วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมกล่าวหาว่า อิบนุตัยมียะฮ,ชัยค์มุหัมหมัดและชัยค์บินบาซ มีอะกีดะฮยิว


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


วาทกรรมกล่าวหาว่า อิบนุตัยมียะฮ,ชัยค์มุหัมหมัดและชัยค์บินบาซ มีอะกีดะฮยิว
อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์
26 สิงหาคม เวลา 19:58 น. • 
มีคนถามผมว่า ทำไมเฟสผมถึงได้มีแต่ตอบโต้วะฮฺฮาบี(คณะใหม่) ?
ผมเลยตอบเขาไปว่า “ความจริงแล้วที่ผมสมัครเฟสมาก็เพื่อสิ่งนี้แหละครับ” 😁
مَنْ يُرِيْدُ لِلْمُسْلِمِيْنَ أَنْ يَتَحَوَّلُوْا إِلَى عَقِيْدَةِ ابْنِ تَيْمِيَّةَ وَمُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْوَهَّابِ وَابْنِ بَازٍ عَقِيْدَةِ الْيَهُوْدِ أَحْبَابِهِمْ اَلَّذِيْنَ يُطَالِبُوْنَ بِالصُّلْحِ مَعَهُمْ وَمَعَ الإنْبِطَاحِ لَنْ نَسْكُتَ لُهُ وَلَوْ عَلَى جُثَثِنَا وَاللهِ الْعَظِيْمِ لَنْ نَسْكُتَ لَهُمْ
ความว่า “ผู้ใดที่มีเจตนาให้พี่น้องมุสลิมเปลี่ยนแนวทางไปสู่หลักอะกีดะฮ์ความเชื่อของชัยค์อิบนุตัยมียะฮ์,นายมุฮัมหมัดบินอับดุลวะฮ๊าบและชัยค์บินบาซฺ ที่หลักความเชื่อของศาสนายิวยะฮูดีย์เป็นที่ชื่นชอบเดียวกับพวกเขา, บรรดาผู้ซึ่งออกมาเรียกร้องให้รอมชอมกับพวกเขาพร้อมกับยอมสยบ(ให้พวกเหล่านั้น) ! เราจะไม่หยุดตอบโต้ผู้นั้น ถึงแม้ว่าเราจะตายลงไปกลายเป็นซากศพไปแล้ว ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เราจะไม่หยุดตอบโต้พวกเขา”
: ชัยค์ ชะฮีด นิซฺ๊าร อัลหะลาบีย์ กล่าวก่อนขึ้นรับตำแหน่งมุฟตี แห่งเลบานอน
@@@@
ชี้แจง
กล่าวหาปราชญ์ที่เห็นต่างกับตน ว่ามีอะกีดะฮยิว โดยการเอาวาทกรรมของ ชัยค์ นิซาร อัลหะละบีย์ ผู้มีแนวคิดอาชาอิเราะฮ ศิษย์ของ อับดุลลอฮ อัลฮะเราะรีย์ หัวหน้ากลุ่มอะฮบาช สำหรับอับดุลลอฮ อัลหะเราะรีย์ ทางสภาอุลามาอฺ ประเทศซะอุดีย์ได้ฟัตวาดังนี้
السؤال :
هل عبد الله الهرري الحبشي خدم الإسلام أم هدمه ؟.
تم النشر بتاريخ: 2000-05-02
คำถาม
อับดุลลอฮอัลอัลฮะเราะรีย์ อัลหับชีย์ รับใช้อิสลามหรือ ทำลายอิสลาม?
الجواب :
الرجل المذكور رجل سوء ، من رؤوس البدعة والضلال في هذا العصر ، وقد جنّد نفسه وأتباعه لهدم عقيدة المسلمين التي كان عليها النبي صلى الله عليه وسلم وأصحابه والتابعون ، وجمعوا لأنفسهم مذهباً فاسداً في الفقهيات ، ملؤوه بكل شاذ ورديء من القول لا سند له من كتاب أو سنة
ตอบ
ชายที่ถูกกล่าวถึง เป็นคนเลว เป็นส่วนหนึ่งจากหัวหน้าบิดอะฮ และการหลงผิด ในสมัยนี้ เขาได้ เกณฑ์ตัวเขาเองและบรรดาผู้ที่ตามเขา เพื่อทำลายอะกีดะฮบรรดามุสลิม ที่ท่านนบี ศอ็ลน ,บรรดาเศาะหาบะฮของท่านนบีและบรรดาตาบิอีน ได้ดำเนินอยู่บนมัน และพวกเขาได้รวม แนวทาง(มัซฮับ)ที่ผิด สำหรับตัวพวกเขาเอง ในบรรดาเรืองฟิกฮ ที่ถูกให้เต็มไปด้วย ทุกๆทัศนะที่แหวกแนวและเลวทราม ไม่มีสายรายงานสำหรับมันจาก คัมภีร์(อัลกุรอ่าน)หรือสุนนะฮ........ดู ฟัตวาอัลลุจญนะฮ ฯ เล่ม 12 หน้า 304 ฟัตวาหมายเลข 90177
……….ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
การกล่าวหาปราชญ์มุสลิมว่ามีอะกีดะฮยิว มันเป็นปกติของผู้ประกาศเป็นศัตรู กับชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ,ชัยค์มุหัมหมัด และปราชญ์หลายคนที่ถูกฉายาให้เป็นวะฮบีย์
เราขอยินยันว่าอิบนุตัยมียะฮเรียกร้องสู่อะกีดะฮ อิสลามตามแนวทางสะลัฟผู้ทรงธรรม ขอยกตัวอย่างสัก 1 ตัวอยางคือ 
ในประเด็นสิฟัตอัลอุลูว์ของอัลลอฮ อิหม่ามอิบนุตัยมียะฮ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
وَلَوْ يُجْمَعُ مَا قَالَهُ الشَّافِعِيُّ فِي هَذَا الْبَابِ لَكَانَ فِيهِ كِفَايَةٌ ; وَمِنْ أَصْحَابِ الشَّافِعِيِّ عَبْدُ الْعَزِيزِ بْنُ يَحْيَى الْكِنَانِيُّ الْمَكِّيُّ لَهُ كِتَابُ : " الرَّدِّ عَلَى الجهمية " وَقَرَّرَ فِيهِ " مَسْأَلَةَ الْعُلُوِّ " وَأَنَّ اللَّهَ تَعَالَى فَوْقَ عَرْشِهِ . وَالْأَئِمَّةُ فِي الْحَدِيثِ وَالْفِقْهِ وَالسُّنَّةِ وَالتَّصَوُّفِ الْمَائِلُونَ إلَى الشَّافِعِيِّ 
และ ถ้าสิ่งทีอัชชาฟิอี ได้กล่าวมัน ในเรื่องนี้ ถูกรวบรวมไว้ ก็จะเป็นการพอเพียงในมัน(หมายถึงในการให้ความชัดเจน-ผู้แปล) และส่วนหนึ่งจากบรรดาสานุศิษย์ชาฟิอีย์ คือ อับดุลอะซีซ บิน ยะหยา อัลกินานีย์ อัลมักกีย์ เขามีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “อัรรอ็ด อะลัลญะฮมียะฮ “และเขาได้ยืนยัน ประเด็นอัลอุลูว์(คุณลักษณะการอยู่สูงของอัลลอฮ) ในหนังสือเล่มนี้ว่า “ และแท้จริง อัลลอฮตาอาลา อยู่เหนือบัลลังก์ ของพระองค์ และบรรดาอิหม่าม ใน ด้าน หะดิษ,ฟิกฮ,อัสสุนนะฮและตะเซาวูฟ พวกเขาเอนเอียงไปยัง(ทัศนะ)ชาฟิอีย์ - ดู มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 5 หน้า 140
ซึ่งก่อนหน้าประโยคข้างต้น อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ได้กล่าวว่า
وَقَالَ الشَّافِعِيُّ : خِلَافَةُ أَبِي بَكْرٍ حَقٌّ قَضَاهُ اللَّهُ تَعَالَى فِي سَمَائِهِ وَجَمَعَ عَلَيْهِ قُلُوبَ عِبَادِهِ .
และอัชชาฟิอี กล่าวว่า การเป็นเคาลิฟะฮของอบีบักร์(อัศ-ศิดดิก) นั้น เป็นความจริง ,อัลลอฮตาอาลา ทรงตัดสินเขา บนฟากฟ้าของพระองค์ และทรงรวมบรรดาหัวใจของบ่าวของพระองค์ บนเขา(อบูบักร์ – ดู มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 5 หน้า 139 -และดูที่มาเพิ่มเติมจากข้างล่าง
نقله عنه الحافظ عبد الغني المقدسي في عقيدته (27) ، وابن قدامة في إثبات صفة العلو (124-125) ، ، وابن القيم في " الجيوش "(59) وصححها عنه
..........
ขอยืนยันว่า อิบนุตัยมียะฮมีอะกีดะฮตามแนวทางปราชญสะลัฟผู้ทรงธรรม คนที่อ่านภาษาอาหรับและแปลได้ และมีหัวใจเป็นธรรมไม่อคติ สามารถอ่านข้อเท็จจริงได้จากตำราของท่าน แต่...ถ้าหัวใจมีอคติ ต่อให้คำพูดของอิบนุตัยมียะฮ,ชัยค์มุหัมหมัดและชัยค์บินบาซ มากองอยู่ต่อหน้า ก็ไม่มีประโยชน์
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/8/60

วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วาทกรรมและเครื่องหมาย ผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



วาทกรรมและเครื่องหมาย ผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ
Abdulhaleem Matraksa
25 สิงหาคม เวลา 1:33 น. • Saba Yoi, Songkhla
จากอายะฮฺ
الرحمن على العرش استوى
:พระผู้ทรงเมตาทรงมีฐานะสูงส่งเหนืออารัช
(แปลตามอิบบนุยารีร อัตตอบารียฺ)
แต่มุยัสสิมะฮฺแปลว่า
:....อยู่สูงเหนืออารัช
พอมันแปลแบบนั้นผมก็ถามมุยัสสิมะตนนั้นว่า
ถ้าท่านแปลว่าอยู่สูงแล้วคำพูดนี้จะแปลยังไง?
استوت الكواكب على السماء
:บรรดาดวงดาวอยู่สูงเหนือฟากฟ้า
ถ้ายังงั้นดวงดาวก็มีซีฟัตอิสติวาอฺ ด้วยงั้นหรา???
เขาไม่ตอบแต่ให้ลูกหาบมาแถแบบไร้สาระ แต่ผมจะตอบให้และเอาไปวิจารย์ที่ห้องฟิตนะฮฺด้วยนะ
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นเครื่องหมายของผู้มีแนวคิดญะฮมียะฮ มักจะกล่าวหาคนที่ยืนยันหรือรับรองคุณลักษณะของอัลลอฮตามความหมายในทางภาษาที่มีมาตามตัวบทโดยไม่ตีความว่า "พวกมุชับบะฮะฮ" พวกมุญัสสิมะฮ
อิบนุอะบิลอิซ (ร.ฮ)กล่าวว่า
وَكَذَلِكَ قَالَ خَلْقٌ كَثِيرٌ مِنْ أَئِمَّةِ السَّلَفِ : عَلَامَةُ الْجَهْمِيَّةِ تَسْمِيَتُهُمْ أَهْلَ السُّنَّةِ مُشَبِّهَةً ، فَإِنَّهُ مَا مِنْ أَحَدٍ مِنْ نُفَاةِ شَيْءٍ مِنَ الْأَسْمَاءِ وَالصِّفَاتِ إِلَّا يُسَمِّي الْمُثْبِتَ لَهَا مُشَبِّهًا
และในทำนองนั้น ผู้คนส่วนมากจากบรรดาอิหม่ามยุคสะลัฟ ได้กล่าวว่า "เครื่องหมายของญะฮมีญะฮ คือ การที่พวกเขาเรียก อะฮลุสสุนนะฮว่า "มุชับบะฮะฮ"(ผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค) เพราะแท้จริง ไม่มีคนใดจากการปฏิเสธปฏิเสธสิ่งใดๆจากบรรดาพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮ นอกจาก ผู้ที่รับรองมันจะถูกเรียกว่า "มุชับบะฮัน"(ผู้ที่เปรียบอัลลอฮกับมัคลูค)- ดูชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 1/86
บาบอ Abdulhaleem Matraksa ไม่เข้าใจ อะกีดะฮสะลัฟแล้วนั่งเทียนมโนว่า คนรับรองคุณลักษณะของอัลลอฮ ตามความหมายที่มีมาตามตัวบทที่อัลลอฮและรอซูล ศอ็ลฯ บอกว่า เป็นพวกมุญัสสิมะฮ
มาดูข้อเท็จจริง ที่สวนทางกับตรรกของบาบออับดุลฮาลีม แห่งสะบ้าย้อย คือ
อบูอิสหาก อิบรอฮีม บิน ชากิลัน อัลหัมบะลีย์ (ฮ.ศ 369) ได้กล่าวกับ อบีสุลัยมาน อัดดัมชะกีย์ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ตาม อิบนุกุลลาบ (หัวหน้ามุอฺตะซิละฮ) ในการโต้วาที ระหว่างทั้งสอง เมื่อ อบูสุลัยมานกล่าวกับเขาว่า
"أنتم المشبهة
พวกท่านคือ พวกมุชับบิฮะฮ
อิบนุชากิลัน(ฮ.ศ 369) กล่าวว่า
حاشا لله، المُشبِّه الذي يقول: وجهٌ كوجهِي، ويَدٌ كَيَدِي، فأما نحن فنقول: له وجهه، كما أثبت لنفسه وجهًا، وله يدٌ، كما أثبتَ لنفسه يَداً، {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ} [الشورى : 11] ومن قال هذا فقد سَلِم.) (11
“เป็นไปไม่ได้” อัลมุชับบิฮะฮคือ ผู้ที่กล่าวว่า “ใบหน้า เหมือนใบหน้าของฉัน สำหรับเรานั้น เรากล่าวว่า พระองค์ทรงมีพระพักต์ของพระองค์ ดังที่พระองค์ ได้รับรอง คำว่าใบหน้า แก่พระองค์เอง และ พระองค์ทรงมีพระหัตถ์ ดังที่พระองค์ทรงรับรองคำว่ามือ แก่ตัวของพระองค์เอง (ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์นั้น คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น) และผู้ใดกล่าวแบบนี้ แน่นอนเขาปลอดภัย –(1)
...................
(1)طبقات الحنابلة لابن أبي يعلى (ج3 ص239)، قال: "قرأت بخط الوالد السعيد (أبو يعلى) قال: نقلتُ من خط أبي بكر بن شاقلا قال: أخبرنا أبو إسحاق بن شاقلا – قراءة عليه- قال: ... فذكر المناظرة
-------------------------
ข้างต้น หวังว่าคงชัดเจนว่า การรับรองความหมายที่ปรากฏตามตัวบท โดยไม่ได้ไปเปรียบเทียบ และไม่ได้เชื่อไปว่า เหมือนหรือคล้ายคลึงกับมัคลูคนั้น “ไม่ใช่มุชับบะฮะฮ” ตามที่ถูกกล่าวหาโดย อะชาอีเราะฮยุคหลัง
ดังนั้น เมื่อไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ แล้วจะเป็นพวกมุญัสสิมะฮ หรือพวกให้รูปร่างแก่อัลลอฮได้อย่างไร
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า
ليس يلزم من إثبات صفاته شيء من إثبات التشبيه والتجسيم، فإن التشبيه إنما يقال: يدٌ كيدنا ...
ส่วนหนึ่งจากการรับรองบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ นั้น ไม่จำเป็นว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการรับรองการตัชบิฮ(การคล้ายคลึง)และตัจญซีม(การมีรูปร่าง) เสมอไป ความจริงการตัชบิฮ(การเปรียบเทียบสิฟัตอัลลอฮกับมัคลูต)นั้น เช่น มือ เหมือนกับมือของเรา.....- อัลอัรบะอีน ฟี สิฟาติรอ็บบิลอาละมีน เล่ม 1 หน้า 104
............
บาบอ Abdulhaleem Matraksa ไม่เข้าใจภาษา ในคำว่า
استوى على
ความหมายข้างต้นแกนนำอาชาอิเราะฮ ให้ความหมายว่า อำนาจปกครอง มาดูการตอบโต้ของ ปราชญ์ต่อไปนี้
อบูบักร์อัลบากิลานีย์ (ฮ.ศ 403)กล่าวว่า
لا يجوز أن يكون معنى استوائه على العرش استيلاؤه عليه لأن الاستيلاء هو القدرة والقهر، والله تعالى لم يزل قادراً قاهراً. وقوله: ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْش يقتضي استفتاح هذا الوصف بعد أن لم يكن. فبطل ما قالوه
ไม่อนุญาตให้ความหมายการอิสติวาอฺของพระองค์ เหนือบัลลังค์ ว่าคือ การอิสตีลาอฺ(การปกครอง)เหนือมัน ดังคำพูด ของนักกวี ที่ว่า
“บะชีร ยึดครอง อิรัก โดยไม่ใช้ดาบและไม่นองเลือด “
เพราะว่าแท้จริง มันคือ พลานุภาพ และ อำนาจ ทั้งๆที่ อัลลอฮตาอาลานั้น ทรงเป็นผู้ทรงอนุภาพและเป็นผู้ทรงอำนาจ อยู่เสมอแล้ว และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า(หลังจากนั้นทรงอิสติวาอฺ เหนือบัลลังค์-อัลอะรอฟ/54 ) หมายความว่า คุณลักษณะนี้เริ่มมี (หมายถึงอำนาจปกครอง) หลังจากที่มันไม่มี ดังนั้น สิ่งที่พวกเขากล่าวมัน (หมายถึงที่อ้างว่า มีความหมายว่าอำนาจปกครองนั้น) เป็นโมฆะ –อัตตัมฮีด ของ อัลบากิลานีย์ หน้า 262
................
สรุป
อบูบักร อัลบากิลานีย์ บอกว่า ไม่อนุญาตให้ความหมายคำว่า อิสติวา ว่า อำนาจปกครอง (อิสติลาอฺ) เพราะถ้าให้ความหมายนี้ ก็เท่ากับว่า เมื่อก่อนอัลลอฮไม่มีอำนาจ แล้วมีขึ้นมาที่หลัง เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเขากล่าวว่า อิสติวาอฺ คือ อำนาจปกครองนั้น เป็นโมฆะ
อบูมันศูร อัลอัซฮะรีย์(ฮ.ศ 282-370 )กล่าวว่า
وقال الأخفش: استوى أي علا، ويقول: استويت فوق الدابة وعلى ظهر الدابة: أي علوته
อัลอัคฟัซ ได้กล่าวว่า “อิสตะวา หมายถึง อะลา(สูง /ชึ้น )และเขากล่าวว่า ฉันขึ้น(ขี่)บนหลังสัตว์พาหนะ และ อยู่บนหลังสัตว์พาหนะฮ หมายถึง ฉันได้ขี่มัน – ตะฮซีบุลลุเฆาะฮ 13/125ในภาพอาจจะมี ข้อความ
ข้างต้น เขาอธิบาย คำว่า استوى ว่ามีความคำว่า علا แปลว่าสูง ,ขึ้น ,ขี่ ในทางภาษา
แต่นาย Abdulhaleem Matraksa พยายามใช้ตรรกทางวิชานาฮู แล้วชง ว่า คนที่ให้ความหมายว่า อิสตะวา อะลา (استوى على ) คือ พวกที่ให้สถานที่แก่ อัลลอฮ แล้วเอาไปเปรียบกับตัวอย่างที่นักปราชญ์ยกมา ซึ่งเขาต้องการบอกว่า มีความหมาย ว่า สูง หรืออยู่สูง ไม่ใช่เอามาเปรียบกับมัคลูค ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะอัลลอฮอยูสูงเหนือมัคลูค แยกจากมัคลูค
อิหม่ามอัดดารีมีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
إن الأمة كلها، والأمم السالفة قبلها، لم يكونوا يشكون في الله تعالى أنه فوق السماء، بائن من خلقه،
แท้จริง อุมมะฮทั้งหมด และบรรดาอุมมะฮผู้เป็นสะลัฟก่อนพวกเขา พวกเขา ไม่สงสัย ในอัลลอฮ ตาอาลา ว่าแท้จริง พระองค์อยู่เหนือฟากฟ้า แยกจากมัคลูคของพระองค์ - อัรรอด อะลัลญะฮมียะฮ หน้า 21
....
อิบนุคุซัยมะฮ มีชื่อเต็มว่า มุหัมหมัด บิน อิสหาก บิน คุซัยมะฮ บิน อัลมุฆีเราะฮ บิน ศอลิห บิน บักรฺ อัสสะละมีย์ อัลนัยสะบูรีย์ อัชชาฟิอี (ฮ.ศ 223-311 ) กล่าวว่า
فنحن نؤمن بخبر الله جل وعلا : أن خالقنا مستو على عرشه ؛ لا نبدل كلام الله ، ولا نقول قولا غير الذى قيل لنا ؛ كما قالت المعطلة الجهمية : إنه استولى على عرشه ، لا استوى ؛ فبدلوا قولا غير الذى قيل لهم ، كفِعْل اليهود : لما أمروا أن يقولوا : حِطَّة ، فقالوا : حنطة ؛ مخالفين لأمر الله جل وعلا ، كذلك الجهمية.
เราศรัทธา ด้วยคำบอกเล่าของอัลลอฮ ผู้ทรงเกรียงไกรและทรงสูงส่ง ว่า แท้จริง ผู้ทรงสร้างพวกเรา คือ ผู้ทรงอยู่เหนือบัลลังค์ ,เราจะไม่เปลี่ยนแปลงคำพูดของอัลลอฮ ,เราจะไม่กล่าว คำพูดใดๆ อื่นจากคำพูดที่ได้ถูกกล่าวแก่เรา ดังเช่นสิ่งที่ พวกอัลมุอฏิละฮอัลญะมียะฮ กล่าวว่า "แท้จริงพระองค์ทรงครอบครองเหนือบัลลังค์ พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ (เหนือบัลลังค์) ,พวกเขาก็ได้เปลี่ยนคำพูด อื่นจากคำพูดที่ถูกกล่าวแก่พวกเขา เช่นเดียวกับการกระทำของยะฮูด ขณะที่พวกเขา ถูกสั่งให้กล่าวว่า " หิฏเฎาะฮ" แล้วพวกเขากล่าวว่า "หินเฏาะฮ" โดยการที่พวกเขาขัดแย้ง ต่อคำสั่งของอัลลอฮ ผู้ทรงเกรียงไกรและผู้ทรงสูงส่ง ,ในทำนองเดี่ยวกับดังกล่าวนั้น คือพวกอัลญะมียะฮ - อัตเตาฮีด 1/233
@@@
กลุ่มแนวคิดญะฮมียะฮและมุอตะซิละฮที่ซึมซับเข้ากระดูกดำ พยายามหาเหตุผลและตรรกทางปัญญา ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ เราจะนำหลักฐานมาเสนอกองสูงเท่าภูเขา คนเหล่านี้ก็กระเสือกกระสนหาเหตุปฏิเสธ และไม่สนใจรับรู้ ซึ่งไม่ต่างกับ สีซอ ให้ควายฟัง”
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/8/60

การพรรณาว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าด้วยซาต เป็นศาสนาของฟีรเอานฺและวงศ์วาน จริงหรือ





ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


การพรรณาว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้าด้วยซาต เป็นศาสนาของฟีรเอานฺและวงศ์วาน จริงหรือ
ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า 172
ท่าน ผู้เขียนอ้างอายะฮต่อไปนี้คือ
يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى
โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา (ฆอฟีร 36-37)
แล้วท่านตำราข้างต้น สรุปว่า "การพรรณาคุณลักษณะของอัลลอฮด้วยคุณลักษณะที่พระองค์อยู่บนฟ้า (แบบฟิรเอานฺโดยพรรณาว่า พระองค์ทรงอยู่บนฟ้าด้วยซาตของพระองค์ในเชิงรูปธรรม)นั้น เป็นศาสนาของฟิรเอานฺและบรรดาวงศ์วานของพวกเขาจากพวกการเฟร
@@@@@@@@@
ชี้แจง
ขอให้ผู้อ่านผู้มีหัวใจต้องการแสวงหาความจริง ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ มาศึกษาข้อเท็จจริงต่อไปนี้ เพื่อพิสูจน์ว่า ใครจริง ใครเท็จ ความหายนะจะประสบกับผู้กล่าวเท็จให้แก่อัลลอฮ
ขอเรียนให้ผู้อ่านทราบว่า
หนึ่งในรากฐานศาสนาหรืออะกีดะฮ ของอิสลามทุกยุคทุกสมัยคือ เชื่อว่า พระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า
ดังที่หลักฐานที่บอกว่า อัลลอฮทรงเล่าถึงฟิรเอานฺใช้บันไดที่ขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเพื่อมองดูพระเจ้าของมูซา แล้วฟิรเอานฺก็ปฏิเสธของความเชื่อของมูซาเกี่ยวกับการมีอยู่ของอัลลอฮเหนือฟากฟ้า อัลลอฮ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงตรัสว่า
وَقَالَ فِرْعَوْنُ يَا هَامَانُ ابْنِ لِي صَرْحًا لَعَلِّي أَبْلُغُ الْأَسْبَابَ (36) أَسْبَابَ السَّمَاوَاتِ فَأَطَّلِعَ إِلَى إِلَهِ مُوسَى وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا
และฟิรเอานฺกล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย! จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก 
(สูเราะฮฺฆอฟิร 40 : 36-37) 
อิหม่ามอิบนุญะรีรอัฏเฏาะบะรีย์ อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( وَإِنِّي لَأَظُنُّهُ كَاذِبًا ) يَقُولُ : وَإِنِّي لِأَظُنُّ مُوسَى كَاذِبًا فِيمَا يَقُولُ وَيَدَّعِي مِنْ أَنَّ لَهُ فِي السَّمَاءِ رَبًّا أَرْسَلَهُ إِلَيْنَا
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) หมายถึง “แท้จริงฉันแน่ใจว่ามุซา โกหก ในสิ่งที่เขากล่าวและกล่าวอ้างว่า เขามีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า พระองค์ส่งเขามายังเรา – ดู ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮฆอฟีร อายะฮที่ 37 
...............
อิบนุญะรีร อธิบายว่า นบีมูซา อ้างกับฟาโรห์ว่า พระเจ้าอยู่บนฟ้า แต่ฟาโรห์ปฏิเสธ
มาดู อุลามาอฺในศตวรรษที่สอง อิหม่ามอัดดาริมีย์ (ฮ.ศ.280) กล่าวว่า
ففي هذه الآية بيان ، ودلالة ظاهرة ،أن موسى كان يدعو فرعون إلى معرفة الله بأنه فوق السماء ، فمن أجل ذلك أمر ببناء الصرح ،ورام الإطلاع إليه
ในอายะฮนี้ คือความชัดเจน และเป็นหลักฐานอันชัดเจน ว่า มูซา เรียกร้องฟิรเอาอฺ ให้ไปสู่การรู้จักอัลลอฮ ว่า แท้จริงพระองค์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ด้วยเหตุดังกล่าวเขา(ฟาโรห์)จึงบัญชา ให้สร้างหอสูง และปรารถนาจะขึ้นไปยังพระองค์ – อัรรอ็ด อะลัลญะมียะฮ หน้า 37 
.................
อัดดาริมีย์ นบี มูซาเรียกร้องฟาโรห์ให้รู้จัก อัลลอฮ ว่าพระองค์อยู่เหนื่อฟากฟ้า
มาดูนักปราชชาวสะลัฟอีกท่านหนึ่ง คือ มุหัมหมัด บิน อิสหาก บิน คุซัยมะฮ หรือ เรียกว่า อิบนุคุซัยมะฮ (ฮ.ศ 223-311) กล่าวว่า
وفي قوله وإني لأظنه كاذبا دلالة على أن موسى قد كان أعلمه أن ربه جلا وعلا أعلى وفوق.
ในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก) คือหลักฐานแสดงบอก ว่า มูซา ได้บอกให้เขา(ฟาโรห์)รู้ว่า แท้จริงพระเจ้าของเขา ผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิง ทรงอยู่สูง และทรงอยู่เบื้องบน – ดู กิตาบุตเตาฮีด ของท่าน อิบนุคุซัยมะฮ เล่ม 1 หน้า 264 
.........
อิบนุคุซัยมะฮ บอกว่า นบีมูซา บอกให้ฟาโรห์รู้ว่า พระเจ้าของเขา อยู่เบื้องบน
...............
ชัดเจนว่าปราชญ์ยุคสะลัฟ อธิบายว่า พระเจ้าของนบีมูซา อะลัยฮิสสลามอยู่บนฟ้า แต่ ท่านอาจาย์ เจ้าของตำราโจมตีบอกว่า การพรรณาว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า เป็นศาสนากาเฟร วัลอิยาซุบิลละฮ
อิหม่ามอัศเศาะบูนีย์ อธิบายว่า
قوله {وإني لأظنه كاذبا} يعني في قوله: إن في السماء إلهًا، وعلماء الأمة وأعيان الأئمة من السلف رحمهم الله لم يختلفوا في أن الله تعالى على عرشه، وعرشه فوق سماواته
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ) หมายถึง ในคำพูดของเขา(มูซา)ที่ว่า แท้จริงมีพระเจ้าอยู่บนฟากฟ้า) และบรรดาอุลามมาอฺแห่งอุมมะฮ และบรรดา ประชาชนแห่งอุมมะฮจากชาวสะลัฟ (ขออัลลอฮเมตตาต่อพวกเขา) พวกเขาไม่ได้เห็นต่างกัน เกี่ยวกับการที่อัลลอฮตะอาลาทรงอยู่บนฟากฟ้า บน อะรัช และอะรัชของพระองค์ อยู่เหนื่อบรรดาฟากฟ้าของพระองค์- อะกิดะฮสะลัฟวะอัศหาบุลหะดิษ หน้า 176
....
คำพูดของอิหม่ามอัศศอบูนีย์ยืนยันชัดเจนว่า อายะฮข้างต้น ปราชญ์ยุคสะลัฟไม่มีความเห็นขัดแย้งกันเลย เกี่ยวกับการที่อัลลอฮตะอาลาทรงอยู่บนฟากฟ้า บน อะรัช และอะรัชของพระองค์ อยู่เหนื่อบรรดาฟากฟ้าของพระองค์
อับดุลบัร – ฮ.ศ 463 (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
فَدَلَّ على أن موسى عليه السلام كان يقول: إلهي في السماء، وفرعون يظنه كاذبا
และแสดงบอกว่า แท้จริงมูซา อะลัยฮิสสลาม เขากล่าวว่า พระเจ้าของฉัน อยู่บนฟากฟ้า และฟาโรห์ คิดว่าเขา(มูซา) เป็นผู้โกหก – อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 133
...........
อิบนุอับดิลบัร บอกว่า พระเจ้าของฉันอยู่บนฟ้า และฟาโรห์คิดว่ามูซาโกหก
อัลหาริษ อัลมุหาสิบีย์(ฺฮ.ศ 243) ปราชญยุคสะลัฟ อธิบายว่า
وإني لأظنه كاذبا فيما قال لي إنه في السماء، فطَلَبَه حيث قال له موسى مع الظن منه بموسى عليه السلام أنه كاذب، ولو أن موسى عليه السلام أخبره أنه في كل مكان بذاته لطلبَه في الأرض أو في بيته وبدنه ولم يتعز ببنيان الصرح
และแท้จริง ฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก ในสิ่งที่เขา(มูซา)กล่าวแก่ฉัน(ฟาโรห์) ว่า แท้จริงพระองค์ อยู่บนฟ้า แล้วเขาก็หาพระองค์ โดยที่มูซาได้กล่าวแก่เขา ทั้งๆที่เขาแน่ใจว่ามูซาอะลัยฮิสสลาม เป็นผู้โกหก และถ้ามูซา อะลัยฮิสสลาม บอกเชา ว่า พระองค์อยู่ในทุกสถานที ด้วยซาตของพระองค์ แน่นอน เขาก็หาพระองค์ในแผ่นดิน หรือในบ้านของเขา และในร่างของเขา และเขา(ฟาโรห์)ก็จะไม่สนับสนุนให้สร้างหอสูงหรอก - ดู ฟะฮมุอัลกุรอ่านวะมะอานีฮี ของ อัลมุหาสิบีย์ หน้า 352
..........................
สรุปจากคำอธิบายของอัลมุหาสิบีย์คือ
1. นบีมูซา กล่าวกับฟาโรห์ว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า เขาจึงหาพระเจ้ามูซา(อ.) ทั้งๆเขาเชื่อว่า มูซาโกหก 
2. ถ้านบีมูซา บอกว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง แน่นอนฟาโรห์ก็จะหาพระเจ้า บนแผ่นดิน ,ในบ้าน ในร่างกายเขา เขาจะไม่ส่งเสริมให้สร้างหอคอยสูงหรอก
นี่คือ อะกีดะฮสะลัฟ ยืนยันว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า แต่ครูบางคนดูหมิ่น เยียดหยามว่า เป็นความเชื่อของกาเฟร -นะอูซุบิลละฮ
แล้วการเชื่อแบบนี้ เป็นศาสนาฟิรเอานฺและเป็นศาสนากาเฟรได้อย่างไร -นะอูซุบิลละฮ
อนึง 
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/6/60

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อัลหะซันอัลบัศรี ตีความจริงหรือ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อัลหะซันอัลบัศรี ตีความจริงหรือ
ในหนังสืออุลามาอฺอาชาอิเราะฮเมื่องไทยชื่อชื่อ หลักอะกีดะฮแนวทางสะลัฟ ระหว่างอัลอะชาอิเราะฮกับวะฮบียะฮ หน้า 86 ระบุว่า
อัลหะซัน อัลบัศรีย์ (ฮ.ศ 21-110)ตีความคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า
وَجَاءَ رَبُّكَ ) : جَاءَ أَمْرُهُ وَقَضَاؤُهُ
และพระผู้อภิบาลของเจ้าได้มา คือ คำบัญชาและการตัดสินของพระองค์ได้มา
@@@@@
ชี้แจง
ข้างต้น อิหม่ามอัลบัควีย์ (ร.ฮ)ได้รายงาน โดยไม่ระบุสายรายงาน ซึ่งตามหลักพิจารณาหะดิษแล้ว ถือว่า เฎาะอีฟ เพราะคนรายงานกับคนพูด อยู่คนละยุค และไม่ระบุสายรายงาน แบบนี้เอามาเป็นหลักฐานยืนยันไม่ได้
อิหม่ามอัลบัฆวีย์เอง ได้กล่าวไว้ใน ชัรหอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 168 ว่า
"والإصبع المذكورة في الحديث صفة من صفات الله عز وجل وكذلك كل ما جاء به الكتاب أو السنة من هذا القبيل من صفات الله تعالى؛ كالنفس، والوجه، والعين، واليد، والرجل، والإتيان، والمجيء، والنزول إلى السماء الدنيا, والاستواء على العرش، والضحك، والفرح" أ.هـ.
“และนิ้ว ที่ถูกระบุในหะดิษ ก็เป็นคุณลักษณะหนึ่งจากบรรดา คุณลักษณะของอัลลอฮ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเกรียงไกร และในทำนองเดียวกันนั้น ทุกสิ่งที่ อัลกิตาบ หรือ อัสสุนนะฮ นำมา เกี่ยวกับการนี้ จากบรรดาคุณลักษณะของอัลลอฮ (ซ.บ) เช่น ตัวตน, ใบหน้า, ตา ,มือ ,เท้า ,การไป ,การมา, การลงมายังฟากฟ้าชั้นที่หนึ่ง ,การประทับบนบัลลังก์ ,การหัวเราะ และ การยินดี
..........
ท่านอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ อิหม่ามอาชาอิเราะฮตัวจริง ได้กล่าวว่า
وأجمعوا على أنه عز وجل يجيء يوم القيامة والملك صفا صفا لعرض الأمم وحسابها وعقابها وثوابها فيغفر لمن يشاء من المذنبين ويعذب منهم من يشاء
และ พวกเขา(อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ) มีมติ ว่า แท้จริง พระองค์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง เสด็จมาในวันกิยามะฮ พร้อมกับมลาอิกะฮ เป็นแถว เพื่อแสดงให้ปรากฏต่อบรรดาอุมมะฮ ,เพื่อสอบสวน, เพื่อลงโทษ และ ตอบแทนผลบุญต่อพวกเขา แล้วทรงอภัยโทษ แก่ผู้ทีทรงประสงค์ จากบรรดาผู้กระทำผิดทั้งหลาย และทรงลงโทษ ส่วนหนึ่งจากพวกเขา ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ – ดู ริสละฮ ลิอะฮลิษษะอฺรี หน้า 227
อบูหะซัน อัลอัชอารีย์ ได้ยืนยันว่า ท่านยึดตามแนวของอิหม่ามอะหมัด บิน หัมบัล กล่าวในประเด็น การเสด็จลงมาของอัลลอฮว่า
: ونقول: إن الله عز وجل يجيء يوم القيامة كما قال سبحانه: وَجَاء رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا
เราขอกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง เสด็จมาในวันกิบามะฮ ดังที่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
และพระเจ้าของเจ้าเสด็จมาพร้อมทั้งมะลาอิกะฮฺด้วยเป็นแถว ๆ – อัลอิบานะฮ อันอุศูลิดดิยานะฮ
......
อิหม่ามอาชาอิเราะฮตัวจริงไม่ตีความ แต่คนแอบอ้างว่าสังกัดมัซฮับของท่าน พยายามหาข้ออ้างตีความอายาตสิฟาต
...........
อบูยะฮลา ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน กล่าวว่า
" وقد قال أحمد في رواية حنبل في قوله ( وجاء ربك ) قال : قدرته " ، قال أبو إسحاق بن شاقلا : هذا غلط من حنبل لا شك فيه ، وأراد أبو إسحاق بذلك أن مذهبه حمل الآية على ظاهرها في مجيء الذات ، هذا ظاهر كلامه ، والله أعلم
และแท้จริง อะหมัด ได้กล่าวไว้ในการรายงานของหัมบัล (บินอิสหาก) ในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า “(พระเจ้าของเจ้าเสด็จมา) เขากล่าวว่า “หมายถึงเดชานุภาพของพระองค์” อบูอิสหาก บิน ชากิล กล่าวว่า “ นี้คือ การ(รายงาน)ผิดพลาดจากหัมบัล โดยไม่ต้องสงสัย และอบูอิสหาก มีจุดประสงค์ ด้วยดังกล่าวนั้น ว่า แนวทางของเขา ยึดถือ อายะฮตามตัวบทของมันที่ปรากฏ ในการเสด็จมาของซาต(ของอัลลอฮ) นี้คือ คำพูดของเขาที่ปรากฏ – วัลลอฮุอะลัม – ดู อิบฏอลุอัตตะวีลาต เล่ม 1 หน้า 132
..............
เพราะฉะนั้น จากบทความที่ผมซึ่งถูกกล่าวหาว่า เป็นคนไม่มีความรู้เรื่องศาสนา ได้ชี้แจง แล้วขอให้ไปเทียบคนที่ได้รับการยกย่องเป็นอาเล่มอุลามาอฺ ว่า ควรจะพิจารณาอย่างไร ที่จะได้ยึดอะกีดะฮอิสลามที่สอดคล้องกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮโดยไม่มีการยัดใส้
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/8/60

กล่าวหาวะฮบีย์นำสิฟาตมุตะชาบิฮาตไปพูดกับสามัญชนจนเกิดฟิตนะฮ



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



กล่าวหาวะฮบีย์นำสิฟาตมุตะชาบิฮาตไปพูดกับสามัญชนจนเกิดฟิตนะฮ
ในหนังสืออุลามาอฺแกนนำอาชาอิเราะฮที่มีคนยกว่า ชื่อ หลักอะกีดะฮแนวทางสะลัฟ ระหว่างอัลอะชาอิเราะฮกับวะฮบียะฮ หน้า 39
“ปัจจุบันนี้มีการนำเรื่องสิฟัตมุตาชาบิฮาตมาพูดกับสามัญชนทั่วไปจากกลุ่มวะฮบียะฮไม่ว่าจะตามสถาบันหรือสื่อต่างๆจนเกิดฟิตนะฮ ขึ้นในหัวใจของสามัญชนทั่วไปและอ้างว่าเป็นแนวทางอะฮลิสซุนนะฮวัลญะมาอะฮที่สะละฟุศศอลิยึดอยู่.......” โดย อาจารย์ผู้เขียนได้อ้างหลักฐานต่อไปนี้ว่า
ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้กล่าวรายงานถึงท่าน ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ ว่า
مَا وَصَفَ اللهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى بِنَفْسِهِ فِىْ كِتَابِهِ فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيْرُهُ ، لَيْسَ لِأَحَدٍ أَنْ يُفَسِّرَهُ بِالْعَرَبِيَّةِ وَلاَ بِالْفَارِسِيَّةِ
“สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาด้วยกับพระองค์เองในคำภีร์ของพระองค์นั้น การอ่าน(ผ่าน)มันก็คือการอธิบายมันแล้ว โดยที่ไม่อนุญาติให้คนใดคนหนึ่ง ทำการอธิบายมันด้วยภาษาอาหรับหรือภาษาเปอร์เซีย” ดู อัลอัศมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 298
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ขอชี้แจงว่า
สะลัฟคนใหนบอกหรือว่า บรรดาอายาตและหะดิษสิฟาต เป็นสิฟาตมุตะชาบิฮาตที่ไม่มีใครรู้ควาามหมาย
อิหม่ามมาลิก (ร.ฮ) กล่าวว่า
الاستواء معلومٌ ، والكيف مجهولٌ ، والإيمان بـــه واجبٌ ، والسؤال عنه بدعةٌ ".
อัลอิสติวาอ เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการไม่เป็นที่รู้กัน ,การศรัทธาด้วยมันคือสิ่งที่เป็นวาญิบ และการถามเกี่ยวกับมัน คือบิดอะฮ (ดูที่มาข้างล่าง)
رواه اللالكائي في " شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة " (3/441) والبيهقي في "الأسماء والصفات " (ص 408) وصححه الذهبي وشيخ الإسلام والحافظ ابن حجر .
انظر : " مختصر العلو" (ص 141) ، " مجموع الفتاوى(5/365) ، " فتح الباري " (13/501) بألفاظ متقاربة ومعنى متحد
...............
คำว่า "มะอลูม" ในคำพูดของอิหม่ามมาลิกคือ ความหมายในทางภาษาเป็นที่รู้กัน เมื่อเป็นที่รู้กัน มันคือ สิ่งที่คลุมเครือได้อย่างไร
อบูบักร์ อิบนุอัลอะเราะบีย์ อัลมะลิกีย์ (ฮ.ศ 543)
ท่านได้อธิบายหะดิษสิฟัตในสุนันติรมิซีย์ว่า
ومذهب مالك رحمه الله أن كل حديث منها معلوم المعنى، ولذلك قال للذي سأله: "الاستواء معلوم، والكيفية مجهولة
และแนวทางของมาลิก (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) แท้จริงทุกหะดิษจากมัน(จากหะดิษที่ระบุเกี่ยวกับสิฟาต) ความหมาย เป็นที่รู้กัน และเพราะดังกล่าว เขาได้กล่าวแก่ผู้ที่ถามเขาว่า " อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน -อาริเฎาะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 166
....
เมื่อสะลัฟรู้ความหมาย ไปปรากฏว่า สะลัฟรับรองถ้อยคำอย่างเดียว และปฏิเสธความหมาย
ส่วน คำพูดของอิบนุอุยัยนะฮข้างต้นไม่ใช่ห้ามแปลความหมายทางภาษา เกี่ยวกับสิฟาตอัลลอฮ แต่หมายถึงไม่อธิบายรูปแบบสิฟาต ว่าเป็นอย่างไร มาดูหลักฐานต่อไปนี้
ซูฟยาน บิน อุยัยนะฮ(ฮ.ศ 198) กล่าวว่า
كُلُّ شَيْءٍ وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فِي الْقُرْآنِ ، فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيرُهُ ، لا كَيْفَ وَلا مِثْلَ
ทุกสิ่งที่อัลอฮ พรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน การอ่านมัน คือ การอธิบายมัน ไม่มีการถามว่าเป็นอย่างไร และไม่มีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
كتاب الصفات للدارقطني (ص70)؛ شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة للالكائي (ج3 ص431)
อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 538) อธิบายคำพูดอิบนุอุยัยนะฮว่า
فقراءته تفسيره" أي هو على ظاهره لا يجوز صرفه إلى المجاز بنوع من التأويل
การอ่านของมัน คือการตัฟสีรมัน หมายถึง มันอยู่บนความหมายที่ปรากฏของมัน ไม่อนุญาตให้ผันมันไปสู่ความหมายเชิงอุปมา (มะญาซ) ด้วยชนิดใดๆ จากการตีความ
العلو للعلي الغفار للذهبي (ص263)؛ وكتاب العرش له (ج2 ص359-360
มาดูอิหม่ามอัซซะฮะบีย์อาธิบายครับ
وكما قال سفيان وغيره "قراءتها تفسيرها"، يعني أنها بينة واضحة في اللغة، لا يبتغى بها مضائق التأويل والتحريف. وهذا هو مذهب السلف مع إتفاقهم أيضا أنها لا تُشْبِه صفات البشر بوجه إذ الباري لا مثل له لا في ذاته ولا في صفاته
และดังที่ ซูฟยานและอื่นจากเขา กล่าวว่า “การอ่านมัน คือ การตัฟสีรมัน หมายถึง แท้จริงมันมีความหมายชัดเจน และแจ่มแจ้งในทางภาษา และไม่สมควร ทำให้ยุ่งยากด้วยการตีความและเปลี่ยนแปลงความหมาย และนี้คือ แนวทางของสะลัฟ พร้อมทั้งการเห็นฟ้องของพวกเขา อีกว่า ไม่คล้ายคลึงกับ บรรดาลักษณะของมนุษย์ จะด้วยทางใดๆ (ก็ตาม) เพราะ พระผู้ทรงสร้าง ไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบใดๆสำหรับพระองค์ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับซาตของพระองค์ และ ไม่ว่าเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ก็ตาม –ดู อัลอุลูวีย ลิอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 251
ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า
هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.
หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยมันให้ดำเนินไปตามความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู
الأسماء والصفات للبيهقي (ج2 ص377)
..............................
เพราะฉะนั้น คำพูดสะลัฟ ไม่ได้หมายถึงห้ามแปลความหมายในทางภาษา โดยให้อ่านทับศัพท์อย่างที่ท่านเจ้าของหนังสือเข้าใจ และกล่าวหาว่ากลุมวะฮบีย์ แปลความหมายสิฟัตมุตาชาบิฮ ให้คนอาวามฟังจนเกิดฟิตนะฮ เป็นการปรักปรำให้ร้าย จึงถามว่า ไม่ทราบว่าสะลัฟคนใดบอกว่า สิฟาตอัลลอฮ เป็นมุตาชาบิฮาต ที่ไม่มีใครรู้ความหมาย ท่องอย่างเดียวแต่ไม่รู้ความหมาย โดยให้ ศรัทธาในสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
الله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
26/8/60
ปล. มีหลักฐานมากมายที่ยืนยันว่า สะลัฟรู้ความหมายอายาตและหะดิษสิฟาต แต่เกรงเนื้อหายาวไป

เขากล่าวหาว่ากลุ่มวะฮบีย์หุกุมคนที่เห็นต่างว่าเป็นมุชริกีน หะลาลเลือด


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


เขากล่าวหาว่ากลุ่มวะฮบีย์หุกุมคนที่เห็นต่างว่าเป็นมุชริกีน หะลาลเลือด
ในหนังสืออุลามาอฺแกนนำอาชาอิเราะฮที่มีคนยกว่า มีความรู้สูง ได้ระบุไว้ในหนังสือของเขาชื่อ หลักอะกีดะฮแนวทางสะลัฟ ระหว่างอัลอะชาอิเราะฮกับวะฮบียะฮ หน้า 14 
กลุ่มวะฮฮาบีย์ จะเรียกตนเองว่าเป็นมุสลิมีน ส่วนผู้อื่นจากแนวทางของพวกตน คือมุชริกีน ที่อนุมัติเลือด(สังหาร)และทำสงครามได้"
@@@@
ชี้แจง
ข้างต้นไปเอามาจากข้อมูลเท็จใส่ร้ายวะฮบีย์
มาดูคำพูด ชัยค์มุหัมหมัด บิน อับดุลวาฮับ ดังนี้
وأما الكذب والبهتان، فمثل قولهم: إنا نكفر بالعموم، ونوجب الهجرة إلينا على من قدر على إظهار دينه، وإنا نكفر من لم يكفر، ومن لم يقاتل، ومثل هذا وأضعاف أضعافه، فكل هذا من الكذب والبهتان، الذي يصدون به الناس عن دين الله ورسوله. وإذا كنا لا نكفر من عبد الصنم، الذي على عبد القادر، والصنم الذي على قبر أحمد البدوي، وأمثالهما، لأجل جهلهم، وعدم من ينبههم، فكيف نكفر من لم يشرك بالله إذا لم يهاجر إلينا، أو لم يكفر ويقاتل؟: {سُبْحَانَكَ هَذَا بُهْتَانٌ عَظِيمٌ
สำหรับการโกหกและการใส่ร้าย เช่น คำพูดของพวกเขาที่ว่า “ เราตัดสินการเป็นกุฟูรโดยรวม และ(ใส่ร้ายว่า)เราบังคับให้ผู้ที่มีความสามารถในการแสดงออกศาสนาของเขา(ที่อยู่ในเมือง) ให้อพยพมายังเรา และ(ใส่ร้ายว่า)เราตัดสินว่าเป็นกุฟุร ผู้ที่ไม่ได้กล่าวว่าเป็นกาเฟร และ ผู้ที่ไม่ร่วมทำสงคราม(กับเรา) และเหมือนกับสิ่งนี้มีมากมาย และทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากการโกหกและใส่ร้าย ของผู้ที่ ขัดขวางมนุษย์จากศาสนาของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ และในเมื่อเราไม่ได้ตัดสินว่าเป็นกุฟุร ผู้ที่อิบาดะฮต่อเจว็ด ที่มีอยู่บน(กุบูร)อับดุลเกาะดีร และรูปเจว็ด ที่อยู่บนกุบูร อะหมัดอัลบะดะวีย์ และบรรดาที่เหมือนกับทั้งสองนั้น เพราะความไม่รู้ของพวกเขา และเพราะไม่มีผู้ตักเตือนพวกเขา แล้วเราจะตัดสินการเป็นกุฟุร กับผู้ที่ไม่ได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮได้อย่างไร เมื่อเขาไม่อพยพมายังเรา หรือไม่กล่าวว่าเป็นกุฟุร หรือไม่ทำสงคราม(ร่วมกับเรา) (มหาบริสุทธิ์ พระองค์ท่าน (โอ้อัลลอฮ) นี่คือ การใสร้าย อันมหันต์ – ดู อัดดุรอรอัสสะนียะฮ 1/104
ขนาด ผู้ที่ไปอิบาดะฮที่รูปเจว็จบนหลุมศพอับดุลกอเดรและอะหมัด อัลบะดะวีย์ ท่านเช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ยังไม่ตัดสินว่าเป็นกุฟุรเลย เพราะท่านถือว่า พวกนั้นไม่รู้และไม่มีใครตักเตือน แล้วท่านจะไปตัดสินการเป็นคนว่าเป็นกุฟุร โดยรวม โดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร
ช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับกล่าวอีกว่า
وأما ما ذكر الأعداء عني أني أكفر بالظن وبالموالاة أو أكفر الجاهل الذي لم تقم عليه الحجة، فهذا بهتان عظيم يريدون به تنفير الناس عن دين الله ورسوله
และสำหรับ สิ่งที่ฝ่ายบรรดาศัตรูกล่าวถึงข้าพเจ้า ว่า ข้าพเจ้า ตัดสินการเป็นกุฟุร ด้วยพื้นฐานของการเดาสุ่ม และ ด้วยพื้นฐานของการจงรักภักดี หรือ ข้าพเจ้าตัดสินว่าเป็นกุฟุรแก่คนไม่รู้ที่หลักฐานไม่ได้แสดงแก่เขา นี้คือ การใส่ร้ายป้ายสี อันมหันต์ พวกเขาประสงค์จะให้ผู้คน ออกจากศาสนาของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ -มุจญมัวะมุอัลลิฟาต เช็ค มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ เล่ม 3 หน้า 14
การกล่าวหาเช็คมุหัมหมัดว่า ตัดสินคนว่าเป็นกุฟุร โดยใช้มาตรฐานการคาดเดา หรือ การจงรักภักดี (คือถ้าไม่จงรักภักดีก็จะตัดสินว่าเป็นกุฟุร) หรือตัดสินคนญาเฮลว่าเป็นกุฟุร มาจากการใสร้ายของศัตรูที่ต้องการให้ประชาชนออกห่างจากศาสนาของอัลลอฮและรอซูลของพระองค์
_________________
ช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับกล่าวว่า
بل نشهد الله على ما يعلمه من قلوبنا بأن من عمل بالتوحيد وتبرأ من الشرك وأهله فهو المسلم في أي زمان وأي مكان، وإنما نكفر من أشرك بالله في إلهيته بعدما نبين له الحجة على بطلان الشرك
แต่ทว่า เราขอปฏิญานต่ออัลลอฮ บนสิ่งที่พระองค์ทรงรู้จากหัวใจของเรา ว่า ผู้ใดปฏิบัติด้วยการยึดมั่น เตาฮีด และเป็นอิสระจากการตั้งภาคี และ(เป็นอิสระ)จากผู้ที่ตั้งภาคี(ต่ออัลลอฮ) เขาคือ มุสลิม ในเวลาใดและสถานที่ใด ก็ตาม และความจริง เราจะตัดสินว่าเป็นกุฟุร ต่อผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ ในการเป็นพระเจ้าของพระองค์ หลังจากสิ่งที่เราได้ชี้แจงหลักฐานแก่เขาถึง ความเป็นโมฆะของการชิริกแล้วเท่านั้น- อัรเราะสาอีลอัชชัคศียะฮ หน้า 59
.......................
เช็ค มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ชี้แจงว่า ท่านจะหุกุมว่าเป็นกาเฟรแก่ผู้ที่ทำการชิริกต่ออัลลอฮ ในการเป็นพระเจ้าของพระองค์ หลังจากที่ท่านได้บอกหลักฐานแก่เขาว่า การชิริกเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วเท่านั้น กล่าวคือ ชี้แจงหลักฐานแล้ว เขายังคงทำการเคารพภักดีต่อผู้อื่นอื่นจากอัลลอฮ อยู่อีก กรณีแบบนี้จึงหุกุมว่าเป็นกาเฟร
เพราะฉะนั้น การกล่าวหาว่าวะฮบีย์ชอบหุกุมผู้อื่นว่าเป็นการเฟรหรือเป็นมุชริกีน โดยปราศจากเงือนไขนั้น นั้นเป็นการโกหก มุสา และใส่ร้าย ด้วยอคติและความอธรรม
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/8/60

อัลลอฮสร้างอาดัมด้วยการดูแลเป็นพิเศษ เป็นอะกีดะฮสะลัฟท่านใดหรือ


ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


อัลลอฮสร้างอาดัมด้วยการดูแลเป็นพิเศษ เป็นอะกีดะฮสะลัฟท่านใดหรือ
ไปเจอตำราของยอดปราชญ์อาชาอิเราะฮเมืองไทย ชื่อ หลักอะกีดะฮแนวทางสะลัฟ ระหว่างอัลอะชาอิเราะฮกับวะฮบียะฮ หน้า 64 ตีความคำว่า "يدي (สองมือ)ว่า หมายถึง การดูแลเป็นพิเศษ
อัลลอฮฺตะอาลาทรงตรัสว่า
يَا إِبْلِيْسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ
“โอ้อิบลีส(หัวหน้าชัยฏอน)เอ๋ย อะไรที่ห้ามเจ้ามิให้สุญูด(เคารพ)ต่อผู้ที่ข้าได้สร้างเขาด้วยสองยะดุน(การดูแลเป็นพิเศษ)ของข้า”
ซูเราะฮ์ศ็อด อายะฮ์ที่ 75.
ท่านอิหม่ามฟัครุดดีน อัรรอซีย์ (ช่วงปีฮิจเราะฮ์ที่ 544-604.)ปราชญ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ได้ทำตีความหมาย “ยะดุน” ในอายะฮ์นี้ว่า คือ “การดูแลเป็นพิเศษ” [شِدَّةُ الْعِنَايَةِ]
@@@@
อ้างกันนัก อ้างกันหนาว่า สังกัดมัซฮับอิหม่ามอบูหะซันอัลอัชอะรีย์ มีสักประโยคใหม ที่อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ (อาชาอิเราะฮตัวจริง)ตีความคำว่า "ยัด"(มือ) ว่า การดูแลเป็นพิเศษ(شِدَّةُ الْعِنَايَةِ)
ท่านอบูฮะซัน อัลอัซอารีย์ (เสียชีวิต 324 ฮ.ศ ) กล่าวไว้ใน
หนังสือของท่าน มีชื่อว่า “มะกอลาต อัลอิสลามมียีน” ความว่า
وأنه له يدين كما قال:
{خَلَقْتُ بِيَدَيَّ} [ص 38 : 75
และพระองค์ทรงมีพระหัตถ์ทั้ง 2 ดั่งเช่นที่พระองค์ทรงตรัสว่า
ข้าได้สร้าง(อาดัม)ด้วยมือทั้งสองของข้า (ซ้อด 38 : 75-
มะกอลาต อัลอิสลามมี่ยีน วะอิคติลาฟฟิลมุศ้อลลีน เล่ม 1 หน้า 285
และในอัลอิบานะฮ ท่านอบูลหะซัน กล่าวว่า
قد سئلنا: أتقولون إن لله يدين؟
قيل: نقول ذلك بلا كيف، وقد دلَّ عليه قوله تعالى: يَدُ اللَّهِ فَوْقَ أَيْدِيهِمْ [الفتح: 10]، وقوله تعالى: خَلَقْتُ بِيَدَيَّ [ص: 75].
وروي عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه قال: ((إن الله مسح ظهر آدم بيده, فاستخرج منه ذريته)) (5) فثبتت اليد بلا كيف" (6) ا هـ.
แท้จริงเราถูกถาม ว่า พวกท่านจะกล่าวว่า อัลลอฮทรงมีสองมือหรือ?
ก็จะถูกกล่าวว่า เราจะกล่าวด้วยดังกล่าว โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร และคำตรัสของพระองค์ได้แสดงบอกบนมันคือ
يَدُ اللهِ فَوْقَ أَيْدِيهِمْ
“พระหัตถ์ของอัลลอฮฺทรงอยู่เหนือบรรดามือของพวกเขา” (อัลฟัตหฺ 10)
لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ
“...ต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยพระหัตถ์ทั้งสองของข้า?” (ศอด 75)
และมีรายงานจากท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านกล่าวว่า
إن الله مسح ظهر آدم بيده فاستخرج منه ذريته
“แท้จริงอัลลอฮฺทรงลูบหลังนบีอาดัมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ จึงทำให้สายตระกูล (ลูกหลาน) ของอาดัมออกมาจากท่าน” (บันทึกโดยอบู ดาวูด, อัตติรมิซีย์ และมาลิก)
ดังนั้นพระหัตถ์ของอัลลอฮฺจึงได้รับการยืนยัน (ว่ามีจริง) โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร - ดูอัลอิบานะฮฺ ตะหฺกีก เฟากียะฮฺ หน้า 125
...........
อบูหะซัน อัลอัชอะรีย์ ยืนยัน คำว่า" สองมือ" โดยไม่ตีความและยืนยันด้วยหะดิษ และคงไม่มีคนโง่เขลาคนใดอ้างว่า อิหม่ามอัลอัชอะรีย์ไม่แปลภาษาไทย
เมือตีความว่า يد (มื่อ )ว่าการดูแลเป็นพิเศษ ถ้า สองมือ คือสองการดูแลเป็นเป็นพิเศษ 
อิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ ปราชญ์ ชาวสะลัฟ ซึ่งมีชีวิตในช่วง ฮ.ศ. 224-310 อธิบายว่า
يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ ) يَقُولُ : أَيُّ شَيْءٍ مَنَعَكَ مِنَ السُّجُودِ ( لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ ) يَقُولُ : لِخَلْقِ يَدَيَّ ، يُخْبِرُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - بِذَلِكَ أَنَّهُ خَلَقَ آدَمَ بِيَدَيْهِ .
كَمَا حَدَّثَنَا ابْنُ الْمُثَنَّى قَالَ : ثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ قَالَ : ثَنَا شُعْبَةُ قَالَ : أَخْبَرَنِي عُبَيْدٌ الْمُكْتِبُ قَالَ : سَمِعْتُ مُجَاهِدًا يُحَدِّثُ عَنِ ابْنِ عُمَرَ قَالَ : خَلَقَ اللَّهُ أَرْبَعَةً بِيَدِهِ : الْعَرْشَ ، وَعَدْنَ ، وَالْقَلَمَ ، وَآدَمَ ، ثُمَّ قَالَ لِكُلِّ شَيْءٍ كُنْ فَكَانَ .
(อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูด) กล่าวคือ สิ่งใด ที่ยั้บยั้งไม่ให้สูญูด (ต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสอง ของข้า) กล่าวคือ ต่อการสร้างของสองมือของข้า อัลลอฮ ตะอาลา ผู้ซึ่ง การสดุดีพระองค์นั้นสูงส่งยิ่ง ได้ทรงบอกดังกล่าวว่า พระองค์ทรงสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ ดังหะดิษ(หมายเลข 23102) อิบนุมุษันนา ได้เล่าเรา โดยกล่าวว่า มุหัมหมัด บิน ยะอฺฟัรได้เล่าเรา
โดยกล่าวว่า ชุอฺบะฮได้เล่าเรา โดยกล่าวว่า " อุบัยดิน อัลมักตับ ได้บอกข้าพเจ้า โดยกล่าวว่า " ข้าพเจ้าได้ยิน มุญาฮิด รายงานจากอิบนุอุมัร ว่า เขาได้กล่าวว่า " อัลลอฮได้ทรงสร้างสี่อย่าง ด้วยมือของพระองค์คือ
หนึ่ง. อะรัช
สอง. สวรรค์อัดนิน
สาม. อัลกอลัม
สี่. อาดัม
หลังจากนั้น ทรงตรัสแก่ทุกๆสิ่งว่า "จงเป็น" แล้วมันก็เป็นขึ้นมา"- ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮศอด อายะฮ 75
มียอดปราชญ์ชาวสะลัฟที่ใหน ยืนยันว่า อัลลอฮสร้าง 4 อย่างข้างต้นด้วยการดูแลเป็นพิเศษ -นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
25/8/60