วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมบิดเบือนหะดิษอ้างคนหมู่มาก



ในภาพอาจจะมี ข้อความ




วาทกรรมบิดเบือนหะดิษอ้างคนหมู่มาก

ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
เมื่อวานนี้ เวลา 6:57 น.
ถ้าแนวทางวาฮาบีที่ช่องจานดำแพร่เชื้ออยู่
ไม่ว่าช่องtvmuslim , yateemtv(สายสลาฟี่)
หรือช่องwhite chanel(สายอิควาน)
เป็นแนวทางที่ถูกต้องจริงๆ
อุลามาอ์ฟาตอนีรุ่นก่อนๆคงเอามาแพร่มานานแล้วแหล่ะ
แต่มิได้เป็นเช่นนั้นเลย กลับกัน พวกเขากลับแต่งตำราบอกมาล่วงหน้าแล้ว ว่าอีกหน่อยลูกหลานจะได้เห็นแนวทางนี้
ซึ่งก้อเป็นอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย คนที่ไร้พื้นฐานอันแน่นแฟ้นก้อได้กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของคนกลุ่มนี้อย่างง่ายดาย
ความแตกแยกอย่างรุนแรงก้อได้ประจักษ์มาแล้วในบางหมู่บ้าน มัสยิดจะมีสองหลัง อันเป็นการขัดหลักชัรอีย์อย่างมิต้องสงสัย
นาอูซุบิลลาฮ
จากอิบนุอุมัร ท่านนบีกล่าวว่า
عليكم بالجماعة
วายิบบนสูเจ้าต้องอยู่กับชนกลุ่มใหญ่
นบีกล่าวอีกว่า
لا تجمع امتي على الضلالة
ประชาชาตของฉันจะไม่รวมกันบนความหลงผิด
-อัตเตาะบารอนี-
นี่คือวจนะที่ชัดเจน ไร้ข้อกังขาใดๆ
ซึ่งชนกลุ่มใหญ่จากประชาชาตินี้เกือบทั้งหมด ต่างก้อยึดกุรอ่านหะดิสเข้าใจมัน ผ่านอุลามาอ์จากสี่มัสหับ
@@@
บุคคลนามแฝงข้างต้น อาศัยชื่อปลอมเที่ยวใช้ตรรกและความคิดเห็นชงเรื่องศาสนา มอมเมาคนอาวามอยู่เป็นประจำ และนี้ก็อ้างคนหมู่มากโดยการนำหะดิษมาชงแล้วโจมตีช่องทีวีที่ไม่เห็นด้วยกับการทำชิริกและบิดอะฮ
ดังนั้นขอชี้แจงว่า
ที่นบี ศอลฯ บอกว่า
فليلزم الجماعة
จงยึดมั่นญะมาอะฮ
หะดิษข้างต้น เต็มๆคือ
عَلَيْكُمْ بِالْجَماَعَةِ وَ إِيَّاكُمْ وَ الْفُرْقَةَ فَاِنَّ الشَّيْطَانَ مَعَ الْوَاحِدِ وَ هُوَ مِنَ الْاِثْنَيْنِ اَبْعَدُ , مَنْ اَرَادَ بُحْبُحَةَ الْجَنَّةِ فَلْيَلْزِمِ الْجَمَاعَةَ
หน้าที่พวกท่านจะต้องยึดหมู่คณะ และพวกท่านพึงห่างใกลความแตกแยก เพราะแท้จริงชัยฏอน อยู่ร่วมกับ ผู้ที่โดดเดี่ยว และมันห่างใกลยิ่งจากคนสองคน ,ผู้ใด ต้องการความสุขแห่งสวรรค์ เขาจงยึดมั่นในหมูคณะ- รายงานโดย อัตติรมิซีย์และคนอื่นๆ
คำว่า “อัลญะมาอะฮ”ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง คนหมู่มากคือ มาตรฐานของความถูกต้อง แต่หมายถึงหมู่คณะที่ อยู่บนความถูกต้อง
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
لو سألت الجهال عن السواد الأعظم لقالوا جماعة الناس، ولا يعلمون أن الجماعة عالم متمسك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم وطريقه فمن كان معه وتبعه فهو الجماعة
ถ้าท่านถามพวกโง่เขลา เกี่ยวกับคำว่า “อัสสะวาดุลอะอฺซ็อม” พวกเขาก็จะตอบว่า “คือ หมู่คณะของผู้คนทั่วไป” โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า อัลญะมาอะฮ(หมู่คณะ)นั้นคือ ผู้รู้ที่ยึดมั่นในร่องรอย(สุนนะฮ)ของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของท่าน ดังนัน ผู้ใด อยู่พร้อมกับเขาและเจริญรอยตามเขา เขาก็คือ อัลญะมาอะฮ” - รายงานโดยอบูนนุอัยมฺ ใน หิลยะตุลเอาลิยาอฺ เล่ม 9 หน้า 239
อบูชามะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า
حَيْثُ جَاءَ الْاَمْرُ بِلُزُوْمِ الْجَمَاعَةَ , فَالْمُرَادُ بِهِ لُزُوْمُ الْحَقِّ وَ اِتْبَاعُهُ , وَ اِنْ كَانَ الْمُتَمَسِّكُ بِالْحَقِّ قَلِيْلاً , وَالْمُخَالِفُ لَهُ كَثِيْرًا لِأَنَّ الْحَقَّ الَّذِىْ كَانَتْ عَلَيْهِ الْجَمَاعَةُ الاُوْلَى مِنَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَ سَلَّمَ وَ اَصْحَابِهِ وَ لاَ يَنْظُرُ اِلَى كَثْرَةِ أَ هْلِ الْبَاطِلِ بَعْدَهُمْ
โดยที่คำสั่งให้ยึดมั่นหมูคณะ(อัลญะมาอะฮ) ความมุ่งหมายด้วยมันคือ ยึดมั่นความถูกต้อง และการปฏิบัติตามความถูกต้อง แม้ว่า ผู้ที่ยึดถือความถูกต้องจะมีจำนวนน้อย และผู้ที่ขัดแย้งกับความถูกต้อง มีจำนวนมากก็ตาม เพราะสัจธรรม(ความถูกต้อง/ความจริง)นั้นคือ(แนวทาง) ที่หมู่คณะยุคแรก จากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาสาวกของนบี ยืนหยัดอยู่บนมัน และเขาจะไม่พิจารณาดู จำนวนมากของผู้ที่ไม่ถูกต้องยุคหลังจากพวกเขา – อัลบาอิษ อะลา อิงการิลบิดอิ หน้า 19
..........
คำว่า "อัลญะมาอะฮ" หมายถึงหมู่คณะที่ยึดความถูกต้อง เจริญรอยตามตามแนวทางคนยุคแรก(สะลัฟ) ที่มาจากท่านนบี ศอ็ลฯและเหล่าเศาะฮาบะฮ(ร.ฎ) ไม่ใช่พิจารณาที่จำนวนคนหมู่มากที่อยู่บนความเท็จ
อัลลอฮ(ซ.บ) สอนให้สร้างเอกภาพบนคำสอนศาสนา ไม่ใช่ความเห็นของคนหมู่มาก
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللهِ جَمِيعًا وَلاَ تَفَرَّقُوْا
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
อิบนุญะรีรอธิบายว่า
وَتَمَسَّكُوا بِدِينِ اللَّهِ الَّذِي أَمَرَكُمْ بِهِ
และพวกเจ้าจงยึดถือศาสนาอัลลอฮ ซึ่ง พระองค์ได้สั่งพวกเจ้าด้วยมัน
- ย้ำ ศาสนาที่อัลลอฮ สั่งไม่ใช่ศาสนาที่มนุษย์คิดขึ้น
ท่านอิบนุญะรีร กล่าวว่า
وَالِاجْتِمَاعِ عَلَى كَلِمَةِ الْحَقِّ ، وَالتَّسْلِيمِ لِأَمْرِ اللَّهِ
และการรวมตัวกันบนถ้อยคำแห่งความจริง และยอมรับคำบัญชาของอัลลอฮ –ดูตัฟสีรอัฏอ็บรีย์ เลม 7 หน้า 71
@@@
เพราะฉะนั้น ขอย้ำว่า ปริมาณ ต้องควบคู่กับคุณภาพ และ ความถูกต้องไม่ได้วัดที่จำนวนคนมากเสมอไป และจำนวนคนหมู่มากที่อยู่บนการทำชิริกและบิดอะฮ มันแค่ฟ้องน้ำ ที่ไร้คุณภาพ และไร้ประโยชน์
อัลฟุฎัยลฺ บิน อิยาฎ กล่าวว่า
الزمْ طريقَ الهدَى ، ولا يضرُّكَ قلَّةُ السالكين ، وإياك وطرقَ الضلالة ، ولا تغترَّ بكثرة الهالكين
จงยึดมั่นหนทางที่เป็นทางนำ และ บรรดาผู้ดำเนินตามมีจำนวนน้อย ก็ไม่ให้โทษแก่ท่าน และพึงระวัง หนทางที่หลงผิด และ อย่าหลงเชื่อ ด้วยจำนวนมากของ บรรดาผู้ที่หายนะ
". انتهى وينظر: "الأذكار" للنووي صـ221، "الاعتصام "للشاطبى (1 / 83).
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/9/60

 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

ถามอาชาอิเราะฮว่า อัลลอฮต่อสู้กับใครหรือจึงได้ครอบครอง(อิสเตาลา)เหนืออะรัช



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ถามอาชาอิเราะฮว่า อัลลอฮต่อสู้กับใครหรือจึงได้ครอบครอง(อิสเตาลา)เหนืออะรัช

ดาวูด บิน อะลี อัซซอฮิรีย์ (ต.270 ฮ.ศ.) กล่าวว่า
كنا عند ابن الأعرابي فأتاه رجل ، فقال : يا أبا عبد الله ، ما معنى قوله تعالى : الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى سورة طه آية 5 . قال : هو على عرشه كما أخبر ، فقال الرجل : ليس كذاك ، إنما معناه استولي . فقال : اسكت ما يدريك ما هذا ، العرب لا تقول للرجل استولى . على الشيء حتى يكون له فيه مضاد ، فأيهما غلب ، قيل : استولى ، والله تعالى لا مضاد له ، وهو على عرشه كما أخبر
“พวกเราได้อยู่พร้อมกับอิบนุลอะอฺรอบีย์ (มุหัมมัด บิน ซิยาด ต.231 ฮ.ศ.) แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งมาถามท่านว่า “โอ้ อบูอับดิลลาฮฺ (ชื่อเรียกของอิบนุลอะอฺรอบีย์) คำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
الرحمن على العرش استوى
มีความหมายว่าอย่างไร?" ”
ท่านจึงตอบว่า “แท้จริง พระองค์ทรงอยู่เหนืออะรัชของพระองค์ดังที่พระองค์ได้บอกไว้”
ชายคนนั้นกล่าวว่า “แต่ความหมายที่ถูกต้องของ “อิสตะวา” คือ “อิสเตาลา”
ท่าน(อิบนุลอะอฺรอบีย์)จึงตอบว่า “ท่านไม่ทราบดอกหรือว่า ชาวอาหรับจะไม่กล่าวว่า “คนใดคนหนึ่งอิสเตาลา (ครอบครอง) อะรัช นอกจากว่าเขามีคู่แข่งอยู่ ดังนั้น เมื่อคนใดคนหนึ่งในบรรดาสองคนนั้นมีชัยชนะเหนือคู่แข่งของเขา จึงจะกล่าวว่า “แท้จริงเขาได้อิสเตาลา (ครอบครอง) มันแล้ว” ในขณะที่ อัลลอฮฺไม่มีคู่แข่งสำหรับพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงยังคงอยู่ เหนืออะรัชของพระองค์ตามที่พระองค์ได้ทรงบอกไว้” (อัลอัสมาอ์ วัสศิฟาต เล่ม 2 หน้า 314 ด้วยสายรายงานที่เศาะหีหฺถึงอิบนุลอะอฺรอบีย์) และ กิตาบอัลอะรัช ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เล่ม 2 หน้า 289
.............
การตีความ คำว่า อิสตะวา ว่า หมาย ถึง อิสเตาลา นั้นไม่ถูกต้อง เพราะอาหรับใช้คำว่า อิสเตาลา ในกรณีคนสองคน ต่อสู้กัน แล้วอีกฝ่ายมีชัยได้เข้าครอบครอง จึงเรียกว่า อิสเตาลา หมายถึง การยึดครอง
จึงถามอาชาอิเราะฮ อะฮลุลกาลาม ที่ตีความ สิฟัตอิสติวาอฺ เป็น อิสเตาลา ว่า
อัลลอฮต่อสู้กับกับใครหรือ อัลลอฮชนะใครหรือ จึงได้ครอบครองอะรัช ?
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/9/60

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

อ้างสายเก่า.....เก่าจริงหรือ


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


อ้างสายเก่า.....เก่าจริงหรือ
Shamsiyah Umalee
20 กันยายน เวลา 23:53 น. ·
"สายเก่า" 
คือ♧เเนวทาง อัฮลีซุนนะห์ วัลญะมาอะห์ 
♧มัสฮับชาฟีอีย์(กฏหมาย)
♧อากีดะห์ อาชาอีเราะห์ (ทำความรู้จักพระเจ้าตามซีฟัต20)
@@@@
การนั่งเทียนโอ้อวด ว่ากลุ่มตนคือสายเก่า อะฮลุสสุนนะฮของแท้ไม่แอบอ้าง เป็นเรื่องปกติเสียแล้วสำหรับคนบางกลุ่ม
คำว่า "เก่า และ ใหม่ คุณเอามาตรฐานนัฟซูมาวัด หรือ เอาคำสอนศาสนามาวัดครับท่าน Shamsiyah Umalee
คณะเก่าคือ ชนยุคสะลัฟผู้ทรงธรรม (السلف الصالح ) ดังความหมายต่อไปนี้
والقول الصّحيح المشهور الذي عليه جمهور أهل السنّة هو أنّ المقصود بالسّلف الصّالح هم القرون الثلاثة المفضّلة الذين شهد لهم النبي بالخيريّة، حيث قال :«خيركم قرني، ثم الذين يلونهم، ثم الذين يلونهم»، وكل من سلك سبيلهم وسار على نهجهم فهو سلفي نسبة إليهم
และทัศนะที่ถูกต้อง ที่เป็นที่แพร่หลาย ที่ อะฮลุสสุนนะฮส่วนใหญ่ มีทัศนะอยู่บนมันคือ แท้จริง จุดมุ่งหมาย ด้วยคำว่า "สะลัฟผู้ทรงธรรมนั้น พวกเขาคือ ชนยุคศตวรรษที่สามอันประเสริฐ ที่ ท่านนบีได้เป็นพยาน ให้แก่พวกเขา ด้วยความดี โดยที่ท่านนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า "กลุ่มชนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน ได้แก่ศตวรรษของฉัน ถัดไปก็เป็นพวกที่มาภายหลังพวกเขา ถัดไปก็เป็นพวกที่มาภายหลังพวกเขา(อีกรุ่นหนึ่ง- รายงานโดย บุคอรี)” และทุกๆผู้ที่ดำเนินตาม แนวทางของพวกเขา และ เดินตามแนวทางของพวกเขา เขาคือ สะละฟีย์ โดยการอ้างถึงพวกเขา - ดู มุอตะกิอดอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ฟี เตาฮีดอัลอัสมาอฺ วัสสิฟาต ของ มุหัมหมัด บิน เคาะลีฟะฮ อัตตัยมีย์ 1/53
............ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
เรื่องฟิกฮ ตามมัซฮับชาฟิอีจริงหรือ มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์และ เรื่อง สิฟัต 20 เป็นการแอบอ้างอิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ การสอนสิฟัต 20 อยู่ใน ตำราเล่มใดของอบูหะซันอัลอัชอะรีย์หรือ แต่ที่แน่แนๆ อบูหะซันมีอะกีดะฮ ต่างจากอาชาอิเราะฮสายอะฮลุลกาลามยุคหลัง อบูหะซัน ยอมรับในการคุณลักษณะการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ แต่พวกแอบอ้างกลับปฏิเสธ
อิหม่ามอบูหะซัน อัลอัชอะรีย (ฮ.ศ 260 -324) อิหม่ามมัซฮับอัลอาชาอิเราะฮ ได้กล่าวถึง มติของนักวิชาการอะฮลิสสุนนะฮว่า
أنه تعالى فوق سماواته على عرشه دون أرضه ، وقد دل على ذلك بقوله : {أأمنتم من في السماء أن يخسف بكم الأرض}، وقال : {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه}. وقال : {الرحمن على العرش استوى}، وليس استواءه على العرش استيلاء كما قال أهل القدر، لأنه عز وجل لم يزل مستوليا على كل شيء
และแท้จริง พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง อยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัช อื่นจาก แผ่นดินของพระองค์และหลักฐานแสดงบอกดังกล่าวคือ
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือจากผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า ว่าจะไม่ทำให้แผ่นดินสูบพวกเจ้ากระนั้นหรือ” (อัลมุลก์/16)และพระองค์ตรัสว่า (คำกล่าวที่ดีย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญมัน(ฟาฏิร/10)และพระองค์ตรัสว่า (พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสถิตเหนือบัลลังค์) การอิสติวาอของพระองค์บนอะรัชนั้น ไม่ใช่หมายถึงอำนาจการปกครอง ดังเช่นที่พวกกอ็ดดะรียะฮกล่าว เพราะแท้จริงพระองค์ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ทรงเป็นผู้ที่มีอำนาจปกครอง เหนือทุกสิ่งตลอดกาลอยู่แล้ว - ดู ริสาละฮอิลาอะฮลิษษะฮริ หน้า 129-130 ฉบับตะหกีกโดย อับดุลลอฮชากีร มุหัมหมัดอัลญุนัยดีย
...............
อิหม่ามมัซฮับอาชาอิเราะฮยืนยันว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าของพระองค์ บน อะรัช แต่ในขณะเดียวกัน คนที่อ้างว่าสังกัดมัซฮับของท่านบางกลุ่มต่อต้านอะกีดะฮอัลลอฮอยู่บนฟ้าจนสุดขั้ว แถมกล่าวหาว่าเป็นอะกีดะฮ ยิว และอะกีดะฮฟาโรห์ -นะอูซุบิลละฮ 
การนั่งเทียนแอบอ้างว่าสายเก่า....เก่าจริงหรือ ผู้อ่านคงพิสูจน์ได้ไม่ยากนัก หากท่านมีหัวใจเป็นธรรม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/9/60

เมื่อปราชญ์มาลายูนำเตาฮีดสามประเภทมาสอน

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

เมื่อปราชญ์มาลายูนำเตาฮีดสามประเภทมาสอน
ชัยค์อับดุลกอเดร์ อันมันดีลีย์ ได้นำเตาฮีด 3 ประเภท มารวบรวมและแปล ในหนังสือ อาเนาะกุุญจีชัรฆอ ของท่าน คือ 1.เตาฮีดรุบูบียะฮ 2. เตาฮีดอุลูฮียะฮ และ 3. เตาฮีดอัลอัสมาอฺวัสสิฟาต แต่..แกนนำอาชาอิเราะฮเมื่องไทย กล่าวหาว่า "เป็นทฤษฎีการแบ่งเตาฮีดของวะฮบีย์" และค้านเรื่อง ที่ว่า กาเฟรมุชริกีนในสมัยนบี ศรัทธาต่อเตาฮีดรุบูบียะฮ
มาดูคำอธิบายของชัยค์อับดุลกอเดร อันมันดีลีย์ ดังนี้

دان توحيد الربوبية اين مڠاكو داڠندي اوله اورڠ ٢ کافر فد ماس هيدوف رسول الله صلى الله عليه وسلم تتافي تياد مماسوقکن اي 
اکن مريکئيت کدالم أوڬام اسلام کران انکار مريکئية اکن توحيد الالوهية يڠ اكن داتڠ
และเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ นี้ ผู้ที่เป็นกาเฟรยอมรับด้วยมัน ในสมัยที่ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ มีชีวิตอยู่ แต่ มันไม่ได้ทำให้พวกเขา เข้าอยู่ในศาสนาอิสลาม เพราะพวกเขาปฏิเสธ เตาฮีดอัลอุลูฮียะฮ ที่จะกล่าวต่อไป....
และชัยค์อับดุลกอเดร์ ได้ยกหลักฐานยืนยันว่า กาเฟรในสมัยนบียอมรับเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ ด้วยอายะฮที่ว่า
وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ
และถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่าอัลลอฮฺ- อัซซุมัร/38 - ดู อาเนาะกุญจีชัรฆอ หน้า 7ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
...........
ชัยค์อับดุลกอดีร อันมันดีลีย์ ยอมรับการแบ่งเตาฮีด 3 ประเภท แต่กลุ่มอาชาอิเราะฮยุคปัจจุบันบางกลุ่ม กล่าวหาว่า เป็นอุตริกรรมของวะฮบีย์ และชัยค์ยืนยันว่ากาเฟรสมัยนบี ยอมรับเตาฮีดอัร-รุบูบียะฮ แต่ อาชาอิเราะฮกลุ่มนีคัดค้าน ..
............
เพราะฉะนั้นผู้อ่านพิจารณาดูว่า ใครเท็จและใครอยู่บนความจริง ระหว่างอาชาอิเราะฮบางกลุ่ม กับ มุสลิมที่ถูกพวกเขาฉายาปรักปรำให้เป็นวะฮบีย์ลัทธิใหม่
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
22/9/60

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมของสมุนรับใช้แนวคิดญะฮมียะฮ ภาค 2


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


วาทกรรมของสมุนรับใช้แนวคิดญะฮมียะฮ ภาค 2
ซอลีฮะห์ สือแม็ง
หๅๅๅๅ ไกหกหน้าด้านๆจริงๆ
وامراره كماجاء
แล้วคำว่าاستقرสถิต มันโพลมาจากไหนจ่ะ ทั้งๆที่ไมมีไนอัลกุรอานและอัลหาดิส หๅๅๅๅ อยากหัวเราะเจ็ดวันเจ็ดคืนจริงๆ คือมันนำเน้าจริงๆ จานสันจ่ะ
@@@@
ชี้แจง
ผู้อ่านสังเกตุวาทกรรมที่ผสมไปกับการหัวเราะเยาะเย้ยข้างต้น ก็ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คนประเภทนี้ ไม่มีจิตสำนึกในด้านคุณธรรมทางศาสนา ไม่มีอิคลาศในการเผยแพร่ศาสนาเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮ แต่แค่สนองตอบอารมณ์ใฝ่ต่ำ และการชี้นำของซาตาน ที่ขัดขวางสัจธรรมเท่านั้น
ไร้ราคา เป็นเพียงขยะทำลายความเจริญของศาสนาเท่านนั้น
ของให้พี่น้องผู้อ่านมาดูข้อเท็จจริงต่อไปนี้
คำพูดสะลัฟที่ว่า
أمروها بلا كيف
ปล่อยมันให้ผ่านไปโดยไม่ถามรูปแบบวิธีการ ว่าเป็นอย่างไร
อัลมุบาเราะกาฟูรีย์ อธิบายว่า
قَوْلُهُ : ( أَمِرُّوهَا بِلَا كَيْفٍ ) بِصِيغَةِ الْأَمْرِ مِنَ الْإِمْرَارِ أَيْ أَجْرُوهَا عَلَى ظَاهِرِهَا وَلَا تَعْرِضُوا لَهَا بِتَأْوِيلٍ وَلَا تَحْرِيفٍ بَلْ فَوِّضُوا الْكَيْفَ إِلَى اللَّهِ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى ( وَهَكَذَا قَوْلُ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ ) وَهُوَ الْحَقُّ وَالصَّوَابُ
คำพูดของเขาที่ว่า (จงปล่อยให้ผ่านไป โดยไม่ถามรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร) ด้วยสำนวนของคำสั่ง ที่มาจากรากศัพท์คำว่า อัลอิมรอรุ หมายถึง ปล่อยมันให้คงอยู่ตามที่มันได้ปรากฏ และพวกท่านอย่าแสดงมันด้วยการตีความ(ตะวีล)และเปลี่ยนแปลง แต่ทว่า จงมอบหมายรูปแบบวิธีการ แก่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาและนี่คือ ทัศนะของ นักวิชาการจากอะฮลีสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ และมันคือ ความจริงและความถูกต้อง – ตุหฟะตุลอะหวะซีย เล่ม 3 หน้า 331
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ
........................
จากรายละเอียดข้างต้นสรุปว่า การมอบหมายสิฟัตที่ถูกต้องคือ การรับรองความหมายและการมอบหมายรูปแบบวิธีการ
ส่วนความหมายคำว่า استقر ได้อธิบายไม่ตำกว่า สิบครั้ง เพียงแต่คนตาใจบอดมองไม่เห็นเท่านั้นเอง เช่น
อิบนุกุตัยบะฮ (ฮ.ศ ๒๗๖)กล่าวว่า
كيف يسوغ لأحد أن يقول إنه بكل مكان على الحلول مع قوله : ( الرحمن على العرش استوى ) : أي استقر
จะอนุญาตให้คนหนึ่งคนใดกล่าวว่า แท้จริง พระองค์อยุ่ทุกสถานที่ บนการตั้งถิ่นฐานในมัน(ในทุกสถานที่) ได้อย่างไรทั้งๆที่พระองค์ตรัสว่า (พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงอยู่ เหนืออะรัช) หมายถึง ทรงสถิต ดู- ตะวีลมุคตะลิฟุลหะดิษ หน้า ๒๔
อิหม่ามกุรฎุบีย์(ร.อ)นักตัฟสีรที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง กล่าวว่า.
قَالَ مَالِكٌ رَحِمَهُ اللَّهُ : الِاسْتِوَاءُ مَعْلُومٌ - يَعْنِي فِي اللُّغَةِ - وَالْكَيْفُ مَجْهُولٌ ، وَالسُّؤَالُ عَنْ هَذَا بِدْعَةٌ . وَكَذَا قَالَتْ أُمُّ سَلَمَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهَا . وَهَذَا الْقَدْرُ كَافٍ ، وَمَنْ أَرَادَ زِيَادَةً عَلَيْهِ فَلْيَقِفْ عَلَيْهِ فِي مَوْضِعِهِ مِنْ كُتُبِ الْعُلَمَاءِ . وَالِاسْتِوَاءُ فِي كَلَامِ الْعَرَبِ هُوَ الْعُلُوُّ وَالِاسْتِقْرَارُ
อิหม่ามมาลิก ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านกล่าวว่า “อิสติวาอฺ นั้นเป็นที่รู้กัน หมายถึงในด้านภาษา(เป็นที่รู้กัน) และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน และการถามเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น เป็นบิดอะฮ และในทำนองเดียวกันนี้ อุมมุสะละมะฮ (ร.ฎ)ได้กล่าวเอาไว้ แค่นี้ก็พอเพียงแล้ว และผู้ใดต้องการที่จะ(รู้)เพิ่มเติม ก็จงดูมันในเรื่องของมันจากบรรดาตำราของอุลามาอฺและคำว่า”อิสติวาอฺ ในคำพูดอาหรับนั้น คือ สูง และการสถิต- ดู ตัฟสีรญามิอุลอะหกาม เล่ม ๗ หน้า ๒๑๙
>>>>>
เพราะฉะนั้น การเจาะความหมายคำว่า استقر (สถิต) ก็ไม่แปลกอะไร เนื่องจากมีปราชญ์ชาวสะลัฟได้เจาะจงความหมายนี้เช่นกัน แม้สะลัฟคนอื่นจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็มีอะกีดะฮเดียวกันคือ การยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ส่วนคนที่มีใจอคติ และยึดติดอยู่กับแนวคิดอะฮลุลกาลาม จะนำหลักฐานมากองเท่าภูเขา เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี โดยอ้างว่า เป็นหลักฐานวะฮบีย์ -นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/9/60

แนวทางสะลัฟเกี่ยวกับการอิษบาตอายาตและหะดิษสิฟาต





แนวทางสะลัฟเกี่ยวกับการอิษบาตอายาตและหะดิษสิฟาต

กอฎีอบูยะอลา (ร.อ) ฮ.ศ 380 -458 ปราชญ์มัซฮับหัมบะลีย์ กล่าวว่า
أَعْلَمُ أَنَّهُ لا يَجُوزُ رَدُّ هَذِهِ الأَخْبَارِ عَلَى مَا ذَهَبَ إِلَيْهِ جَمَاعَةٌ مِنَ الْمُعْتَزِلَةِ ، وَلا التَّشَاغُلُ بِتَأْوِيلِهَا عَلَى مَا ذَهَبَ إِلَيْهِ الأَشْعَرِيَّةُ.
وَالْوَاجِبُ حَمْلُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا ، وَأَنَّهَا صِفَاتٌ لِلَّهِ تَعَالَى لا تُشْبِهُ سَائِرَ الْمَوْصُوفِينَ بِهَا مِنَ الْخَلْقِ ، وَلا نَعْتَقِدُ التَّشْبِيهَ فِيهَا ، لَكِنْ عَلَى مَا رُوِيَ عَنْ شَيْخِنَا وَإِمَامِنَا أَبِي عَبْدِ اللَّهِ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ حَنْبَلٍ ، وَغَيْرِهِ مِنْ أَئِمَّةِ أَصْحَابِ الْحَدِيثِ ، أَنَّهُمْ قَالُوا فِي هَذِهِ الأَخْبَارِ : أَمِرُّوهَا كَمَا جَاءَتْ ، فَحَمَلُوهَا عَلَى
 ظَاهِرِهَا فِي أَنَّهَا صِفَاتٌ لِلَّهِ تَعَالَى لا تُشْبِهُ سَائِرَ الْمَوْصُوفِينَ

โปรดทราบไว้เถิดว่า ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธบรรดาหะดิษเหล่านี้ (หมายถึงบรรดาหะดิษสิฟาต) ตามสิ่งที่ คณะหนึ่งจากมุอตะซิละฮ ได้มีทัศนะไปสู่มัน และ ไม่สาละวน กับการตีความมัน บนสิ่งที่อะชาอิเราะฮมีทัศนะไปสู่มัน และ วาญิบจะต้องถือมันบนความหมายที่ปรากฏของมัน และแท้จริง มันคือบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ ตาอาลา มันจะไม่ถูกเปรียบเทียบกับบรรดาผู้ที่ถูกอธิบายลักษณะอื่นๆด้วยมันจากบรรดามัคลูค และเราะจะไม่เชื่อว่า มีความคล้ายคลึงในมัน แต่ว่า (เรา)จะอยู่บน สิ่งที่ถูกรายงานจากครูของเราและอิหม่ามของเรา คือ อบีอับดุลลอฮ อะหมัด บิน มุหัมหมัด บิน หัมบัล และคนอื่นจากเขา จากบรรดานักปราชญที่เป็นนักหะดิษ แท้จริงพวกเขากล่าว เกี่ยวกับบรรดาหะดิษเหล่านี้ (หมายถึงหะดิษสิฟาต) ว่า ปล่อยมันให้ผ่านไป เช่นที่มันได้มีมา แล้วพวกเขาได้ถือมัน บน ความหมาย(ของถ้อยคำ)ที่ปรากฏของมัน ว่า แท้จริงมันคือ บรรดาสิฟาต ของอัลลอฮ ตาอาลา ไม่ถูกเปรียบเทียบกับบรรดาผู้ที่ถูกอธิบายลักษณะอื่นๆ- อิบฏอลุลตะวีล 1/43
คำว่า "حَمْلُهَا عَلَى ظَاهِرِهَا " หมายถึง ถือบรรดาหะดิษสิฟาต บนความหมายจริงๆที่ปรากฏของถ้อยคำตามตัวบท
ดังที่อบูบักร์ อิบนิ อบี อาศิม ฮ.ศ 287 (ร.ฮ) กล่าวว่า

وجميع ما في كتابنا كتاب السنة الكبير الذي فيه الأبواب من الأخبار التي ذكرنا أنها توجب العلم، فنحن نؤمن بها لصحتها، وعدالة ناقليها، ويجب التسليم لها على ظاهرها، وترك تكلف الكلام في كيفيتها

และบรรดา สิ่ง ที่อยู่ในหนังสือของเรา คือ กิตาบอัสสุนนะฮอัลกะบีร ซึ่งในนั้นระบุ บรรดาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับบรรดาหะดิษ ที่เราได้ระบุไว้ว่า "แท้จริง มัน จะถูกให้จำเป็นต้องรู้ ดังนั้นเรา ศรัทธาด้วยมัน เพราะมันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ และบรรดาผู้รายงานมันมีความยุติธรรม และจำเป็นจะต้องยอมรับมัน บนความหมายที่ปรากฏของมัน และละทิ้งความพยายามการวิภาษ ในรูปแบบวิธีการของมัน -
كتاب العرش للذهبي (ج2 ص273) والعلو للعلي الغفار (ص 197)
...
แนวทางสะลัฟเกี่ยวกับการอิษบาต(รับรอง)สิฟาตคือ ยืนยันความหมาย มอบหมายรูปแบบวิธีการ
ดังเช็คอับดุรรอซซาก อัลอะฟีฟีย์ กล่าวว่า
مذهب السلف هو التفويض في كيفية الصفات لا في المعنى
มัซฮับสะลัฟ คือ การมอบหมาย ในเรื่องรูปแบบวิธีการของบรรดาสิฟาต ไม่ได้มอบหมายในความหมาย – ฟะตะวาเช็คอะฟีฟีย หน้า 104
อบูบักร์ บิน อัลอะเราะบีย์ อัลอัชอะรีย์ กล่าวว่า
وذهب مالك رحمه الله أن كل حديث منها معلوم المعنى ولذلك قال للذي سأله الاستواء معلوم والكيفية مجهولة
มาลิก ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ได้ให้ทัศนะว่า “ทุกหะดิษจากมัน (จากหะดิษที่เกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ) ความหมายเป็นที่รู้กัน เพราะเหตุนั้น เขา(มาลิก) กล่าวแก่ผู้ที่ถามเขา ว่า “การประทับนั้นเป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน – ดู อาริเฎาะฮอัลอะหวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 166
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/9/60


เอกสารประกอบ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ข้อคิดสำหรับการบูชาวัตถุมากกว่าคำสอน





ข้อคิดสำหรับการบูชาวัตถุมากกว่าคำสอน
คำว่า "التبرك คือ طلب البركة หมายถึงการแสวงหาความจำเริญ 
คำว่า "บะเรากัต หมายถึง ความดีอันมากมากมาย 
เราจะให้ได้รับบะเราะกัต ก็ด้วยการทำอิบาดะฮ การดุอา การปฏิบัติตนอยู่ในคำสอน เพราะ ผู้เพิ่มพูนความดีงามอันมากมากมายคืออัลลอฮ ตะอาลา เช่นดุอาที่ขึ้นต้นว่า
اللهم بارك لنا
โอ้อัลลอฮ โปรดประทานความจำเริญให้แก่เรา....
การตะบัรรุก ด้วยท่านนบี ศอ็ลฯหรือการแสวงหาความดีอันมากมาย จากอัลลอฮ ด้วยท่านนบี ศอ็ลฯ ที่แน่นอนและชัดเจนที่สุด คือ การปฏิบัติตามสุนนะฮและละทิ้งการทำสิ่งที่เป็นบิดอะฮ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่าสุนนะฮ
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)
كَمَا كَانَ أَهْلُ الْمَدِينَةِ لَمَّا قَدِمَ عَلَيْهِمْ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي بَرَكَتِهِ لَمَّا آمَنُوا بِهِ وَأَطَاعُوهُ فَبِبَرَكَةِ ذَلِكَ حَصَلَ لَهُمْ سَعَادَةُ الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ بَلْ كُلُّ مُؤْمِنٍ آمَنَ بِالرَّسُولِ وَأَطَاعَهُ حَصَلَ لَهُ مِنْ بَرَكَةِ الرَّسُولِ بِسَبَبِ إيمَانِهِ وَطَاعَتِهِ مِنْ خَيْرِ الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ مَا لَا يَعْلَمُهُ إلَّا اللَّهُ
ดังที่ ปรากฏว่าชาวมะดีนะฮ เมื่อท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ถึงมายังพวกเขา อยู่ในบะเราะกัตของท่านนบี เมื่อพวกเขา ศรัทธาต่อท่านนบี และเมื่อพวกเขาเชื่อฟังท่านนบี เพราะ บะเรากัตดังกล่าวนั้น พวกเขาจะได้รับความสำเร็จ ดุนยาและอาคีเราะฮ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆผู้ศรัทธา ทีศรัทธาต่อรอซูล และเชื่อฟังต่อเขา เขาก็จะได้รับ บะเราะกัตของรอซูล ด้วยสาเหตุ แห่งศรัทธา และการเชื่อฟังของเขา จากความดีแห่งดุนยาและอาคเราะฮ สิ่งซึ่งไม่มีใครรู้ นอกจากอัลลอฮเท่านั้น - มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 11 หน้า 113
.......
สรุปคือ เมื่อท่านนบี ศอ็ลฯมายังมะดีนะฮ ชาวมะดีนะฮก็อยู่ในบะเรากัตของท่านนบี เมื่อพวกเขา ศรัทธาและปฏิบัติตามท่านนบี การได้รับบะเราะกัตนั้น เพราะเหตุที่พวกเขาศรัทธาและเชื่อฟังปฏิบัติตามท่านนบี ศอ็ลฯ
การตะบัรรุกด้วยร่องรอยนบี ศอ็ลฯไม่มีใครค้าน หากร่องรอยนั้นเป็นของจริง และหากผู้ตะบัรรุกนั้น ไม่ปฏิบัติสิ่งที่ท่านนบีห้าม เช่น บิดอะฮ เป็นต้น
ชัยค์ นาศิรุดดีน อัลอัลบานีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
ونحن نعلم أن آثاره صلى الله عليه وسلم، من ثياب، أو شعر، أو فضلات، قد فقدت، وليس بإمكان أحد إثبات وجود شيء منها على وجه القطع واليقين
และเรารู้ว่า แท้จริงบรรดาร่องรอยของท่านนบี ศอ็ลฯ เช่น เสื้อผ้า ,หรือเส้นผม หรือ บรรดาสิ่งที่เหลืออยู่ แท้จริงมันได้สูญหายไปแล้ว และ ไม่มีคนใดสามารถยืนยันการมีอยู่ของสิ่งใดจากมัน แบบฟันธงและแน่นอน - ดู อัตตะวัสซุล หน้า 144
ชัยค์ ศอลิห อัลเฟาซาน กล่าวว่า
وأما ما انفصل من جسده صلى الله عليه وسلم أو لامسه : فهذا يُتَبَرَّك إذا وُجد وتحقق في حال حياته وبعد موته إذا بقي ، لكن الأغلب أن لا يبقى بعد موته ، وما يدَّعيه الآن بعض الخرافيين من وجود شيء من شعره أو غير ذلك : فهي دعوى باطلة لا دليل عليها
และสำหรับสิ่งที่ เหลื่อจากร่างกายของท่านนบี ศอ็ลฯ หรือ สิ่งที่ได้สัมผัสกับท่านนบี สิ่งนี้แหละที่ถูกตะบัรรุก (ถูกเอาทำการขอบะเราะกัตจากอัลลอฮ) เมื่อถูกพบและ ได้รับการรับรอง (ว่าของจริง) ในขณะที่ท่านนบีมีชีวิตอยู่และหลังจากการเสียชีวิตของท่าน เมื่อมันยังคงอยู่ และสิ่งที่ส่วนหนึ่งของบรรดาอัลคุรอฟียีน(พวกซูฟีกลุ่มหนึ่ง) ได้แอบอ้างมัน ในปัจจุบัน ว่ามีสิ่งที่เป็นเส้นผมของท่านนบี หรืออื่นจากนั้น มันคือ กาอ้างเท็จ ไม่มีหลักฐานใดยืนยันบนมัน..................
لا وجود لهذه الآثار الآن ؛ لتطاول الزمن الذي تبلى معه هذه الآثار وتزول ؛ ولعدم الدليل على ما يُدَّعى بقاؤه منها بالفعل
ไม่มีแล้วสำหรับบรรดาร่องรอยเหล่านี้ในปัจจุบัน เพราะกาลเวลาผ่านไปเป็นเวลายาวนาน ซึ่ง บรรดาร่องรอยเหล่านี้ได้ ผุพังพร้อมกับกาลเวลา และสูญหาย และ ไม่มีหลักฐาน ยืนยันบน สิ่งที่ถูกอ้าง การคงอยู่ของมัน จากมัน (จากบรรดาร่องรอยเหล่านี้)ด้วยการกระทำ
- ดู อัลบะยาน ลิอัคฏออิ บะอฺบิลกิตาบ หน้า 175-176
.................
จากที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครห้ามตะบัรรุกกับร่องรอยนบี แต่ ที่เขาเตือนคือ มันเป็นร่องรอยของท่านนบีจริงหรือไม่ใครรับรอง และ การแสวงหาความดีงาม (ตะบัรรุก) ที่แน่นอน คือการศรัทธาและปฏิบัติตามสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ ย่อมแน่นอนกว่า แล้วทำไม ไม่ให้ความสำคัญ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/9/60


สำเนาหลักฐานประกอบเนื้อหา
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

ตัวอย่างการใช้ตรรกทางปัญญาอธิบายอะกีดะฮ(ตอนนั่งเทียนโดยปราศจากหลักฐาน)







ตัวอย่างการใช้ตรรกทางปัญญาอธิบายอะกีดะฮ(ตอนนั่งเทียนโดยปราศจากหลักฐาน)
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
19 นาที
แท้จริงหัวใจของฉัน อยู่ระหว่าง สองนิ้วของอัลลอฮ์
ขออธิบาย ดังต่อไปนี้นะครับ
1. การแปล ตามถ้อยคำแบบนี้นั้นหมายความว่า เขาไม่ได้เรียน หลักวิชาภาษาอาหรับ และ ไม่ได้เรียน วิชาอูศูลุดดีน มาเลย
2. สำนวนหาดิษนี้ เป็นภาษาอาหรับ ซึ่งจะต้องอธิบายตามหลักวิชาภาษาอาหรับ
3. ในวิชา บายาน มาอานีย์ สำนวนหาดิษนี้ เป็น การ กีนายะฮ์ เป็นอรรถรสทางภาษาอาหรับ
4. คำว่า กอลบี ซึ่งแปลว่าหัวใจของฉันนั้น ชี้แนะ ไปยัง ตัวของฉัน ซึ่งใช้คำว่าหัวใจ เพราะเป็นจุดศูนย์รวมของมนุษย์
5. คำว่า อัศบูอัยน์ แปลว่า สองนิ้ว นั้น ชี้แนะไปยัง อำนาจ การปกครอง การกระทำที่ง่ายดาย
6. ถ้อยคำหาดิษนี้ จึงต้องแปลตามหลักวิชาว่า แท้จริงมนุษย์นั้น อยู่ในอำนาจการปกครองของอัลลอฮ์
7. การแปลแบบถ้อยคำตรงๆ โดยไม่คำนึงถึง ความบริสุทธิ์ของอัลลอฮ์ อันตรายต่อตัวเอง และผู้อื่น
8. หากจะเอาตัวหาดิษตรงๆมาพูดกัน ก็พากันเข้าใจว่า หัวใจนาบี อยู่ระหว่างสองนิ้ว หรือ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะหัวใจอยู่ในตัวคน และอยู่ข้างปอด ไม่ได้อยู่ระหว่างนิ้ว เลย
9. หาก เอาตามตัวหาดิษ แสดงว่า อัลลอฮ์ ต้องมีเป็น ล้านๆๆ นิ้ว เพราะมนุษย์ เป็นล้านๆคน 
บางสำนวนหาดิษ ใช้คำว่า อัลกูลูบู แปลว่า บรรดาหัวใจ เพราะหัวใจละสองนิ้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ให้กับอัลลอฮ์
10. หากแปลตามภายนอกของถ้อยคำ หาดิษ ซึ่งขัดต่ออายะกรุอ่าน อย่างชัดเจนเลยทีเดียวว่า อัลลอฮ์ ไม่คล้ายสิ่งใด .. 
เหมือนหาดิษขัดกับกรุอ่าน วายิบต้องตะวีล
อัลลอฮูอะลามูบิศศอวาบ
อาจารย์อับดุลมุตตอลิบ หลักแหล่ง ฝ่ายวิชาการอัลฟารูกจังหวัดสตูล
@@@@
ขอชี้แจงดังนี้
ข้างต้นคือตัวอย่างนั่งเที่ยนใช้ตรรกอธิบายหะดิษสิฟาต โดยใช้ตรรก โดยปราศจากการใช้หลักฐานทางวิชาการสนับสนุน แม้แต่อักษรเดียว
أنس بن مالك رضي الله عنه يقول: كان رسول الله صلى الله عليه وسلم يكثر أن يقول: ((يا مقلب القلوب، ثبت قلبي على دينك))، قال: فقلت: يا رسول الله، آمنا بك وبما جئت به، هل تخاف علينا؟ قال: ((نعم، إن القلوب بين إصبعين من أصابع الله، يقلّبها كيف يشاء)) أخرجه الترمذي في جامعه وابن ماجه في سننه بإسناد صحيح
อะนัส บุตร มาลิก (ร.ด)กล่าวว่า “ปรากฏว่าท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ กล่าวคำต่อไปนี้บ่อยครั้ง ว่า “ โอ้ ผู้ทรงเปลี่ยนแปลงบรรดาหัวใจ
ได้โปรดบันดาลให้หัวใจของฉัน ตั้งมั่นอยู่ในศาสนาของพระองค์ท่าน ) เขา(อะนัส)กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ ข้าพเจ้าศรัทธาต่อท่านและสิ่งที่ท่านนำมา ท่านกลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าไหม ? ท่านกล่าวตอบว่า “ครับ” แท้จริงบรรดาหัวใจนั้น อยู่ระหว่างสองนิ้ว จากบรรดานิ้วของอัลลอฮ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงมัน(บรรดาหัวใจ) ตามที่พระองค์ทรงประสงค์” - บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ และอิบนุมาญะฮ
فعن عبد الله بن عمرو بن العاص - رضي الله عنهما - قال: سمعت رسول الله - صلى الله عليه وسلم - يقول: ((إن قلوب بني آدم كلها بين أصبعين من أصابع الرحمن كقلب واحد يصرفه حيث شاء ثم قال: اللهم مصرف القلوب صرف قلوبنا على طاعتك)) رواه مسلم
และรายงานจาก อับดุลลอฮ บุตร อัมรุน บุตร อัลอาศ (ร.ฏ) กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า “ แท้จริง บรรดาหัวใจ ลูกหลานอาดัมทั้งหมด อยู่ระหว่างสองนิ้ว จากบรรดานิ้วของพระเจ้าผู้ทรงเมตตา ดั่งดวงใจดวงเดียว ทรงเปลียนแปลงมันตามที่ทรงประสงค์ หลังจากนั้น ท่านรซูลได้กล่าวว่า “ โอ้อัลลอฮ ผู้ทรงเปลี่ยนบรรดาหัวใจ ได้โปรดเปลี่ยนหัวใจของเรา ให้ตั้งมั่นอยู่ในการภักดีต่อพระองค์ท่านเถิด” – รายงานโดย มุสลิม
………………….
ข้างต้นคือคำพูดของท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ ซึ่งท่านได้กล่าวถึงนิ้วของอัลลอฮ (ซ.บ) ส่วนนิ้วะมีลักษณะอย่างไรนั้น อัลลอฮเท่านั้นทรงรู้ เพราะไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และ ท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯ กล่าวอย่างไร เราก็ต้องเชื่ออย่างนั้น และในหะดิษข้างต้น ท่านได้สอนให้เรารู้ว่า หัวใจทุกดวงของมนุษย์นั้น อัลลอฮ(ซ.บ)จะทรงเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรก็ได้ เพราะหัวใจทุกดวงอยู่ภายใต้อำนาจของของพระองค์ และคำว่า “บรรดานิ้วของอัลลออ” เราจะให้ความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะท่านรซูล ศอลฯได้กล่าวอย่างนั้น เพราะฉะนั้น นิ้วจะชี้ ไปใหน อย่างไร หากเป็นคำพูดของท่านรซูลุลลอฮ ศอลฯเราจำเป็นต้องเชื่อ
อิบนุกุตัยบะฮ (ฮ.ศ 213-276) ปราชญยุคสะลัฟ กล่าวว่า
فَإِنْ قَالَ لَنَا مَا الْإِصْبَعُ عِنْدَكَ هَاهُنَا قُلْنَا هُوَ مِثْلُ قَوْلِهِ فِي الْحَدِيثِ الْآخَرِ يَحْمِلُ الْأَرْضَ عَلَى أُصْبُعٍ ، وَكَذَا عَلَى أُصْبُعَيْنِ ، وَلَا يَجُوزُ أَنْ تَكُونَ الْإِصْبَعُ هَاهُنَا نِعْمَةً ، وَكَقَوْلِهِ تَعَالَى : وَمَا قَدَرُوا اللَّهَ حَقَّ قَدْرِهِ وَالْأَرْضُ جَمِيعًا قَبْضَتُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَالسَّماوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ . 
وَلَمْ يَجُزْ ذَلِكَ ، وَلَا نَقُولُ أُصْبُعٌ كَأَصَابِعِنَا ، وَلَا يَدٌ كَأَيْدِينَا ، وَلَا قَبْضَةٌ كَقَبَضَاتِنَا ؛ لِأَنَّ كُلَّ شَيْءٍ مِنْهُ - عَزَّ وَجَلَّ - لَا يُشْبِهُ شَيْئًا مِنَّا .
ถ้ามีผู้ถามเราว่า คำว่า อัลอิศบะอฺ(นิ้ว) ในทัศนะของท่าน ในที่นี้คืออะไร ,เราก็จะกล่าวตอบว่า “มันเหมือนกับ คำพูดของท่านนบี ในหะดิษอื่น คือ ทรงพาแผ่นดิน บน นิ้ว และในทำนองเดียวกันนั้น บนสองนิ้ว และไม่อนุญาตให้คำว่า นิ้ว (الْإِصْبَعُ) ณ ที่นี้ว่า คือ เนียะมัต(ความโปรดปราน) ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (“และพวกเขามิได้ให้ความยิ่งใหญ่แด่อัลลอฮ์อันพึงมีต่อพระองค์อย่างแท้จริง และแผ่นดินนี้ทั้งหมดเป็นเพียงกำพระหัตถ์หนึ่งของพระองค์ในวันกิยามะฮ์ และชั้นฟ้าทั้งหลายจะม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ ” (อัซซุมัร : 67) และไม่อนุญาต ดังกล่าวนั้น(หมายถึงไม่อนุญาตให้ตีความว่าคือเนียะมัต) และเราจะไม่กล่าวว่า นิ้ว เหมือนกับบรรดานิ้วของพวกเรา ,(เราจะไม่กล่าวว่า)มือ เหมือนกับบรรดามือพวกเรา และ(เราจะไม่กล่าวว่า) กำมือ เหมือนกับการกำมือของ พวกเรา เพราะแท้จริง ทุกสิ่งที่มาจากพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง ทรงไม่เหมือนสิ่งใดๆจากพวกเรา – ดู ตะวีลมุคตะละฟิลหะดิษ 1/303
...........
ปราชญยุคสะลัฟ เขาจะยืนยันความหมายบรรดาอายาตและหะดิษสิฟาตตามที่มีมา โดยไม่เปรียบกับมัคลูค พวกเขาจะไม่ใช้ตรรกทางปัญญา ตีความให้กินกับปัญญาของตน อย่างที่ท่านบาบอ อับดุลมุตตอลิบ หลักแหล่ง ปฏิบัติอยู่ตอนนี้ หากท่านว่าผมพูดผิด เอาหลักฐานจากคำอธิบายสะลัฟมาโต้แย้งได้ และจะยินดีด้วย
อิบนุอบียะอฺลา(ร.ฮ) ได้กล่าวรายงานคำพูดอิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ)ว่า
وأن له إصبعا ، بقول النَّبِيّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " ما من قلب إلا وهو بين إصبعين من أصابع الرحمن عَزَّ وَجَلَّ " فإن هذه المعاني التي وصف اللَّه بها نفسه ، ووصفه بها رسوله صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
อัลลอฮ ผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่ง ทรงมีบรรดาพระนาม และบรรดาคุณลักษณะ ที่คัมภี่ของพระองค์ ได้นำมาด้วยมันและนบีของพระองค์(ศอ็ลฯ) ได้บอกแก่แก่อุมมะฮของท่านด้วยมัน ...........(แล้วอิหม่ามชาฟิอีกล่าวอีกว่า) และแท้จริง พระองค์ทรงมีนิ้ว เพราะคำพูดของนบี ศอ็ลฯที่ว่า(ไม่มีหัวใจใดๆ นอกจากมันอยู่ระหว่างสองนิ้ว จากบรรดานิ้ว พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง เพราะแท้จริง บรรดาความหมายเหล่านี้ ที่ อัลลอฮได้อธิบายคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน และ รอซูลของพระองค์ ได้อธิบายคุณลักษณะให้แก่พระองค์ด้วยมัน – ดู เฎาะบะกอตอัลหะนาบะละฮ เล่ม 1 หน้า 282
อบูบักร์ อัลอาญุรีย์ ปราชญ์ยุคสะลัฟ กล่าวว่า
باب الإيمان بأن قلوب الخلائق بين إصبعين من أصابع الرب عزَّ وجلَّ، بلا كيف
Bab : Iman bahwa hati-hati manusia berada di antara dua jari dari jari-jari Rabb ‘azza wa jalla, tanpa perlu menanyakan kaifiyyah-nya” [Asy-Syarii’ah, 2/115]
บทว่าด้วยการศรัทธา ว่า บรรดาหัวใจของ สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย อยู่ระหว่างสองนิ้วจากบรรดานิ้วของพระเจ้า ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่ง โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร –อัชชะรีอะฮ เล่ม 2 หน้า 115
@@@
ส่วนหนึ่งจากหลักฐานทัศนะปราชญ์ยุคสะลัฟที่ผมได้ยกมา ชัดเจนว่า สิ่งที่ อาจารย์อับดุลมุตตอลิบ หลักแหล่ง ใช้ความเห็นคิดเองนั้นไม่ใช่อะกีดะฮตามแนวทางของบรรพชนยุคสะลัฟ แต่เป็นอะกีดะฮตามแนวคิดนักตรรกนิยาม หรือพวกอะฮลุลกาลาม

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
19/9/60





 เอกสารอ้างอิง





 ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วะฮบีย์ คือผู้ที่ดำเนินตามแนวอะกีดะฮสะลัฟ



ในภาพอาจจะมี ข้อความ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
วะฮบีย์ คือผู้ที่ดำเนินตามแนวอะกีดะฮสะลัฟ
ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ (ร.ฮ) กล่าวว่า
فنقول: الذي نعتقد، وندين الله به هو مذهب سلف الأمة، وأئمتها من الصحابة والتابعين لهم بإحسان من الأئمة الأربعة، وأصحابهم -رضي الله عنهم أجمعين- وهو: الإيمان بذلك، والإقرار به، وإمراره كما جاء من غير تشبيه، ولا تمثيل، ولا تعطيل، قال الله -تعالى -: {وَمَنْ يُشَاقِقِ الرَّسُولَ مِنْ بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُ الْهُدَى وَيَتَّبِعْ غَيْرَ سَبِيلِ الْمُؤْمِنِينَ نُوَلِّهِ مَا تَوَلَّى وَنُصْلِهِ جَهَنَّمَ وَسَاءَتْ مَصِيراً} [النّساء: 115].
เรากล่าวว่า "ที่เราเชื่อมั่นและนับถือศาสนา ต่ออัลลอฮ ด้วยมันคือ มัซฮับสะลัฟ แห่งอุมมะฮ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา จากบรรดาเศาะหาบะฮ,ตาบิอีน และบรรดาผู้ที่เจริญรอยตามพวกเขา ด้วยความดีงาม จาก บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ และบรรดาศานุศิษย์ของพวกเขา (ร.ฎ) และมันคือ การศรัทธา ด้วยบรรดาอายาตสิฟาต และบรรดาหะดิษของมัน(หมายถึงหะดิษสิฟาต) ,ยอมรับมันและปล่อยมัน ดังเช่นสิ่งที่มันได้มีมา โดยไม่มีการเปรียบเทียบ,ไม่มีการอุปมา และไม่มีการปฏิเสธคุณลักษณะ ,อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า (“และผู้ใดที่ฝ่าฝืนรอซูลหลังจากทางนำอันถูกต้องได้ปรากฏแก่เขาแล้ว และปฎิบัติตามแนวทางผู้ที่ไม่ใช่ผู้ศรัทธา เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาหันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับอันชั่วร้าย” (ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 115)- มัจญมูอะฮ อัรรอสาอีลวัลมะสาอีล อัลนัจญดียะฮ หน้า 48
..........
ไมมีส่วนใดเลย ที่คำสอนชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ แตกต่างไปจากอะกีดะฮสะลัฟ เพียงแต่ เหล่าคน ที่มีอคติ และความเกลียดชัง ทำให้สายตา ฝ้าฟาง พร่ามัว จนมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/9/60

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมโลกสวย (พูดแต่เรื่องเดิมๆ ทำให้สังคมแตกแยก)



ในภาพอาจจะมี ข้อความ



วาทกรรมโลกสวย (พูดแต่เรื่องเดิมๆ ทำให้สังคมแตกแยก)
คำว่า พูดเดิมๆ ที่นักโลกสวยพูดถึงคือ พูดเรื่อง ชิริกและบิดอะฮ ซ้ำๆซากๆ จึงขอบอกว่า "ชิริก และ บิดอะฮ ไม่ต่างอะไรกับญาคา ที่กำจัดเท่าไร มันก็แตกหน่อขึ้นมาอีก หรือ วัชพืชอื่นๆก็เช่นกัน
ชิริก คือการอธรรมต่ออัลลอฮ บิดอะฮคือการอธรรมต่อท่านนบี ,ชิริกคือ ศัตรูเตาฮีด ในขณะที่บิดอะฮคือ ศัตรูของอัสสุนนะฮ
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
إِنَّ الشِّرْكَ لَظُلْمٌ عَظِيمٌ
แท้จริงการตั้งภาคีนั้นคือ การอธรรมที่ใหญ่หลวง - ลุกมาน/13
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«أَلَا أُنَبِّئُكُمْ بِأَكْبَرِ الْكَبَائِرِ (ثَلَاثًا) قَالُوا بَلَى يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ الْإِشْرَاكُ بِاللَّهِ»
ความว่า “เอาไหมฉันจะบอกแก่พวกเจ้าถึงสิ่งที่เป็นบาปใหญ่ที่สุดในบรรดาบาปใหญ่ทั้งหลาย(สามครั้ง)?” เศาะหาบะฮฺตอบว่า “แน่นอน โอ้ท่านรอสูลุลลอฮฺ” ท่านได้ตอบว่า “(นั่นคือ)การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ” [บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺและมุสลิม]
ในขณะที่เรื่องบิดอะฮนั้น ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้เตือนให้ระวังไว้
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«وَشَرُّ الأُمُوْرِ مُحْدَثَاتُهَا ، وَكُلُّ مُحْدَثَةٍ بِدْعَةٌ ، وَكُلُّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ ، وَكُلُّ ضَلاَلَةٍ فِي النَّارِ» [سنن النسائي ص186 برقم 1578]
ความว่า "และสิ่งที่ชั่วช้าที่สุดคือสิ่งที่ประดิษฐขึ้นมาใหม่ในศาสนา และทุกๆ สิ่งที่ประดิษฐขึ้นมาใหม่นั้นถือเป็นอุตริกรรมทั้งสิ้น และทุกๆสิ่งที่เป็นอุตริกรรมถือเป็นความหลงผิด และแน่นอนทุกๆความหลงผิดย่อมได้รับโทษในนรก” (สุนันอันนะสาอีย์ หน้า 186 หะดีษเลขที่ 1578)
..........
อิบาดะฮที่ปะปนด้วยชิริก และบิดอะฮ สิ่งที่ได้คือ ความสูญเปล่า เพราะเงือนไขที่อัลลอฮตาอาลาตอบรับอิบาดะฮนั้นคือ
1. อัลอิคลาศ คือ ความบริสุทธิ์ ใจเพื่ออัลลอฮ รวมถึงความบริสทธิ์จากชิริกต่างๆด้วย
2. อัลมุตาบะฮ (การเจริญรอยตามสุนนะฮนบี)
سُئل الفضيل بن عياض عن قوله تعالى : ( لِيَبْلُوَكُمْ أَيُّكُمْ أَحْسَنُ عَمَلا ) فقال : هو أخلص العمل وأصوبه . قالوا : يا أبا علي ما أخلصه وأصوبه ؟ قال : إن العمل إذا كان خالصا ولم يكن صوابا لم يقبل ، وإذا كان صوابا ولم يكن خالصا لم يقبل حتى يكون خالصا وصوابا ، فالخالص أن يكون لله ، والصواب أن يكون على السنة
และท่านอัล-ฟุฎัยล บุตร อะยาฎ ถูกถามเกี่ยวกับ คำดำรัสของอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลาที่ว่า (เพื่อที่จะทดสอบพวกเจ้า ว่าพวกเจ้าคนใด ประกอบการดี – ซูเราะฮฮูด /7 ) ท่านกล่าวว่า มีความบริสุทธิ์ใจและ ทำถูกต้อง พวกเขาถามว่า โอ้อบูอาลี บริสุทธิ์ใจและ ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร ? ท่านตอบว่า การงานนั้น เมื่อปรากฏว่า มีความบริสุทธิ์ใจ และไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกต้อง และเมื่อปรากฏว่าถูกต้อง และไม่บริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับ จนกว่ามันจะมีความบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งมีความถูกต้อง และคำว่าบริสุทธิ์ใจนั้น คือ เป็นไปเพื่ออัลลอฮ และคำว่าถูกต้องนั้น คือ เป็นไปตามสุนนะฮ - ดู ฟัตหุ้ลมะญีด ชัรหุกิตาบุตเตาฮีด และ ตัฟสีร เฎาอิลมุนีร อะลัตตัฟสร เล่ม 4 หน้า 173
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
............. 
เพราะฉะนั้น การทำในสิ่งที่ไม่คำสอน และการสอนในสิ่งที่นบีไม่ทำนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง แม้จะมีคนพยายาม จะหาเหตุผลมาอ้างเป็นร้อยๆเล่มเกวียนก็ตาม
และการโลกสวยเพื่อให้มีที่ยืนบนดุนยา โดยไม่คำนึงผลร้ายที่ตามมาในวันอาคิเราะฮ ขอเรียนว่า ผมหยุดไม่ได้ในการชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนการฮิดายะฮเป็นเรื่องของอัลลอฮ ไม่เคยบังคับใคร ให้เชื่อตามผม 
ขอเรียนว่า พระองค์อัลลอฮ ประทานอัลกุรอ่านมา เพื่อให้แยกถูกผิด จึงเรียกว่า "อัลฟุรกอน" แต่บางคนโลกสวยต้องการหาจุดรวมถือว่าการแยกถูกแยกผิด ทำให้สังคมแตกแยก ทั้งนี้ เพื่อให้ตนมีที่ยืนในดุนยา ด้วยการละเลยสิ่งนี้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/9/60