
แด่...นักตักลิดและผูกขาดกับมัซฮับมุจญตะฮิดแบบหูหนวกตาบอด
ซิดดิก ฮะซัน ข่าน ปราชญชาวอินเดีย (ฮ.ศ 1248-1307 )กล่าวว่า
والحكم بين العباد هو كتاب الله وسنة رسوله كما قال سبحانه: فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِى شَىْء فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ ، إِنَّمَا كَانَ قَوْلَ الْمُؤْمِنِينَ إِذَا دُعُواْ إِلَى اللَّهِ وَرَسُولِهِ لِيَحْكُمَ بَيْنَهُمْ أَن يَقُولُواْ سَمِعْنَا وَأَطَعْنَا ، فَلاَ وَرَبّكَ لاَ يُؤْمِنُونَ حَتَّى يُحَكّمُوكَ فِيمَا شَجَرَ بَيْنَهُمْ ثُمَّ لاَ يَجِدُواْ فِى أَنفُسِهِمْ حَرَجاً مّمَّا قَضَيْتَ وَيُسَلّمُواْ تَسْلِيماً ، فهذه الآيات ونحوها تدل أبلغ دلالة وتفيد أعظم فائدة أن المرجع مع الاختلاف إلى حكم الله ورسوله هو كتابه وحكم رسوله بعد أن قبضه الله إليه هو سنته ليس غير ذلك
และการตัดสินระหว่างบรรดาบ่าว(ของอัลลอฮนั้น)คือ กิตาบุลลอฮ(อัลกุรอ่าน)และสุนนะฮของรอซูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังที่พระองค์ตรัสว่า(หากพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด พวกเจ้าจงนำมันกลับไปยังอัลลอฮและรอซูล) (แท้จริงคำกล่าวของบรรดาผู้ศรัทธา เมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์เพื่อให้ตัดสินระหว่างพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า “เราได้ยินแล้ว และเราเชื่อฟังปฏิบัติตาม” )(มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระผู้อภิบาลของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาไม่พบความคับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขา จากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจำนนด้วยดี )
บรรดาอายะฮ เหล่านี้ และที่เหมือนๆกับมัน ได้บ่งบอกถึงความจัดเจนแห่งหลักฐานและให้ประโยชน์ อันเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ว่า แท้จริง ที่กลับของความขัดแย้ง นั้น ไปสู่การตัดสินของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ มันคือ คัมภีร์ของพระองค์ และการตัดสินของรอซูลของพระองค์ หลังจากที่อัลลอฮได้เอาชีวิตท่านรอซูล ไปยังพระองค์แล้ว คือ สุนนะฮของท่านรอซูล ไม่ใช่อื่นจากดังกล่าวนั้น
، ولم يجعل الله تعالى لاحد من العباد وإن بلغ في العلم أعلى مبلغ وجمع منه ما لا يجمع غيره أن يقول في هذه الشريعة بشئ لا دليل عليه من كتاب ولا سنة.
والمجتهد، وإن جاءت الرخصة له بالعمل برأيه عند عدم الدليل، فلا رخصة لغيره أن يأخذ بذلك الرأي كائنا من كان
والمجتهد، وإن جاءت الرخصة له بالعمل برأيه عند عدم الدليل، فلا رخصة لغيره أن يأخذ بذلك الرأي كائنا من كان
และอัลลอฮตาอาลา มิทรงให้สิทธิ์ แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด จากบรรดาบ่าว ถึงแม้เขาจะมีวิชาความรู้ขั้นสูงสุดและได้รวบรวมวิชาการต่างๆมากมาย ซึ่งผู้อื่นจากเขาไม่สามารถจะรวบรวมได้ก็ตาม ที่เขาจะ กล่าวสิ่งหนึ่งสิ่งใดในศาสนานี้โดยไม่มีหลักฐาน แสดงบอกบนมันจากคัมภีร์และไม่มีหลักฐานจากสุนนะฮไม่ได้เด็ดขาด
และมุจญตะฮิด(ผู้ที่อยู่ในระดับค้นคว้าวินิจฉัยด้วยตนเองได้) นั้น แม้เขาจะมีการอนุญาตให้เขาปฏิบัติตาม ความเห็นของเขาได้ ขณะที่ยังไม่พบหลักฐาน แต่ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นนำความคิดเห็นดังกล่าวนั้นมาปฏิบัติ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม- ตันวีรุลกุลูบ ฟี มุอามะละฮ อัลลามิลอฆูยูบ หน้า 222
..........
..........
สรุปคือ
1. สิ่งที่บรรดาบ่าวของอัลลอฮขัดแย้งกัน ให้นำประเด็นการขัดแย้งไปให้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮตัดสิน
2.ผู้มีความรู้ที่แม้จะมีความรู้มากมายแค่ใหน ก็ไม่มีสิทธิ์อ้างเรื่องศาสนาโดยไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
3.ปราชญระดับมุจญตะฮิดแม้จะมีการอนุญาตหรือข้อผ่อนผันให้เขาปฏิบัติตามความเห็นของเขาได้ ในขณะที่ยังไม่พบหลักฐาน แต่ไม่อนุญาตให้คนอื่นนำความเห็นของเขามาปฏิบัติ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
........
เพราะฉะนั้น การผูกขาดกับความเห็นของมุจญตะฮิด แบบเงยหัวไม่ขึ้นนั้น ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม
والله أعلم بالصواب
1. สิ่งที่บรรดาบ่าวของอัลลอฮขัดแย้งกัน ให้นำประเด็นการขัดแย้งไปให้อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮตัดสิน
2.ผู้มีความรู้ที่แม้จะมีความรู้มากมายแค่ใหน ก็ไม่มีสิทธิ์อ้างเรื่องศาสนาโดยไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ
3.ปราชญระดับมุจญตะฮิดแม้จะมีการอนุญาตหรือข้อผ่อนผันให้เขาปฏิบัติตามความเห็นของเขาได้ ในขณะที่ยังไม่พบหลักฐาน แต่ไม่อนุญาตให้คนอื่นนำความเห็นของเขามาปฏิบัติ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
........
เพราะฉะนั้น การผูกขาดกับความเห็นของมุจญตะฮิด แบบเงยหัวไม่ขึ้นนั้น ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/3/61
6/3/61

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น