
การรับรองถ้อยคำและความหมายในทางภาษาไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟจริงหรือ
แนวทางสุนนะห์ อากีดะห์สลัฟ
เพราะจริงๆแล้ว ตามหลักอาหรับ การยืนยันลาฟาซนั้นคือการยืนยันความหมายแล้ว ฉะนั้นการที่เชคเฟาซาน ให้ยืนยันลาฟาซพร้อมกับอธิบายความหมายถือว่า ผิดจากอากีดะห์สลัฟ
@@@@
ชี้แจง
คุณ นามแฝง แนวทางสุนนะห์ อากีดะห์สลัฟ ได้เข้ามาโต้แย้งว่า การแปลความหมายสิฟาตอิสติวาอฺ ว่า สถิต หรือ ประทับ ว่าไม่ถูกต้อง โดยอ้างอาจารย์มหาลัยดัง โดยท้าให้ไปถามอาจารย์ดังกล่าว จนกระทั้ง เขาได้ โต้แย้งว่า การรับรองหรือยืนยัน(อิษบาต) คุณลักษณะอัลลอฮ ด้วยถ้อยคำและความหมายนั้น ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟ
ขอนำคำพูด ชัยค์เฟาซานที่กล่าวถึงคือ
เช็คศอลิห อัลเฝาซาน (ขออัลลอฮโปรดป้กป้องรักษาเขาด้วยเถิด) กล่าวว่า
"السلف لم يكن مذهبهم التفويض ، وإنما مذهبهم الإيمان بهذه النصوص كما جاءت ، وإثبات معانيها التي تدلُّ عليها على حقيقتها ووضعها اللغوي ، مع نفي التَّشبيه عنها ؛ كما قال تعالى : (لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ) الشورى/ 11" انتهى .
สะลัฟนั้น มัซฮับ(แนวทาง)ของพวกเขาไม่ใช่การ ตัฟวีฎ ความจริงมัซฮับของพวกเขาคือ การศรัทธา ด้วยบรรดาตัวบทเหล่านี้ (ตัวบทเกี่ยวกับสิฟัต) ตามที่มันได้มีมา และรับรองความหมายของมัน ที่แสดงบอกถึงมันบนความจริงของมัน และการกำหนดมัน ในรูปของภาษาคำพูด พร้อมกับปฏิเสธการคล้ายคลึง(กับมัคลูค)จากคำนั้น ดังที่อัลลอฮ ตะอาลาตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ ทรงเป็นผู้ได้ยินและเป็นทรงเห็น) – อัชชูรอ/11 - อัลมุนตะกอ ฟัตวาชัยคอัลเฟาซาน เล่ม 1 หน้า 25
เช็คเฝาซาน กล่าวว่า “สะลัฟนั้น มัซฮับ(แนวทาง)ของพวกเขาไม่ใช่การ ตัฟวีฎ หมายถึง การตัฟวีฎ ทั้งความหมายและรูปแบบวิธีการ คือ ไม่แปลความหมาย ไม่อธิบาย ความจริงการตัฟวีฎของสะลัฟคือ การเชื่อในความหมายของคำว่า อิสติวาอฺ “เป็นความหมายจริง ไม่ใช่อุปมา ส่วนรูปแบบวิธีการเป็นอย่างไรนั้น มอบความรู้นั้นแก่อัลลอฮ เพราะพระองค์ตรัสว่า ““ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ ทรงเป็นผู้ได้ยินและเป็นทรงเห็น”
........
จากฟัตวา ของชัยค์ ข้างต้น คุณนามแฝง แนวทางสุนนะห์ อากีดะห์สลัฟ โต้แย้งชัยค์เฟาซานว่า
........
จากฟัตวา ของชัยค์ ข้างต้น คุณนามแฝง แนวทางสุนนะห์ อากีดะห์สลัฟ โต้แย้งชัยค์เฟาซานว่า
เพราะจริงๆแล้ว ตามหลักอาหรับ การยืนยันลาฟาซนั้นคือการยืนยันความหมายแล้ว ฉะนั้นการที่เชคเฟาซาน ให้ยืนยันลาฟาซพร้อมกับอธิบายความหมายถือว่า ผิดจากอากีดะห์สลัฟ
ดังนั้น ผมจึงขอชี้แจงดังนี้
ผมยืนยันว่า อะกีดะฮของสะลัฟ ในการรับรองคุณลักษณะ(สิฟาต)อัลลอฮนั้น พวกเขารับรองถ้อยคำและความหมายในทางภาษา โดยไม่ถามและอธิบายถึงรูปแบบวิธีการ(كيفية )ว่าเป็นอย่างไร โดยหลักฐานยืนยันต่อไปนี้คือ
1. การอ้างว่าสะลัฟไม่รู้ความหมาย และรับรองถอ้ยคำของสิฟาตอย่างเดียวนั้น เป็นแนวคิดพวกอะฮลุตตัจญฮีล และเป็นการแอบอ้างแนวทางสะลัฟ ดังคำอธิบาย อิบนุอะบิลอิซ อัดดะมัชกีย์อัลหะนะฟีย์ ได้กล่าวถึงแก่นแท้ของพวก อัศหาบุตตัจญฮีลวัตตัฎลีลว่า
وَأَمَّا أَهْلُ التَّجْهِيلِ وَالتَّضْلِيلِ ، الَّذِينَ حَقِيقَةُ قَوْلِهِمْ : إِنَّ الْأَنْبِيَاءَ وَأَتْبَاعَ الْأَنْبِيَاءِ جَاهِلُونَ ضَالُّونَ ، لَا يَعْرِفُونَ مَا أَرَادَ اللَّهُ بِمَا وَصَفَ بِهِ نَفْسَهُ مِنَ الْآيَاتِ وَأَقْوَالِ الْأَنْبِيَاءِ ! وَيَقُولُونَ : يَجُوزُ أَنْ يَكُونَ لِلنَّصِّ تَأْوِيلٌ لَا يَعْلَمُهُ إِلَّا اللَّهُ ، لَا يَعْلَمُهُ جَبْرَائِيلُ وَلَا مُحَمَّدٌ وَلَا غَيْرُهُ مِنَ الْأَنْبِيَاءِ ، فَضْلًا عَنِ الصَّحَابَةِ وَالتَّابِعِينَ لَهُمْ بِإِحْسَانٍ ، وَأَنَّ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَقْرَأُ : الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى [ طه : 5 ] . إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ [ فَاطِرٍ : 10 ] . مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ [ ص : 75 ]
[وَهُوَ لَا يَعْرِفُ مَعَانِيَ هَذِهِ الْآيَاتِ ! بَلْ مَعْنَاهَا الَّذِي دَلَّتْ عَلَيْهِ لَا يَعْرِفُهُ إِلَّا اللَّهُ تَعَالَى ! ! وَيَظُنُّونَ أَنَّ هَذِهِ طَرِيقَةُ السَّلَفِ
และสำหรับอะฮลุตตัจญฮีล วัตตัฎลีล บรรดาผู้ซึ่ง แก่นแท้คำพูดของพวกเขาคือ (อ้างว่า) แท้จริงบรรดานบี ,บรรดาผู้ที่ตามบรรดานบี พวกเขาโง่ และลุ่มหลง พวกเขาไม่รู้ สิ่งที่อัลลอฮ มุ่งหมาย ด้วยสิ่ง ที่พระองค์ทรงพรรณนาคุณลักษณะ แก่พระองค์เองด้วยมัน จากบรรดาอายะฮและบรรดาคำพูดของบรรดานบี และพวกเขากล่าวว่า อนุญาต ให้ตีความตัวบท ที่ไม่มีใครรู้ มันนอกจากอัลลอฮ ได้ ,ญิบรีล ,มุหัมหมัด,และคนอื่นจากเขา จากบรรดานบี ก็ไม่รู้มัน (ไม่รู้ความหมายของมัน) ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาเศาะหาบะฮ และบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา ด้วยความดีงาม และแท้จริงมุหัมหมัด ศอ็ลฯ อ่านอายะฮที่ว่า
وَأَمَّا أَهْلُ التَّجْهِيلِ وَالتَّضْلِيلِ ، الَّذِينَ حَقِيقَةُ قَوْلِهِمْ : إِنَّ الْأَنْبِيَاءَ وَأَتْبَاعَ الْأَنْبِيَاءِ جَاهِلُونَ ضَالُّونَ ، لَا يَعْرِفُونَ مَا أَرَادَ اللَّهُ بِمَا وَصَفَ بِهِ نَفْسَهُ مِنَ الْآيَاتِ وَأَقْوَالِ الْأَنْبِيَاءِ ! وَيَقُولُونَ : يَجُوزُ أَنْ يَكُونَ لِلنَّصِّ تَأْوِيلٌ لَا يَعْلَمُهُ إِلَّا اللَّهُ ، لَا يَعْلَمُهُ جَبْرَائِيلُ وَلَا مُحَمَّدٌ وَلَا غَيْرُهُ مِنَ الْأَنْبِيَاءِ ، فَضْلًا عَنِ الصَّحَابَةِ وَالتَّابِعِينَ لَهُمْ بِإِحْسَانٍ ، وَأَنَّ مُحَمَّدًا صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يَقْرَأُ : الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى [ طه : 5 ] . إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ [ فَاطِرٍ : 10 ] . مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ [ ص : 75 ]
[وَهُوَ لَا يَعْرِفُ مَعَانِيَ هَذِهِ الْآيَاتِ ! بَلْ مَعْنَاهَا الَّذِي دَلَّتْ عَلَيْهِ لَا يَعْرِفُهُ إِلَّا اللَّهُ تَعَالَى ! ! وَيَظُنُّونَ أَنَّ هَذِهِ طَرِيقَةُ السَّلَفِ
และสำหรับอะฮลุตตัจญฮีล วัตตัฎลีล บรรดาผู้ซึ่ง แก่นแท้คำพูดของพวกเขาคือ (อ้างว่า) แท้จริงบรรดานบี ,บรรดาผู้ที่ตามบรรดานบี พวกเขาโง่ และลุ่มหลง พวกเขาไม่รู้ สิ่งที่อัลลอฮ มุ่งหมาย ด้วยสิ่ง ที่พระองค์ทรงพรรณนาคุณลักษณะ แก่พระองค์เองด้วยมัน จากบรรดาอายะฮและบรรดาคำพูดของบรรดานบี และพวกเขากล่าวว่า อนุญาต ให้ตีความตัวบท ที่ไม่มีใครรู้ มันนอกจากอัลลอฮ ได้ ,ญิบรีล ,มุหัมหมัด,และคนอื่นจากเขา จากบรรดานบี ก็ไม่รู้มัน (ไม่รู้ความหมายของมัน) ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาเศาะหาบะฮ และบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขา ด้วยความดีงาม และแท้จริงมุหัมหมัด ศอ็ลฯ อ่านอายะฮที่ว่า
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى [ طه : 5 ]
พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงสถิตเหนือบัลลังค์ – ฏอฮา/5
. إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ [ فَاطِرٍ : 10 ]
คำกล่าวที่ดีจะ (ถูกพา) ขึ้นสู่พระองค์ – ฟาฏีร/10
مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ [ ص : 75
“อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า ?- ศอด/75
โดยที่เขา(นบีมุหัมหมัด) ไม่รู้จักความหมายอายะฮเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความหมายของมัน ที่แสดงบอกแก่เขา(มุหัมหมัด) เขาไม่รู้จักมัน นอกจากอัลลอฮเท่านั้น และพวกเขา (หมายถึงอะฮลุตตัจญฮีล) เข้าใจว่า นี้คือ แนวทางสะลัฟ – ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/75
................
พวกอะฮลุตตัจญฮีล เข้าใจว่า บรรดาอายะฮต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิฟาตอัลลอฮ ไม่มีใครรู้ความหมาย นอกจากอัลลอฮ แม้แต่นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ เองก็ไม่รู้ ความหมายและ นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ แค่อ่านมันเท่านั้น แต่ไม่รู้ความหมาย นอกจากอัลลอฮ
แล้วพวกเขาเข้าใจว่า นี้คือแนวสะลัฟ
2. มีรายงานมากมากมายว่า สะลัฟอธิบายความหมายอายาตสิฟาต และเจาะจงความหมาย เช่น
2.1 อัลลามะฮ อัลอะลูซีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
โดยที่เขา(นบีมุหัมหมัด) ไม่รู้จักความหมายอายะฮเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความหมายของมัน ที่แสดงบอกแก่เขา(มุหัมหมัด) เขาไม่รู้จักมัน นอกจากอัลลอฮเท่านั้น และพวกเขา (หมายถึงอะฮลุตตัจญฮีล) เข้าใจว่า นี้คือ แนวทางสะลัฟ – ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/75
................
พวกอะฮลุตตัจญฮีล เข้าใจว่า บรรดาอายะฮต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิฟาตอัลลอฮ ไม่มีใครรู้ความหมาย นอกจากอัลลอฮ แม้แต่นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ เองก็ไม่รู้ ความหมายและ นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ แค่อ่านมันเท่านั้น แต่ไม่รู้ความหมาย นอกจากอัลลอฮ
แล้วพวกเขาเข้าใจว่า นี้คือแนวสะลัฟ
2. มีรายงานมากมากมายว่า สะลัฟอธิบายความหมายอายาตสิฟาต และเจาะจงความหมาย เช่น
2.1 อัลลามะฮ อัลอะลูซีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وقد صح عن بعض السلف أنهم فسروا ففي صحيح البخاري: قال مجاهد: "استوى على العرش" "علا على العرش"، وقال أبو العالية: "استوى على العرش" "ارتفع
และ มีรายงานเศาะเฮียะ จากบางส่วนของสะลัฟ ว่า พวกเขาอธิบาย (อายาตสิฟาต) และในเศาะเฮียะบุคอรี ระบุว่า “มุญาฮิด กล่าวว่า “อิสตะวา บน อะรัช หมายถึง อยู่สูง เหนืออะรัช และอบูอัลอะลียะฮ กล่าวว่า “อิสตะวา บน อะชัช หมายถึง สูง(เหนืออะรัช ) – ดู ตัฟสีรูหุลมะอานีย์ 16/159
>>>>
ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าสะลัฟรู้ความหมาย อายาตสิฟาต แล้วเขาก็อธิบายความหมายของถ้อยคำที่ปรากฏในตัวบทที่มีมาในอัลกุรอ่าน ว่า คำว่า อิสตะวา อะลัลอะรัช คือ อยู่สูงเหนืออะรัช เพราะคำว่า استوى ตามด้วยคำว่า على นั้น ความหมายคือ อยู่สูง
>>>>
ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าสะลัฟรู้ความหมาย อายาตสิฟาต แล้วเขาก็อธิบายความหมายของถ้อยคำที่ปรากฏในตัวบทที่มีมาในอัลกุรอ่าน ว่า คำว่า อิสตะวา อะลัลอะรัช คือ อยู่สูงเหนืออะรัช เพราะคำว่า استوى ตามด้วยคำว่า على นั้น ความหมายคือ อยู่สูง
2.2 เช็คมุหัมหมัดรอชีด ริฎอ กล่าวว่า
لَمْ يَقُلْ أَحْمَدُ وَلَا غَيْرُهُ مِنَ السَّلَفِ : إِنَّ فِي الْقُرْآنِ آيَاتٍ لَا يَعْرِفُ الرَّسُولُ وَلَا غَيْرُهُ مَعْنَاهَا بَلْ يَتْلُونَ لَفْظًا لَا يَعْرِفُونَ مَعْنَاهُ .
อะหมัด และ คนอื่นจากเขา จากสะลัฟ ไม่ได้กล่าวว่า แท้จริงในอัลกุรอ่าน มีบรรดาอายะฮ ที่รอซูลและอื่นจากท่านไม่รู้ความหมายของมัน แต่ทว่า พวกเขาอ่านถ้อยคำ โดยพวกเขาไม่รู้ความหมายของมัน – ดูตัฟสีรอัลมะนาร 3/145
>>>>>>
หมายความว่า อิหม่ามอะหมัดและสะลัฟคนอื่น ไม่เคยพูดว่า ในอัลกุรอ่านมีอายะฮที่รอซูลและคนอื่นไม่รู้ความหมาย แต่อ่านถ้อยคำอย่างเดียว ไม่รู้ความหมาย
2.3 ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
>>>>>>
หมายความว่า อิหม่ามอะหมัดและสะลัฟคนอื่น ไม่เคยพูดว่า ในอัลกุรอ่านมีอายะฮที่รอซูลและคนอื่นไม่รู้ความหมาย แต่อ่านถ้อยคำอย่างเดียว ไม่รู้ความหมาย
2.3 ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
أن الصحابة والتابعين لم يمتنع أحد منهم عن تفسير آية من كتاب الله، ولا قال: هذه من المتشابه الذي لا يعلم معناه، ولا قال قط أحد من سلف الأمة، ولا من الأئمة المتبوعين: إن في القرآنِ آياتٍ لا يعلم معناها رسول الله صلى الله عليه وسلم، ولا أهل العلم والإيمان جميعهم، وإنما قد ينفون علم بعض ذلك من بعض الناس، وهذا لا ريب فيه
แท้จริง เศาะหาบะฮและบรรดาตาบิอีน ไม่มีคนใดจากพวกเขา ห้ามอธิบายอะยะฮใดๆจากอัลกุรอ่าน และเขาไม่ได้กล่าวว่า นี้คือส่วนหนึ่งจากอายะฮมุตะชาบิฮาต ที่ เขาไม่รู้ความหมายของมัน ไม่มีแม้แต่คนเดียวจากสะลัฟแห่งอุมมะฮ และ บรรดาอิหม่ามที่ถูกปฏิบัติตาม พูดว่า ในอัลกุรอ่าน มีบรรดาอายาตที่ รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ,นักวิชาการ และ ผู้ศรัทธา ทั้งหมดนั้น ไม่ รู้ความหมายของมัน ความจริง พวกเขาปฏิเสธ ความรู้บางส่วนของดังกล่าวจากบรรดาผู้คนบางส่วน และกรณีนี้ ไม่มีการสงสัยใดๆในมัน- มัจญมัวะอัลฟาตาวา 13/285 เรื่อง ตัฟสีร
..........
กล่าวคือ ไม่มีเศาะหาบะฮ ,ตาบินอีนและบรรดาอิหม่ามคนใดบอกว่าในอัลกุรอ่านมีอายะฮที่ไม่รู้ความหมาย ความจริง มีบางส่วนของอายะฮอัลลอฮกุรอ่าน ที่มีคนบางส่วนไม่รู้กรณีนี้ ย่อมมี เพราะมนุษย์ มีผู้มีความรู้ และมีคนอาวามที่ไม่มีความรู้
2.4 อิหม่ามอัซซะฮะบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
แท้จริง เศาะหาบะฮและบรรดาตาบิอีน ไม่มีคนใดจากพวกเขา ห้ามอธิบายอะยะฮใดๆจากอัลกุรอ่าน และเขาไม่ได้กล่าวว่า นี้คือส่วนหนึ่งจากอายะฮมุตะชาบิฮาต ที่ เขาไม่รู้ความหมายของมัน ไม่มีแม้แต่คนเดียวจากสะลัฟแห่งอุมมะฮ และ บรรดาอิหม่ามที่ถูกปฏิบัติตาม พูดว่า ในอัลกุรอ่าน มีบรรดาอายาตที่ รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ,นักวิชาการ และ ผู้ศรัทธา ทั้งหมดนั้น ไม่ รู้ความหมายของมัน ความจริง พวกเขาปฏิเสธ ความรู้บางส่วนของดังกล่าวจากบรรดาผู้คนบางส่วน และกรณีนี้ ไม่มีการสงสัยใดๆในมัน- มัจญมัวะอัลฟาตาวา 13/285 เรื่อง ตัฟสีร
..........
กล่าวคือ ไม่มีเศาะหาบะฮ ,ตาบินอีนและบรรดาอิหม่ามคนใดบอกว่าในอัลกุรอ่านมีอายะฮที่ไม่รู้ความหมาย ความจริง มีบางส่วนของอายะฮอัลลอฮกุรอ่าน ที่มีคนบางส่วนไม่รู้กรณีนี้ ย่อมมี เพราะมนุษย์ มีผู้มีความรู้ และมีคนอาวามที่ไม่มีความรู้
2.4 อิหม่ามอัซซะฮะบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
وكما قال سفيان وغيره "قراءتها تفسيرها"، يعني أنها بينة واضحة في اللغة، لا يبتغى بها مضائق التأويل والتحريف. وهذا هو مذهب السلف مع إتفاقهم أيضا أنها لا تُشْبِه صفات البشر بوجه إذ الباري لا مثل له لا في ذاته ولا في صفاته
และดังที่ ซูฟยานและอื่นจากเขา กล่าวว่า “การอ่านมัน คือ การตัฟสีรมัน หมายถึง แท้จริงมันมีความหมายชัดเจน และแจ่มแจ้งในทางภาษา และไม่สมควร ทำให้ยุ่งยากด้วยการตีความและเปลี่ยนแปลงความหมาย และนี้คือ แนวทางของสะลัฟ พร้อมทั้งการเห็นฟ้องของพวกเขา อีกว่า ไม่คล้ายคลึงกับ บรรดาลักษณะของมนุษย์ จะด้วยทางใดๆ (ก็ตาม) เพราะ พระผู้ทรงสร้าง ไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบใดๆสำหรับพระองค์ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับซาตของพระองค์ และ ไม่ว่าเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ก็ตาม –ดู อัลอุลูวีย ลิอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 251
.......
ท่านอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ บอกว่า ความหมายของสิฟาต ชัดเจนแจ่มแจ้งในทางภาษา แสดงให้เห็นว่าสะลัฟรู้ความหมายในทางภาษา เป็นไปได้อย่างไร ว่ารู้ความหมายแล้วไม่รับรองความหมาย
.......
ท่านอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ บอกว่า ความหมายของสิฟาต ชัดเจนแจ่มแจ้งในทางภาษา แสดงให้เห็นว่าสะลัฟรู้ความหมายในทางภาษา เป็นไปได้อย่างไร ว่ารู้ความหมายแล้วไม่รับรองความหมาย
2.5 อบูบักร์ อิบนุอัลอะเราะบีย์ อัลมะลิกีย์ (ฮ.ศ 543)
ท่านได้อธิบายหะดิษสิฟัตในสุนันติรมิซีย์ว่า
ومذهب مالك رحمه الله أن كل حديث منها معلوم المعنى، ولذلك قال للذي سأله: "الاستواء معلوم، والكيفية مجهولة
และแนวทางของมาลิก (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) แท้จริงทุกหะดิษจากมัน(จากหะดิษที่ระบุเกี่ยวกับสิฟาต) ความหมาย เป็นที่รู้กัน และเพราะดังกล่าว เขาได้กล่าวแก่ผู้ที่ถามเขาว่า " อัลอิสติวาอฺนั้น เป็นที่รู้กัน และรูปแบบวิธีการนั้น ไม่เป็นที่รู้กัน -อาริเฎาะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 3 หน้า 166
....
เมื่อสะลัฟรู้ความหมาย ไปปรากฏว่า สะลัฟรับรองถ้อยคำอย่างเดียว และปฏิเสธความหมาย
....
เมื่อสะลัฟรู้ความหมาย ไปปรากฏว่า สะลัฟรับรองถ้อยคำอย่างเดียว และปฏิเสธความหมาย
2.6 . ท่านอิมามอบูญะอฺฟัร มุฮัมมัด อิบนุ ญะรีร อัฏฏอบรียฺ (เสียชีวิตปีฮ.ศ.310) กล่าวว่า
فنثبت كل هذه المعاني التي ذكرنا أنها جاءت بها الأخبار والكتاب والتنزيل على ما يُعقل من حقيقة الإثبات ، وننفي عنه التشبيه فنقول : يسمع جل ثناؤه الأصوات ، لا بخرق في أذن ، ولا جارحة كجوارح بني آدم . وكذلك يبصر الأشخاص ببصر لا يشبه أبصار بني آدم التي هي جوارح لهم. وله يدان ويمين وأصابع ، وليست جارحة ، ولكن يدان مبسوطتان بالنعم على الخلق ، لا مقبوضتان عن الخير ، ووجه لا كجوارح بني آدم التي من لحم ودم. ونقول : يضحك إلى من شاء من خلقه ، لا تقول: إن ذلك كشر عن أنياب ، ويهبط كل ليلة إلى سماء الدنيا
: ดังนั้นเราจึงยืนยันความหมายเหล่านี้ทั้งหมดที่เราได้บอกว่าแท้จริงฮะดีษต่างๆและอัลกุรอานนั้นได้นำมันมา เราก็ยืนยันมันไปตามความหมายที่ถูกเข้าใจจากกการยืนยันความหมายจริงๆตรงตามตัวของมัน แต่เราก็จะปฏิเสธการเปรียบเทียบให้เหมือนมัคลูก ดังนั้นเราจึงจะกล่าวว่า : พระองค์ جل ثناؤه ทรงได้ยินเสียงต่างๆ แต่ไม่ใช่ด้วยกับรูหู และไม่ใช่ด้วยกับอวัยวะดังเช่นอวัยวะของมนุษย์ และในทำนองเดียวกัน พระองค์ทรงเห็นบุคคลต่างๆด้วยกับสายตาที่ไม่เหมือนกับสายตาของมนุษย์ที่มันคืออวัยวะของพวกเขา
และพระองค์ทรงมีสองมือ ทรงมีมือขวา และมีนิ้ว แต่มันไม่ใช่อวัยวะ แต่ทว่าคือมือทั้งสองที่ถูกแบออกไปให้ความโปรดปรานต่างๆต่อสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ไม่ใช่สองมือที่ถูกกำไว้ไม่ให้คุณงามความดีใดๆและทรงมีใบหน้าที่ไม่เหมือนกับอวัยวะของมนุษย์ที่มาจากเลือดและเนื้อ
และเรากล่าวว่า : พระองค์ทรงหัวเราะผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และเราจะไม่กล่าวว่า : แท้จริงสิ่งดังกล่าวนั้นคือการเผยให้เห็นฟัน(คือลักษณะของการหัวเราะตามที่รู้กัน คือการอ้าปากเผยให้เห็นฟัน)
และพระองค์ทรงเสด็จลงมายังชั้นฟ้าดุนยาในทุกๆค่ำคืน- อัตตับศีร ฟีมะอาลิมิดดีน หน้า 141-145
และพระองค์ทรงมีสองมือ ทรงมีมือขวา และมีนิ้ว แต่มันไม่ใช่อวัยวะ แต่ทว่าคือมือทั้งสองที่ถูกแบออกไปให้ความโปรดปรานต่างๆต่อสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ไม่ใช่สองมือที่ถูกกำไว้ไม่ให้คุณงามความดีใดๆและทรงมีใบหน้าที่ไม่เหมือนกับอวัยวะของมนุษย์ที่มาจากเลือดและเนื้อ
และเรากล่าวว่า : พระองค์ทรงหัวเราะผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และเราจะไม่กล่าวว่า : แท้จริงสิ่งดังกล่าวนั้นคือการเผยให้เห็นฟัน(คือลักษณะของการหัวเราะตามที่รู้กัน คือการอ้าปากเผยให้เห็นฟัน)
และพระองค์ทรงเสด็จลงมายังชั้นฟ้าดุนยาในทุกๆค่ำคืน- อัตตับศีร ฟีมะอาลิมิดดีน หน้า 141-145
.............

ข้างต้น ชัดเจนว่า สะลัฟยืนยันความหมายสิฟาต โดยไม่เปรียบกับบรรดามัคลูค เพราะฉะนั้นการอ้างว่า การรับรองถ้อยคำและความหมายทางภาษา ไม่ใช่แนวทางสะลัฟ คือ การบิดเบือน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/8/60
อะสัน หมัดอะดั้ม
1/8/60