

ครอบครัวผู้ตายเลี้ยงอาหารท่านนบีจริงหรือ
เพจชื่อ ท่านถามมาซิ เราจะตอบ ของอาชาอิเราะฮสายกินบุญ ได้อ้างหะดิษต่อไปนี้ เป็นหลักฐานทำบุญเนื่องจากการตาย คือ
وعن عاصم بن كليب، عن أبيه، عن رجل من الأنصار، قال: «خرجنا مع رسول الله - صلى الله عليه وسلم - في جنازة، فرأيت رسول الله - صلى الله عليه وسلم - وهو على القبر يوصي الحافر يقول: (أوسع من قبل رجليه، أوسع من قبل رأسه) فلما رجع استقبله داعي امرأته، فأجاب ونحن معه، فجيء بالطعام، فوضع يده، ثم وضع القوم، فأكلوا
فنظرنا إلى رسول الله صلى الله عليه وسلم يلوك لقمة في فيه ثم قال: ((أجد لحم شاة أخذت بغير إذن أهلها)). فأرسلت المرأة تقول: يا رسول الله: إني أرسلت إلى النقيع- وهو موضع يباع فيه الغنم- ليشتري لي شاة، فلم توجد، فأرسلت إلى جار لي قد اشترى شاة أن يرسل بها إلى بثمنها، فلم يوجد، فأرسلت إلى امرأته، فأرسلت إلي بها. فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم: ((أطعمي هذا الطعام الأسرى)). رواه أبو داود، والبيهقي في ((دلائل النبوة)). [٥٩٤٢]
"รายงานจาก อาศิม อิบนุ กุเลบ จากพ่อของเขา จากชายชาวอันซอร ใด้กล่าวว่า : เราใด้ออกไปพร้อมกับท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)ยังญานาซะห์หนึ่ง ฉันใด้เห็นท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)-ขณะที่ยืนอยู่บนหลุมกุโบร-กำลังสั่งเสียชายผู้ขุดหลุมว่า {เจ้าจงทำให้พื้นที่บริเวณเท้าทั้งสองของเขากว้างขึ้นอีก,จงทำให้พื้นที่บริเวนณมือทั้งสองของเขากว้างขึ้นอีก} ครั้นเมื่อท่านใด้กลับมาจากกุโบร..คนนึงเป็นผู้เรียกร้องเชิญชวนของภรรยาผู้ตายใด้ทำการเชิญชวนต้อนรับท่าน..ดังนั้นท่านจึงตอบรับการเชิญชวนดังกล่าว..ดังนั้นสำรับอาหารก็ถูกนำมา..ท่านจึงยื่นมือ(เพื่อที่จะรับประทาน)..ผู้คนจึงยื่นมือด้วย..แล้วพวกเขาก็รับประทานกัน..ทันใดนั้นฉันก็ใด้มองไปยังท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)ที่กำลังเคี้ยวชิ้นเนื้ออยู่ในปากของท่าน..หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า {ฉันเจอเนื้อแพะที่ถูกเอามาโดยไม่ใด้รับอนุยาติจากเจ้าของของมัน}…ดังนั้นผู้หญิงเจ้าภรรยาผู้ตายก็ใด้ส่งคำพูดมาว่า..{โอ้ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์..แท้จริงแล้วฉันใด้ส่งคนไปยังตลาตนาเกี้ยะอฺ์-ตลาตขายแพะ-เพื่อที่จะซื้อแพะมาสักตัวนึง..แต่ปรากฏว่าไม่มีแพะ..ฉันจึงส่งคนไปยังเพื่อนบ้านของฉันที่เขาใด้ซึ้อแพะมาก่อนหน้านี้แล้วเพื่อที่เขาจะส่งมอบแพะให้แก่ฉันโดยการแลกเปลี่ยนเงินตามราคาที่เขาใด้ซื้อมันมา..แต่ก็ไม่เจอเขาอีก..ฉันจึงส่งคนไปยังภรรยาของเขาแล้วเธอก็ใด้ส่งมอบแพะตัวนั้นแก่ฉัน(โดยการซื้อขายและสามีของเธอยังไม่รู้)..}...ดังนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)จึงกล่าวขึ้นว่า..{จงนำสิ่งนี้ไปเลี้ยงแจกจ่ายแก่ยรรดาเชลยศึกเถิด}…
[รายงานโดย อบูดาวูด , บัยฮะกีย์ ใน"ดาละอิลุ้ลลนุบูว่ะหฺ์"]…ท่านอัลบานีย์ใด้กล่าสว่า ฮาดีษนี้ซอเฮี้ยะห์ และท่านอิบนุฮะญัรใด้กล่าวว่า สายรายงานของฮาดีษนี้ซอเฮี้ยะห์..
....................
فنظرنا إلى رسول الله صلى الله عليه وسلم يلوك لقمة في فيه ثم قال: ((أجد لحم شاة أخذت بغير إذن أهلها)). فأرسلت المرأة تقول: يا رسول الله: إني أرسلت إلى النقيع- وهو موضع يباع فيه الغنم- ليشتري لي شاة، فلم توجد، فأرسلت إلى جار لي قد اشترى شاة أن يرسل بها إلى بثمنها، فلم يوجد، فأرسلت إلى امرأته، فأرسلت إلي بها. فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم: ((أطعمي هذا الطعام الأسرى)). رواه أبو داود، والبيهقي في ((دلائل النبوة)). [٥٩٤٢]
"รายงานจาก อาศิม อิบนุ กุเลบ จากพ่อของเขา จากชายชาวอันซอร ใด้กล่าวว่า : เราใด้ออกไปพร้อมกับท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)ยังญานาซะห์หนึ่ง ฉันใด้เห็นท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)-ขณะที่ยืนอยู่บนหลุมกุโบร-กำลังสั่งเสียชายผู้ขุดหลุมว่า {เจ้าจงทำให้พื้นที่บริเวณเท้าทั้งสองของเขากว้างขึ้นอีก,จงทำให้พื้นที่บริเวนณมือทั้งสองของเขากว้างขึ้นอีก} ครั้นเมื่อท่านใด้กลับมาจากกุโบร..คนนึงเป็นผู้เรียกร้องเชิญชวนของภรรยาผู้ตายใด้ทำการเชิญชวนต้อนรับท่าน..ดังนั้นท่านจึงตอบรับการเชิญชวนดังกล่าว..ดังนั้นสำรับอาหารก็ถูกนำมา..ท่านจึงยื่นมือ(เพื่อที่จะรับประทาน)..ผู้คนจึงยื่นมือด้วย..แล้วพวกเขาก็รับประทานกัน..ทันใดนั้นฉันก็ใด้มองไปยังท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)ที่กำลังเคี้ยวชิ้นเนื้ออยู่ในปากของท่าน..หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า {ฉันเจอเนื้อแพะที่ถูกเอามาโดยไม่ใด้รับอนุยาติจากเจ้าของของมัน}…ดังนั้นผู้หญิงเจ้าภรรยาผู้ตายก็ใด้ส่งคำพูดมาว่า..{โอ้ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์..แท้จริงแล้วฉันใด้ส่งคนไปยังตลาตนาเกี้ยะอฺ์-ตลาตขายแพะ-เพื่อที่จะซื้อแพะมาสักตัวนึง..แต่ปรากฏว่าไม่มีแพะ..ฉันจึงส่งคนไปยังเพื่อนบ้านของฉันที่เขาใด้ซึ้อแพะมาก่อนหน้านี้แล้วเพื่อที่เขาจะส่งมอบแพะให้แก่ฉันโดยการแลกเปลี่ยนเงินตามราคาที่เขาใด้ซื้อมันมา..แต่ก็ไม่เจอเขาอีก..ฉันจึงส่งคนไปยังภรรยาของเขาแล้วเธอก็ใด้ส่งมอบแพะตัวนั้นแก่ฉัน(โดยการซื้อขายและสามีของเธอยังไม่รู้)..}...ดังนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ์(ซล)จึงกล่าวขึ้นว่า..{จงนำสิ่งนี้ไปเลี้ยงแจกจ่ายแก่ยรรดาเชลยศึกเถิด}…
[รายงานโดย อบูดาวูด , บัยฮะกีย์ ใน"ดาละอิลุ้ลลนุบูว่ะหฺ์"]…ท่านอัลบานีย์ใด้กล่าสว่า ฮาดีษนี้ซอเฮี้ยะห์ และท่านอิบนุฮะญัรใด้กล่าวว่า สายรายงานของฮาดีษนี้ซอเฮี้ยะห์..
....................
@@@@
ชี้แจง
ในสุนันอบูดาวูด มีสำนวนดังต่อไปนี้ และ มีคำว่า دَاعِي امْرَأَةٍ ไม่ใช่ داعي امرأته ตามที่ อาชาอิเราะฮอ้าง
ในสุนันอบูดาวูด มีสำนวนดังต่อไปนี้ และ มีคำว่า دَاعِي امْرَأَةٍ ไม่ใช่ داعي امرأته ตามที่ อาชาอิเราะฮอ้าง
ท่านชัยค์ อิสมาอีล ซัยนฺ อัลยามานีย์ ได้บันทึกในตำราของท่านดังกล่าว ถึงฮาดีษ ที่รายงานโดย อาบูดาวุด ในลำดับที่ 2894 ว่า
حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْعَلاَءِ أَخْبَرَنَا ابْنُ إِدْرِيسَ أَخْبَرَنَا عَاصِمُ بْنُ كُلَيْبٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ رَجُلٍ مِنْ اْلأَنْصَارِ قَالَ خَرَجْنَا مَعَ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي جَنَازَةٍ فَرَأَيْتُ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ عَلَى الْقَبْرِ يُوصِي الْحَافِرَ أَوْسِعْ مِنْ قِبَلِ رِجْلَيْهِ أَوْسِعْ مِنْ قِبَلِ رَأْسِهِ فَلَمَّا رَجَعَ اسْتَقْبَلَهُ دَاعِي امْرَأَةٍ فَجَاءَ وَجِيءَ بِالطَّعَامِ فَوَضَعَ يَدَهُ ثُمَّ وَضَعَ الْقَوْمُ فَأَكَلُوا فَنَظَرَ آبَاؤُنَا رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَلُوكُ لُقْمَةً فِي فَمِهِ ثُمَّ قَالَ أَجِدُ لَحْمَ شَاةٍ أُخِذَتْ بِغَيْرِ إِذْنِ أَهْلِهَا فَأَرْسَلَتْ الْمَرْأَةُ قَالَتْ يَا رَسُولَ اللهِ إِنِّي أَرْسَلْتُ إِلَى الْبَقِيعِ يَشْتَرِي لِي شَاةً فَلَمْ أَجِدْ فَأَرْسَلْتُ إِلَى جَارٍ لِي قَدْ اشْتَرَى شَاةً أَنْ أَرْسِلْ إِلَيَّ بِهَا بِثَمَنِهَا فَلَمْ يُوجَدْ فَأَرْسَلْتُ إِلَى امْرَأَتِهِ فَأَرْسَلَتْ إِلَيَّ بِهَا فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَطْعِمِيهِ اْلأُسَارَى
ความว่า “ ท่านมูฮัมหมัด บิน อัล-อาลาอฺ ได้เล่ามา จากท่าน (อับดุลลอฮ)บินอิดรีส จากท่าน อาซิม บิน กุลัยบฺ จาก บิดาของท่าน(ก็คือกุลัยบฺ) จากชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอันซอร (และเป็นซอฮาบัต) ซึ่งเขาได้กล่าวว่า
“ เรา(เหล่าซอฮาบัต)ได้ออกเดินทางพร้อม ท่านศาสดา(ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม)(เพื่อแสดงความเสียใจต่อญาติ )ของศพๆหนึ่ง
ทันใดนั้นฉัน ก็แลเห็น ท่านศาสดา(ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม) ซึ่งขณะนั้นท่านได้ยีนบน(ใกล้)หลุมฝังศพของคนๆนั้น พลางสั่งเสียต่อผู้ขุดหลุม(ว่า)
“ ท่านจงขยาย(หลุมศพ) บริเวณส่วนของสองเท้าของเขาให้กว้างขึ้นเถิด และจงขยาย(หลุมศพ)ส่วนของศีรษะให้กว้างขึ้นเถิด”
และเมื่อท่านนบีได้เดินทางกลับ ได้มีตัวแทนจากภรรยาของผู้ตายได้เข้ามาพบท่าน(เพื่อเชิญไปที่บ้าน)ดังนั้น ท่านก็ได้มา(ยังบ้านของนาง) และได้มีการนำอาหารมายังท่าน พลันท่านก็หยิบอาหารดังกล่าว(มารับประทาน) และบรรดาซอฮาบัตก็ได้หยิบอาหารนั้นเช่นกัน และพวกเขาก็ได้รับประทานกัน
จากนั้นไม่นานบรรดาผู้อาวุโสของพวกเราได้แลเห็นท่านศาสดากำลังเคี้ยวอาหารคำหนึ่งซึ่งอยู่ในปากของท่าน จากนั้นท่านได้กล่าวว่า
“ ฉันรู้สึกว่าได้พบเจอเนื้อแพะซึ่งได้ถูกนำมา(ปรุง)โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของๆมัน”
หลังจากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าว(หมายถึง ภรรยาผู้ตาย)ได้กล่าวขึ้นว่า
“ โอ้ ท่านศาสดา.... จริงๆแล้วฉันได้ส่งคนไปซื้อแพะที่ตลาดบาเกียะ แต่ปรากฏว่าหาไม่เจอ จากนั้นฉันก็เลยส่งคนให้ไปหาซื้อจากเพื่อนบ้านของฉัน ซึ่งเขาได้ซื้อแพะไว้ก่อนหน้าแล้ว และขอให้เขาได้ส่งแพะมายังฉันด้วยราคาของมัน แต่ว่าไม่เจอ(เพื่อนบ้านคนดังกล่าว)ฉันเลยส่งคนให้ไปซื้อกับภรรยาของเขาด้วย ราคาของแพะดังกล่าวจากนั้นนาง ก็ได้ส่งแพะดังกล่าวมายังฉัน”หลังจากนั้นท่านศาสดาก็กล่าวขึ้นว่า
“ จงเอาอาหารเหล่านี้ไปแจกจ่ายกับเหล่าเชลยศึกเถิด”
>>>>>>>>
>>>>>>>>
ความว่า “ ท่านมูฮัมหมัด บิน อัล-อาลาอฺ ได้เล่ามา จากท่าน (อับดุลลอฮ)บินอิดรีส จากท่าน อาซิม บิน กุลัยบฺ จาก บิดาของท่าน(ก็คือกุลัยบฺ) จากชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอันซอร (และเป็นซอฮาบัต) ซึ่งเขาได้กล่าวว่า
“ เรา(เหล่าซอฮาบัต)ได้ออกเดินทางพร้อม ท่านศาสดา(ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม)(เพื่อแสดงความเสียใจต่อญาติ )ของศพๆหนึ่ง
ทันใดนั้นฉัน ก็แลเห็น ท่านศาสดา(ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม) ซึ่งขณะนั้นท่านได้ยีนบน(ใกล้)หลุมฝังศพของคนๆนั้น พลางสั่งเสียต่อผู้ขุดหลุม(ว่า)
“ ท่านจงขยาย(หลุมศพ) บริเวณส่วนของสองเท้าของเขาให้กว้างขึ้นเถิด และจงขยาย(หลุมศพ)ส่วนของศีรษะให้กว้างขึ้นเถิด”
และเมื่อท่านนบีได้เดินทางกลับ ได้มีตัวแทนจากภรรยาของผู้ตายได้เข้ามาพบท่าน(เพื่อเชิญไปที่บ้าน)ดังนั้น ท่านก็ได้มา(ยังบ้านของนาง) และได้มีการนำอาหารมายังท่าน พลันท่านก็หยิบอาหารดังกล่าว(มารับประทาน) และบรรดาซอฮาบัตก็ได้หยิบอาหารนั้นเช่นกัน และพวกเขาก็ได้รับประทานกัน
จากนั้นไม่นานบรรดาผู้อาวุโสของพวกเราได้แลเห็นท่านศาสดากำลังเคี้ยวอาหารคำหนึ่งซึ่งอยู่ในปากของท่าน จากนั้นท่านได้กล่าวว่า
“ ฉันรู้สึกว่าได้พบเจอเนื้อแพะซึ่งได้ถูกนำมา(ปรุง)โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของๆมัน”
หลังจากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าว(หมายถึง ภรรยาผู้ตาย)ได้กล่าวขึ้นว่า
“ โอ้ ท่านศาสดา.... จริงๆแล้วฉันได้ส่งคนไปซื้อแพะที่ตลาดบาเกียะ แต่ปรากฏว่าหาไม่เจอ จากนั้นฉันก็เลยส่งคนให้ไปหาซื้อจากเพื่อนบ้านของฉัน ซึ่งเขาได้ซื้อแพะไว้ก่อนหน้าแล้ว และขอให้เขาได้ส่งแพะมายังฉันด้วยราคาของมัน แต่ว่าไม่เจอ(เพื่อนบ้านคนดังกล่าว)ฉันเลยส่งคนให้ไปซื้อกับภรรยาของเขาด้วย ราคาของแพะดังกล่าวจากนั้นนาง ก็ได้ส่งแพะดังกล่าวมายังฉัน”หลังจากนั้นท่านศาสดาก็กล่าวขึ้นว่า
“ จงเอาอาหารเหล่านี้ไปแจกจ่ายกับเหล่าเชลยศึกเถิด”
>>>>>>>>
>>>>>>>>
ชี้แจง
จริงๆแล้วในตัวบทเดิมๆของหะดิษนี้ ไม่มีฮาเฏาะมีร(ฮาที่เป็นคำสรรพนาม) ที่ผู้อ้างว่าเป็นภรรยาผู้ตาย แต่ที่ถูกต้องมีสำนวนต่อไปนี้คือ
داعى امرأة من قريش
แปลว่า "ผู้เชิญของหญิงชาวกุเรชคนหนึ่ง
- มุสนัดอิหม่ามอะหมัด เล่ม 5 หน้า 293
داعى امرأة من قريش
แปลว่า "ผู้เชิญของหญิงชาวกุเรชคนหนึ่ง
- มุสนัดอิหม่ามอะหมัด เล่ม 5 หน้า 293
- داعي امرأة
แปลว่า ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่ง
- มุนตะกอ็ลอัคบาร เล่ม 2 หน้า 409
แปลว่า ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่ง
- มุนตะกอ็ลอัคบาร เล่ม 2 หน้า 409
- สุนันอนัลลุ้ลเอาฏอร كتاب الغصب والضمانات
- อบีดาวูด เล่ม 3 หน้า 244
- อบีดาวูด เล่ม 3 หน้า 244
- نصب الراية في تخريج أحاديث الهداية - فصل فيما يتغير بفعل الغاصب-الجزء الخامس-صفحة 401 - 403
داعى امرأة من قريش
ผู้เชิญของหญิงกุเรชคนหนึ่ง
- อัดดารุ้ลกุฏนีย เล่ม 5 หน้า 545
داعى امرأة من قريش
ผู้เชิญของหญิงกุเรชคนหนึ่ง
- อัดดารุ้ลกุฏนีย เล่ม 5 หน้า 545
لفظ داعي امرأته باضافة امرأة الى الضمير وهوليس بصحيح
คำที่ว่า داعي امرأته โดยการนำคำว่า “อิมเราะอะตุ้น” ไปประกอบกับคำสรรพนามนั้น มันไม่เศาะเฮียะ - ดู ตุหฟะตุ้ลอะหวะซีย์ เล่ม 4 หน้า 78
- และตัวบทที่เศาะเหียะ คือ คำว่า داعي امرأة ที่เป็นสามานยนาม(อิสมุนนะกิเราะอ) ดู มิชกาตอัลมะศอเบียะ เล่ม 2 /1771-1772
..................
..................
มาดูคำอธิบายครับ
อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ กล่าวว่า
قُلْتُ : قَدْ وَقَعَ فِي الْمِشْكَاةِ لَفْظُ دَاعِي امْرَأَتِهِ بِإِضَافَةِ لَفْظِ امْرَأَةٍ إِلَى الضَّمِيرِ ، وَهُوَ لَيْسَ بِصَحِيحٍ ، بَلِ الصَّحِيحُ ( دَاعِي امْرَأَةٍ ) بِغَيْرِ الْإِضَافَةِ ، وَالدَّلِيلُ عَلَيْهِ أَنَّهُ قَدْ وَقَعَ فِي سُنَنِ أَبِي دَاوُدَ : ( دَاعِي امْرَأَةٍ ) بِغَيْرِ الْإِضَافَةِ ، قَالَ فِي عَوْنِ الْمَعْبُودِ : دَاعِي امْرَأَةٍ
ข้าพเจ้า ขอกล่าวว่า “แท้จริง ได้ปรากฏใน อัลมิชกาต คำว่า
داعي امرأته
ผู้เชิญของ ภรรยาของเขา
โดยนำคำว่า “อิมเราะอะติน “ไปประสม(สนธิ)กับ คำสรรพนาม เฎาะมีร) โดยที่มันไม่ถูกต้อง แต่ทว่า ที่ถูกต้องนั้น คือ
داعي امرأة
ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่ง
โดยไม่มีการประสมคำ และหลักฐาน ที่ยืนยันบนมันคือ แท้จริงได้ปรากฏใน สุนันอบี ดาวูด ว่า
داعي امرأة
ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่ง
โดยไม่มีการผสมคำ(อิฏอฟะฮ)
ดู ตะหฟะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 4 หน้า 78
...................
หมายเหตุ คำว่า ผู้เชิญของผู้หญิงคนหนึ่ง หมายถึง ผู้ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มาเชิญท่านนบี
داعي امرأته
ผู้เชิญของ ภรรยาของเขา
โดยนำคำว่า “อิมเราะอะติน “ไปประสม(สนธิ)กับ คำสรรพนาม เฎาะมีร) โดยที่มันไม่ถูกต้อง แต่ทว่า ที่ถูกต้องนั้น คือ
داعي امرأة
ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่ง
โดยไม่มีการประสมคำ และหลักฐาน ที่ยืนยันบนมันคือ แท้จริงได้ปรากฏใน สุนันอบี ดาวูด ว่า
داعي امرأة
ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่ง
โดยไม่มีการผสมคำ(อิฏอฟะฮ)
ดู ตะหฟะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 4 หน้า 78
...................
หมายเหตุ คำว่า ผู้เชิญของผู้หญิงคนหนึ่ง หมายถึง ผู้ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มาเชิญท่านนบี
มาดูคำอธิบาย อัลมุบาเราะกะฟูรีย์ ต่อครับ
وَقَدْ وَقَعَ فِيهِ أَيْضًا : دَاعِي امْرَأَةٍ بِغَيْرِ الْإِضَافَةِ ، بَلْ زَادَ فِيهِ بَعْدَ دَاعِي امْرَأَةٍ لَفْظَ : مِنْ قُرَيْشٍ ، فَلَمَّا ثَبَتَ أَنَّ الصَّحِيحَ فِي حَدِيثِ عَاصِمِ بْنِ كُلَيْبٍ هَذَا لَفْظُ : دَاعِي امْرَأَةٍ بِغَيْرِ إِضَافَةِ امْرَأَةٍ إِلَى الضَّمِيرِ ، ظَهَرَ أَنَّ حَدِيثَ جَرِيرٍ الْمَذْكُورَ لَيْسَ بِمُخَالِفٍ لِحَدِيثِ عَاصِمِ بْنِ كُلَيْبٍ هَذَا فَتَفَكَّرْ . هَذَا مَا عِنْدِي ، وَاللَّهُ تَعَالَى أَعْلَمُ
และปรากฏในมัน (ในมุสนัดอิหม่ามอะหมัด )อีก ว่า
دَاعِي امْرَأَةٍ
ผู้เชิญของ หญิงคนหนึ่ง
โดยไม่มีการประสมคำ(อิฎอฟะฮ) แต่ทว่า คำว่า
مِنْ قُرَيْشٍ
จากกุเรช
ได้เพิ่มเติมในมัน หลังจากคำว่า
دَاعِي امْرَأَةٍ (ก็จะมีความหมายว่า ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่งจากกุเรช – ผู้แปล)
และ เมื่อ ได้ยืนยัน ว่า ที่ถูกต้อง ในหะดิษ อาศิม บิน กุลัยบฺ คือ คำนี้ “
دَاعِي امْرَأَةٍ
دَاعِي امْرَأَةٍ
ผู้เชิญของ หญิงคนหนึ่ง
โดยไม่มีการประสมคำ(อิฎอฟะฮ) แต่ทว่า คำว่า
مِنْ قُرَيْشٍ
จากกุเรช
ได้เพิ่มเติมในมัน หลังจากคำว่า
دَاعِي امْرَأَةٍ (ก็จะมีความหมายว่า ผู้เชิญของหญิงคนหนึ่งจากกุเรช – ผู้แปล)
และ เมื่อ ได้ยืนยัน ว่า ที่ถูกต้อง ในหะดิษ อาศิม บิน กุลัยบฺ คือ คำนี้ “
دَاعِي امْرَأَةٍ
โดยไม่มีการประสมคำ(อิฎอฟะฮ) คำว่า “อิมเราะอะฮ” กับคำสรรพนาม(เฎาะมีร) ก็ปรากฏชัดเจนว่า หะดิษญะรีร ที่ถูกกล่าวถึง ไม่ขัดขัดแย้งกับหะดิษ อาศิม บิน กุลัยบฺ นี้คือ จงพิจารณา และนี้คือสิ่งที่เป็นทัศนะของข้าพเจ้า – วัลลอฮุอะลัม
ดู ตะหฟะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 4 หน้า 78
ดู ตะหฟะตุลอะหวะซีย์ เล่ม 4 หน้า 78
................
คือ เมื่อหะดิษ หะดิษ อาศิม บิน กุลัยบฺ ที่เศาะเฮียะ มีสำนวนว่า
คือ เมื่อหะดิษ หะดิษ อาศิม บิน กุลัยบฺ ที่เศาะเฮียะ มีสำนวนว่า
دَاعِي امْرَأَةٍ
ผู้เชิญของผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้เชิญของผู้หญิงคนหนึ่ง
ก็จะไม่ขัดแย้งกับหะดิษที่ว่า
كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إِلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ ، وَصَنْعَةَ الطَّعَامِ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنَ النِّيَاحَةِ
พวกเรานับว่า การชุมนุมที่ครอบครัวผู้ตายและทำอาหารกินกันหลังจากฝังมัยยิตนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(ที่ต้องห้าม)
>>>>>
สรุปว่า หะดิษที่มีสำนวนว่า ผู้หญิงของเขา หรือ ภรรยาของผู้ตายนั้น ไม่เศาะเฮียะ และที่เศาะเฮียะ ไม่มีสรรพนาม ฮา มาประกอบ และมีความหมายว่าผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่ภรรยาผู้ตาย และ หะดิษญะรีร ได้ยืนยันว่า ห้ามชุมนุมรับประทานอาหารที่ครอบครัวผู้ตาย หะดิษทั้งสองจึงไม่ขัดแย้งกัน
เพราะฉะนั้นการอ้างหะดิษข้างต้นเพื่อเป็นหลักฐานทำบุญเนื่องจากการตาย จึงไม่มีน้ำหนักเลย และสำนวนที่ว่า ผู้เชิญของภรรยาผู้ตาย" นั้นไม่ถูกต้อง
والله أعلم بالصواب
والله أعلم بالصواب
......................
อะสัน หมัดอะดั้ม
อะสัน หมัดอะดั้ม
18/5/60
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น