วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่เป็นสิ่งต้องห้าม (เพื่ออนุรักษ์บิดอะฮ)


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


วาทกรรมไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่เป็นสิ่งต้องห้าม (เพื่ออนุรักษ์บิดอะฮ)
อิจมาอีย์ บินกิยะซีย์
ท่านอิมาม อัลฆอซาลีย์(รห)กล่าวว่า "บิดอะฮ์มี 2 ประเภท คือบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ หมายถึง บิดอะฮ์ที่ขัดแย้งกับซุนนะฮ์เดิมและเกือบจะนำไปสู่การเปลื่ยนแปลงซุนนะฮ์ และ(2)บิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี)คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยมีตัวอย่างมาแล้ว"
ท่านอิมาม อัลฆอซาลีย์ได้กล่าวอีกเช่นว่า " สิ่งที่ถูกกล่าวว่ามันคือสิ่งที่ถูกทำขึ้นหลังจากร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)นั้นคือไม่ใช่เป็นทุกสิ่งๆ(ที่เกิดขึ้นมาใหม่)จะเป็นสิ่งต้องห้ามแต่สิ่งที่ต้องห้ามนั้น คือบิดอะฮ์ที่ขัดแย้งหรือค้านกับซุนนะฮ์ที่ได้ยืนยันไว้แล้ว" (ดู หนังสือ เอี๊ยะหฺยาอ์อุลูมิดดีน เล่ม 1 หน้า 276)
@@@@@
ชี้แจง
ข้อความข้างต้นจำได้ว่ามีการเปลี่ยนมือกันโพสต์ หลายคน ที่จำได้คือ นาย บังฟาตอนี นายอะมาลุดดีน นายตาชั่ง และคนอื่นๆ มาวันนี้ก็ถึงตาของ นายอิจมาอีย์ บินกิยะซีย์ เอามาอ้างโดยเข้าใจว่าเป็นหลักฐานเด็ดที่จะสนับสนุนการทำบิดอะฮได้ แต่ไม่กล้านำสำนวนที่เป็นภาษาอาหรับ มาลง 
 ขอให้ผู้อ่านมาดูขอความอาหรับดังนี้
มาดู คำพูดของอิหม่ามเฆาะซาลีย์ (ร.ฮ)และความหมายที่ถูกต้องดังนี้
وَمَا يُقَالُ إنَّهُ أُبْدِعَ بَعْدَ رَسُولِ اللهِ صلى الله عليه وسلم فَلَيْسَ كُلُّ مَا أُبْدِعَ مَنْهِيّاً، بَلِ اْلمَنْهِيُّ بِدْعَةٌ تُضَادُّ سُنَّةً ثَابِتَةً وَتَرْفَعُ أَمْراً مِنَ الشَّرْعِ مَعَ بَقَاءِ عِلَّتِهِ، بَلِ اْلإِبْدَاعُ قَدْ يَجِبُ فِي بَعْضِ اْلأَحْوَالِ إِذَا تَغَيَّرَتِ اْلأَسْبَابُ
ความว่า และสิ่งที่ถูกกล่าวว่า มันถูกประดิษฐขึ้นมา หลังจาก สมัยของ รซูลุลลอฮ สอ็ลฯ ดังนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่(บิดอะฮ)ทั้งหมด เป็นสิ่งต้องห้าม แต่ทว่า สิ่งที่ถูกห้ามคือ บิดอะฮที่ขัดแย้ง กับสุนนะฮ ที่แน่นอน และมันได้ทำให้สิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งจากชะรีอะฮถูกยกไป ทั้งที่เหตุผลของมันยังคงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น บางที่ การประดิษฐขึ้นมาใหม่(บิดอะฮ)นั้นเป็นวาญิบในบางสถานการณ์ เมื่อบรรดามูลเหตุ(วิธีในการดำเนินชีวิต)เปลี่ยนไป - ดู เอียะยาอุลูมิดดีน 2/428
.................
คำพูดของอิหม่ามเฆาะซาลีย์ ท่านได้กล่าวโดยรวม คือ สิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่หลังจากยุคของนบี ศอ็ลฯ ไม่ได้แยกบิดอะฮในทางภาษาและบิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ ซึ่งจะเห็นได้จาก ตอนท้ายประโยคที่ว่า
بَلِ اْلإِبْدَاعُ قَدْ يَجِبُ فِي بَعْضِ اْلأَحْوَالِ إِذَا تَغَيَّرَتِ اْلأَسْبَابُ
บางที่ การประดิษฐขึ้นมาใหม่(บิดอะฮ)นั้นเป็นวาญิบในบางสถานการณ์ เมื่อบรรดามูลเหตุ(วิธีในการดำเนินชีวิต)เปลี่ยนไป
..........
ข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า มันไม่เกี่ยวกับการอุตริบิดอะฮในเรื่อง อิบาดะฮหรือพิธีกรรมทางศาสนา แต่หมายถึง การประดิษย์ปัจจัยที่มนุษย์มีความจำเป็นในยุคต่อมา ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ เช่น การประดิษฐไฟฟ้าเป็นต้น ซึ่ง บิดอะฮในลักษณะนี้ อยู่ในประเภท บิดอะฮในทางภาษา เพราะว่า คำว่า "ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิดนั้น " หมายถึงบิดอะฮในทางศาสนา ไม่ใช่บิดอะฮในทางภาษา
ส่วนเรื่องอาดะฮ หรือธรรมเนียมปฏิบัติในชีวิตประจำวันของมนุษย์นั้น มีหลักการว่า
โดยอาศัยหลักฐานที่ว่า
หลักการศาสนาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกิจการทางโลก
الْأَصْلُ فِي الْأَشْيَاءِ الْإِبَاحَةُ حَتَّى يَدُلُّ الدَّلِيلُ عَلَى التَّحْرِيمِ
หลักเดิมในบรรดาสิ่งต่างๆนั้น คือการอนุญาต จนกว่า จะมีหลักฐานแสดงบอกว่า เป็นการห้าม- อัลอัชบาตวัลนะซออิร หน้า 60
โดยอาศัยหะดิษที่ว่า
مَا أَحَلَّ اللَّهُ فَهُوَ حَلَالٌ وَمَا حَرَّمَ فَهُوَ حَرَامٌ وَمَا سَكَتَ عَنْهُ فَهُوَ عَفْوٌ ، فَاقْبَلُوا مِنْ اللَّهِ عَافِيَتَهُ فَإِنَّ اللَّهَ لَمْ يَكُنْ لِيَنْسَى شَيْئًا } أَخْرَجَهُ الْبَزَّارُ وَالطَّبَرَانِيُّ مِنْ حَدِيثِ أَبِي الدَّرْدَاءِ بِسَنَدٍ حَسَنٍ
"สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงอนุมัตในคำภีร์ของพระองค์นั้น คือสิ่งที่หะลาล และสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามนั้น คือสิ่งที่หะรอม และสิ่งที่พระองค์ทรงนิ่งจากมัน ย่อมเป็นการอนุโลมให้ ดังนั้น พวกท่านตอบรับการผ่อนปรนของพระองค์เถิด เพราะแท้จริงแล้ว อัลเลาะฮ์ไม่ทรงเคยลืมเลย จากนั้นท่านร่อซูลได้อ่านอายะฮ์ที่ว่า "และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น ไม่ทรงลืม - บันทึกโดย อัลบัซารและอัฏฏอ็บรอนีย์ จากหะดิษอบีดัรดาอฺ ด้วยสายรายงานที่หะซัน- อัลอัชบาฮวัลนะซออิร ของอิหม่ามสะยูฎีย หน้า 60

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ส่วนในเรื่องอะกีดะฮและอิบาดะฮนั้น ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด ดังคำอธิบายข้างล่างนี้
อิบนุเราะญับ(ร.ฮ)กล่าวว่า
فكل من أحدث شيئاً ونسبه إلى الدين ولم يكن له أصل من الدين يرجع إليه فهو ضلالة، والدين برئ منه، وسواء في ذلك مسائل الاعتقادات أو الأعمال أو الأقوال الظاهرة والباطنة
ดังนั้น ทุกๆผู้ที่อุตริสิ่งใดๆขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปอ้างว่าเป็นศาสนา ทั้งๆที่ไม่ได้มีที่มาในศาสนา ที่จะกลับไปหามัน มันคือ การหลงผิด โดยที่ ศาสนา นั้น เป็นอิสระจากมัน โดยที่ในเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ อะกีดะฮ หรือ การปฏิบัติ หรือ คำพูด ที่แสดงออกมาโดยภายนอก และภายในใจก็ตาม- ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม 2/128
แม้แต่ปราชญ์ มัวฮับชาฟิอีย์ เช่น อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ กล่าวว่า
فَإِن الْبِدْعَة الشَّرْعِيَّة ضَلَالَة كَمَا قَالَ – صلى الله عليه وسلم – وَمن قسمهَا من الْعلمَاء إِلَى حسن وَغير حسن فَإِنَّمَا قسم الْبِدْعَة اللُّغَوِيَّة وَمن قَالَ كل بِدعَة ضَلَالَة فَمَعْنَاه الْبِدْعَة الشَّرْعِيَّة
แท้จริง บิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัตินั้น คือ การหลงผิด ดังสิ่งที่นบี ศอ็ลฯ ได้กล่าวเอาไว้ และผู้ใดก็ตามจากบรรดาอุลามาอฺ ได้แบ่งมัน เป็นบิดอะฮที่ดี และบิดอะฮที่ไม่ดี ความจริง เขาได้แบ่ง บิดอะฮเกียวกับภาษา และผู้ใด กล่าวว่า "ทุกบิดอะฮ คือ การหลงผิด ความหมายของมันคือ บิดอะฮที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ - ฟะตาวา อัลหะดีษียะฮ หน้า 655
...........
เป็นที่ชัดเจนว่า ไม่มีบิดอะฮที่ดี ในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะกีดะฮ หรืออิบาดะฮ ส่วนเรื่องอาดะฮนั้น เปิดกว้างจนกว่าจะมีหลักฐานห้าม จึงเห็นได้ว่ากลุ่มอนุรักษ์บิดอะฮ เอาหลักการเกี่ยวกับอาดะฮ มาใช้ในเรื่องอะกีดะฮและอิบาดะฮ เพื่อมาสนับสนุนบิดอะฮที่พวกเขาอุตริขึ้นมา จนบิดอะฮเต็มบ้านเต็มเมือง จนคนอาวามแยกไม่ออกว่าอะไรสุนนะฮอะไรคือบิดอะฮ 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
27/6/60

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น