วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คำถามที่เกิดจากอคติที่หวังผลให้เกิดภาพลบแก่ผู้ที่เห็นต่าง



ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


คำถามที่เกิดจากอคติที่หวังผลให้เกิดภาพลบแก่ผู้ที่เห็นต่าง
ราชสีห์ ผู้ภักดีของแผ่นดิน
9 ชม.
เหตุใดวะฮาบีต่อต้านในการเรียนซีฟัตยี่สิบ
@@@@
ชี้แจง
ความจริง คนที่ถูกเรียกวะฮบีย์ ไม่ได้ปฏิเสธว่า 20 สิฟาตนั้นไม่ใช่คุณลักษณะอัลลอฮ แต่ที่เขาค้านคือ การกำหนดคุณลักษณะของอัลลอฮ ที่วาญิบ ให้ศึกษาว่ามี 20 สิฟัต โดยการศึกษา ตามแนวคิดปรัชญาแนวตรรกนิยม โดยใช้เหตุผลทางปัญญาอธิบาย ตามแนวทางอะฮลุลกาลาม(นักวิภาษนิยม) ที่ใช้ตรรกทางปัญญาอธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ
ที่อิบนุ คอนดูน ได้กล่าวถึงความหมายวิชากาลามคือ
عِلْمٌ يَتَضَمّنُ الحِجَاج عَنِ العَقَائِدِ الإيْمَانِيَّةِ بِالأدِلَّةِ العَقْلِيَّةِ
“วิชาที่รวบรวม ข้ออ้าง/เหตุผลต่างๆเกี่ยวกับหลักความเชื่อมั่นที่เกี่ยวกับการศรัทธาด้วยหลักฐานทางปัญญา” มุก็อดดิมะห์ อิบนิค็อลดูน หน้าที่ 429
สิ่งที่แปลก และแสดงให้เห็นถึงการกำหนดกรอบการศึกษาคุณลักษณะของอัลลอฮโดยใช้ความคิดเห็นคือ
อาชาอิเราะฮ ยอมรับสิฟัต 7 สิฟาตต่อไปนี้คือ
1.อัลลอฮ์ ทรงสามารถ (القدرة)
2.อัลลอฮ์ ทรงเจตนา(الإرادة)
3.อัลลอฮ์ ทรงรู้ (العلم )
4.อัลลอฮ์ ทรงเป็น(الحياة)
5.อัลลอฮ์ ทรงได้ยิน(السمع)
6.อัลลอฮ์ ทรงเห็น( البصر)
7.อัลลอฮ์ ทรงพูด (الكلام)
..
เจ็ดคุณลักษณะข้างต้น อาชาอิเราะฮ ยอมรับความหมาย และอนุญาตให้แปลความหมายได้ โดยไม่ต้องตีความ (ตะวี้ล)และไม่ต้องมอบหมายความหมาย(ตัฟวีฎ) ตามความเข้าใจของพวกเขา
แต่ คุณลักษณะต่อไปนี้ เช่น
ใบหน้า (الوجه )
สถิต/อยู่ (الاستواء )
มือ (اليد )
สองมือ (اليدين )
หัวเราะ (الضحك)
การเสด็จลงมา( النزول )
และอื่นๆ จากอายาตและหะดิษสิฟาต
แปลก ..สิฟาตข้างต้น อาชาอิเราะฮกลับกำหนดกรอบเองตามตรรกทางปัญญาว่า แปลความหมายไม่ได้ตามตัวบทไม่ได้ ห้ามยุ่งกับความหมาย ,ความหมายตามตัวบท ไม่ใช่ความหมายที่ต้องการ ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และมติปราชญสะลัฟแม้แต่อักษรเดียวว่า สิฟาตแบบใหนแปลได้และสิฟาตแบบใหนแปลความหมายไม่ได้จะทำให้เป็นการตัชบีฮ นี่คือ สิ่งที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่า มันคือ คำสอนอะกีดะฮที่มาจากตรรกทางปัญญาล้วนๆ
ถ้ามโนตามตรรก คำว่า "السميعً " ผู้ทรงได้ยิน ผู้ฟัง ก็จะจินตนาการว่า อัลลอฮมีหู ได้เช่นกัน แต่...เมื่ออัลลอฮบอกไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ คนที่เข้าใจศาสนาเขาก็จบแค่นั้น ไม่มโนและจินตนาการในสิ่งที่นอกเหนือจินตนาการ อย่างกลุ่มอาชาอิเราะยุคหลังที่เดินตามอะฮลุลกาลาม
และที่ร้ายไปกว่านั้น อ้างว่าต้องเรียนสิฟาต 20 ที่ปราชญ์แนวคิดอะฮลุ้ลกาลาม เขียนขึ้น

 เมื่อหม่ามนะวาวีย์ อ้างถึงหะดิษที่ว่า
أمرت أن أقاتل الناس حتى يشهدوا أن لا إله إلا الله، ويؤمنوا بي وبما جئت به.
ฉันถูกสั่งให้ทำสู้รับกับมนุษย์ จนกว่าพวกเขาจะปฏิญานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และ พวกเขาศรัทธาด้วยสิ่งที่ฉันนำมันมา .. รายงานโดยมุสลิม เป็นหะดิษรายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ
แล้วอิหม่ามนะวาวีย์(รฮ)กล่าวว่า
فِيهِ دَلَالَةٌ ظَاهِرَةٌ لِمَذْهَبِ الْمُحَقِّقِينَ وَالْجَمَاهِيرِ مِنْ السَّلَفِ وَالْخَلَفِ أَنَّ الْإِنْسَانَ إذَا اعْتَقَدَ دِينَ الْإِسْلَامِ اعْتِقَادًا جَازِمًا لَا تَرَدُّدَ فِيهِ كَفَاهُ ذَلِكَ ، وَهُوَ مُؤْمِنٌ مِنْ الْمُوَحِّدِينَ ، وَلَا يَجِبُ عَلَيْهِ تَعَلُّمُ أَدِلَّةِ الْمُتَكَلِّمِينَ ، وَمَعْرِفَةُ اللَّهِ تَعَالَى بِهَا
และในหะดิษ คือหลักฐานอันชัดเจน สำหรับมัซฮับ(แนวทาง)ของบรรดาผู้ที่ได้รับการรับรอง และบรรดาส่วนใหญ่จาก ปราชญสะลัฟและเคาะลัฟ ว่า แท้จริง บรรดามนุษย์นั้น เมื่อเขาเชื่อมั่นในศาสนาอิสลาม เป็นการเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้น ไม่มีการสงสัยใดๆ ในมัน ,ดังกล่าวนั้นก็พอเพียงแก่เขา และเขาคือผู้ศรัทธา คนหนึ่งจากบรรดาผู้ศรัทธาในเอกภาพของพระเจ้า(อัลมุวะหหิดีน) และไม่จำเป็นแก่เขา จะต้องรู้หลักฐานของบรรดานักวิภาษวิทยา (อะฮลุลกาลาม) และการรู้จักอัลลอฮตาอาลาด้วยมัน(ด้วยหลักฐานทางปัญญาของอะฮลุลกาลาม) -ในภาพอาจจะมี ข้อความ
...............ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ข้างต้นชัดเจนว่า อิหม่ามนะวาวีย์บอกว่า ไม่จำเป็นต้องเรียนหลักฐานของอะฮลุลกาลาม และรู้จักอัลลอฮด้วยอะฮลุลกาลาม ซึ่ง สิฟาต 20 คือแนวทางการเรียนแนวอะฮลุลกาลาม
อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวอีกว่า
خِلَافًا لِمَنْ أَوْجَبَ ذَلِكَ ، وَجَعَلَهُ شَرْطًا فِي كَوْنِهِ مِنْ أَهْلِ الْقِبْلَةِ ، وَزَعَمَ أَنَّهُ لَا يَكُونُ لَهُ حُكْمُ الْمُسْلِمِينَ إلَّا بِهِ ، وَهُوَ قَوْلُ كَثِيرٍ مِنْ الْمُعْتَزِلَةِ وَبَعْضِ أَصْحَابِنَا الْمُتَكَلِّمِينَ ، وَهُوَ خَطَأٌ ظَاهِرٌ
แตกต่าง กับผู้ที่กำหนดให้เป็นข้อบังคับ(วาญิบ) ดังกล่าวนั้น (หมายถึงอ้างว่าเรียนหลักฐานของนักกะลาม) และเขาได้กำหนดให้เป็น เงื่อนไข ในการเป็นมุสลิม (อะฮลุลกิบลัต) และเขาอ้างว่า จะไม่ได้รับหุกุมว่าเป็นมุสลิม นอกจากจะต้องรู้หลักฐานของนักกะลาม และนี้คือ ทัศนะของพวกมุอตะซิละฮส่วนมากและส่วนหนึ่งของบรรดาสหายของเรา(หมายถึงอุลามาอฺมัซฮับชาฟิอีบางส่วน) ที่เป็นบรรดานักวิชาการกะลาม(นักวิภาษวิทยา) และมัน คือ ทัศนะที่ผิดอย่างชัดเจน -ชัรหมุสลิม เล่ม 1 หน้า 210
..................................................
อิหม่ามนะวาวีย อะธิบายว่า พวกที่ว่า คนจะเป็นมุสลิมนั้นต้องเรียนรู้หลักฐานของบรรดานักวิภาษวิทยา พวกที่เข้าใจแบบนี้คือ พวกมุอฺตะซิละฮ และพวกนักวิชาการกะลาม และทัศนะดังกล่าวเป็นทัศนะที่ผิดอย่างชัดเจน…
อิหม่ามเฆาะซาลีย(รฺ.ฮ) กล่าวว่า
وليس الطريق في تقويته وإثباته إن يعلم صنعة الجدل والكلام بل يشتغل بتلاوة القرآن وتفسيره وقراءة الحديث ومعانيه. ويشتغل بوظائف العبادات
ไม่ใช่หนทางที่จะให้การศรัทธาแก่กล้าและมั่นคง โดยที่จะต้องเรียนรู้การโต้แย้งและตรรกวิทยา(วิภาษวิทยา) แต่ทว่า(การที่จะให้ศรัทธาแก่กล้ามั่นคงนั้น)ด้วยการอ่านอัลกุรอ่าน ,ตัฟสีรของมัน ,อ่านหะดิษและบรรดาความหมายของมัน และการสาละวนกับการประกอบอิบาดะฮต่างๆ -เอียะยาอุลูมีดดีน 1/94
...............
สรุป ว่า การที่จะให้เป็นมุสลิมที่มีศรัทธาแก่กล้า ก็ให้เรียนอัลกุรอ่าน อัลหะดิษ พร้อมกับทำความเข้าใจความหมาย และพร้อมกับการปฏิบัติอิบาดะฮต่างๆ ไม่จำเป็นจะต้องเรียนคุณลักษณะของอัลลอฮตามแนววิชากาลาม เช่น สิฟาต 20 ที่อธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮ ตามหลักวิชาตรรกวิทยา
เพราะฉะนั้นการปกป้องสิฟัต 20 โดยการบิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาว่าคนที่ถูกเรียกวะฮบีย์ ต่อต้านสิฟัต 20 นั้น เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหวังทำลายความเชื่อถือคนที่มีทัศนะต่างกับตนเท่านั้น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
24/7/60

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น