วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

วาทกรรมอะฮลุลบิดอะฮจะฝากสล่ามถึงนบีในหลุมศพ






วาทกรรมอะฮลุลบิดอะฮจะฝากสล่ามถึงนบีในหลุมศพ
อาชาอีเราะห์มะตุรีดี อะลิ้ฮัก
2 ชม.
ตกลงวะฮาบี
เชือว่าคนทีตายไปแล้ว ก็ตายแบบไม่รู้สึกอะรั้ยเลยหรือ #คำถามทีผมสงสัยอยู่ ฮาดิษทีนบีบอกว่า ในหลุมศพ (กุบุร) สำหรับท่านเป็นผู้ศรัธา ก็เหมือนส่วนสวรรค์ และสำหรับท่านทีไม่ศรัธา ก็ไม่ต่างจากนรก
แล้วทีตรงนี้ อัลลอฮไห้สวรรค์หรือนรก ไปเพืออะรั้ย ถ้าเรา (คนตาย) ไม่มีความรู้สึกใดๆ
@@@@@
-ข้างต้นเป็นตรรกของคนๆหนึ่ง ที่อ้างเรื่องฝากสล่ามถึงท่านนบี ที่อยู่ในหลุมศพ ณ นครมะดีนะฮ
จะเอาให้ได้และดันทุรังว่า เมื่อมัยยิตในหลุมศพได้ยิน ก็ต้องรับสลามที่ฝากได้ นี่คือ ความดันทุรังของอะฮลุลบิดอะฮคนนี้
ขอเรียนว่า 
1.การฝากสล่ามผ่านคนกลางไปถึงคนที่มีชีวิตอยู่นั้น เป็นสุนนะฮ
ดังหะดิษที่ว่า
عَنْ أَنَسٍ ، قَالَ : ” جَاءَ جِبْرِيلُ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، وَعِنْدَهُ خَدِيجَةُ ، قَالَ : إِنَّ اللَّهَ يُقْرِئُ خَدِيجَةَ السَّلامَ ، فَقَالَتْ : إِنَّ اللَّهَ هُوَ السَّلامُ ، وَعَلَى جِبْرِيلَ السَّلامُ ، وَعَلَيْكَ السَّلامُ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ
รายงานจากอะนัส กล่าวว่า ญิบรีล ได้มาหาท่านนบี ศอ็ลฯ และ ท่านหญิงเคาะดียะฮ อยู่กับท่านนบี ,ญิบรีล ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลลอฮ ได้ กล่าวสล่ามแก่ เคาะดียะฮ แล้วนาง กล่าวว่า " แท้จริงอัลลอฮ คือ อัสสลาม(ผู้ทรงสันติ) และ ขอให้ความสันติจงประสบแด่ท่านญิบรีล และ ขอให้ความสันติสุข ความเมตตาของอัลลอฮและความจำเริญของพระองค์จงประสบแด่ท่าน -สุนันกุบรอ ของ อันนะสาอีย์ กิตาบุลมะนากิบ หะดิษหมายเลข 8038
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ، قَالَ : ” أَتَى جِبْرِيلُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَقَالَ : ” يَا رَسُولَ اللَّهِ هَذِهِ خَدِيجَةُ قَدْ أَتَتْ مَعَهَا إِنَاءٌ فِيهِ إِدَامٌ أَوْ طَعَامٌ أَوْ شَرَابٌ , فَإِذَا هِيَ أَتَتْكَ فَاقْرَأْ عَلَيْهَا السَّلَامَ مِنْ رَبِّهَا وَمِنِّي , وَبَشِّرْهَا بِبَيْتٍ فِي الْجَنَّةِ مِنْ قَصَبٍ لَا صَخَبَ فِيهِ وَلَا نَصَبَ
รายงานจาก อบีฮุรอ็ยเราะฮ (ร.ฎ) กล่าวว่า ญิบรีล ได้มาหาท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วกล่าวว่า โอ้รซูลลุลลอฮ นี่คือ เคาะดียะฮ แท้จริง ภาชนะ ที่ในมัน มี เครื่องปรุงอาหาร หรือ อาหาอารหรือเครื่องดื่ม จะมาพร้อมกับนาง ดังนั้น เมื่อนางมาหาท่าน ท่านจงอ่านสลามจากพระผู้อภิบาลของนางและจากฉัน แก่นางด้วย และจงบอกข่าวดีแก่นาง ด้วยบ้นหลังหนึ่ง ในสวรรค์ ที่ทำจาก ไข่มุกที่ถูกร้อยเป็นพวงด้วยเพชร ดดยไม่มีเสียงครำครวญและไม่มีความเหน็ดเหนื่อยในบ้านหลังนั้น -รายงานโดยบุคอรี กิตาบอัลมะนากิบ หมายเลข 3608
2. การเยี่ยมกุโบร์และกล่าวสะลามแก่ชาวกุโบร์เป็นสุนนะฮ
เพราะท่านนบี ศอ็ลฯ ได้สอนไว้ให้กล่าวในขณะเยี่ยมกุโบร์ว่า
السَّلامُ عَلَيكم أَهْلَ الدِّيَارِ مِنَ المُؤْمِنِينَ وَالمُسْلِـمِينَ، وَإنَّا إَنْ شَاءَ الله للَاحِقُون، أَسْأَلُ الله لَنَا وَلَكُمُ العَافِيَةَ». أخرجه مسلم
“ขอความสันติจงมีแด่เจ้าของที่พำนักทั้งหลายเหล่านี้ จากหมู่บรรดามุอ์มินีนและมุสลิมีน และพวกเรา อินชาอัลลอฮฺ จะได้ตามพวกท่านไปในภายหลัง ฉันขอต่ออัลลอฮฺให้ทรงประทานความปลอดภัยแก่พวกเราและแก่พวกท่านทั้งหลาย” (บันทึกโดย มุสลิม หมายเลข 975)
3. ส่วนการฝากสล่ามถึงท่านนบี ศอ็ลฯผ่านคนที่เดินทางไปมะดีนะฮ นั้น ไม่มีสุนนะฮจากท่านนบี ศอ็ลฯ เพราะสล่ามของบรรดาอุมะฮของท่าน ให้แก่ท่านนบีนั้น มีมลาอิกะฮเป็นผู้รับส่งไปถึงท่านนบีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องฝาก ดังหะดิษ
ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
« إِنَّ لِلهِ مَلَائِكَةً سَيَّاحِينَ فِي الأَرْضِ يُبَلِّغُونِي مِنْ أُمَّتِي السَّلَامَ ». أخرجه أحمد والنسائي.
ความว่า “แท้จริงสำหรับอัลลอฮฺนั้นมีบรรดามลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่ตระเวนบนพื้นแผ่นดินคอยรายงานแก่ฉันถึงการกล่าวสลามจากประชาชาติของฉัน” (หะดีษเศาะหีหฺ บันทึกโดยอะหฺมัด :3666 และอันนะสาอีย์ :1282 อัลสิลสิละฮฺ อัศเศาหีหะฮฺ : 2853)
.........
จากที่กล่าวมาทั้งหมด มันพอเพียงแล้วสำหรับคนที่จะปฏิบัติตามสุนนะฮ แต่ไม่พอสำหรับคนที่ต้องการที่อุตริบิดอะฮ ตามตรรกทางปัญญาของตน ไม่พอกับสุนนะฮ ดันทุรังจะอุตริบิดอะฮให้ได้ วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
10/4/60

3 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  3. มีอุละมาระดับมุจตะฮิด มีหลักฐานเรื่อง ฝากสลามให้นบีได้ จากหนังสือ المجموع شرح المهذب ของ الإمام النووي เล่มที่ 8 หน้า 274 มีดังนี้
    [وَإِنْ كَانَ قَدْ أُوصِيَ بِالسَّلَامِ عَلَيْهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وآله وَسَلَّمَ قَالَ: السَّلَامُ عَلَيْك يَا رَسُولَ الله من فلان بن فُلَانٍ، وَفُلَانُ ابْنُ فُلَانٍ يُسَلِّمُ عَلَيْك يَا رَسُولَ اللهِ، أَوْ نَحْوَ هَذِهِ الْعِبَارَةِ] اهـ.
    และในหนังสือ الاختيار لتعليل المختار เล่มที่ 1 หน้า 176 และใน الفتاوى الهندية เล่มที่ 1 หน้า 265-266
    [وَيُبَلِّغُهُ سَلَامَ مَنْ أَوْصَاهُ فَيَقُولُ: السَّلَامُ عَلَيْكَ يَا رَسُولَ اللهِ مِنْ فُلَانِ بْنِ فُلَانٍ، يَسْتَشْفِعُ بِكَ إِلَى رَبِّكِ فَاشْفَعْ لَهُ وَلِجَمِيعِ الْمُسْلِمِينَ، ثُمَّ يَقِفُ عِنْدَ وَجْهِهِ مُسْتَدْبِرَ الْقِبْلَةِ، وَيُصَلِّي عَلَيْهِ مَا شَاءَ] اهـ.
    เรื่องศาสนาต้องดูกันนานๆ ประเภทถามจริงตอบให้ พูดเอามันนะอันตราย เรื่องศาสนามันผ่านขบวนการตรวจสอบมาจากบรรดาอุละมาในอดีตนับเป็นพันปีแล้ว ดังที่นบีซ.ล รับรองว่า إن العلماء ورثة الأنبياء แท้จริงบรรดาอุละมาเป็นทายาท (ผู้รับมรดกทางวิชาการ) จากนบี มันน่าจะอยู่ในตำรับตำราไว้ถึงความหลากหลายที่แตกต่างกันในเรื่องของศาสนา เป็นความสะดวกที่พระผู้เป็นเจ้าได้หยิบยื่นให้กับพวกเราได้เลือกปฏิบัติ โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ มุ่งสู่อัลเลาะห์ ซ.บ อย่างเราๆและท่านมีปัญญาวินิจฉัยปัญหาศาสนาหรือ ? ขอยกตัวอย่างฮ่าดิษสักบทที่ถูกระบุว่า........ من قال في القرآن بغير علم فليتبوأ مقعده من النار ผู้ใดกล่าวเกี่ยวกับอัลกุรอ่านโดยไม่มีดวามรู้ จงเตรียมที่พักอาศัยไว้ในขุมนรกเถิด ตรงนี้ ในหนังสือ الإقناع في حل ألفاظ أبي شجاع เล่ม 1 หน้าที่ 255 ระบุว่า وَيحرم تَفْسِير الْقُرْآن بِلَا علم ونسيانه أَو شَيْء مِنْهُ كَبِيرَة ห้าม แปลกุรอ่านโดยไม่มีความรู้ (علم التفسير) ถือเป็นบาปอย่างร้ายแรง นี่แหละถึงบอกว่าต้องอาศัยอุละมา เดี่ยวนี้เก่งกันเหลื่อเกินตั้งตนเป็นมุจตะฮิดกันหมดแล้ว ทำนั้นผิด ทำโน้นบิดอะห์ ทำนี่ก็ชิริก ตัดสินสวนทางกับบรรดาทายาทผู้รับสืบทอดศาสนามาจากท่านนบี ซ.ล สัจจะธรรมพึ่งเกิดมาในยุคท่านหรือ? สงสัยคงเหมาเอาว่าคนในอดีตไม่รู้เรื่องศาสนา ถ้าไม่มีเขาในวันนั้น เราจะมีวันนี้หรือ เอาสมองส่วนไหนคิด เหนื่อย..ไปอ่านฮ่าดิษนี้ซะ
    จะได้เลิกมั่ว .من يرد الله به خيراً يفقهه في الدين ท่านคงจะไม่คิดว่า الإمام النووي ทำบิดอะห์หรอกนะ?

    ตอบลบ