบเทียบต่างๆ(กิยาส)หรือแนวคิดต่างๆไม่ได้”
อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) ปราชญ์มัซฮับ หัมบะลีกล่าวว่า
فأما ما اتفق السلف على تركه فلا يجوز العمل به لأنهم ما تركوه إلا على علم أنه لا يعمل
แล้วสำหรับ สิ่งที่ชาวสะลัฟ เห็นฟ้องกันบนการให้ละทิ้ง ก็ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติด้วยมัน เพราะแท้จริง พวกเขาจะไม่ทิ้ง(หมายถึงจะไม่ปฏิบัติ) มัน นอกจาก บนการรู้ว่า มันไมถูกปฏิบัติ – 
كتاب فضل علم السلف على الخلف ص 32
หมายความว่า บรรดาสิ่งที่บรรดาชนยุคสะลัฟไม่มีใครปฏิบัติเลย ก็ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติ เพราะพวกเขาจะไม่ละทิ้งการปฏิบัติสิ่งใด นอกจากรู้ว่า สิ่งนั้น นบี ศอ็ลฯ ไม่ได้ปฏิบัติ
...................
แปลกใจยิ่งนัก มีคนบางกลุ่มนำแนวคิดที่ว่า แม้นบี ศอ็ลฯไม่ทำก็ไม่ได้หมายความว่าห้ามทำ ทั้งนี้เพื่อเป็นเหตุผลอนุรักษ์สิ่งที่เป็นอุตริกรรมในศาสนา 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/5/59

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น