
แค่เห็นต่างเรื่องกุรบานคุณตัดสินมุสลิมว่าเป็นพวกนอกรีดหรือ
อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ กับ หลวง มะดินะฮ์ นักเลงนักเกรง และคนอื่นๆ อีก 3 คน
19 ชม. ·
เนื้อกุรบ่านนั้นไม่เป็นที่อนุญาตแจกจ่ายให้กับคนกาเฟรคนต่างศาสนิก (ช่วยกันแชร์นะครับ)
ทัศนะของพี่น้องมุสลิมในไทยคือ มัษฮับชาฟีอีย์ ซึ่งเป็นแนวทางด้านฟิกฮ์นิติศาสตร์อิสลามที่พี่น้องมุสลิมไทยประมาณ 90% ยึดถือกันมาช้านาน(ที่ไม่ใช่แนวคิดวะฮฺฮาบีคณะใหม่นอกรีด)
ท่านอิหม่าม อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ และท่านอิหม่าม อัรร็อมลีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์ของเรา อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ระดับแนวหน้าของโลกอิสลาม ได้ทำการวินิจฉัยเอาไว้ว่า
“ไม่อนุญาติให้กาเฟรทำการรับประทานเนื้อกุรบานที่เราเชือด และไม่อนุญาติให้คนจนหรือ(คนรวย)ที่ถูกมอบเนื้อกุรบ่านให้นั้น ทำการให้อาหารกับคนกาเฟรที่ปรุงมาจากเนื้อกุรบ่าน เนื่องจาก จุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมาย ของการทำกุรบ่านนั้น เพื่อเป็นการเอื้อเฟื้อ เอื้ออาทร กับบรรดาคนมุสลิมีนทั้งหลาย เพราะว่ากุรบ่านนั้น ถือเป็นเป็นอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮฺเพื่อเลี้ยงเป็นแขกรับประทานสำหรับมุสลิมีนเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่อนุญาติให้ผู้เป็นกาเฟรทำการครอบครองเนื้อกุรบ่านดังกล่าว”
และอิมามชาฟิอีย์ระบุเอาไว้ว่า ผู้ที่ทำกุรบานนั้น หากเขาได้เชือดกุรบาน หลังจากนั้นเขาได้ตกศาสนา(ตกมุรตัดเป็นกาเฟร) เขาก็ไม่สามารถรับประทานเนื้อกุรบานนั้นได้ (แม้กระทั้งเจ้าของกุรบานเองที่ตกมัรตัด ยังรับประทานไม่ได้ แล้วคนกาเฟรอื่นจะรับประทานได้อย่างไร ?)"
19 ชม. ·
เนื้อกุรบ่านนั้นไม่เป็นที่อนุญาตแจกจ่ายให้กับคนกาเฟรคนต่างศาสนิก (ช่วยกันแชร์นะครับ)
ทัศนะของพี่น้องมุสลิมในไทยคือ มัษฮับชาฟีอีย์ ซึ่งเป็นแนวทางด้านฟิกฮ์นิติศาสตร์อิสลามที่พี่น้องมุสลิมไทยประมาณ 90% ยึดถือกันมาช้านาน(ที่ไม่ใช่แนวคิดวะฮฺฮาบีคณะใหม่นอกรีด)
ท่านอิหม่าม อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ และท่านอิหม่าม อัรร็อมลีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์ของเรา อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ระดับแนวหน้าของโลกอิสลาม ได้ทำการวินิจฉัยเอาไว้ว่า
“ไม่อนุญาติให้กาเฟรทำการรับประทานเนื้อกุรบานที่เราเชือด และไม่อนุญาติให้คนจนหรือ(คนรวย)ที่ถูกมอบเนื้อกุรบ่านให้นั้น ทำการให้อาหารกับคนกาเฟรที่ปรุงมาจากเนื้อกุรบ่าน เนื่องจาก จุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมาย ของการทำกุรบ่านนั้น เพื่อเป็นการเอื้อเฟื้อ เอื้ออาทร กับบรรดาคนมุสลิมีนทั้งหลาย เพราะว่ากุรบ่านนั้น ถือเป็นเป็นอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮฺเพื่อเลี้ยงเป็นแขกรับประทานสำหรับมุสลิมีนเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่อนุญาติให้ผู้เป็นกาเฟรทำการครอบครองเนื้อกุรบ่านดังกล่าว”
และอิมามชาฟิอีย์ระบุเอาไว้ว่า ผู้ที่ทำกุรบานนั้น หากเขาได้เชือดกุรบาน หลังจากนั้นเขาได้ตกศาสนา(ตกมุรตัดเป็นกาเฟร) เขาก็ไม่สามารถรับประทานเนื้อกุรบานนั้นได้ (แม้กระทั้งเจ้าของกุรบานเองที่ตกมัรตัด ยังรับประทานไม่ได้ แล้วคนกาเฟรอื่นจะรับประทานได้อย่างไร ?)"
@@@@
ชี้แจง
คนที่กล่าวหามุสลิมที่ตนอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ว่าคนนอกรีต หรือนอกศาสนา น่าจะต้องเตาบัต ปฏิญานตนเข้ากะลีมะฮไหม่ เพราะกล่าวหาพี่น้องมุสลิมว่า พวกนอกอิสลาม ทำไมจึงออคติจนขาดสติเยี่ยงนี้
ใหนหรือคำตัดสินว่า เนื้อกุรบานคนต่างศาสนากินไม่ได้
มาดูคำอธิบายขอบหนังสือของตุหฟะตุลมุหตาจญ ฯของอิบนุหะญัร อัลหัยตะมีย์ โดย อิบนุกอซิม ดังนี้
وَعِبَارَةُ الْمَجْمُوعِ بَعْدَ أَنْ حُكِيَ عَنْ ابْنِ الْمُنْذِرِ أَنَّهُمْ اخْتَلَفُوا فِي إطْعَامِ فُقَرَاءِ أَهْلِ الذِّمَّةِ فَرَخَّصَ فِيهِ الْحَسَنُ الْبَصْرِيُّ وَأَبُو حَنِيفَةَ وَأَبُو ثَوْرٍ وَقَالَ مَالِكٌ غَيْرُهُمْ أَحَبُّ إلَيْنَا وَكَرِهَ مَالِكٌ إعْطَاءَ النَّصْرَانِيِّ جِلْدَ الْأُضْحِيَّةَ أَوْ شَيْئًا مِنْ لَحْمِهَا وَكَرِهَهُ اللَّيْثُ قَالَ فَإِنْ طُبِخَ لَحْمُهَا فَلَا بَأْسَ بِأَكْلِ الذِّمِّيِّ مَعَ الْمُسْلِمِينَ مِنْهُ مَا نَصُّهُ هَذَا كَلَامُ ابْنِ الْمُنْذِر وَلَمْ أَرَ لِأَصْحَابِنَا كَلَامًا فِيهِ وَمُقْتَضَى الْمَذْهَبِ أَنَّهُ يَجُوزُ إطْعَامُهُمْ مِنْ ضَحِيَّةِ التَّطَوُّعِ دُونَ الْوَاجِبَةِ ا هـ
และ สำนวน(ข้อความอธิบาย)ของอัลมัจญมัวะ หลังจากที่ถูกรายงานจาก อิบนุอัลมุนซีร ว่า พวกเขา (บรรดานักวิชาการ) เห็นขัดแย้งกัน ในการมอบให้เป็นอาหารแก่บรรดาชาวซิมมะฮที่ยากจน แล้ว อัลหะซันอัลบัศรี ,อบูหะนีฟะฮ ,อบูษูร ได้ผ่อนปรนในมัน และ มาลิก ได้กล่าวว่า อื่นจากพวกเขา(ิื่นจากกาเฟรซิมมีย์) เป็นที่ชอบยิ่งแก่พวกเรา และมาลิก รังเกียจ(ถือว่าเป็นมักรูฮ) มอบหนังอุฎฮียะฮ หรือ สิ่งใดๆจากเนื้อของมันแก่ ชาวนัศรอนีย์ และ อัลลัยษฺ ได้รังเกียจมัน(ถือว่ามันมักรูฮด้วย) เขาได้กล่าวว่า หากเขาปรุงเนื้อของมัน ก็ไม่เป็นไร ด้วยการรับประทานของกาเฟรซิมมีย์ พร้อมกับบรรดามุสลิม จากมัน(จากเนื้อของอุฎฮียะฮ) สิ่งซึ่งคำพูดของอิบนุอัลมุนซิรนี้ ได้ระบุมันเอาไว้ชัดเจน และข้าพเจ้าไม่เห็นคำพูดใดๆของบรรดาสหายของเรา(บรรดาปราชญมัซฮับชาฟิอี) ในมัน และ ตามข้อชี้ขาด ของมัซฮับ(หมายถึงมัซฮับชาฟิอี) คือ แท้จริง อนุญาตให้อาหารแก่พวกเขา จากเนื้ออุฎฮียะฮที่เป็นสุนัตอื่นจากที่เป็นวาญิบได้ - ดู หะวาชีย ตุหฟะตุลมุหตาจญ บิชัรหอัลมินฮาจญ์ เล่ม 9 หน้า 365

อิหม่ามนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ว่า
فان طبخ لحمها فلا بأس بأكل الذمي مع المسلمين منه هذا كلام ابن المنذر ولم أر لاصحابنا كلاما فيه ومقتضى المذهب أنه يجوز إطعامهم من ضحية التطوع دون الواجبة والله أعلم
หากเขาปรุงเนื้อของมัน ก็ไม่เป็นไร ด้วยการรับประทานของกาเฟรซิมมีย์ พร้อมกับบรรดามุสลิม จากมัน(จากเนื้อของอุฎฮียะฮ) นี่คือ คำพูดของอิบนุอัลมุนซิร และข้าพเจ้าไม่เห็นคำพูดใดๆของบรรดาสหายของเรา(บรรดาปราชญมัซฮับชาฟิอี) ในมัน และ ตามข้อชี้ขาด ของมัซฮับ(หมายถึงมัซฮับชาฟิอี) คือ แท้จริง อนุญาตให้อาหารแก่พวกเขา(กาเฟรซิมมีย์) จากเนื้ออุฎฮียะฮที่เป็นสุนัตอื่นจากที่เป็นวาญิบได้ -ดูอัลมัจญมัวะ เล่ม 8 หน้า 425
หากเขาปรุงเนื้อของมัน ก็ไม่เป็นไร ด้วยการรับประทานของกาเฟรซิมมีย์ พร้อมกับบรรดามุสลิม จากมัน(จากเนื้อของอุฎฮียะฮ) นี่คือ คำพูดของอิบนุอัลมุนซิร และข้าพเจ้าไม่เห็นคำพูดใดๆของบรรดาสหายของเรา(บรรดาปราชญมัซฮับชาฟิอี) ในมัน และ ตามข้อชี้ขาด ของมัซฮับ(หมายถึงมัซฮับชาฟิอี) คือ แท้จริง อนุญาตให้อาหารแก่พวกเขา(กาเฟรซิมมีย์) จากเนื้ออุฎฮียะฮที่เป็นสุนัตอื่นจากที่เป็นวาญิบได้ -ดูอัลมัจญมัวะ เล่ม 8 หน้า 425
ชัยค์รอมลีย์(ร.ฮ) ปราชญมัซฮับชาฟิอีอีกท่าน กล่าวว่า
أَوْ ارْتَدَّ فَلَا يَجُوزُ لَهُ الْأَكْلُ مِنْهَا كَمَا لَا يَجُوزُ إطْعَامُ كَافِرٍ مِنْهَا مُطْلَقًا , وَيُؤْخَذُ مِنْ ذَلِكَ امْتِنَاعُ إعْطَاءِ الْفَقِيرِ وَالْمُهْدَى إلَيْهِ مِنْهَا شَيْئًا لِلْكَافِرِ , إذْ الْقَصْدُ مِنْهَا إرْفَاقُ الْمُسْلِمِينَ بِالْأَكْلِ لِأَنَّهَا ضِيَافَةُ اللَّهِ لَهُمْ فَلَمْ يَجُزْ لَهُمْ تَمْكِينُ غَيْرِهِمْ مِنْهُ لَكِنْ فِي الْمَجْمُوعِ أَنَّ مُقْتَضَى الْمَذْهَبِ الْجَوَازُ ...
. “
หากเขาตกมุรตัด ก็ไม่อนุญาตให้เขารับประทานจากมัน ดังที่ไม่อนุญาตให้เป็นอาหารแก่กาเฟร จากมันโดยไม่มีเงื่อนไข และถูกเอามาจากคำพูดดังกล่าวนั้น คือ การห้ามไม่ให้มอบให้แก่คนจน และผู้ที่ถูกมอบให้แก่เขา สิ่งใดๆจากมัน(จากเนื้ออุฎฮียะฮ) แก่ กาเฟร เพราะจุดประสงค์จากมัน(จากอุฎฮียะฮ) คือ การให้ความกรุณา/ช่วยเหลือ แก่บรรดามุสลิม ด้วยการรับประทาน เพราะแท้จริง มัน(อุฎฮียะฮ) คือ การเลี้ยงอาหารของอัลลอฮแก่พวกเขา ดังนั้นจึงไม่อนุญาตมอบให้คนอื่นจากพวกเขา จากมัน(จากเนื้องอุฎฮียะฮ) แต่..ในหนังสืออัลมัจญมัวะ ระบุว่า ตามข้อชี้ขาด ของมัซฮับ(หมายถึงมัซฮับชาฟิอี) คือ อนุญาต -ดู นิฮายะตุลมุหตาจญ เล่ม 8 หน้า 141
.............
มีการยืนยันจากอิหม่ามนะวาวีย์ และ มีผู้ยืนยันว่ามีการระบุในตำราอัลมัจญมัวะ ของอิหม่ามนะวาวีย์ว่า "มัซฮับชาฟิอี อนุญาตให้มอบเนื่อกุรบานแก่กาเฟรได้
. “
หากเขาตกมุรตัด ก็ไม่อนุญาตให้เขารับประทานจากมัน ดังที่ไม่อนุญาตให้เป็นอาหารแก่กาเฟร จากมันโดยไม่มีเงื่อนไข และถูกเอามาจากคำพูดดังกล่าวนั้น คือ การห้ามไม่ให้มอบให้แก่คนจน และผู้ที่ถูกมอบให้แก่เขา สิ่งใดๆจากมัน(จากเนื้ออุฎฮียะฮ) แก่ กาเฟร เพราะจุดประสงค์จากมัน(จากอุฎฮียะฮ) คือ การให้ความกรุณา/ช่วยเหลือ แก่บรรดามุสลิม ด้วยการรับประทาน เพราะแท้จริง มัน(อุฎฮียะฮ) คือ การเลี้ยงอาหารของอัลลอฮแก่พวกเขา ดังนั้นจึงไม่อนุญาตมอบให้คนอื่นจากพวกเขา จากมัน(จากเนื้องอุฎฮียะฮ) แต่..ในหนังสืออัลมัจญมัวะ ระบุว่า ตามข้อชี้ขาด ของมัซฮับ(หมายถึงมัซฮับชาฟิอี) คือ อนุญาต -ดู นิฮายะตุลมุหตาจญ เล่ม 8 หน้า 141
.............
มีการยืนยันจากอิหม่ามนะวาวีย์ และ มีผู้ยืนยันว่ามีการระบุในตำราอัลมัจญมัวะ ของอิหม่ามนะวาวีย์ว่า "มัซฮับชาฟิอี อนุญาตให้มอบเนื่อกุรบานแก่กาเฟรได้
.....
ในเรื่อง การทำความดีกับการเฟรนั้น มีกาเฟรจำพวกเดียวที่ไม่อนุญาตให้คบค้าสมาคมคือ กาเฟรหัรบีย์(กาเฟรที่เป็นศัตรูคู่สงคราม หรือเป็นปฏิบักษ์ต่อมุสลิม นอกนั้นเราสามารถทำความดีกับพวกเขาได้ มอบเนื้อกุรบานที่เป็นสุนัต ซึ่งเป็นทานที่ไม่บังคับได้
ในเรื่อง การทำความดีกับการเฟรนั้น มีกาเฟรจำพวกเดียวที่ไม่อนุญาตให้คบค้าสมาคมคือ กาเฟรหัรบีย์(กาเฟรที่เป็นศัตรูคู่สงคราม หรือเป็นปฏิบักษ์ต่อมุสลิม นอกนั้นเราสามารถทำความดีกับพวกเขาได้ มอบเนื้อกุรบานที่เป็นสุนัต ซึ่งเป็นทานที่ไม่บังคับได้
เพราะฉะนั้น การที่คุณ อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ กล่าวหาว่ามุสลิมที่ถูกเรียกวะฮบีย์คือคนนอกรีด ก็เท่ากับคุณ กล่าวหา ปราชญมัซฮับชาฟิอี ที่มีทัศนะเหมือนกับวะฮบีย์ด้วย คืออนุญาตมอบเนื่อกุรบานแก่กาเฟรได้ เช่น อิบนุมุนซีรเป็นต้น เตาบัตเถอะครับ ที่กล่าวหาพี่น้องมุสลิมว่า "พวกนอกรีต
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/8/60
อะสัน หมัดอะดั้ม
21/8/60
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น