วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

เมื่ออาชาอิเราะฮตัวจริงอ้างหะดิษญารียะฮเป็นหลักฐาน





เมื่ออาชาอิเราะฮตัวจริงอ้างหะดิษญารียะฮเป็นหลักฐาน
อิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ ที่ถูกคนยุคหลังอ้างว่าเป็นอิหม่ามมัซฮับอาชาอิเราะฮ ได้อ้างหลักฐานหะดิษญารียะฮ เพื่อยืนยันว่า อัลลอฮ์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้า เช่น
อบูหะซันอัลอัชอะรีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
فقال لها النبي صلى الله عليه وسلم: أين الله؟ قالت: في السماء، قال فمن أنا؟ قالت: أنت رسول الله، فقال النبي صلى الله عليه وسلم: أعتقها فإنها مؤمنة.
وهذا يدل على أن الله تعالى على عرشه فوق السماء فوقية لا تزيده قربا من العرش
แล้วนบี ศอ็ลฯ กล่าวแก่นางว่า อัลลอฮอยู่ใหน ?นางตอบว่า "อยู่บนฟ้า ,ท่านนบีกล่าวว่า "ฉันเป็นใคร? นางตอบว่า "ท่านคือ ศาสนทูตของอัลลอฮ แล้วท่านนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า "จงปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด เพราะแท้จริงนางคือหญิงผู้ศรัทธา
(อบูหะซันกล่าวว่า) และนี้แสดงว่า แท้จริงอัลลอฮ ตาอาลาอยู่บนบัลลังค์ เหนือฟากฟ้า เป็นอยู่เหนือขึ้นไป ที่ไม่ได้เพิ่มโดยไม่ทำให้พระองค์เพิ่มการใกล้ไปยังบังลังก์และฟากฟ้า” ดู หนังสือ อัลอิบานะฮฺ หน้า 18 ตะห์กีกโดย ดร. เฟากียะฮฺ หุซัยน์ มะฮฺมูด 
............
การอยู่บนอะรัข ไม่ได้หมายถึงอาศัยอะรัชเป็นที่อยู่ แต่หมายถึงการอยู่เบื้องสูง แยกจากอะรัช ซึ่งคนที่ศึกษาอะกีดะฮสะลัฟเป็นที่ทราบกันดี แต่คนบางกลุ่มพยายามโฆษณาชวนเชื่อกล่าวหาผู้ที่เขาเรียกวะฮบีย์ว่า เป็นพวกให้สถานที่แก่อัลลอฮ และพวกมุญัสสิม-วัลอิยาซุบิลละฮ เป็นปรักปรำและโกหกบิดเบือน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/4/60
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ
 ในภาพอาจจะมี ข้อความ


ในภาพอาจจะมี ข้อความไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

อะกีดะฮปราชญ์มัซฮับชาฟิอีของแท้ไม่แอบอ้าง ภาค 1



ในภาพอาจจะมี ข้อความ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

อะกีดะฮปราชญ์มัซฮับชาฟิอีของแท้ไม่แอบอ้าง ภาค 1
ขอนำเสนอบทความทางวิชาการ เกี่ยวกับ อะกีดะฮปราชญآมัซฮับชาฟิอีที่ดำเนินตามแนวทางสะลัฟ มาให้ผู้อ่านศึกษา เพื่อจะชี้ให้พี่น้องผู้อ่านทั้งหลายได้เห็นว่า การยึดแนวทางอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮผ่านความเข้าใจของสะลัฟ ของปราชญมัซฮับใดๆก็ตาม พวกเขาคือ อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ ไม่ใช่มัซฮับวะฮาบียะฮตามที่ถูกคนบางกลุ่มปรักปรำด้วยอคติแต่อย่างใด
1.หลักการอิษบาต(รับรอง)คุณลักษณะของอัลลอฮ ในทัศนะอิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ)
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ)รายงานว่า
وَقَالَ شَيْخُ الْإِسْلَامِ عَلِيُّ بْنُ أَحْمَدَ بْنِ يُوسُفَ الْهَكَّارِيُّ فِي كِتَابِ " عَقِيدَةِ الشَّافِعِيِّ " لَهُ : أَخْبَرَنَا أَبُو يَعْلَى الْخَلِيلُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ الْحَافِظُ ، أَخْبَرَنَا أَبُو الْقَاسِمِ بْنُ عَلْقَمَةَ الْأَبْهَرِيُّ ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ أَبِي حَاتِمٍ ، حَدَّثَنَا يُونُسُ بْنُ عَبْدِ الْأَعْلَى ، سَمِعْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ الشَّافِعِيَّ يَقُولُ -وَقَدْ سُئِلَ عَنْ صِفَاتِ اللَّهِ -تَعَالَى- وَمَا يُؤْمِنُ بِهِ- فَقَالَ : لِلَّهِ أَسْمَاءٌ وَصِفَاتٌ جَاءَ بِهَا كِتَابُهُ ، وَأَخْبَرَ بِهَا نَبِيُّهُ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- أُمَّتَهُ ، لَا يَسَعُ أَحَدًا قَامَتْ عَلَيْهِ الْحُجَّةُ رَدُّهَا ; لِأَنَّ الْقُرْآنَ نَزَلَ بِهَا ، وَصَحَّ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- الْقَوْلُ بِهَا ، فَإِنْ خَالَفَ ذَلِكَ بَعْدَ ثُبُوتِ الْحُجَّةِ عَلَيْهِ ، فَهُوَ كَافِرٌ ، فَأَمَّا قَبْلَ ثُبُوتِ الْحُجَّةِ ، فَمَعْذُورٌ بِالْجَهْلِ ، لِأَنَّ عِلْمَ ذَلِكَ لَا يُدْرَكُ بِالْعَقْلِ ، وَلَا بِالرَّوِيَّةِ وَالْفِكْرِ ، وَلَا نُكَفِّرُ بِالْجَهْلِ بِهَا أَحَدًا إِلَّا بَعْدَ انْتِهَاءِ الْخَبَرِ إِلَيْهِ بِهَا ، وَنُثْبِتُ هَذِهِ الصِّفَاتِ ، وَنَنْفِي عَنْهَا التَّشْبِيهَ ، كَمَا نَفَاهُ عَنْ نَفْسِهِ ، فَقَالَ : لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
และชัยคุลอิสลาม อะลี บิน อะหมัด บิน ยูซูฟ อัลฮะการีย์ ได้กล่าวไว้ในหนัง อะกีดะฮอัชชาฟิอีย์ ของเขาว่า "อบูยะอลา อัลเคาะลีล บิน อับดุลลอฮ อัลหาฟิซ ได้บอกเราว่า อะบุลกอซิม บิน อัลเกาะมะฮ อัลอับฮารีย์ ได้บอกเราว่า "อับดุรเราะหมาน บิน อบีหาติม ได้เล่าเราว่า ยูนูส บิน อับดิลอะอลา ได้เล่าเราว่า "ข้าพเจ้าได้ยิน อบูอับดุลลอฮ อัชชาฟิอีย์ เขากล่าวว่า
แท้จริงเขาถูกเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮตาอาลาและสิ่งที่ถูกศรัทธาด้วยมัน เขา(อัชชาฟิอีย์) กล่าวว่า
สำหรับพระองค์อัลลอฮฺนั้น มีพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ตามที่ระบุในคำภีร์และที่ศาสดา(นบี)ของพระองค์ ได้บอกด้วยมัน แก่ประชาชาติของท่าน จึงไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดที่จะอ้างเหตุผลปฏิเสธมัน เพราะ แท้จริงอัล-กุรอ่านถูกประทานลงมาด้วยมัน และมีรายงานถูกต้อง จากรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวด้วยมัน ดังนั้น หากเขาขัดแย้งกับดังกล่าวหลังจากที่หลักฐานยืนยันบนเขาแล้วไซร้ แน่นอนเขาเป็นผู้ปฏิเสธ(กาเฟร) หากว่าเขาขัดแย้งก่อนที่หลักฐานได้ยืนยัน แก่เขา ก็เป็นการอนุโลมให้ เพราะความไม่รู้ เพราะความรู้ดังกล่าวจะไม่รับรู้ด้วยทางสติปัญญา ,การทดลลอง และการพิเคราะห์ และเราจะไม่ ตัดสินคนใด ว่าเป็นกาเฟร อันเนื่องมาจากความไม่รู้ด้ยมัน ยกเว้นหลังจากที่ คำบอกเล่าด้วยมัน ได้ถึงไปยังเขาแล้ว 
และเรายืนยันบรรดาคุณลักษณะเหล่านี้และเราปฏิเสธการเปรียบเทียบ(ตัชบิฮ)จากมัน ดังสิ่งที่พระองค์ ปฏิเสธมันจากตัวของพระองค์ แล้วทรงตรัสว่า(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยินและทรงเห็น) - ดู อัซ-ซะฮะบีย์กล่าวในหนังสือ อัล-มีซาน เล่ม3 หน้าที่ 656 อิบนุ อะบียะอฺลา ในหนังสือ อัฏ-เฏาะบะกอต เล่ม1 หน้าที่ 382 อิบนุลก็อยยิม ใน หนังสือ อิจมาอฺ ญุยูช อัล-อิสลามมียะฮฺ หน้าที่ 165 และเช่นกัน อัซ-ซะฮะบีย์ ในหนังสือ อัส-สิยัร เล่ม 10 หน้าที่ 79)
.............
จากคำพูดของอิหม่ามชาฟิอีย(ร.ฮ) สรุปใจความว่า
1. ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดที่จะอ้างเหตุผลปฏิเสธบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮตามที่อัลลอฮและท่านนบี ศอ็ลฯ
2. ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธคุณลักษณะของอัลลอฮ หลังจากหลักฐานได้ยืนยันแก่เขาแล้ว เขาคือกาเฟร
3. ความรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮนั้น ไม่สามารถรับรู้ทางสติปัญญา ,การทดลลอง และการพิเคราะห์ ได้
4. ให้ยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮและปฏิเสธการเปรียบกับมัคลูค ดังที่อัลลอฮตรัสว่า ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
.........
เพราะฉะนั้นการตีความ โดยมโนจริตว่า ถ้ายึดตามตัวบทที่อัลลอฮตาอาลาบอกและท่านนบี ศอ็ลฯบอกนั้น คือการเปรียบเทียบ(ตัชบีฮ)ย่อมไม่ใช่แนวทางในการอิษบาตสิฟาตของอิหม่ามชาฟิอี
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/4/60
ปล. มีต่อภาคต่อไปอินชาอัลลอฮ

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

การกล่าวหาอันเป็นเท็จว่าคนที่ถูกเรียกวะฮบีย์เป็นศัตรูกับมัซฮับทั้งสี่






ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
การกล่าวหาอันเป็นเท็จว่าคนที่ถูกเรียกวะฮบีย์เป็นศัตรูกับมัซฮับทั้งสี่
Alissunna Walyamaah
8 ชม.
ทำไม พวกวะฮะบีย์จึงเป็นศัตรูกับแนวทางอาชาอีเราะจากซุนนีย์4มัสฮับ.จนถึงวันนี้
@@@@
ข้างต้น เป็นการปั้นเรื่องโกหก และการโฆษณาชวนเชื่อตามกลยุทธของชัยฏฮน
มาดูข้อเท็จจริงต่อไปนี้
ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ ที่ถูกชีอะฮและอาชาอิเราะฮบางกลุ่มฉายาให้เป็นหัวหน้าวะฮบีย์กล่าวว่า
وأما مذهبنا ، فمذهب الإمام أحمد ، إمام أهل السنة ، ولا نُنكر على أهل المذاهب الأربعة ، إذا لم يُخالف نص الكتاب والسنة ، وإجماع الأمة ، وقول جمهورها
และสำหรับมัซฮับชองเรา นั้น มัซฮับอิหม่ามอะหมัด ,อิหม่ามแห่งสุนนะฮ และเราไม่ปฏิเสธ ผู้ที่สังกัดมัซฮับทั้งสี่ เมื่อมันไม่ขัดแย้งตัวบท อัลกิตาบ ,อัสสุนนะฮ .อิจญมาอฺอุมมะฮและ ทัศนะปราชญ์มัซฮับส่วนใหญ่(ญุมฮูร) หน้า 107 และอัดดูรอรอัสสานียะฮ เล่ม 1 หน้า 245
............
เพราะฉะนั้นการอ้างว่าคนที่ถูกเรียกหรือฉายาให้เป็นวะฮบีย์ ต่อต้านมัซฮับทั้งสี่นั้น เป็นการโกหกปรำปรำให้ร้ายโดยอคติ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/4/60

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

การทำลายกุโบร์ในทัศนะอิหม่ามชาฟิอี


ในภาพอาจจะมี ข้อความ


การทำลายกุโบร์ในทัศนะอิหม่ามชาฟิอี
 
อนันต์ เขียวสุวรรณ์ ได้แชร์วิดีโอของ Truth of Islam
เมื่อวานนี้ เวลา 17:46 น.
ท่านนบี(ซ.ล)เดินผ่านกุโบร ท่านขอดุอาให้ชาวกุโบร แต่วะฮาบี ได้แต่ทำลายกูโบร ผู้อ่างตนตามซุนนะห์ แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม
@@@@@
วาทกรรมโจมตีวะฮบีทำลายกุโบร์ มีให้พบบ่อยจนชินเสียแล้ว ข้างต้นก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง จึ่งใคร่ขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจดังนี้
ข้อห้ามเกี่ยวกับหลุมศพ เช่น
ท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
๑. ห้ามตกแต่งหลุมศพให้สวยงามด้วยหินปูน (ห้าม)นั่งบนมัน และ(ห้าม)ปลูกสิ่งก่อสร้างบนหลุมศพ(กุโบร์)
 
نَهَى رَسُولُ اللهﷺ أَنْ يُجَصَّصُ القَبْر وَأَنْ يُقْعَد عَليهِ وَأَنْ يُبْنَى عَلَيْه
 
“ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม ได้ห้ามตกแต่งหลุมศพให้สวยงามด้วยโบกปูน (ห้าม)นั่งบนมัน และ(ห้าม)ปลูกสิ่งก่อสร้างบนมัน”
(บันทึกโดยมุสลิม)
๒.ห้ามละหมาดหันไปทางหลุมศพ
ท่านอบู มิรษัด อัล-เฆาะนะวียฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
لَا تَجْلِسُوا عَلَى القُبُورِ وَلَا تُصَلّوا إِلَيْها
“พวกท่านจงอย่านั่งบนหลุมศพ และอย่าได้ละหมาดหันไปทางมัน”
(บันทึกโดยมุสลิม
มนุษย์ทุกคนมีฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮ หลุุมศพไม่ใช่สิ่งบ่งบอกฐานะ เกียรติยศ ทางดุนยา เพราะฉะนั้นหลุมศพที่คนจะต้องเท่าเทียมกัน และท่านนบี ศอ็ลฯ สั่งให้มีการปรับหลุมศพให้เท่าเทียมกัน
ท่านฟะฎอละฮฺ บินอุบัยด์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
سَمِعْتُ رَسُولَ اللهِﷺ يَأْمُرُ بِتَسْوِيَتِها» [(أي: القبور)
“ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัมใช้ให้ปรับมัน(หลุมศพ)ให้เท่ากัน” (บันทึกโดยมุสลิม)
ท่านอบู อัล-ฮัยยาจญ์ อัล-อะสะดียฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า ท่านอะลี บินอบีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้บอกฉันว่า
«أَلَا أَبْعَثُكَ عَلَى مَا بَعَثَنِي عَلَيْهِ رَسُولُ اللهِ ﷺ أَلَا تَدَعْ تِمْثَالًا إِلّا طَمَسْتَه، وَلَا قَبْراً مُشرفا إِلّا سَوَّيْتَه» [أخرجه مسلم[
“พึงทราบเถิด ฉันจะส่งท่านไปทำที่ในสิ่งที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม เคยส่งฉันไปทำ (ท่านกล่าวว่า) “เจ้าจะต้องไม่ปล่อยรูปปั้นใดเว้นแต่เจ้าจะรื้อถอนมัน และ(ไม่ปล่อย)หลุมศพใดที่ก่อสูง เว้นแต่เจ้าจะปรับมันให้เท่ากัน(กับหลุมอื่นๆ)”(บันทึกโดยมุสลิม)
อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
:
" فِيهِ : أَنَّ السُّنَّةَ أَنَّ الْقَبْرَ لَا يُرْفَعُ عَلَى الْأَرْضِ رَفْعًا كَثِيرًا ، وَلَا يُسَنَّمُ ؛ بَلْ يُرْفَعُ نَحْوَ شِبْرٍ وَيُسَطَّحُ ، وَهَذَا مَذْهَبُ الشَّافِعِيِّ وَمَنْ وَافَقَهُ ،
ในหะดิษนี้ (เป็นหลักฐานแสดงว่า)แท้จริง ตามสุนนะฮนั้น หลุมศพจะไม่ถูกยกขึ้น บนพื้นดินให้สูงมาก และจะไม่ถูกยกสูง แต่ทว่า ให้ยกสูงประมาณหนึ่งคืบ และปรับให้ราบ(กับพื้น) และนี้คือ มัซฮับชาฟิอีและผู้ที่ปฏิบัติตามเขา - ดู ชัรหุมุสลิม ๗/๓๖
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَقَدْ رَأَيْت مِنْ الْوُلَاةِ مَنْ يَهْدِمَ بِمَكَّةَ مَا يُبْنَى فِيهَا فَلَمْ أَرَ الْفُقَهَاءَ يَعِيبُونَ ذَلِكَ
และแท้จริง ข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ปกรองได้ทำลายสิ่งก่อสร้างบนกุโบร์ ที่มักกะฮ ข้าพเจ้าไม่เห็นบรรดาฟุเกาะฮาอฺ(นักกฏหมายอิสลาม)ตำหนิ เรื่องดังกล่าวเลย - ดู อัลอุม ของอิหม่ามชาฟิอีย์ เล่ม 2 หน้า 631
อิหม่ามชาฟิอี (ร,ฮ) กล่าวว่า
وَإِنَّمَا أُحِبُّ أَنْ يُشَخِّصَ عَلَى وَجْهِ الْأَرْضِ شِبْرًا أَوْ نَحْوَهُ وَأُحِبُّ أَنْ لَا يُبْنَى ، وَلَا يُجَصَّصَ فَإِنَّ ذَلِكَ يُشْبِهُ الزِّينَةَ وَالْخُيَلَاءَ ، وَلَيْسَ الْمَوْتُ مَوْضِعَ وَاحِدٍ مِنْهُمَا ، وَلَمْ أَرَ قُبُورَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنْصَارِ مُجَصَّصَةً
และความจริงข้าพเจ้าชอบให้ มัน(หลุมศพ)ถุกยกขึ้นเหนือพื้นดิน หนึ่งคืบหรือในทำนองนั้น และข้าพเจ้า ชอบไม่ให้มันถูกก่อสร้างและถูกโบกปูน เพราะแท้จริงดังกล่าวนั้น คล้ายคลึงกับการประดับประดาและการโอ้อวด ทั้งๆที่การตายนั้น ไม่ใช่สถานสำหรับคนหนึ่งคนใดจากทั้งสองนั้น และ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นบรรดาหลุมศพของชาวมุฮาญิรีนและอันศอรฺ ถูกโปกปูนเลย – ดู อันอุม ของอิหม่ามชาฟิอี เล่ม 2 หน้า 631 กิตาบุลญะนาซะฮ
>>>>>>
มันเป็นเรื่องแปลก ที่คนบางกลุ่มที่อ้างว่าสังกัดมัซฮับชาฟิอี ได้ร่วมสังฆกรรมกับชีอะฮ โจมตีรัฐบาลซาอุ และคนที่เขาเรียกว่า "วะฮบีย์ "ว่า พวกทำลายกุโบร์ ตลอดเวลา ด้วยอคติโดยการนั่งเทียนกล่าวหา ไม่ได้ศึกษาว่า ท่านนบี ศอ็ลฯและผู้นำมัซฮับเขาสอนไว้อย่างไร ช่างน่าอดสูยิ่งนัก
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

อ้างว่าเป็นอาชาอิเราะฮแต่ไม่รู้ประวัติอบูหะซันอัลอัชอะรีย์


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

อ้างว่าเป็นอาชาอิเราะฮแต่ไม่รู้ประวัติอบูหะซันอัลอัชอะรีย์
حمد حفيظ
2 ชม.
อัสลามุอลัยกุมว่าเราะมาตุ้ลลอฮิว่าบาร่อกาตุ
มีกลุ่มชน นึงกล่าวว่า อีหม่ามอบูฮะซัน อัลอัซอารี รฮ ได้เตาบัตตัว แล้วยึดมั่นตามแนวทางที่เขาบอกว่า ตรงกับเขาในเรื่อง การยึดมั่นคิอ ยึดตาม ซอเฮร อายะอัลกุรอ่าน
(มุชับบะฮะ วาฮาบียะ) โดยนำหลักฐานมาจาก กีตาบ อิบานะ ที่ อีหม่าม อะบูฮะหัน อัซอารี รฮ เป้นผู้แต่ง
ผมเลยงงว่า. บรรดาลูกศิษย์ สืบทอดกันมานั้น ไม่มีใครเข้าใจ แบบวาฮาบียะ เลยหรือ และ ไฉน วาฮาบี ถึงกระโดดไปเป็น ลูกศิษย์เอก โดยนำกีตาบมาบอกว่า อีหม่ามอบูฮะซัน อัซอารี รฮ มีอากีดะ ตรงกันกับพวกเขา วาฮาบียะ
ฉะนั้น ผม งงว่า วาฮาบี เรียนกีตาบอิบานะ ผ่านใครครับ หรือ นั่งไทม์แมชชีน ไปเอามาโดยที่ บรรดา อุลามาที่เป็นลูกศิษย์ อีหม่ามอบูฮาซัน อัซอารี รฮ สืบทอดมา ไม่มีใครรู้เรื่อง กีตาบอิบานะสักคนเดียว
@@@@@
ขี้แจง
อะชาอิเราะฮสายใหม่บางคน ปฏิเสธปิดหูปิดตาว่า ที่อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ กลับตัวจากแนวคิดมุอตะซิละฮนั้นไม่จริง ด้วยเหตุที่แนวคิดอาชาอิเราะฮในปัจจุบัน ไม่ตรงกับอิหม่ามอาชาอิเราะฮตัวจริงและหนักไปทางแนวมุอตะซิละฮสมัยที่อบูหะซันอัลอัชอะรีย์ยังไม่กลับตัว ดังนั้นจึงปิดตาปฏิเสธหลักฐานการกลับตัวของ อบูหะซันอัลอัชอะรีย์
ต่อไปนี้คือคำยืนยันว่า อิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ ได้กลับตัวออกจากแนวคิดมุอฺตะซิละฮ
1.อิบนุอะสากีร(ร.ฮ)ฮ.ศ 499-571 กล่าวถึงการกลับตัวออกจากแนวคิดมุอตะซิละฮ ของอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์จากรายงานของ อิบนุอัซซะฮ(ร.ฮ)ว่า
. فقال لي : الأشعري شيخنَا ، وإمامنَا ومن عليهِ معولنَا . أقام على مذاهب المعتزلة أربعين سنة ، وكان لهم إماما ، ثم غاب عن الناس في بيته خمسة عشر يوما ، وبعد ذلك خرج إلى الجامع ، فصعد المنبر ، وقال : معاشر الناس إني إنما تغيبت عنكم في هَذِهِ المدة ، لأني نظرت فتكافأت عندي الأدلة ، ولم يترجح عندي حق على باطل ، ولا باطل على حق ، فاستهديت اللَّه تبارك وتعالى فهداني ، إلى اعتقاد ما أودعته في كتبي هَذِهِ ، وانخلعت من جميع ما كنت أعتقده ، كما انخلعت من ثوبي هذا ، وانخلع من ثوب كان عليه ورمى به ...
อัลอัชอะรีย์ ครูของเราและอิหม่ามของเรา และผู้ที่ยึดถือเขาเขาในหมู่พวกเรา กล่าวว่า เขา(อบูหะซัน) ได้ดำเนินอยู่บนมัซฮับมุอตะซิละฮ เป็นเวลา 40 ปี และ(ในเวลานั้น)เขาเป็นผู้นำของพวกเขา ต่อมาเขาได้ปลีกตัวจากบรรดาผู้คนเป็นเวลา 15 วัน แล้วหลังจากนั้น เขาได้ออกมายังมัสญิดญาเมียะ แล้วขึ้นบนมินบัร และกล่าวว่า "โอ้บรรดาปรชาชนทั้งหลาย แท้จริงข้าพเจ้าได้ปลีกตัวจากพวกท่าน ในระยะเวลาเหล่านี้ เพราะข้าพเจ้า พิจารณาดู และข้าพเจ้าได้รวบรวม หลักฐานมากมายที่ อยู ณ ที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะ รู้ได้ว่า ความจริงมีน้ำหนักเหนือความเท็จและไม่สารมารถที่จะรู้ได้ว่า ความเท็จมีนน้ำหนักกว่าความจริง(หมายถึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ) ข้าพเจ้าจึง ขอฮิดายะฮ(การชี้นำ)ต่ออัลลอฮ ตาอาลา แล้วพระองค์ก็ได้ฮิดายะฮต่อข้าพเจ้า ไปสู่อะกีดะฮ ที่ข้าพเจ้าได้ฝากมันไว้ ในหนังสือข้าพเจ้าเล่มนี้ และข้าพเจ้าขอถอนตัวจากสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยยึดมั่นต่อมัน (เคยเอียะติกอด) ดังที่ข้าพเจ้าได้ถอด เสื้อผ้าข้องข้าเจ้าชื้นนี้ แล้วเขาก็ได้ถอดเสื้อ ที่เขาสวมใส่มันอยู่ และเขาก็ขว้างมันทิ้ง ....ดู อัตตับยีน ฯ หน้า 39
2.อิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
ذكروا للشيخ أبي الحسن الأشعري ثلاثة أحوال: أولها: حال الاعتزال التي رجع عنها لا محالة. الحال الثاني: إثبات الصفات العقلية السبع وهي: الحياة والعلم والقدرة والإرادة والسمع والبصر والكلام. وتأويل الخبرية كالوجه واليدين والقدم والساق ونحو ذلك.الحال الثالث: إثبات ذلك كله من غير تكييف ولا تشبيه جرياً على منوال السلف، وهي طريقته في (الإبانة) التي صنفها آخراً"
“พวกเขาระบุว่า อบูหะซันอัลอัชอะรีย์ มี 3 สถานะภาพ
1. สถานะภาพของการเป็นมุอตะซิละฮ ที่เขาได้กลับออกจากมันอย่างแน่นอนแล้ว 
2. การรับรองบรรดาสิฟัตอักลียะฮ คือ อัลหัยยาต, อัลอิลมุ,อัลกุดเราะตุ, อัลอิรอดะตุ, อัสสัมอุ ,อัลบะเศาะรุ และอัลกะลาม และตีความ(ตะอฺวีล) สิฟัตเคาะบะรียะฮ เช่น ใบหน้า ,สองมือ, เท้า, หน้าแข้ง เป็นต้น 
3. รับรองคุณลักษณะดังกล่าวนั้นทั้งหมด โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ และไม่เปรียบเทียบว่าคล้ายคลึง(กับมัคลูค) โดยการดำเนินตามรูปแบบสะลัฟ และมันคือแนวทางของเขา (ของอบูหะซัน อัลอัชอะรีย์) ในหนังสืออัลอิบานะฮ ที่เขาได้เรียบเรียงมัน อีกเล่มหนึ่ง – เฏาะบะกอตอัชชาฟิอียีน เล่ม 1 หน้า 210 และ อิตติหาดอัสสาดะฮอัลมุตตะกีน ของ อัซซะบีดีย เล่ม 2 หน้า 4
-----------
จะเห็นได้ว่า “อิหม่ามอบูหะซัน ได้กลับตัวมายึดอะกีดะฮตามแนวสะลัฟ ส่วนกลุ่มอะชาอีเราะฮ ยังคงยึดแนวทางของอบูหะซัน ในช่วงที่สอง คือ การตีความสิฟัตเคาะบะรียะฮ เช่น คำว่า ใบหน้า (الوجه ) ,สองมือ (اليدين ) เป็นต้น
3. อิหม่ามอัซซะฮะบีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า
فله ثلاثة أحوال: حال كان معتزلياً، وحال كان سنياً في البعض دون البعض، و حال كان في غالب الأصول سنياً، وهو الذي علمناه من حاله
เขา(อบูหะซัน)มี 3 สถานะสภาพ คือ 
1. สภาพของการเป็นผู้มีแนวคิดมุอฺตะซิละฮ 
2. สถานะภาพเขาเป็นสุนนีย์(อะฮลุสสุนนะฮ)ในบางส่วน ไม่ใช่ในบางส่วน
3. และสถานะภาพที่เขาอยู่ในรากฐานของอะฮลุสสุนนะฮเป็นส่วนใหญ่ และเขาคือผู้ที่ข้าพเจ้าได้รู้จัก จากสถานะภาพของของเขา-ดู กิตาบอัลอะรัช เล่ม 1 หน้า 400
พี่น้องอาชาอิเราะฮครับ ตีโพย ตีพายอยู่ทำไม ตรวจสอบตัวเองซิครับ ว่าท่านมีอะกีดะฮตรงกับอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ อาชาอิเราะฮตัวจริงหรือไม่ เพราะท่านได้กลับมายึดอะกีดะฮตามแนวทางของอิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล
ตาญุดดีน อัสสุบกีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
أبو الحسن الأشعري كبير أهل السنة بعد الإمام أحمد ابن حنبل وعقيدته وعقيدة الإمام أحمد رحمة الله واحدة لاشك في ذلك ولا ارتياب وبه صرح الأشعري في تصانيفه وذكره غير مامرة من أتن عقيدتي هي عقيدة الإمام المبجل أحمد بن حنبل هذه عبارة الشيخ أبي الحسن في غير موضع من كلامه
อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ คือ ผู้อวุโสชาวอะฮลุสสุนนะฮ รองจากอิหม่ามอะหมัด และอะกีดะฮของเขา และอะกีดะฮของอิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) เป็นอะกีดะฮเดียวกัน อย่างไม่ต้องสงสัยในดังกล่าว และไม่มีการลังเลใจ และอิหม่ามอัลอัชอะรีย์ ได้ชี้แจงด้วยมันในบรรดาข้อเขียนของท่าน และได้ระบุไว้หลายครั้งด้วยกัน ว่า “อะกีดะฮของฉัน คืออะกีดะฮของอิหม่ามอัลมุบัจญัล อะหมัด บิน หัมบัล “ นี้คือข้อความของเช็คอบีลหะซัน ในหลายที่จากคำพูดของเขา – ดูอัเฏาะบะกอตอัชชาฟิอียะฮ เล่ม 3 หน้า 99
.........
เช็คอัสสุบกีย์ปราชญ์มัซฮับชาฟิอี ยืนยันว่า อิหม่ามอบูลหะซัน อัลอัชอะรีย์นั้น มีอะกีดะฮ เหมือนกับอะกีดะฮ
อิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล
แล้วอาชาอิเราะฮยุคหลัง มีอะกีดะฮตามทัศนะของอิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัลหรือ ไม่ ตรวจสอบดู ไม่ต้องโวยวายตีโพยที่พาย ปัจจุบันปกปิดความจริงไม่ได้แล้วครับ ท่าน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/4/60

เมื่อถูกสอนมาด้วยตรรก ผลก็คือถามหารูปแบบคุณลักษณะของอัลลอฮ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



เมื่อถูกสอนมาด้วยตรรก ผลก็คือถามหารูปแบบคุณลักษณะของอัลลอฮ
ร่อบีอะห์ อ้าด้าวียะห์
การที่ไม่เป็นวะฮะบี ไม่ใช่เรื่อแค่ กินบุญ หรือ ทำเมาลิด หรือ นิซฟูชะอบาน หรือ. อ่านตัลกีน แต่การที่ไม่เป็นวะฮะบี คือ การเชื่อว่า อั้ลลอฮ์ทรงมี โดยไม่สถานที่ ทิศทางใดๆ ไม่ต้องมาอ้างว่า อยู่สูงแบบไม่มีทิศมาห้อมล้อม เพราะ นี่คือ ข้อเลี่ยงเลี้ยวซ้ายของอะกีดะวะฮะบี ค่ะ
อ.อาลี ไม่เคยประกาศตัวเองว่า ตัวท่านเองคือ อัชอะรีย์ ได้แต่บอกว่า ตัวท่านเองไม่ใช่วะฮะบี คลิปเสียงที่ อ.อาลี สอน ตามที่เจ้าของโพส ได้โพส หนูเห็นว่า ชัดเจนไร้ข้อสงสัย ในหลักการยึดมั่นของ อ.อาลี
หนูฟังแล้วมันแปแล๊ะๆนะค่ะ อ.อาลี บอกว่า อั้ลลอทรงอยู่สูง ไม่ทีทิศทางใดๆไปห้อมล้อมพระองค์ได้ ถามว่า อยู่สูงที่ว่านี้ มีสิ่งที่เป็นอะซะลีย์เหมือนกับอั้ลลอฮ์หรอค่ะ ??
@@@@@@
ชี้แจง
อัลลอฮทรงอยู่เบื้ืองสูง มีหลักฐานมากมายยืนยัน ไม่ว่าจะเป็นอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ขอยกตัวอย่างอายะฮง่ายๆสักอายะฮคือ
تَنزِيلٌ مِّنَ الرَّحْمَٰنِ الرَّحِيمِ 
(อัลกุรอานนี้) เป็นการประทานลงมาจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ- ฟุศศิลัต/2
......
อายะฮข้างต้นหากสมองไม่ถูกฝังชิฟด้วยแนวคิดปัญญานิยม ที่เอาตรรกทางปัญญานำหลักฐาน ก็จะเข้าใจ เพราะ คำว่า "ประทานลงมา" แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า "ลงมาจากเบื้องสูงลงมาเบื้องล่าง"
อิบนุญะรีร(ร.ฮ) อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( تَنْزِيلٌ مِنَ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ ) يَقُولُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - : هَذَا الْقُرْآنُ تَنْزِيلٌ مِنْ عِنْدِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ نَزَّلَهُ عَلَى نَبِيِّهِ مُحَمَّدٍ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(เป็นการประทานลงมาจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ) หมายถึง พระองค์ ตรัสว่านี้คือ อัลกุรอ่าน เป็นการประทานลงมาจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ ทรงประทานมันลงมาให้ นบีของพระองค์ ,มุหัมหมัด ศอ็ลฯ -ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ เล่ม 21 หน้า 428
........
ถ้าใช้ความฉลาดสักนิด "คำว่าประทานลงมา" ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าผู้ประทานลงมา คือผู้อยู่เบื้องสูง
ส่วนที่ถามว่า "สูงอย่างไร" แบบนี้คือ การถามถึงรูปแบบวิธีการสิฟาต ขัดแย้งกับอะกีดะฮสะลัฟ"
ท่านอัตติมีซีย์
เป็นอุลามาอฺสะลัฟ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ สุนันของท่านว่า ในหัวข้อ
بَاب مَا جَاءَ فِي
خُلُودِ أَهْلِ الْجَنَّةِ وَأَهْلِ النَّارِ
โดยเขากล่าวว่า
.
قَالَ أَبُو عِيسَى هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ . - وَقَدْ رُوِيَ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم رِوَايَاتٌ كَثِيرَةٌ مِثْلُ هَذَا مَا يُذْكَرُ فِيهِ أَمْرُ الرُّؤْيَةِ أَنَّ النَّاسَ يَرَوْنَ رَبَّهُمْ وَذِكْرُ الْقَدَمِ وَمَا أَشْبَهَ هَذِهِ الأَشْيَاءَ وَالْمَذْهَبُ فِي هَذَا عِنْدَ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنَ الأَئِمَّةِ مِثْلِ سُفْيَانَ الثَّوْرِيِّ وَمَالِكِ بْنِ أَنَسٍ وَابْنِ الْمُبَارَكِ وَابْنِ عُيَيْنَةَ وَوَكِيعٍ وَغَيْرِهِمْ أَنَّهُمْ رَوَوْا هَذِهِ الأَشْيَاءَ ثُمَّ قَالُوا تُرْوَى هَذِهِ الأَحَادِيثُ وَنُؤْمِنُ بِهَا وَلاَ يُقَالُ كَيْفَ
อบูมูซา (หมายถึงอิหม่ามอัตติรมิซีย์เอง) กล่าวว่า นี้คือ หะดิษ หะซัน เศาะเฮียะ และแท้จริงมันได้ถูกรายงานจาก นบี ศอ็ลฯ บรรดารายงานต่างๆมากมาย เหมือนกับรายงานนี้ คือ สิ่งที่ เรื่องการเห็นอัลลอฮ (อัรรุอยะฮ) ได้ถูกระบุไว้ในมันว่า “แท้จริงมนุษย์ พวกเขาจะได้เห็นพระเจ้าของเขา และ “อัลเกาะดัม (เท้าของอัลลอฮ)ถูกระบุเอาไว้ และสิ่งที่คล้ายครึงกับบรรดาสิ่งต่างๆเหล่านี้ และในประเด็นนี้ ตามทัศนะของนักวิชาการจากบรรดานักปราชญ์ระดับอิหม่าม อย่างเช่น ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ , ท่านมาลิดบินอะนัส , ท่านอิบนุอัลมุบาร๊อก , ท่านอิบนุอุยัยนะฮ์ , ท่านวะเกี๊ยะอฺ , และท่านอื่นๆ ว่า แท้จริงพวกเขาได้รายงานบรรดาสิ่งต่างๆเหล่านี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า บรรดาหะดิษเหล่าวนี้ได้ถูกรายงาน โดยเราศรัทธาด้วยกับมัน และไม่ถูกกล่าวว่ามีรูปแบบวิธีการเป็นอย่างไร
وَهَذَا الَّذِي اخْتَارَهُ أَهْلُ الْحَدِيثِ أَنْ تُرْوَى هَذِهِ الأَشْيَاءُ كَمَا جَاءَتْ وَيُؤْمَنُ بِهَا وَلاَ تُفَسَّرُ وَلاَ تُتَوَهَّمُ وَلاَ يُقَالُ كَيْفَ وَهَذَا أَمْرُ أَهْلِ الْعِلْمِ الَّذِي اخْتَارُوهُ وَذَهَبُوا إِلَيْهِ .
และนี้ก็คือสิ่งที่นักวิชาการหะดิษได้เลือกเฟ้นมัน
โดยการรายงานประการต่างๆเหล่านี้ เสมือนกับที่มันได้มีมา และถูกศรัทธาด้วยกับมัน โดยไม่ถูกอธิบาย ,ไม่คิดจินตนาการ และไม่ถูกกล่าวว่ามีรูปแบบวิธีการอย่างไร และนี้คือสิ่งที่นักวิชาการ(สะลัฟ)ได้เลือกและได้ให้ทัศนะไปยังมัน - ดู สุนัน อัตติรมีซีย์ เล่ม 4 หน้า 319
.
..............
อิหม่ามติรมิซีย์ ได้ระบุ บรรดาหะดิษ ต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึง
การเห็นอัลลอฮ หรือ เท้าของออัลลอฮ และบรรดาหะดิษที่คล้ายคลึงกัน แนวทางสะลัฟ ว่า พวกเขา เชื่อตามตัวบทที่ได้รายงานมา โดย ไม่นึกมโนภาพ ว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ถามรูปแบบว่าเป็นอย่างไร 

                    และอันตรายมากที่คนไม่เข้าใจอะกีดะฮ แล้วออกมาทำหน้าที่ชี้นำ คนอื่น ให้ตกเหว วิจารณ์ผู้รู้ที่เห็นต่างแบบนั่งเทียน -วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
20/4/60

ความหมายอายาตและหะดิษสิฟาตคลุมเครือจริงหรือ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


ความหมายอายาตและหะดิษสิฟาตคลุมเครือจริงหรือ
อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ อ้างว่า
สรุปจากที่โพส : อะกีดะฮ์สะลัฟศอลิหฺ แนวทางของท่านอาจารย์อาลี เสือสมิงนั้น คล้ายคลึงกับแนวทางของวะฮฺฮาบี(คณะใหม่)ตรงที่ท่านอาจารย์จะแปลศิฟัตของอัลลอฮฺที่ให้ความหมายที่คลุมเครือเป็นภาษาไทยก่อนแล้วค่อยทำการมอบหมายทีหลัง แต่แนวทางของครูของผมซึ่งตรงกับแนวทางของปราชญ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น จะทำการมอบหมายแก่นแท้ของควายหมายไปยังอัลลอฮฺตะอาลา
@@@@
ชี้แจง
อิหม่ามมาลิก(ร.ฮ) กล่าวว่า
لاستواء معلومٌ ، والكيف مجهولٌ ، والإيمان بـــه واجبٌ ، والسؤال عنه بدعةٌ
อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ถูกไม่รู้(ไม่เป็นที่รู้กัน) และกาศรัทธาด้วยมันนั้น วาญิบ และการถามจากมัน คือบิดอะฮ
..........
ดูที่มา
رواه اللالكائي في " شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة " (3/441) والبيهقي في "الأسماء والصفات " (ص 408) وصححه الذهبي وشيخ الإسلام والحافظ ابن حجر .
1.ที่อิหม่ามอัลกุรฎุบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
ขอยกตัวอย่างที่อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ อธิบายทัศนะสะลัฟ เกี่ยวกับความหมาย “อิสติวาอฺว่า 
وَإِنَّمَا جَهِلُوا كَيْفِيَّة الِاسْتِوَاء فَإِنَّهُ لَا تُعْلَم حَقِيقَته . قَالَ مَالِك رَحِمَهُ اللَّه : الِاسْتِوَاء مَعْلُوم - يَعْنِي فِي اللُّغَة - وَالْكَيْف مَجْهُول , وَالسُّؤَال عَنْ هَذَا بِدْعَة
และความจริง พวกเขา(สะลัฟ) ไม่รู้รูปแบบวิธีการของอิสติวาอฺ เพราะแท้จริง ลักษณะที่แท้จริงของมันไม่ถูกรู้ (ว่าเป็นอย่างไร) ,มาลิก (ร.ฮ)กล่าวว่า “อิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน หมายถึง( เป็นที่รู้กันความหมายในทางภาษา และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน และการถามจากสิ่งนี้เป็นบิดอะฮ – อัลญาเมียะลิอะหกามอัลกุรอ่าน 7/219-220
2. อบูบักร์ บิน อัลอะเราะบีย์ อัลอัชอะรีย์ กล่าวว่า
وذهب مالك رحمه الله أن كل حديث منها معلوم المعنى ولذلك قال للذي سأله الاستواء معلوم والكيفية مجهولة
มาลิก ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ได้ให้ทัศนะว่า “ทุกหะดิษจากมัน (จากหะดิษที่เกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ) ความหมายเป็นที่รู้กัน เพราะเหตุนั้น เขา(มาลิก) กล่าวแก่ผู้ที่ถามเขา ว่า “การประทับนั้นเป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน – ดู อาริเฎาะฮอัลอะหวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 166 
….. 
เมื่อความหมายอายาตและหะดิษสิฟาต เป็นที่รู้กันในทางภาษา แล้วจะเป็นความหมายที่คลุมเครือได้อย่างไร
ส่วนสิ่งที่คลุมเครือ นั้น คือ รูบแบบวิธีการ อิหม่ามมาลิกจึงกล่าวว่า
والكيف مجهولٌ
และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน
การมอบหมายนั้น คือ การมอบหมายรูปแบบวิธีการ ไม่ใช่การมอบหมายความหมายในทางภาษา โดยไม่แปลความหมายอย่างที่อาชาอิเราะฮบางกลุ่มอ้าง
มาดูคำอธิบายของชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ ดังนี้
فنؤمن بأن الله تعالى قد استوى على العرش ، استواء حقيقيا يليق بجلاله سبحانه، ليس كاستواء البشر ، ولكن كيفية الاستواء مجهولة بالنسبة لنا ؛ ولذا ، فإننا نفوض كيفيته إلى الله ، كما قال الإمام مالك وغيره لما سئل عن الاستواء : "الاستواء معلوم، والكيف مجهول
แล้วเราศรัทธา ว่าอัลลอฮตะอาลา ทรงสถิต(อยู่)เหนือบัลลังค์(อะรัช) เป็นการอยู่จริง ที่เหมาะสมกับความยื่งใหญ่และความบริสุทธ์ของพระองค์ ไม่เหมือนกับการอยู่ของมนุษย์ แต่ว่า รูปแบบวิธีการสถิต(อิสติวาอ)เป็นอย่างไรนั้น สำหรับเรา ไม่เป็นที่รู้กัน และเพราะเหตุนี้ เราจึงมอบหมาย(ความรู้เกี่ยวกับ)รูปแบบวิธีการของมัน ไปยังอัลลอฮ ดังที่อิหม่ามมาลิก และคนอื่นจากเขากล่าวต่อสิ่งที่ถูกถามเกี่ยวกับอัลอิสติวาอฺว่า “การอิสติวาอนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน -มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 3 หน้า 25
...........
เราจะพบความบรรดาสะลัฟ ได้ทำการแปลและอธิบายความหมายอายาตสิฟาต เพราะฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ที่สิ่งที่เป็นหลักความเชื่อ ให้รับรองถ้อยคำอย่างเดียวโดยไม่รู้ว่า แปลว่าอย่างไร
อิบนุกุตัยบะฮ (ฮ.ศ 213-276) ปราชญ์ยุคสะลัฟกล่าวว่า
"ولسنا ممن يزعم: أن المتشابه في القرآن لا يعلمه الراسخون في العلم وهذا غلط من متأوليه على اللغة، والمعنى.
ولم ينزل الله شيئاً من القرآن إلا ينفع به عباده، ويدل على معنى أراده،
และเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่อ้างว่า แท้จริง อัลมุตาชาบิฮในอัลกุรอ่านนั้น บรรดาผู้ที่มีความมั่นคง(เชี่ยวชาญ)ในความรู้ ไม่รู้มัน และนี้คือ ความเข้าใจผิดพลาด จากผู้ที่ทำการตีความ(ตะวีล)มัน บนภาษาและความหมาย 
และอัลลอฮ จะไม่ทรงประทานสิ่งใดๆ จากอัลกุรอ่านลงมา นอกจาก เพื่อให้บ่าวของพระองค์ได้รับประโยชน์ด้วยมัน และ แสดงบอกถึงความหมาย ที่พระองค์ต้องการด้วยมัน – ดู ตะวีลมุชกิลิลกุรอ่าน หน้า 72
......
อิบนุกุตัยบะฮ ยืนยันว่า ผู้ที่อ้างว่า อายาตมุตาชาบิฮ ผู้ที่มีความเชียวชาญในความรู้ ก็ไม่รู้ความหมายของมัน เป็นการเข้าใจผิดพลาด จากผู้ที่ตีความ
،
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดัม
19/4/59